ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ตำนานนายขนมต้ม เล่ม ๓ ตอนที่ ๓

เริ่มโดย นีโอ, ตุลาคม 14, 2016, 09:42:08 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

นีโอ

กดอ่านก่อนอ่านผลงาน อาจารย์พี่นีโอ
๓. ประกาศศึก


พระตำหนักสวนกระต่าย

"สวรรคตแล้ว เพค่ะ...." เจ้าจอมเพงกับเจ้าจอมแมน สองพี่น้องเข้ามาหมอบกราบกรมขุนอนุรักษ์มนตรี แล้วกราบทูลพร้อมกันเบาๆ "สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตแล้วเพคะ"

กรมขุนอนุรักษ์มนตรีมิได้ตรัสอย่างหนึ่งอย่างใด คงนิ่งอยู่อย่างนั้น ในพระทัยทรงคิดเยี่ยงไรไม่มีใครรู้

ขณะเพลาบ่าย ๔ โมงเศษของวันแรม ๕ ค่ำเดือน ๖ ตรงกับ พุทธศักราช ๒๓๐๑


"สวรรคตแล้ว...." เจ้าจอมฟัก พระสนมเอก กับเจ้าจอมปาน น้องสาว ทั้งสองศรีพี่น้องเข้ามาหมอบกราบอีกคู่หนึ่งด้วยข้อความอย่างเดียวกัน ราวกับจะแต่งคำไว้ให้เหมือนกันว่า "สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตแล้วเพคะ"

กรมขุนอนุรักษ์มนตรีก็ยังมิได้ตรัสใดๆ คงได้แต่นิ่งอยู่อย่างเก่า

ทำให้ในความเงียบมีเสียงที่น่าอึดอัดทวีเพิ่มมากหนักข้อขึ้นไปอีก...

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปได้ระยะหนึ่ง พระสุรเสียงตรัสออกมาเบาๆความว่า

"ขุนหลวง...สวรรคตแล้วรึ?" พระองค์ทรงนิ่งต่อไปอีก พร้อมแย้มพระสรวลน้อยๆราวพอพระทัยในบางอย่าง

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ หรือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิม เจ้าฟ้าพร กษัตริย์ลำดับที่ ๓๒     แห่งกรุงศรีอยุธยา ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๐๑ ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าเสือ (กษัตริย์องค์ที่ ๓๐) เป็นพระอนุชาของ พระเจ้าท้ายสระ (กษัตริย์องศ์ที่ ๓๑) ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (พระมหาอุปราช) 

รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ พระพุทธศาสนาเฟื่องฟูยิ่ง ทรงเลื่อมใสศรัทธาและทำนุบำรุงเป็นอันมาก โปรดเกล้าฯใบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามทั้งในกรุงศรีอยุธยาและหัวเมืองต่างๆ ได้แก่ วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดป่าโมก วัดหันตรา    วัดภูเขาทองและวัดพระรามโปรดเกล้าฯให้ซ่อมเศียรพระประธานวัดมงคลบพิตรที่ชำรุดอยู่ทรงให้ความสำคัญกับการศึกษา พุทธศาสนาถึงขั้นที่ผู้ถวายตัวเข้ารับราชการต้องผ่านการบวชเรียนมาเสียก่อน

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงได้รับยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถพระองค์หนึ่ง บ้านเมืองสงบสุขตลอด รัชกาล จวบจนเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๑ พระชนมายุได้ ๗๗ พรรษา ทรงครองราชสมบัติยาวนานถึง ๒๖ ปี

ครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว วันรุ่งขึ้นเพลาเช้า มีงานสรงพระบรมศพในพระที่นั่งทรงปืน แล้วอัญเชิญเข้าพระบรมโกศนำขึ้นประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ รองานถวายพระเพลิงต่อไป ซึ่งไม่มีใครรู้กำหนดการว่าเมื่อไร ต่อนี้ไปต้องขานพระนามพระพุทธเจ้าหลวงว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

เมื่อจัดการปราบปรามเสี้ยนหนามเรียบร้อยสมพระยศยิ่งฟ้าแล้ว บรรดาข้าทูลละอองท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายให้ตั้งการพระราชพิธีปราบดาเหมือนราชาภิเษกตามตำราทุกประการ เชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรมงคลสถาน กรมขุนพรพินิต เสด็จเถลิงถวัลยราชมไหสุริยสมบัติสืบสันตติวงศ์ ดำรงพิภพกรุงเทพมหานคร บวรทวารวดีศรีอยุธยา เป็นแผ่นดินใหม่

เริ่มการพระราชพิธีให้ตั้งเตียงแว่นฟ้ามีเสาสี่เสามีเพดาน ตั้งบนพระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท มีพิธีสงฆ์พิธีพราหมณ์ เทียนชัยพระสังฆราชจุด เทียนราวในหลวงทรงจุดบูชาพระ และบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ

เมื่อแรกตั้งการพระราชพิธี ๓ วันนั้น ในหลวงทรงพระภูษาลายพื้นขาวฉลองพระองค์กรอง ทรงพระมาลาพระเส้าสูงสีกุหร่า เสด็จเพลาบ่ายไปทรงฟังสวดทั้ง ๓ วัน ทรงพระมหามงคล ครั้นวันรุ่งขึ้นถึงฤกษ์จะราชาภิเษกนั้น ในหลวงเสด็จขึ้นไปแต่เพลาเช้าทรงศีล ทรงประเคนสำรับพระสงฆ์แล้ว ชาวพระภูษามาลาถวายเครื่องมุรธาภิเษก แล้วชาวพระมาลาขุนศรีสยุมพรหลั่งน้ำสหัสธารา

ครั้นสรงแล้ว เสด็จขึ้นนั่งบนตั่งไม้มะเดื่อกว้างจัตุรัสศอกคืบปูผ้าขาว โรยแป้งขวางหญ้าคาผ้าขาวปกบน ผันพระพักตร์ไปทิศอีสาน มีตั่งน้อยกว้างศอกหนึ่งตั้งพระอัฐทิศ ตั้งกรด ตั้งสังข์ ทั้งแปดทิศ แล้วมีพิธีพราหมณ์ถวายน้ำพระมหาสังข์  พราหมณ์ถวายพระสุพรรณบัฏ ถวายพระมหาสังวาลสร้อยอ่อน ถวายพระเศวตฉัตร ถวายผ้ารัตกัมพล ถวายพระมหามงกุฎ ถวายพระขรรค์ชัยศรี ถวายฉลองพระบาท ๗ สิ่ง แล้วถวายอัษฎาวุธ พระแสงปืน พระแสงหอกชัย พระแสงดาบเชลย พระแสงของ้าว พระแสงจักร พระแสงตรีศูล พระแสงเขน พระแสงเกาทัณฑ์ ๘ สิ่ง แล้วพราหมณ์ถวายชัยถวายพร

แล้วจึงมีรับสั่งแก่พระมหาราชครูผู้ใหญ่ ว่าพรรณพฤกษ์และสิ่งของทั้งปวงซึ่งมีในแผ่นดินทั่วขอบเขตแดนพระนคร ซึ่งหาเจ้าของหวงแหนมิได้นั้น ตามแต่สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎรจะปรารถนาเถิด จึงพระมหาราชครูผู้ใหญ่ซึ่งมีตระกูลรับพระราชโองการเป็นฤกษ์ก่อน แต่เพลานั้นสืบไปข้าทูลละอองธุลีพระบาทจึงได้รับราชโองการสืบไปได้

ขุนหลวงพระองค์ใหม่ทรงโปรยดอกพิกุลเงินดอกพิกุลทอง แล้วพราหมณ์เป่าพระมหาสังข์ ตีฆ้องชัยกลองอินทเภรี ประโคมมโหระทึกแตรสังข์มโหรีขับไม้ประโคม แล้วเสด็จไปทรงเครื่องตามโบราณราชประเพณี เมื่อเสร็จการราชาภิเษกแล้ว โปรดให้สถาปนาเจ้านายขุนนางข้าราชการทั้งหลาย จนถึงบ่าวไพร่ได้ดีเป็นเจ้านายขุนนางก็มี เจ้าจอมหม่อมห้ามที่มีโอรสแล้วยกขึ้นเป็นเจ้าก็มี ผู้ได้รับโปรดเกล้าย่อมได้ดีมียศยิ่งฟ้า 

บรรดาข้าทูลละอองพระบาทกับข้าหลวงเดิมพากันยกยอปอปั้นกันเองให้ลั่นไป และยังพากันบันลือเพลงบรรเลงดนตรีมโหรียอยกยศยิ่งฟ้า ต่อจากนั้นบันลือบรรเลงเพลงดนตรีมโหรี มีเนื้อความประหนึ่งกาพย์ขับไม้เรื่องพระรถเสน ที่มีใช้งานต่อๆ มาภายหลังว่า

ขึ้น             เกยแก้วเก้าสิ่ง                  เสวยสวัสดิ์

ตั่ง               สุพรรณรายรัตน์             เพริศแพร้ว

นั่ง               ในวรเศวตฉัตร               เฉลิมโลก

เมือง             บพิตรพระแก้ว              แต่นี้จักเกษม ฯ

ขึ้นตั่งนั่งเมือง                  แท่นทองรองเรือง             สุขศรีปรีดิ์เปรม

เมืองกว้างช้างหลาย         ลูกขุนมูลนาย                  อยู่เย็นเป็นเกษม

ยินดีปรีดิ์เปรม                 วิโรจโอชเอม                    ทั้งหลายถวายกร


จากนั้นบรรดาเจ้าจอมหม่อมห้ามนักสนมกำนัลนางทั้งอำมาตย์มนตรี ต่างมีคำยอยกยศยิ่งฟ้าเป็นเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีฯที่มีแพร่หลายมาแต่ก่อนกาลว่า

๏ จะกล่าวถึงกรุงศรีอยุธยา

เป็นกรุงรัตนราชพระศาสนา................. มหาดิเรกอันเลิศล้น

เป็นที่ปรากฏรจนา................................ สรรเสริญอยุธยาทุกแห่งหน

ทุกบุรีสีมามณฑล................................ จบสกลลูกค้าวาณิช

ทุกประเทศสิบสองภาษา..................... ย่อมมาพึ่งกรุงศรีอยุธยาเป็นอกนิษฐ์

ประชาราษฎร์ปราศจากภัยพิศ.............. ทั้งความพิกลจริตแลความทุกข์

ฝ่ายองค์พระบรมราชา .........................ครองขัณฑสีมาเป็นสุข

ด้วยพระกฤษฎีกาทำนุก....................... จึงอยู่เย็นเป็นสุขสวัสดี

เป็นที่อาศัยแก่มนุษย์ในใต้หล้า............... เป็นที่อาศัยแก่เทวดาทุกราศี

ทุกนิกรนรชนมนตรี............................... คหบดีชีพราหมณ์พฤฒา

ประดุจดังศาลาอาศัย.............................. ดังหนึ่งร่มพระไทรอันสาขา

ประดุจหนึ่งแม่น้ำพระคงคา................... เป็นที่สิเนหาเมื่อกันดาร

ด้วยพระเดชเดชาอานุภาพ..................... อาจปราบไพรีทุกทิศาน

ทุกประเทศเขตขัณฑ์บันดาล.................. แต่งเครื่องบรรณาการมานอบนบ

กรุงศรีอยุธยานั้นสมบูรณ์....................... เพิ่มพูนด้วยพระเกียรติขจรจบ

อุดมบรมสุขทั้งแผ่นพิภพ...................... ..จนคำรบศักราชได้สองพัน


หลังจากอวยพระมหากษัตริย์ยอยศยิ่งฟ้าเสร็จสิ้น ต้องมาร่วมพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาหรือพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล หมายถึง พระราชพิธีอันเป็นมงคล..แห่งความซื่อสัตย์...ที่ใช้น้ำเป็นเครื่องกำหนด เรียกอย่างย่นย่อว่า... พระราชพิธีถือน้ำ.....อันเป็นการดื่มน้ำที่แทงด้วย พระแสงราชศัสตรา เป็นการสาบานตน เพื่อแสดงความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของตนเอง หากตั้งอยู่ในความสัตย์..

จัดเป็นพระราชพิธีที่สำคัญในด้านการปกครอง โบราณกำหนด ผู้ที่ถือน้ำในพิธีดื่มน้ำสาบานไว้ ได้แก่ .....

บรรดาข้าราชการประจำ ทหารที่ถืออาวุธ ศัตรู..ผู้ที่เข้ามาขอพึ่ง..พระบรมโพธิสมภาร..

นอกจากนั้นยังกำหนดโทษสำหรับ ข้าราชการ ที่ไม่มารวมพิธีถือน้ำถึง....ตาย

ยกเว้นผู้ที่เจ็บป่วย และ มีข้อห้ามไม่ให้ใส่แหวนนาก แหวนทอง ร่วมในพิธีห้ามกินอาหารก่อนเข้าพิธี หากผู้ใด ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา แล้วยื่นต่อให้แก่กันหรือดื่มแล้วเททิ้ง...โดยไม่ได้เทใส่ผม.... มีโทษ ..เป็น กบฏ !!!!



การถือน้ำ ของข้าราชการประจำ ทำปีละ ๒ ครั้ง คือในเดือนห้า ขึ้น ๓ ค่ำ และ ในเดือนสิบแรม ๑๓ ค่ำ

อนึ่ง ! ในการเสกทำน้ำพระพิพัฒน์สัตยานั้น

พราหมณ์จะเชิญ พระแสงราชศัสตรา มาแทงน้ำรวมทั้งหมด ๑๓ พระองค์ ได้แก่...

พระแสงศร ๓ องค์

พระแสงขรรค์ชัยศรี

พระแสงดาบคาบค่าย

พระแสงราชศัสตรา ประจำรัชกาล


เริ่มพิธีโดยใช้ พระแสงราชศัสตราสำหรับแผ่นดินนี้ แทงน้ำ ประกอบการอ่าน โองการ..แช่งน้ำ..ซึ่งเป็น โคลงห้าหรือโคลงแช่งน้ำ หรือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ อันเป็นวรรณกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เกิดความน่าเกรงกลัว หากจะกระทำผิดจาก ....สัตย์สาบาน..และ ..เกิดศรัทธาที่จะกระทำความดี นับเป็นจิตวิทยาทางการปกครอง ที่ควบคุมจิตใจและความประพฤติของข้าราชการ ทหาร ให้ตั้งอยู่ใน ความซื่อสัตย์สุจริต และ จงรักภักดีต่อพระประมุขของชาติ

หลังพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี แล้ว ผู้รับจะยืนกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตน โดย พราหมณ์จะตักน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดื่ม จากนั้นสมาชิกราชอิสริยาภรณ์รามาธิบดีถวายคำนับ เดินไปยังขันสาคร พราหมณ์จะตักน้ำให้ผู้รับฯ ดื่มต่อไป

สำหรับการถือน้ำ มี ๕ อย่าง จำแนกเป็น ๒ ประเภท คือ การถือน้ำซึ่งจัดเป็นการพระราชพิธีประจำอย่างหนึ่ง และถือน้ำเป็นพระราชพิธีจร

อีกอย่างหนึ่ง การถือน้ำประจำ ได้แก่ การถือน้ำปกติ ปีละ ๒ ครั้ง ในพิธีตรุษเดือน ๕ พิธีสารทเดือน ๑๐ เป็นการถือน้ำของพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนรวม ทั้งภรรยา ตลอดจนบรรดาข้าในกรมของพระราชวงศ์ บรรดาที่มีศักดินาตั้งแต่ ๔๐๐ ขึ้นไป

อีกอย่างหนึ่ง การถือน้ำประจำเดือนของทหารที่ผลัดเปลี่ยนเวรเข้าประจำการทุกวันขึ้น ๓ ค่ำ

การ ถือน้ำจร คือการถือน้ำเป็นกรณีพิเศษ ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน ได้แก่ การถือน้ำเมื่อแรกพระเจ้าแผ่นดินได้รับราชสมบัติ การถือน้ำของผู้มาแต่เมืองปัจจามิตรเข้ามาสู่พระบรมโพธิสมภาร และการถือน้ำพิเศษของที่ปรึกษาราชการ เมื่อแรกเข้ารับตำแหน่ง

เสร็จสิ้นพิธีถือน้ำพิพัศสัตยาของพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่อยุธยา ไม่ปรากฏว่าขาดตกผู้หนึ่งผู้ใดไปนอกจากเจ้าทรงกรมทั้งสี่อันได้แก่คือ กรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก) กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน) กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ) กรมหมื่นเสพภักดี(เจ้ามังคุด)กำหนดโทษสำหรับ ผู้ที่ไม่มารวมพิธีถือน้ำคือกบฏอันเป็นมหัตโทษถึง....ตาย!!!

เจ้าทรงกรมทั้งสี่ไม่มาปรากฏพระองค์เยี่ยงนี้ ความหมายคือกระด้างกระเดื่องและคิดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน

สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงมีรับสั่งให้บรรดาขุนทหารหัวหมู่นายกองเข้าพบเป็นการส่วนพระองค์

เมื่อขุนทหารมาพร้อมหน้าจึงทรงมีรับสั่งว่า "อันประพฤติของเจ้ากรมทั้งสี่ที่ไม่ยอมมาร่วมพิธีถือน้ำ มิพักต้องสงสัยว่าเอาใจออกห่าง แข็งข้อแลคิดการกระด้างกระเดื่อง จำต้องไปกุมเอาตัวมาลงโทษมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไปภายหน้า แลเจ้ากรมทั้งสี่ก็มีกำลังมากนัก ละไว้ก็คงจะเป็นเสี้ยนหนามแก่ราชบัลลังค์ เราจึงจะให้อาญาสิทธิ์เจ้าพระยาอภัยราชาไปกุมตัวมาสำเร็จโทษเพื่อให้ บ้านเมืองคงจะปรกติผาสุกสืบไป"

เหล่าขุนทหารพากันถวายบังคมเห็นชอบกันถ้วนหน้า

ในที่นั้นมีนายขนมต้มและเจ้าแมงเม่ารวมกลุ่มอยู่ด้วยแต่อยู่ท้ายสุดเพราะไม่ใช่เสนาบดีหรือขุนทหารสำคัญ

ขณะที่สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ของอยุธยามหานครจะเสด็จกลับเข้าที่รโหฐานเพื่อรอฟังข่าวที่ใช้เหล่าขุนทหารไปกุมตัวเจ้ากรมทั้งสี่ที่แข็งข้อ เจ้าฟ้าพระนเรนทรก็เสด็จมาเข้าเฝ้า  เจ้าฟ้าพระนเรนทรรูปนี้เป็นที่เคารพเลื่อมใสของเจ้าฟ้าอุทุมพรยิ่งนัก เพราะทรงมีศักดิ์และมีสิทธิในราชบัลลังก์แต่ก็ไม่ปรารถนาในพระราชสมบัติ  พระองค์สามารถตัดขาดจากอำนาจด้วยการครองผ้ากาสาวพัสต์อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์มาตั้งแต่ต้นรัชกาลก่อน

สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงกราบมนัสการ เจ้าฟ้าพระนเรนทรและนิมนต์ให้นั่งประทับในที่เหมาะสม

จากนั้นทรงตรัสถามขึ้นว่า "เจ้าฟ้าพระฯเสด็จมาหาโยม มีธุระอันใดฤาพระพุทธเจ้าค่ะ"

เจ้าพระฯถวายพระพรว่า "อาตมาจะมาขอบิณทบาตรชีวิตของสี่กุมารจากมหาบพิตร"

"แต่ทั้งสี่กรมนั่น ประพฤติเป็นกบฏ ตามกฏมณเทียรบาล เป็นมหันตโทษ"

เจ้าพระฯถวายพระพรว่า "ดูก่อนมหาบพิตร สี่กุมาร มีประพฤติผิดพระอัยกาชอบอยู่ แต่ตรองดูเถิด เลือดราชวงศ์บ้านพลูหลวงไหลนองมามากมายมหาศาลเพียงใด อาตมามิอยากเห็นเคลือญาติสายเลือดเดียวชิงชังเข่นฆ่ากันอีก หากมิเหลือบ่ากว่าแรงจะยั้งไว้  อาตมาใคร่ร้องขอจากมหาบพิตรโปรดมีจิตเมตตาละเว้นไว้เถิด"

สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงนิ่งไป พระพักตร์ฉายแววไตร่ตรองตามคำถวายพระพร

เจ้าพระฯถวายพระพรต่ออีกว่า "สำหรับกุมารทั้งสี่นั้น หนทางที่ดีที่สุด คือหันเข้าพึ่งผ้ากาสาวพัสต์ คือให้ทั้งสี่กุมารออกบวช ที่อาตมาขอประทานชีวิตเอาไว้ ก็เพื่อเพิ่มพูนพระเมตตาบารมี และเป็นกุศลกรรมหนุนส่งให้พระราชบัลลังก์ของมหาบพิตรมั่นคงสถาพรสืบไป..."

จากคำถวายพระพรของเจ้าฟ้าพระนเรนทร พระเจ้าแผ่นดินอยุธยาพระองค์ใหม่ทรงไตร่ตรองตามเหตุ และทรงมีจิตเลื่อมใสนิยมเดิมอยู่เป็นทุน พระองค์ทรงพนมกรน้อมถวายดั่งเจ้าฟ้าพระฯถวายพระพรกล่าวเตือน เพื่อไม่ให้พระราชบัลลังก์ของพระองค์ตั้งอยู่บนเถ้ากระดูกแห่งการทุรยศของพระราชวงศ์ดั่งพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ผ่านๆมา

"ถ้าทั้งสี่กรมหันไปพึ่งผ้ากาสาวพัสต์ อันเป็นธงชัยพระอรหันต์ดั่งพระคุณท่านว่า โยมก็ขอถวายอนิสงค์ทั้งหมด"

"อาตมาขออนุโมทนาสาธุในเมตตาของมหาบพิตร"

บรรดาขุนทหารข้าราชการที่หมอบเฝ้าได้สดับการสนทนาของพระเจ้าแผ่นดินกับเจ้าฟ้าพระฯต่างมีความเห็นไปต่างๆนานา บ้างเห็นด้วย แต่บ้างก็ค้านว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงมีเมตตาเกินไป ไม่ทรงเด็ดขาด  ปล่อยให้พวกศักดินามีอำนาจเหนือพระราชโองการจะเป็นเยี่ยงหนุนนำให้บรรดาผู้ใต้พระยุคลบาทไม่เคารพยำเกรงในพระราชอำนาจที่มี ไม่ว่าความเห็นจะต่างกันเช่นไร แต่สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรก็ทรงมีพระวินิจฉัยในเรื่องรี้ด้วยการ ให้เกิดความปรองดองทางสัตติไมตรีระหว่างพี่น้อง ดีกว่าสายเลือดเดียวกันจะมาเข่นฆ่ากันจนล้มตายเกลื่อนพระราชวัง

นายขนมต้ม เจ้าแมงเม่า และขุนรองปลัดชูต่างนั่งปรึกษาความในเรื่องนี้

เจ้าแมงเม่าเอ่ยขึ้นหลังเสร็จจากการเข้าเฝ้า "ไยเรื่องราวจึงวุ่นวายไม่เป็นตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศหนา เยี่ยงนี้คงต้องเกิดเสียเลือดเสียเนื้อระหว่างพี่น้องเป็นมั่นคง"

"เรื่องมันวุ่นวายมานาน และครั้งนี้มันวุ่นวายหลังจากที่เหล่าขุนนางทูลขอให้แต่งตั้งเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ขึ้นดำรงตำแหน่งวังหน้าเหมือนเดิม ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศก็เห็นชอบตามนั้น หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ประฏิสังขรณ์และก่อสร้างถาวรวัตถุหลายอย่าง แต่อย่างที่พวกเอ็งรู้ๆกันหลายปีผ่านไปพระองค์เริ่มทรงพระประชวร สามปีผ่านไปหลังจากที่กรมขุนเสนาพิทักษ์ทรงถูกลงโทษจนสวรรคาลัย ตำแหน่งวังหน้าก็ถูกหมายตาจากบรรดานายกรมต่างๆชนิดไม่ยอมกัน  เพราะสรรพกำลังก็ไม่ได้ด้อยกว่ากัน

เรื่องเจ้าทรงกรมนี่ต้องย้อนกลับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์ ซึ่งแต่เดิมนั้นบรรดากษัตริย์อยุธยาล้วนสืบสายสันติวงศ์กันมา จนกระทั่งถึงยุคราชวงศ์ปราสาททองที่ขุนนางสามารถปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทำให้ต่อมา พระมหากษัตริย์ต้องการที่จะคานอำนาจกับกลุ่มขุนนาง จึงมีการการแต่งตั้งให้พระราชวงศ์ให้ทรงกรม ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายระดับ จากต่ำสุดไปสูง กรมหมื่น กรมขุน กรมหลวง และกรมพระ

เมื่อทรงกรมหมายถึงการมีไพร่ ทหาร และทรัพย์สินเป็นของตนเอง มีขุนนางคือ เจ้ากรม ปลัดกรม สมุห์บัญชี ซึ่งจะมีบรรดาศักดิ์ตามเจ้านาย เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการสินทรัพย์ที่อยู่ในสังกัดกรมกองของเจ้าฟ้าพระองค์นั้น แต่ถ้าหากดำรงอิสริยยศเป็นวังหน้าและวังหลัง ยังสามารถซื้อขายกับต่างชาติได้โดยตรง ยิ่งเพิ่มความมั่งคั่ง แลกำลังพลคับคั่ง เมื่อมีสองสิ่งพร้อมมูล บางกรมก็คิดการไกลถึงขั้นรวบอำนาจมาไว้ในมือ และสามารถชื้อสิ่งที่เป็นต้องการหากคิดจะทำสงครามนั่นก็คือปืนไฟ ซึ่งโดยปรกติเป็นของต้องห้าม  ซึ่งฝ่ายนั้นก็มีส้องสุมอยู่ไม่น้อย"

"แต่ก็น่าจะยกกำลังไปจับกุมตัวมาได้ไม่ยาก เพราะต้องฟังคำสั่งของประมุขสูงสุด"

"มันไม่ง่ายดายปานนั้น เอ็งต้องเข้าใจก่อนว่า เจ้านายแต่ละพระองค์หรือแม้กระทั่งขุนนางระดับสูง ก็ล้วนแต่มีกองทหารประจำตัวทั้งสิ้น แต่ละฝ่ายก็มีกำลังที่ไม่แตกต่างกันมากนัก การที่พระเจ้าแผ่นดินที่เป็นวังหลวง คิดจะไปจับตัวลูกชายที่วังหน้าก็อาจเป็นเรื่องยาก วิธีที่ใช้กันมาตลอดก็คือรับสั่งให้เข้าเฝ้า เพราะไม่สามารถนำทหารหรืออาวุธติดเข้าไปได้ แลเมื่อถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าก็แข็งขืนนำกำลังมาจุกช่องป้องกัน บางครั้งต้องรบกันก่อนจึงจะกุมตัวได้"

"เกล้าฯว่าขุนหลวงพระองค์ใหม่ (สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร)ทรงปรารถนาจะสมานฉันท์ ก็ดีนะ ไม่เสียเลือดเสียเนื้อระหว่างพี่น้อง คงจะหาทางออกที่นิ่มนวลได้ แลอีกฝ่ายคงจะพอใจ"

"ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ ขุนหลวงพระองค์ใหม่ทรงคิดถูกแล้ว เอาพสกนิกรเป็นที่ตั้ง"

นายขนมต้มเห็นด้วย แต่ขุนรองปลัดชูกลับเคร่งเครียด

"ท่านครู...เอ้ย! ขุนรองปลัดชู เป็นอันใดไป ไยสีหน้าจึ่งกังวนนัก" นายขนมต้มหันมาถาม

"ขุนหลวงท่านทรงคิดปรองดอง แต่ข้ากำลังคิดอยู่ว่าอีกฝ่ายอยากปรองดองไหม?"

"เหตุใดจะไม่ปรองดอง ขุนหลวงท่านปราณีถึงเพียงนั้น"

"อีกฝ่ายปราณีด้วยปรารถนาจะสมานฉันท์ แต่อีกฝ่ายหล่ะ ปรองดองด้วยปรารถนาเดียวกันหรือเปล่า?"

"ถ้าไม่เป็นไปตามแนวทางเดียวกัน จะเกิดอันใดขึ้น"

ขุนรองปลัดชูถอนหายใจเฮือก

"ก็จะเกิดสงครามกลางเมืองเหมือนๆที่ผ่านมา ได้รบกันเลือดนองท้องช้างเลยละเอ็งเอ้ย..."

ตำหนักศาลาลวด

เมื่อพระราชโองการจากพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่มาถึง บรรดาเจ้าสี่กรมซึ่งกอปรไปด้วย กรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก) กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน) กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ) กรมหมื่นเสพภักดี(เจ้ามังคุด) ส้องสุมรวมหัวกันแข็งข้อ เมื่อได้รับทราบว่ามีพระราชดำรัสให้ออกบวชครองเพศบรรพชิต จะไม่เอาความผิดที่กระทำตนเป็นเสี้ยนหนาม ทำให้เจ้าทรงกรมผู้แข็งข้อทุกพระองค์ออกพระอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยกเว้นเจ้าแขกหรือ กรมหมื่นเทพพิพิธเท่านั้นที่ประทับนั่งเฉยสงบนิ่งประดุจองค์พระประธานในโบสถ์

"ใครจะบวชก็บวชไป ฉันไม่ยอมบวชเด็ดขาด อะไรกัน ใช้อำนาจมาบีบบังคับให้กันบวช ทำเยี่ยงนี้มันเกินไป ถือว่าได้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จะมามีสิทธิ์เหนือชีวิตของคนอื่น อย่าหมาย ออกพระราชโองการชี้นิ้วสั่ง ใครอยากฟังก็ฟังไป ใครอยากบวชก็บวชไป ฉันคนหนึ่งหล่ะที่ไม่ยอมบวช"กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ) ออกพระอาการกว่าใคร ระหว่างที่ตรัสบริภาษด้วยพระอารมณ์ฉุนเฉียวก็ย่างพระบาทเดินไปเดินมาในที่ประชุมของตำหนักศาลาลวดมิหยุด

จนกระทั่งกรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน)ผู้ดูจะมีปัญญาและพระกิริยาสุขุมกว่าทุกพระองค์ตรัสเตือนขึ้น

"เจ้ารถ หยุดโวยวายได้แล้ว เดินไปเดินมาจนน่าเวียนหัว มานั่งแล้วค่อยๆคิดหาทางออกกันก่อน"

"พอฟังพระราชโองการจบ ก็มิเห็นว่าใครจะถือสา เห็นนิ่งไปทุกพระองค์ ไม่ว่ากล่าวกระไรเลย"

กรมหมื่นเสพภักดี(เจ้ามังคุด)ที่ประทับอยู่ส่ายพระพักตร์ในความเจ้าอารมณ์ของพระอนุชา

"ไม่มีใครยอมบวชดอก เธอวู่วามจริง ราชโองการนั่นหาได้อยู่ในสายตาของพวกเราไม่"

"แล้วจะเอาเยี่ยงไร ขุนหลวงพระองค์ใหม่ส่งสัญญาณเตือนแล้ว"กรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก) ตรัสถามขึ้น

"จะไปเกรงอันใดเล่า กำลังข้างเราก็พร้อมสรรพ หากต้องเปิดสงครามกลางเมือง พวกเราก็ไม่มีทางแพ้"

กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ)ตรัสอย่างมั่นพระทัยในกำลังข้างตน

"แล้วเจ้าพี่แขกหล่ะ มีความเห็นเช่นไร?"กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน) ตรัสถาม

กรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก)นิ่งไป ชั่วครู่จึงตรัสตอบ"พวกเราถวายสัจจะวาจาไปแล้ว แลการที่พวกร่วมกันกระทำก็ไม่ถูกต้องตามพระราชประเพณี  ฉันเห็นว่าพวกเราควรทำตามข้อเสนอ พากันไปบวชเถิด เพื่อความสงบสุขของแผ่นดิน"

"ฟั่นเฟือนไปแล้วรึเจ้าพี่แขก!!!" กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ)โวยวายทันทีตามพระวิสัย "มาชวนให้พร้อมใจกันออกบวช นี่เกิดขลาดเขลาขึ้นมาหรือไร หากเจ้าพี่ปรารถนาจะบวชตามพระราชประสงค์ของเจ้าเหนือหัวองค์ใหม่ ก็เชิญเจ้าพี่ไปบวชได้เลย อย่ามาชักชวนพวกเราให้เสียน้ำใจ"

กรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก) ทรงทอดถอนพระทัยหน่วงหนัก นอกจากไม่ทรงตรัสอะไรแล้วยังและทรงลุกขึ้นยืนเดินออกจากที่ประชุมไป เจ้าทรงกรมทั้งสามทอดพระเนตรตามอย่างหมดจิตศรัทรา เนื่องด้วยพระกิริยาแสดงออกเยี่ยงนี้หมายถึง กรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก) ทรงคล้อยปฏิบัติตามที่มีพระราชโองการมา เมื่อขบวนเสลี่ยงกลีบบัวพร้อมเครื่องแหนออกจากตำหนักศาลาลวดไปแล้ว เจ้ากรมทั้งสามก็มาปรึกษาคดีกันต่อว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร

"เจ้าพี่แขกเองก็ทรงไม่มีฝีมืออยู่แล้ว เข้าร่วมก็คงพึ่งพาอันใดมิได้"กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน)ออกความเห็น

กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ) จึงตรัสถาม "แล้วเจ้าพี่ปานวางแผนไว้เยี่ยงไร?"

"ใจเย็นเจ้ารถ เรื่องนี้ถ้าเราไม่เตรียมการไว้ เราคงไม่กล้าชวนเธอแข็งข้อดอก"

กรมหมื่นเสพภักดี(เจ้ามังคุด)ตรัสแล้วทรงแย้มพระสรวลอย่างมีเล่ห์กลร้ายกาจแฝงอยู่

golem237

ขอบคุณมากครับ เป็นเรื่องที่มีภาษาไทยและธำรงค์ไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ชาติดีมาก

เป็นการกระทำที่น่ายกน่องครับ ขอขอบคุณจริงๆ

areja

#2
ใครจะอ่านผลงานท่าน ถ้าทำตามกติกาท่านว่างไว้ไม่ได้ แล้ว รีพลาย ขอบคุณครับ,ขอบคุณ,ขอบคุณค่ะ,ติดตามครับ
,สนุกมากครับ,ติดตามต่อ.
อะไรประมาณนี้ แบนเลยนะ ขอบคุณมากๆครับ ก็ไม่ต้อง thank,thank you,thx ขี้หมาหลายแหล
เหล่านี้ก็อย่าให้เห็น จัดรูดแบนไปยาวๆ ถ้าเจอในผลงาน อาจารย์พี่นีโอ นี่เป็นข้อตกลงระหว่างท่าน กับสมาชิก
::Fighto::  เมื่อผ่าฝืน เกรียนมาก็จำเป็นที่ต้องแบน เพื่อสมาชิกอีกส่วนเพราะไม่เช่นนั้น ::Falling::
รีพลายคุณอาจทำให้ สมาชิกที่ปฏิบัติตามพลอยอดอ่านไปด้วย ฉะนั้นไม่แน่ใจ อย่าพิมพ์เอามักง่ายมั่วๆ..


กดอ่านก่อนอ่านผลงาน อาจารย์พี่นีโอ




การตอบ รีพลายอย่าง พอเหมาะพอควรถ้าเจ้าของกระทู้แจ้งมา จะพิจารณา เป็นรายกรณี

ถ้าตอบ เช่น zzzzddd xxxx2222 อิอิ,ลุ้นๆ,555, ดีดี,ดี, ต่อ,ติดตาม,ty,thx,thx kub(Thx ขี้หมาThanx พิมพ์ไม่ถูก
ห้ามใช้ทุกกระดานที่ ฉันดูแล
),ใจจร้า,ใจครับ,แจ่ม,เยี่ยม,สนุกดี,สุดยอด,อ่านต่อ,Good (เฉยๆ)
emo เปล่าๆ
อาจเตือนเห็นอีก ถ้าเตือนไปแล้ว ผิดซ้ำซากก็จะแบนเหมือนกัน รีพลายตอบซั่วๆ ตอบแล้ว mod ไม่เข้าใจ จะโดนแบน
รีพลายมักง่ายต่างๆ จะแบนครั้งแรก 6 เดือน คราต่อไป แบนยาวขึ้น แล้วจะหายเมื่อไม่ปรับปรุง

พวก ก๊อปตอบ รัวๆรวดเดียวเป็น 10 กระทู้ โพสต์ละ 1 นาทีนะ เจอจะ แบน ถ้ามักง่ายเช่นนี้ ถือว่าไม่ให้เกียรติ์
คนแบ่งปัน/ คนลงงาน..พวกเปิดรัวๆ ประโยคเดียวเป็น 10 มันควรหรือ? ตอบซ้ำมาหลายครัง ในกระทู้เดียวกัน
อาจโดนพักใช้ได้เหมือนกัน และห้ามใช้ ข้อความจากระบบในการตอบรีพลายเด็ดขาด! มันมักง่ายประเภทเดียว
กับก๊อปตอบ จะแบน ครึ่งปี ครั้งต่อแบนเพิ่มขึ้นอีก และ หายจากบอร์ด
         

            ผลงานที่ สมาชิกอุตสาห์นำมาลง ไม่ว่าจะเขียนเอง หรือขอมาลงล้วนได้มาด้วยการสละเวลา
            ถ้าจะตอบมามักง่ายก็ อย่าใช้ห้องนี้ เสพผลงานเลยไปหาเสพที่ใดแล้ว รีพลายตอบ นั้นได้ ก็ไป
            อย่าทะลึ่งมา เปรี้ยว มา เกรียน ลอง  สด ,เก๋า อย่าเลย จะเสียน้ำใจเสียความรู้สึกเปล่าๆ
            เพราะถึงคุณมี 100 ยูส 1000 ชื่อ ถ้ารีพลายผิดกฏ-กติกากระดานนี้ ฉัน ก็จะแบนหมด

...................................................................

ถ้าถูกแปะเตือนที่ โพสต์หรือกระทู้คุณ และส่งไปที่ pm คุณ จงรีบปรับปรุงรีพลายซะ ขอบคุง,ขอบหี,ขอบควย
ขอบหมา,ขอบแมว,ขอบคุน
เตือนนะอย่าลองของ ใครโดนเตือนไปให้ปรับปรุงการรีพลายเจอ ครั้ง 2 จะลบ
ทุกกระทู้ที่ตอบ และพบถ้าอีกรอบ จะแบน 6 เดือนเหมือนโทษ ป้วนเกรียนอื่นๆ....

คำขอบคุณยังเขียนไม่ถูกความหมายมันจะถูกไหม? ที่ต้องมาเข้มงวดเรื่องนี้ เพราะชักเยอะพวกมักง่าย เยอะ
ไรต์ คนลงงาน ก็ติมาด้วย..เครนะ ขอกันดีๆ จะไม่โดนลบของเก่าทิ้ง แต่ยังรีพลายอีก ถ้าเตือน เตรียมหาที่อ่านใหม่เลย..
แว่น ยกตัวอย่างคำ ขอบคุณเขียนไม่ถูกชัดไหม?

ใคร ขอบคุณ รีพลาย เขียนไม่ถูกต้องแบนแล้วนะ ให้โอกาสเตือน 1 ครั้ง มันเป็นคำขอของ ไรต์ และ คนลงงาน
เรื่องความมักง่าย เพราะ ขอบคุณ เฉยๆก็ดูเอียนจริงๆ แต่ก็เป็นคำสากลในการตอบแทนน้ำใจ ฉะนั้น ขอเถอะเขียนให้ถูก
เมื่อต้องปรับเปลี่ยนก็ต้องคล้อยตามกัน กฏไม่ได้ใช้กับใคร? เพียงคนเดียว และไม่ยากเกินไป 
คิดว่าสร้างมาตรฐาน กันใหม่อีกสิ่ง ถ้ายากก็ไม่ต้องเข้ามาใช้ กระดานนี้ เพราะ ฉันแบนแน่.. 

อ๋อ thx ขี้หมา นี้หรือ เขียนไม่ครบ thank กระดาน แว่น ดูแลอย่าให้เห็นนะ แบน ย้ำซะขนาดนี้พิมพ์มาอีกถือว่าลอง
บางคนโวยวาย ขำ   thx ขี้หมา แค่นี้ก็แบน ถุย! ก็ตรรกะเอ็งมันมักง่ายไง เงื่อนไขง่ายๆถึงออกมาแถ มันยากนักคุณมึง
ก็ไม่ต้องเข้ามาใช้ เวปนี้ไม่ง้อ บอร์ดอยู่มาได้ไม่ต้องพึ่งคนมักง่ายใช้ตรรกะปลิง จ้องจะสูบทั้งที่ใช้ฟรี เสือกเยอะ
ไรต์เขียนมาหาข้อมูลมากว่าจะจบแต่ละตอน ไอ้ซากปลิง เข้ามา Thx  เหอะๆ เอาใช้ไปหาที่เสพที่อื่นเถอะ เวปนี้แบน

กฎที่วางนี่ไม่ได้เขียนเอา ฮา เนอะ แบนจริงใครอยู่นานแล้วคงรู้จัก แว่น ดี..คิดว่า ฉัน
แบนจริงหรือเตือนเอาสนุกเล่นๆ..อย่าๆลอง เดี๋ยวจะเสียความรู้สึก ด้วยรีพลายคุณเองเลย
เขียน ขอบคุณ ให้ถูก ทำตามเงื่อนไข ยากอะไร หรือ จะโชว์เกรียน..เตือน,ขอร้อง,
ขอความร่วมมือ แล้วเมื่อไม่รักษาสิทธิ์-ประโยชน์คุณเอง ก็แบนไปใช้เวปอื่น.
.


pinmonkey

แย่งชิงอำนาจเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองครับ ขอบคุณมากครับ

peddo

สนุกจริงๆครับ พี่นีโอนี่มีฝีมือหลากหลายจริงๆครับ ขอบคุณครับ

dwarf

ขอบคุณครับ..แม้จะเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ และแฝงด้วยจินตนาการของท่านนีโอ..ขอยอมรับว่าได้รับทราบมุมมองของประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา..อีกมุมมองหนึ่งครับ..ทำการบ้านดีมากเลยครับท่าน