ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

อาถรรพ์ปลัดขิก ตอนที่ 9 เรียนไสยดำ

เริ่มโดย Kamen Rider V-3, มกราคม 02, 2018, 06:20:10 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

halosex


PGH25

ได้แฟนแถมเพื่อนแฟนอีกคนแน่เลยพระเอกเราขอบคุณครับ


Stpd


Pp


Mewmania

อ้างจาก: Kamen Rider V-3 เมื่อ มกราคม 02, 2018, 06:20:10 หลังเที่ยงคุยก่อนอ่าน

ยอมรับเลยครับว่าเขียนไม่ออก ทำงานเสร็จก็ฉลองปีใหม่แล้วต่อด้วยความขี้เกียจ นอนพักผ่อน (ทำตัวติ๊ส ไม่อยากเขียนก็ไม่เขียน
แต่ที่จริง ตันคิดไม่ออกมากกว่า 555 )  เห็นไรท์ท่านอื่นๆส่งงานทีละหลายๆตอน ก็รู้สึกอิจฉาในความปราดเปรื่องของท่านเหล่านั้น
เสียเหลือเกิน โดยเฉพาะท่าน Joker Socool พลังหื่นของท่านช่างเปี่ยมล้นจริงๆหนอ 

เอาล่ะครับขอส่งตอนที่ 9 ให้ท่านผู้อ่านเท่าที่จะเขียนได้ไปก่อน  ขออภัยที่ล่าช้าไป แต่ยืนยันไม่ทิ้งแน่นอนครับ


-------------


เมื่อประตูห้องของวิไลถูกเปิดออก หนิงก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้องของวิไลทันที แล้วสอดส่ายสายตามองดูไปรอบห้อง

"แม่คะ....เมื่อครู่แม่ทำอะไรอยู่คะ...."

หนิงถามออกมาก่อนที่จะหันกลับมามองแม่ของเธอเพื่อรอคอยคำตอบ

"แม่ทำกายบริหารอยู่นะลูก  มีอะไรเหรอ"


"ป่าวค่ะแม่..พอดีหนิงได้ยินเสียง...เออะ....ช่างมันเถอะค่ะ"


แล้วเธอก็ทรุดตัวนั่งลงยังโซฟากลางห้องที่เธอคุ้นเคย

"แม่คะ...เดือนหน้าหนิงจะลงแข่งแล้ว  ช่วงนี้คงต้องกลับมืดหน่อย แม่ช่วยบอกป๊าให้ทีน๊า"


"เอ้า...แล้วทำไมไม่ไปบอกป๊าเองล่ะ"


"ไม่เอา..เดี๋ยวป๊าดุเอา....พาลจะไม่ให้หนิงลงแข่งด้วย....น๊า...น๊า...แม่น๊า.....ช่วยหนิงหน่อย"


หนิงออดอ้อนแม่ของเธอ อย่างคุ้นเคย  ไม่ว่าเธอต้องการอะไร ขอเพียงใช้วิธีนี้วิไลก็จะตามใจเธอทุกอย่าง


"แหม....เรานี่นะ...อันที่จริงแม่ก็ไม่ชอบหรอกนะ ไอ้การกลับมืดกลับค่ำเนี่ย  แล้วเอาไงดีล่ะทีนี้
คนขับรถเราก็ไม่มีแล้ว....ไม่เป็นไรเดี๋ยวแม่จะให้ป๊อดไปเรียนขับรถแล้วให้ไปรับหนิงที่โรงเรียนก็แล้วกันนะ"


พอหนิงได้ยินว่า แม่ของเธอจะให้ป๊อดขับรถไปรับเธอ ก็เผลอแสดงอาการดีใจจนออกหน้า

"จริงเหรอแม่.....ดีจังเลย"

แล้วเธอก็รีบกลบเกลื่อน เมื่อเห็นแม่ของเธอมองหน้าเธอนิ่งอยู่


"แม่ไม่มีอะไรให้กินเหรอวันนี้  หนิงหิวจังเลย"

"อ๋อมีสิ....วันนี้แม่มีพาย ของชอบของหนิงด้วยนะ  ไปลงไปข้างล่างก่อนเดี๋ยวแม่ตามลงไป"


วิไลได้ช่องที่จะให้หนิงออกไปจากห้องของเธอ  จึงเดินไปดึงตัวหนิงขึ้นจากโซฟา


"โอ๋วว...จริงเหรอแม่...งั้นหนิงขอเข้าห้องน้ำก่อนนะแม่....ปวดฉี่"


แล้วเธอก็ก้าวเท้าไปยังห้องน้ำที่ป๊อดกำลังซ่อนตัวอยู่


วิไลตกใจสุดขีด รีบคว้าข้อมือหนิงไว้ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงประตูห้องน้ำ

"หนิงไปใช้ข้างล่างเถอะ...แม่ก็ปวดฉี่เหมือนกัน"


ป๊อดที่ซ่อนตัวอยู่ในห้อง พอได้ยินว่าหนิงจะเข้ามาในห้องน้ำ เขาก็ใจหายวาบ หากเธอเข้ามาแล้วพบเขาอยู่ในนี้
เขาคงไม่สามารถนึกหาคำแก้ตัวใดๆได้เลย


"เอาไงดี..น้าขิก"

ป๊อด ขอความเห็นภูตแห่งปลัดขิกไปทางความคิด  แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทันเสียแล้ว  เมื่อหนิงดึงมือแม่ของเธอออก
แล้วดันประตูห้องน้ำพร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาทันที


"ขอหนิงก่อนเถอะแม่..ปวดจะตายอยู่แล้ว"


แล้วประห้องน้ำก็ถูกปิดลงต่อหน้าของวิไล  เธอหลับตานิ่งหน้าประตูห้องน้ำอย่างยอมจำนนต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ด้วยใจที่เต้นระทึก สมองของเธอในตอนนี้ไร้ถ้อยคำใดๆที่จะพูดออกมาให้หนิงเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

แต่เมื่อเวลาผ่านไป  เธอก็รู้สึกแปลกใจ ที่ไม่ได้ยินเสียงใดๆจากหนิง



ในยามคับขันป๊อดกลับนึกถึงคาถากำบังกายที่ลงอักขระไว้ที่ปลัดขิกพญางิ้วดำตามที่พ่อได้เคยบอกเขาขึ้นมาได้
เขาหลับตาแล้วกล่าวคาถานั้นอย่างรีบเร่งทันที

"มะอะอุ  ไม่เห็นตัวกู....มะอะอุ  ไม่เห็นตัวกู....มะอะอุ  ไม่เห็นตัวกู"


เมื่อกล่าวคาถาครบสามจบ ป๊อดก็ลืมตาขึ้นด้วยใจที่เต้นระทึก แต่ภาพที่เขาเห็นก็คือ หนิงกำลังถกกระโปรงนักเรียนขึ้น
แล้วรูดกางเกงในออกมาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับนั่งลงบนชักโครกอย่างเป็นปกติต่อหน้าต่อเขา

ป๊อดมองหน้าหนิงและสบตากับเธออย่างแทบไม่หายใจ  แต่ก็ดูเหมือนว่าแววตาของเธอมองผ่านเขาไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 
ป๊อดจ้องมองเธอนั่งอยู่บนชักโครกอยู่ครู่หนึ่ง จึงทดลองส่ายมือไปมา ก็ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงจากแววตาของเธอ 
เขาจึงเริ่มมั่นใจว่า คาถาบังตาใช้ได้ผลจริงๆ พร้อมกับถอนหายใจแรงๆออกมาอย่างลืมตัว


"แหม...ไอ้อาคมสายขาวเนี่ย...ข้าคิดว่ามันจะดีเด่สักแค่ไหน ที่แท้ก็เอาไว้แอบดูผู้หญิงเยี่ยว ฮ่าๆๆๆๆ...."

ภูตแห่งปลัดขิก หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ทำให้ป๊อดยิ่งรู้สึกตระหนักยิ่งขึ้นว่า ไม่ว่าจะเป็นอาคมสายขาว
หรือสายดำ  หากผู้นำไปใช้คิดชั่วมันก็สามารถสร้างความชั่วได้เช่นเดียวกัน

ป๊อดนิ่งสงบรออยู่ในห้องน้ำจนหนิงเสร็จธุระส่วนตัว แล้วเดินออกไป

"แม่...งั้นหนิงไปรอข้างล่างเลยนะ"


"จ้า....เดี๋ยวแม่ตามไป"


พอหนิงพ้นไปจากประตูห้อง วิไลก็รีบเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปสำรวจอย่างสงสัย แต่เธอก็ไม่พบแม้แต่เงาของป๊อด
ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดใจต่อเธอเป็นอย่างมาก

ป๊อดอาศัยช่วงเวลาที่หนิงเดินออกไปจากห้อง เดินตามหลังเธอไปติดๆ แล้วแยกไปยังห้องของเขาโดยไม่มีสายตาคู่ใดมองเห็น

------

ในเวลาค่ำแห่งวันพฤหัส พระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่กลางท้องฟ้า  ป๊อดอาบน้ำชำระร่างกายแล้วสวมชุดขาวนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าโต๊ะพิธี
ที่คลุมด้วยผ้าขาวสะอาด  บนโต๊ะนั้นมีรูปปูนปั้นฤาษีวางเคียงคู่กันอยู่สององค์ องค์หนึ่งมีเศียรเป็นวัวท่อนกายเป็นร่างมนุษย์
อีกองค์หนึ่งมีใบหน้าเป็นมนุษย์ แต่บริเวณหน้าผากมีดวงตาอยู่หนึ่งดวง และมีใบหน้าที่เคร่งขรึม ดุดัน  ทั้งสององค์ล้วนนุ่งห่ม
หนังเสือโคร่ง สวมชฎาดอกลำโพงเหมือนกัน  ถัดออกมาที่เบื้องหน้าของรูปปูนปั้นฤาษีทั้งสอง เป็นสิ่งของที่ป๊อดได้รับการบอกกล่าว
จากภูตแห่งปลัดขิก ให้จัดเตรียมสำหรับตั้งขันธ์บูชาครูไว้อันได้แก่ ธูป 5 ดอก ดอกไม้ ขาว 5 คู่ เทียนขาว 5 คู่ เงิน 5 บาท
หมากพลู 5 คำ บุหรี่ 5 ตัว กล้วย ๑ หวี มะพร้าวอ่อน ๑ ลูก และน้ำเปล่า ๑ แก้วจัดวางอยู่บนพานทองเหลืองปากกว้าง


ป๊อดนั่งหลับตาสงบจิต รอคอยคำแนะนำจากภูตแห่งปลัดขิกด้วยอาการสำรวมพร้อม  จนในที่สุดเสียงของภูตแห่งปลัดขิกก็ดังกังวานขึ้น

"ไอ้หนู...ตอนนี้ เอ็งจุดเทียน 1 คู่ พร้อมกับธูป 5 ดอก แล้วกราบทำความเคารพต่อ ฤาษีตาวัว และ ฤาษีตาไฟ ผู้ประสิทธิ์ประสาท
ไสยเวทย์ทั้งปวงที่เบื้องหน้าเอ็งซะ"


ป๊อดจุดเทียนและธูป นำไปปักวางไว้ยังถระถางธูปที่จัดเตรียมไว้  แล้วก้มลงกราบรูปปูนปั้นฤาษีทั้งสอง   


"จากนี้จะเป็นพิธีตั้งขันธ์บูชาครู  เอ็งจงละวางความสงสัยทั้งปวงทิ้งไปเสีย ให้เหลือแต่ความศรัทธาต่อครูบาอาจารย์ด้วยใจที่บริสุทธิ์ 
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก หากจิตของเอ็งยังขาดความเคารพศรัทธา และมีความสงสัยต่อฤทธิ์และอำนาจของครูบาอาจารย์
แม้เพียงน้อยนิด การร่ำเรียนไสยเวทย์ของเอ็งก็จะไม่พบกับความสำเร็จและจะพบแต่อุปสรรคนานับประการ 
ในทางกลับกัน หากจิตของเอ็งถึงพร้อมไปด้วยศรัทธาที่เปี่ยมล้น การเรียนไสยเวทย์ของเอ็งก็จะสำเร็จโดยง่ายและเปี่ยมไปด้วยอำนาจฤทธิ์ 

เอาล่ะ....เมื่อใดที่เอ็งพร้อม ก็จงกล่าวคำบูชาครูตามที่ข้าได้สอนให้เอ็งท่องจำเอาไว้"



สิ้นคำของภูตแห่งปลัดขิก  ป๊อดก็ปิดตาลงนั่งขัดสมาธิหลับตานิ่ง   บรรยากาศภายในห้องเงียบสนิท แม้บริเวณภายนอกก็ไม่บังเกิดเสียงใดๆ
แว่วเข้ามาเลยแม้แต่น้อย  จิตของป๊อดในตอนนี้รำลึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ที่ได้พบกับภูตแห่งปลัดขิก  เขาไม่มีความเคลือบแคลง
สงสัยใดๆเลยต่ออำนาจฤทธิ์ของน้าขิกของเขา  จึงทำให้ยิ่งไม่มีความสงสัยใดๆต่อ บรมครูฤาษีทั้งสองที่เป็นครูบาอาจารย์ของน้าขิก 
จะมีก็แต่เพียงคำเตือนจากพ่อของเขาในเรื่องโทษแห่งการเรียนไสยดำเท่านั้น   แต่เขาก็ได้ตระหนักด้วยตนเองแล้วว่า ไสยดำไม่ใช่
สิ่งที่น่ารังเกียจใดๆเลย แต่เป็นจิตของผู้ที่ร่ำเรียนต่างหากที่จะดลบันดาลให้ ทำสิ่งดีหรือชั่ว    ยิ่งใคร่ครวญ ป๊อดก็ยิ่งหมดความสงสัย
เคลือบแคลงใดๆต่อบรมครูทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้า จิตของเขาเข้าสู่ความสงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยศรัทธาอันเปี่ยมล้น


แล้วทันใดนั้นเอง ป๊อดก็เปล่งเสียงกล่าวคำบูชาครูออกมาด้วยถ้อยคำที่ชัด และดังกังวาน


"โอม...อิมัสมิง พระประโคนธัพ  พระมุนีเทวา หิตาตุมเห  ปะริภุญชันตุ 
ทุติยัมปิ...อิมัสมิง  พระประโคนธัพ พระมุนีเทวา  หิตาตุมเห ปะริภุญชันตุ   
ตะติยัมปิ...อิมัสมิง   พระประโคนธัพ พระมุนีเทวา  หิตาตุมเห ปะริภุญชันตุ

ข้าขออธิษฐานจิต ถึงคุณแห่ง พระฤาษีนารอด คุณพระฤาษีนาไลย คุณพระฤาษีตาวัว คุณพระฤาษีตาไฟ คุณพระฤาษีประไลยโกฏ
คุณพระฤาษีกัสสป คุณพระฤาษีไกรภพ คุณพระฤาษีทัศมงคล คุณพระภรตมุนีฤาษีเทวา ทั้งเพชรฉลูกัน และนักสิทธิ์วิทยา
อีกทั้งพระนางธรณี พระคงคา พระเพลิง พระพาย พระอิศวรผู้เป็นเจ้าฟ้า เธอมาประสิทธิพระพรชัยให้แก่ข้าฯ
ข้าฯจะขออัญเชิญเทพยดาทั้งหลายทั่วพื้นปฐพีดล พระฤาษีทั้ง ๑๐๘ ตน บันดาลดลด้วยสรรพพสิทธิ์วิทยา
พระครูพา พระครูเฒ่า ครูพักและครูอักษรสถาพรกรรมสิทธิ์แก่ข้าฯในการบัดนี้เทอญฯ"



สิ้นคำกล่าวคำบูชาครู  ก็บังเกิดกระแสลมพัดกรรโชก อย่างรุนแรงจนเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวดังลอดเข้ามาภายในห้อง
คล้ายกับจะรับทราบคำบูชาของเขา

แล้วเสียงของภูตแห่งปลัดขิกก็ดังขึ้นท่ามกลางท่ามกลางบรรยากาศอันอึงอลที่ภายนอก และความประหลาดใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นของป๊อด

"พิธีตั้งขันธ์บูชาครูของเอ็งสำเร็จลงแล้ว  จากนี้ไปจะเป็นพิธีอัญเชิญบารมีแห่ง ฤาษีตาไฟ และ ฤาษีตาวัว เข้าสู่ร่างของเอ็ง
ไอ้หนู เอ็งจงเพ่งไปยังพักตร์แห่งมหาฤาษีทั้งสองพร้อมกับร่ายคาถาอัญเชิญอำนาจบารมีของบรมครูฤาษีจนกว่าจะเห็น
รูปขององค์ท่านมาประทับอยู่เบื้องหน้าของเอ็ง"


ป๊อดได้ยินเช่นนั้น ก็เพ่งตามองไปยังรูปปั้นแห่งฤาษีทั้งสอง พร้อมกับภาวนาคาถาที่ได้รับการสอนจากภูตแห่งปลัดขิก


"โอม  นะมะพะทะ นะเมติ ฤ ฤา ฤ ฤา นมัสสิตวา หลวงปู่ตาไฟ
โอม  นะมะพะทะ นะเมติ ฤ ฤา ฤ ฤา นมัสสิตวา หลวงปู่ตาวัว
สิทธิเตโช มหาปุญโญ มะหายะโส มะหาลาโภ อิทธิ ฤทธิ ประสิทธิเม
อัคคีจักขุ จิปิเสคิ อัคคีจักขุ ปิเสคิจิ อัคคีจักขุ เสคิจักขุ คิจิปิเส
โอมสิทธิ การิยะ แห่งบรมครูทั้งหลาย อะธิเจ ตะโส อะปะ มัชชะโต โมนะ
ปะกะสุ สิกะ คะโต โส พะนัพ ภะวันติ ตาทิโน อุปะสัน ตัสสะ สะติมะโต"
ด้วยสายญาณบารมีแห่งองค์ฤาษีทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าข้า ขอจงมาบังเกิดใน
จักขุทวาร โสตะทวาร ฆานะทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร มโนทวาร
แห่งข้าพเจ้าในกาลบัดนี้ด้วยเถิด...."


ป๊อดเพ่งมองรูปปั้นของมหาฤาษีทั้งสอง พร้อมกับร่ายมนต์อัญเชิญอย่างต่อเนื่องหลายต่อหลายรอบ
จนดวงจิตของเข้าถึงความสงบและล่วงสู่ภวังคจิตหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว  แต่แม้ดวงตาของเขาจะปิดลง
แต่ภาพแห่งองค์ฤาษีทั้งสองก็ยังปรากฎอย่างแจ่มชัดในมโนทวารของเขา 

ป๊อดไม่รู้ตัวเลยว่า บัดนี้จิตของเขาเข้าสู่สภาวะของฌานขั้นต้น อันเป็นสภาวะที่จิตมีพลังที่จะติดต่อสื่อสาร
กับสิ่งที่มีกายละเอียดเกินกว่าดวงตามนุษย์จะมองเห็น  พลันนิมิตรแห่งองค์ฤาษึทั้งสองที่ปรากฏอยู่ในมโนทวารของเขา
ก็ขยายใหญ่ขึ้น มีรูปกายชัดขึ้น จนในที่สุดก็ปรากฎเป็นร่างของฤาษีชราทั้งสองยืนอยู่ต่อหน้าของเขาอย่างแจ่มชัดที่สุด

ป๊อดรู้สึกขนลุกชันไปทั้งร่าง เมื่อเห็นภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าของเขา เขาก้มลงกราบที่แทบเท้าของฤาษีทั้งสอง
แล้วเงยหน้าขึ้นมอง ฤาษีที่มีเศียรเป็นวัว ก้มมองดูเขาด้วยดวงตาที่ฉายแววแห่งความเมตตา แล้วยกมือวางลงบนหัวของเขา
พลัน ร่างของฤาษีตาวัวก็ค่อยๆหดเล็กลงๆ แล้วสลายร่างหายเข้าไปในตัวของเขา

ป๊อดจึงหันมามองยังฤาษีตาไฟ แต่เมื่อพบกับใบหน้าที่เคร่งขรึม ดุดัน เขาก็ก้มหน้าลงด้วยความกลัวเกรง แต่แล้วป๊อดก็รู้สึกถึง
ความอุ่นร้อนจากฝ่ามือของบรมครูฤาษีที่วางมือลงบนหัวของเขา จากนั้นร่างของฤาษีตาไฟก็ค่อยๆหดเล็กลง ๆ
แล้วเลือนหายเข้าไปในตัวเขาเช่นเดียวกันกับฤาษีตาวัว


ป๊อดผวาเฮือกลืมตาขึ้นจากฌาณ  แล้วเพ่งมองไปยังเบื้องหน้าของเขาอีกครั้ง ก็พบแต่รูปปั้นแห่งองค์ฤาษี และเครื่องพลี
ที่เขาจัดวางไว้พร้อมกับได้ยินเสียงของภูตแห่งปลัดขิกดังขึ้น

"ตอนนี้ในตัวของเอ็งก็มีอำนาจบารมีแห่งองค์ฤาษีทั้งสองสถิตย์อยู่แล้ว จากนี้ไปเอ็งต้องหมั่นบ่มเพราะพลังจิต
และเรียนรู้มนต์จากข้า  จะสำเร็จช้าหรือเร็วก็ขึ้นกับว่าเอ็งได้เคยสะสมฌาณบารมีมาแต่อดีตชาติหรือไม่"

"น้าขิก...เสร็จพิธีแล้วใช่ไหม"

"ใช่...ทำไม..เอ็งสงสัยเหรอ ว่าที่เอ็งเห็นเมื่อสักครู่เป็นองค์จริงของฤาษีทั้งสองใช่หรือไม่"
ภูตแห่งปลัดขิกล่วงรู้ความคิดของป๊อดเป็นอย่างดี พูดดักขึ้น

"ภาพที่เอ็งเห็นเมื่อสักครู่ เป็นนิมิตรเสมือนจริงที่องค์ฤาษีท่านเมตตาให้เอ็งได้เห็น  นับได้ว่าจิตของเอ็งถึงพร้อมแล้วที่จะเรียน
ไสยเวทย์  ฤาษีที่มีดวงตาที่สามอยู่ที่หน้าผาก ที่เอ็งรู้สึกเกรงกลัวบารมีของท่าน มีชื่อว่า ฤาษีตาไฟ  ท่านเป็นผู้สำเร็จวิชากสิณไฟ
และเป็นบรมครูในทางฤทธิ์และพลังอำนาจโดยตรง ท่านมีนิสัยเปิดเผย และเข้มงวดต่อการบำเพ็ญตบะ  ดังนั้นหากเอ็งฝึกวิชา
กสิณไฟจากท่านจะมาทำเป็นเล่นๆไม่ได้ มิเช่นนั้นจะเกิดโทษภัยถึงตัว"

"โหย...น่ากลัวจังเลยน้าขิก  นี่ขนาดแค่สบตากับท่านผมก็กลัวจนขึ้แทบแตกแล้ว  เออ..แล้วทำไมท่านต้องมีตาที่สามด้วยล่ะน้าขิก"


"ท่านบำเพ็ญตบะจนได้รับพรจากพระอิศวรให้มีตาที่สามดุจดังพระองค์  ยามใดที่ตาที่สามเปิดออก จะบังเกิดไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ
ทุกสิ่งที่อยู่ต่อหน้าท่าน"


"โอย...น่ากลัวที่สุด...ผมว่าองค์ที่มีเศียรเป็นวัวดูใจดีกว่าเยอะเลย"


"ใช่...ท่านมีชื่อว่าฤาษีตาวัว  ท่านมีเมตตาบารมีสูง  เชี่ยวชาญอำนาจฤทธิ์ทางด้านทำให้ผู้คนมีความรักใคร่ เมตตาต่อกัน หากใคร
มีบารมีขององค์ฤาษีตาวัวสถิตย์อยู่ในร่าง แล้วเรียนมนต์ของท่านด้วยแล้ว ผู้นั้นจะเป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น และมีเสน่ห์ดึงดูดเพศ
ตรงข้ามเป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยให้รอดพ้นจากการปองร้ายด้วยคุณไสยทั้งปวงอีกด้วย"


"นี่แหละ..ใช่เลยน้าขิก  ผมต้องการจะเรียนมนต์ของท่าน...เอ..แล้วทำไมท่านต้องมีเศียรเป็นวัวด้วย"


"เอ็งนี่นะ....ข้ารู้ทันหรอก  เอ็งคิดจะเรียนวิชาของท่านไปฟาดหญิงใช่ไหมล่ะ...เอ็งอย่าลืมนา เอ็งต้องเข้าป่าอาถรรพ์ไปช่วยข้า
เอ็งจะมาเลือกเรียนแต่วิชาฟาดหญิงไม่ได้  เอ็งต้องมีดีติดตัวไปด้วย"


"คร๊าบ...ผมเข้าใจแล้ว....แล้วจะเล่าได้ยังว่าทำไมท่านจึงต้องมีเศียรเป็นวัว"


"เดิมท่านเป็นนักบวชแล้วประสบเหตุทำให้ตาทั้งสองข้างบอดสนิท  จะทำกิจใดๆของนักบวชก็แสนจะยากลำบาก
ท่านจึงคิดหาหนทางแก้ไขด้วยวิริยะอุตสาหะบำเพ็ญตบะจนสำเร็จวิชาเปลี่ยนอวัยวะ  ท่านจึงสั่งให้ลูกศิษย์ไปหาดวงตา
จากศพที่ตายใหม่ๆมาให้ท่าน แต่ในตอนนั้นแม้ศิษย์ของท่านจะพยายามหาอย่างไรก็ไม่พบศพคนตายแม้เพียงสักคน 
จนในที่สุดศิษย์คนนั้นก็ไปพบกับวัวที่พึ่งตายอยู่ตัวหนึ่ง จึงตัดหัวของวัวตัวนั้นมามอบแด่พระฤาษี  ท่านจึงนำหัววัวนั้น
มาเข้าพิธีเปลี่ยนแทนหัวเดิมของตน  ตั้งแต่นั้นมาท่านจึงมีชื่อใหม่ว่า ฤาษีตาวัว"


"น้าขิก......"


"พอๆๆ.....นี่ดึกมากแล้ว...ไปนอนได้แล้ว....ตั้งแต่คืนพรุ่งนี้เป็นต้นไป  เอ็งต้องเริ่มฝึกกสิณไฟอย่างเข้มงวด
เอ็งจะมาง่วงเหงาหาวนอนไม่ได้เป็นอันขาด"


"อ้าว..ทำไมไม่สอนวิชาของฤาษีตาวัวให้ผมก่อนล่ะ"


"ขอเพียงเอ็งได้อำนาจสมาธิจากกสิณไฟ ก็จะสามารถเรียนมนต์ของฤาษีตาวัวได้อย่างไม่ยากเลย เอ็งไม่ต้อง
เป็นกังวลไปหรอก...ไป..ไปนอนได้แล้ว"

------

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ป๊อดมีความก้าวหน้าในเรื่องของการฝึกขับรถเป็นอย่างดี  เขาสามารถนำรถออกไปขับบนท้องถนน
ได้แล้ว  แต่ในเรื่องของการฝึกกสิณไฟเขากลับไม่มีความก้าวหน้าใดๆเลย

น้าขิกสอนให้เขา เพ่งเปลวไฟจากเทียนที่จุดขึ้นภายในห้อง  แล้วภาวนาคำว่า เตโช...เตโช....เตโช  ทุกค่ำคืน

เขารู้สึกเบื่อหน่ายอย่างที่สุดและไม่รู้เหตุผลว่า จะจ้องเปลวไฟไปเพื่อประโยชน์อันใด  เขามักจะภาวนาได้ไม่นาน
แล้วเผลอหลับไปในไม่ช้า  จนน้าขิกต้องร้องเรียกให้ตื่นอยู่หลายครั้ง

จนในวันหนึ่ง ขณะที่เขาจ้องเปลวไฟ พร้อมกับภาวนาว่า  เตโช...เตโช....เตโช.....อยู่นั้น ความง่วงก็เข้ามาครอบครอง
เหมือนเช่นเคย จนเขาหลงลืมคำภาวนาแล้วหลับไปในที่สุด

แต่แล้วป๊อดก็ต้องตกใจสะดุ้งตื่น  เมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านเข้ามาโดยรอบตัวเขา  ไม่ว่าเขาจะเหลียวมองไปทางใด
ก็พบแต่เปลวไฟที่โหมกระพืออย่างร้อนแรง  ป๊อดพยายามที่จะลุกขึ้นเพื่อหนีให้พ้นจากสภาพอันเลวร้ายนั้น
แต่ก็ไม่สามารถบังคับร่างกายให้เป็นไปตามที่ต้องการได้เลย 

ขณะนั้นเองที่เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฎเงาร่างจางๆ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น  แล้วค่อยๆเด่นชัดขึ้นท่ามกลางเปลวไฟอันร้อนระอุ
ร่างนั้นก็คือ ฤาษีตาไฟนั่นเอง  ใบหน้าของท่านจ้องมองมาที่ป๊อดด้วยความดุดัน จนป๊อดขนลุกไปทั้งร่างลืมความเกรงกลัว
ต่อเปลวไฟที่กำลังโหมกระพืออยู่รอบๆตัวไปสิ้น  จากนั้นก็บังเกิดเสียงพูดดังกึกก้องขึ้น

"เจ้าคนไม่เอาไหน..บังอาจดูถูกวิชากสิณไฟของข้า...ข้าจะเผาเจ้าให้เหลือแต่เถ้าไปเสียบัดนี้"


ป๊อดหวาดกลัวอย่างที่สุด ก้มกราบลงกับพื้นแล้วกล่าวคำขอขมาต่อ มหาฤาษี

"ผมขอกราบขมาโทษ ต่อองค์ฤาษี  จากนี้ไปผมจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว"


สิ้นคำขอขมาของป๊อด ความร้อนแรงจากเปลวเพลิงรอบๆตัวเขาก็หายไปสิ้น สรรพสิ่งโดยรอบตัวกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

ป๊อดเงยหน้าขึ้น ก็เห็นแต่เปลวไฟจากเทียนที่จุดอยู่เบื้องหน้าของเขา  และไม่พบสภาพเปลวไฟที่โหมกระพืออยู่เมื่อสักครู่
เลยแม้แต่น้อย


"เป็นไงล่ะเอ็ง...เจอดีเข้าจนได้....ข้าบอกเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อ"


"น่ากลัวจังเลย  น้าขิก...ผมไม่กล้าหลับอีกแล้ว"


"เอ็งจะหลับอีกก็ได้...ข้าไม่เตือนเอ็งอีกแล้ว  เอ็งอยากดำเป็นถ่านก็เชิญเอ็งตามสบายเลย"


"โธ่....น้าขิก...ก็มันง่วงจริงๆนี่...น้าขิกช่วยสอนผมหน่อย ฝึกกสิณไฟยังไงถึงจะไม่ง่วง"


"ก็ข้าสอนเอ็งแล้ว...เอ็งสนใจที่ไหนล่ะ"


"งั้นเอาใหม่...ทีนี้ผมจะทำตามที่น้าขิกสอนทุกอย่างเลย"


"การฝึกกสินไฟ เป็นอุบายอย่างหนึ่งของการฝึกสมาธิจิต  ครูบาอาจารย์ท่านคิดค้นขึ้นมาเพื่อหาสิ่งที่เป็นจุดยึดของสมาธิ
ไม่ให้สอดส่ายไปไหน  ดังนั้นทุกครั้งที่เอ็งจ้องมองเปลวไฟ เอ็งต้องจดจำลักษณะเปลวไฟเอาไว้ แม้หลับตาก็ยังมองเห็น
เปลวไฟนั้น  พร้อมกับภาวนา ว่า  เตโช...เตโช...เตโช  ซึ่งแปลว่าไฟอีกเช่นกัน การทำเช่นนี้ก็เท่ากับเอ็งใช้ประสาทตา
ใช้ความคิด และภาวนาด้วยปาก จดจ่อแต่สิ่งๆเดียว นั่นคือไฟ จนในที่สุดจิตของก็จะสงบรวมศูนย์ไปที่เปลวไฟนั้น

เมื่อถึงขั้นนี้ เปลวไฟจากการฝึกกสิณก็ติดไปกับมโนทวารของเอ็ง  ไม่ว่าเอ็งจะทำอะไรก็สามารถภาวนาและเข้าถึงสมาธิ
จากเปลวไฟได้ทุกเมื่อ  จนในที่สุดเอ็งก็จะบรรลุฌาณ และเมื่อฝึกถึงขั้นนี้แล้ว ยามใดที่ร่ายมนต์ในขณะที่จิตเข้าสู่ฌาณ
มนต์นั้นก็จะเปี่ยมไปด้วยพลังและสำเร็จผลได้อย่างน่าอัศจรรย์"

ป๊อดนิ่งฟังอย่างตั้งใจ และนึกเจ็บใจตัวเองที่ดูถูกการจ้องมองเปลวไฟว่าเป็นสิ่งเหลวไหล แต่เมื่อเขาเข้าใจถึงประโยชน์ของมัน
แล้ว เขาก็กระทำตามขั้นตอนที่น้าขิกสอนเขาอย่างตั้งใจ  เขาจ้องมองเปลวไฟที่ลุกโชนจากไส้เทียนจนจำเป็นภาพติดตา
แล้วหลับตาลงกล่าวคำภาวนา  จนเมื่อมโนภาพของเปลวไฟเลือนลางไป เขาก็ลืมตาขึ้นจ้องมองใหม่โดยไม่ขาดจากการภาวนา
เขากระทำเวียนซ้ำอยู่เช่นนี้จนในคืนนั้นเอง เปลวไฟในมโนทวารของเขาก็ลุกโชนสว่างไสวอย่างยาวนาน โดยไม่ต้องลืมตา
ขึ้นมาจ้องมองอีก เปลวไฟนั้นทั้งสว่างและนิ่งสงบไม่วูบวาบพริ้วไหว เหมือนเปลวไฟจากแท่งเทียน

สติของเขาทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ที่กึ่งกลางของหน้าผาก อันเป็นที่ตั้งของเปลวไฟในมโนทวารของเขา  จิตของเขาในตอนนี้
นิ่งสงบและเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก  ความง่วงเหงาหาวนอนที่เคยเกิดขึ้นทุกครั้งก็ไม่บังเกิดขึ้น คงเหลือแต่ความสว่าง
แห่งดวงจิตนิ่งอยู่อย่างนั้น

ป๊อดทดลองอธิษฐานให้เปลวไฟที่ปรากฏอยู่กึ่งกลางหน้าผากของเขา ขยายตัวใหญ่ขึ้น เปลวไฟนั้นก็พองโตเป็นลูกไฟใหญ่
สมดังกับที่เขาอธิษฐานจิต แม้จะอธิษฐานให้เล็กลงหรือเคลื่อนไปยังทิศต่างๆ ก็กระทำได้ตามที่เขาต้องการทั้งสิ้น
เขาเพลิดเพลินอยู่ในฌาณสมาธิจนไม่รู้ตัวเลยว่า เวลาได้ล่วงผ่านไปถึงสองชั่วโมงแล้ว  จนเสียงของน้าขิกดังขึ้น

"สภาพที่เอ็งได้พบอยู่นี้เขาเรียกว่า ฌาณขั้นต้น นับว่าเอ็งก้าวหน้าได้เร็วมาก เร็วจนข้าเองก็คาดไม่ถึง  และข้าก็มั่นใจว่า
ในอดีตชาติ เอ็งต้องเคยเป็นผู้บรรลุฌาณ มิเช่นนั้นเอ็งจะไม่สามารถกระทำในสิ่งที่บุคลทั่วไปต้องใช้เวลาเป็นแรมเดือน หรือปี
ได้เช่นนี้"


ป๊อดได้ยินเสียงของภูตแห่งปลัดขิก ก็ลืมตาขึ้น แล้วเอ่ยปากเล่าความรู้สึกที่ตนเองได้พบกับสภาวะแห่งฌาณทันที


"โอ้โห ...น้าขิก กสิณไฟนี่วิเศษจริงๆ  ตัวผมเบาจนเหมือนกับจะลอยได้  จิตของผมก็สว่างวาบเบาสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
รู้อย่างนี้ผมตั้งใจฝึกนานแล้ว"


"เออๆๆ.....เอ็งเก่ง....แต่วันนี้พอแล้วหละ...นี่ก็ย่างเข้าสู่วันใหม่แล้ว เอ็งพักผ่อนเถอะ...พรุ่งนี้ค่อยฝึกใหม่"

------

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  ภูตแห่งปลัดขิกก็เริ่มสอนให้ป๊อดท่องจำมนต์ของฤาษีตาไฟและฤาษีตาวัวควบคู่ไปกับการฝึกกสิณไฟ 
ซึ่งป๊อดก็มีความก้าวหน้าในการเรียนเป็นอย่างดี จนหลายวันต่อมา จิตของป๊อดก็เริ่มทรงฌานระดับต้นได้อย่างชำนาญ
จนภูตแห่งปลัดขิกพอใจ และเริ่มให้เขาฝึกการใช้มนต์ควบคู่ไปกับจิตที่ทรงฌานนั้น

วันหนึ่งภูตแห่งปลัดขิก ได้ชวนป๊อดออกไปยังหลังกำแพงบ้าน ซึ่งเป็นดงไม้พุ่มอันเงียบสงัด  ป๊อดหยุดที่ใต้ต้นไม้สูง
ที่มีพื้นที่ราบเรียบแล้วนั่งลงพร้อมกับปักเทียนลงในเชิงที่มีครอบแก้วกันลมแล้ววางไว้ที่เบื้องหน้าของเขา


"ไอ้หนู...เอ็งมีก้าวหน้าในการทรงฌานได้ดีและรวดเร็วมาก  วันนี้ข้าจะเริ่มสอนการใช้มนต์ให้กับเอ็ง  จำไว้ให้ดี
หลักในการเรียนไสยดำของข้า เน้นไปที่การใช้จิตในระดับฌาณ เพ่งไปยังความต้องการแห่งดวงจิต  พร้อมกับร่ายมนต์
ที่ครูบาอาจารย์ท่านบัญญัติมา สิ่งที่ต้องการก็จะสำเร็จผลตามปราถนา 

ข้าขอย้ำหลักสามประการ คือ จิตที่ทรงฌาณ  ความต้องการอย่างแรงกล้า และ มนตรา"


"หมายความว่า หากผมต้องการสิ่งใด ผมต้องเข้าฌาณก่อน  และผลักดันความต้องการของตัวเองออกมา พร้อมกับร่ายมนต์
ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการ อย่างนั้นใช่ไหมน้าขิก"


"ใช่แล้ว...เอ้าไหนเอ็งลองดูซิ...ข้างหน้าของเอ็งมีพุ่มไม้อยู่กอหนึ่ง เอ็งจงทดลองใช้คาถามหาอัคคี เผาผลาญมันให้ข้าดูหน่อย"


"โอ้โหน้า....ดอกมันยังสวยเต็มต้นอยู่เลยนะ เอาอย่างอื่นไม่ดีเหรอ"


"ไม่ได้...ข้าต้องการให้เอ็งเผาไม้กอนั้น"

เสียงภูตแห่งปลัดขิกดังขึ้นอย่างเฉียบขาด



ป๊อดได้ยินดังนั้นก็หลับตาลงทันที  พลันนิมิตรแห่งเปลวไฟก็ปรากฎขึ้นอยู่กลางหน้าผากของเขา  จิตของป๊อดเข้าสู่สมาธิ
และทรงฌาณระดับต้นภายในไม่กี่อึดใจ  จากนั้นเขาก็ร่ายมนต์ทันที

"โอม อัคคี ราชะ นะโม นะมะ   จงเผาเผลาญไม้กอนั้นซะ"


ทุกสิ่งในยามค่ำคืนยังคงเงียบงัน  ไม่ปรากฎเปลวไฟใดๆขึ้นที่พุ่มไม้นั้นแต่อย่างใด



"ไหนล่ะ...ความต้องการของเอ็ง ความต้องการที่จะเห็นมันถูกไฟเผาผลาญล่ะ"

เสียงภูตแห่งปลัดขิก ดังขึ้นอย่างก้าวร้าว เพื่อกระตุ้นให้ป๊อด แสดงความต้องการออกมาอย่างแรงกล้า


"ก็ผมต้องการอยู่นี่ไง...น้าขิก"


"ยัง...ยังไม่พอ...เอ็งต้องจริงใจกว่านี้  เปิดเผยกว่านี้  ถ้าเอ็งคิดจะเรียนไสยดำของข้า  เอ็งก็จงเลิก
อดกลั้นความต้องการของตัวเองลงซะ  หากเอ็งยังลังเลเป็นสองใจอยู่ ก็อย่าหวังเลยว่าชาตินี้
คนอย่างเอ็งจะประสบความสำเร็จ"


ป๊อดไม่เคยรู้เลยว่า การเรียนไสยดำนั้น เท่ากับเป็นการปลดปล่อยความต้องการของตัวเองออกมา
โดยไม่ต้องมีการหักห้ามหรือลังเลใจใดๆ  และยิ่งฝึกไปนานๆเข้า  จิตของเขาก็จะฝักใฝ่แต่ความต้องการ
ของตัวเอง  จนกลับกลายเป็นการทำร้ายคนอื่นเพื่อสนองความต้องการของตัวเองในเวลาต่อมา 
มันจึงเป็นเหตุผลที่พ่อของเขาได้เคยเตือนไว้เกี่ยวกับไสยดำ

ป๊อดถูกภูตแห่งปลัดขิกยั่วยุ จนจิตเกิดความมานะ ต้องการให้พุ่มไม้นั้นถูกเผาผลาญอย่างแรงกล้า
เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วทรงฌาณสมาธิ พร้อมกับร่ายคาถาออกมาอีกครั้ง


"โอม อัคคี ราชะ นะโม นะมะ   จงเผาเผลาญไม้กอนั้นซะบัดนี้"

สิ้นเสียงอันเฉียบขาดของป๊อด  พุ่มไม้เขียวสดที่มีดอกอยู่เต็มต้นกอนั้น ก็บังเกิดเปลวไฟลุกขึ้นอย่างโชติช่วง 
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของป๊อดและเสียงหัวเราะอย่างพอใจของภูตแห่งปลัดขิก

"ฮ่าๆๆๆๆๆๆ.........ฮ่าๆๆๆๆๆๆ.......ฮ่าๆๆๆๆๆๆ......"

------

ท่ามกลางท้องถนนในยามหัวค่ำใจกลางเมือง  รถยนต์นับร้อยนับพันคันต่อแถวกันบนท้องถนนอย่างหนาตา
แม้จะอยู่บนเส้นทางเดียวกัน แต่ในแต่ละคันก็ต่างจุดหมาย  ป๊อดก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังขับขี่ยานพาหนะอยู่บนท้องถนนแห่งนี้
โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ สนามวอลเลย์บอลของโรงเรียนที่หนิงกำลังฝึกซ้อมอยู่

และในที่สุดเขาก็ฝ่าการจราจรอันคับคั่งจนมาถึงเป้าหมายได้ก่อนเวลานัดหมายกว่าครึ่งชั่วโมง  ป๊อดตัดสินใจลงจากรถ
แล้วเดินเตร่ไปมาอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วหยุดฟังยินเสียงของนักวอลเลย์บอลหญิงตะโกนกันโหวกเหวก พร้อมกับเสียงของลูกบอลที่
ตกกระทบกับพื้นสนามอย่างสนใจและตัดสินใจเดินเข้าไปยังภายในสนามแห่งนั้น

ป๊อดเลือกที่นั่งริมขอบสนามชั้นล่างสุดในส่วนที่ปลอดจากผู้คน  แล้วมองดูนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง ที่กำลังมุ่งมั่นและจดจ่อ
กับลูกบอลที่ลอยอยู่กลางอากาศที่ต่างก็ตบตีมันจนลอยอยู่ไปมา  แล้วสอดส่ายสายตามองหาหนิงจนพบ เธอสวมเสื้อหมายเลข 8
สีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน เธอดูคล่องแคล่วและเซ๊กซี่มากๆเมื่ออยู่ในสนาม  เขานั่งอยู่มองเธอได้เพียงครู่ หนิงก็เห็นเขา
แล้วทักทายด้วยการยิ้มให้

ป๊อดยังคงนั่งดูการฝึกซ้อมที่แบ่งออกเป็น 2 ทีมแล้วแข่งขันกันอย่างเพลิดเพลิน  และตอนนี้ความสนใจของเขากลับไม่ได้
อยู่ที่หนิงอีกแล้ว  แต่เป็นนักวอลเลย์บอลหมายเลข 9 ที่อยู่ฝั่งเดียวกันกับหนิง  ใบหน้าของเธอคนนั้น ดูน่ารักจนป๊อด
ถึงกับยิ้มออกมายามที่เธอส่งยิ้มให้กับเพื่อนๆในทีม  เธอมีรูปร่างที่อ้อนแอ้นปราดเปรียว แต่มีรูปทรงที่สมส่วน
ช่วงขาของเธอเรียวยาวจนรู้สึกเหมือนกับว่า กางเกงที่เธอสวมใส่อยู่นั้นสั้นกว่าของคนอื่นๆ  และที่สำคัญ
ป๊อดยังรู้สึกว่ามันรัดรึงส่วนสัดต่างๆของเธอ จนมองเห็นเนินเนื้อเป็นรูปสามเหลี่ยมอย่างชัดเจน

แต่เธอก็ดูเหมือนจะไม่สนใจว่ามันจะเป็นเป้าสายตาใดๆหรือไม่  เธอยังคงก้าวขากว้างออกไปรับบอล จนบางทีก็ล้ม
กลิ้งลงไปกับพื้น ท่ามกลางการจ้องมองด้วยใจอันสั่นหวิวของป๊อด  จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอถลาออกมานอกเส้นเพื่อมารับบอล
แล้วกลิ้งลงกับพื้นอยู่ต่อหน้าเขา  ป๊อดถึงกับตกตะลึงและทอดสายตาเพ่งมองทุกส่วนสัดของเธออย่างใกล้ชิด
และอดไม่ได้ที่จะเกิดอารมณ์จนท่อนเอ็นของเขาแข็งต้วขึ้น

"ปรี๊ดดดด......"


เสียงนกหวีดดังยาวขึ้น เป็นสัญญาณว่าหมดเวลาการฝึกซ้อม  โค้ชและทีมผู้ฝึกสอนออกมายืนอยู่กลางสนาม
โดยมีนักวอลเลย์บอลทุกคนยืนรายล้อมอยู่  เพียงครู่นักวอลเลย์บอลก็สลายตัวจากวงล้อมแล้วแยกย้ายไปยัง
ห้องแต่งตัว  หนิงวิ่งตรงมายังเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

"ป๊อด....รอเดี๋ยวนะ...เดี๋ยวหนิงเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน"

ป๊อดทอดสายตามองตามเธอไป แต่ก็ไม่วายที่จะเหลือบดูนักกีฬาวอลเล่ย์บอลหมายเลข 9 ที่เดินมาสบทบกับหนิง
และเดินเข้าไปยังห้องเปลียนเสื้อผ้าด้วยกัน

ไม่ถึง 10 นาที ทั้งคู่ก็เดินพูดคุยคลอกันตรงมายังเขา

"ป๊อด...นี่เพื่อนหนิง..ชื่อแจง"

"แจง....นี่ป๊อด...แฟนหนิง"

ป๊อดรู้สึกขัดใจอยู่เล็กน้อยที่แนะนำเขาไปอย่างนั้น โดยไม่ทราบสาเหตุ  แจงยิ้มหวานให้กับเขาแล้วกล่าวคำทักทาย

"สวัสดีจ้ะป๊อด...พึ่งจะเห็นตัวจริงวันนี้เอง...หนิงพูดถึงเธอให้เราฟังบ่อยๆ"


"เอ้อ...อ้า...สวัสดีครับ....แจง..."




แจง


ป๊อดพูดได้แค่นั้นก็หยุดไป โดยไม่รู้ว่าจะพูดคำใดต่อ  เพราะใจส่วนลึกมันคิดไม่ซื่อต่อผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเสียแล้ว
แม้แต่มองใบหน้า ป๊อดก็ไม่สามารถมองหน้าแจงได้อย่างเต็มตา ได้แต่แอบลอบมองยามที่เธอหันมองไปยังที่อื่น

"แหม..ป๊อดนี่พูดน้อยจริงๆ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราคงเจอกันบ่อยขึ้นแล้วสนิทไปเองแหละ  งั้นเรากลับก่อนนะ
หนิง...แจงกลับก่อนนะ"


ป๊อดมองตามหลังแจงไปอย่างเสียดาย แต่แล้วปากของเขาก็ส่งเสียงพูดออกมาอย่างที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ

"แจง....เดี๋ยวก่อนครับ...บ้านแจงอยู่ที่ไหน..ไปกับเราไหม"


หนิงหันมามองป๊อดอย่างแปลกใจ  แล้วยิ้มให้อย่างนึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้

"เออใช่...ทำไมหนิงไม่ชวนแจงไปด้วยกันนะ  บ้านแจงเลยบ้านเราไปนิดเดียวเองนี่นา"

แล้วหนิงก็กวักมือเรียกแจงให้กลับไปด้วยกัน




ฝึกฝนวิชาแล้ว เพลินๆ

GRANDSPHERE


ชีวิต ลั้นลาลา

แม่ลูกจะทะเลาะกันเรื่องผู้ชายไว้นะ....หรือว่าจะจัดพร้อมกันทีเดียวทั้งสองคนไปเลยจะได้หมดปัญหา...🤭

p-montri

ทั้งไสยเวท ทั้งสาว ๆ ป๊อดจะเก่งในทุก ๆ ด้าน

Thassana

เอาแล้วน้องแจงดูท่าจะชะตา•••ีขาดซะแล้ววว

Tomsport


artbicon

เป็นคนที่นิสัยดีจริงๆ จะเอาเพื่อนแฟน เป็นเมียสะแล้ว


mrtevada

สนุกครับเนื้อเรื่องน่าสนใจ การเล่าเรื่องก็น่าติดตามมาก

ken77

เจอสาวหน่อยไม่ได้จ้องฟันอย่างเดียวเลยนะ