ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_nato87

รวมเรื่องสั้นโคตรอีโรติกของนาย Nato87 : แหวกกลีบสาวน้องแพรวคนสวย Pt1

เริ่มโดย nato87, มกราคม 14, 2019, 10:55:40 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

darkerside69

สุดยอดครับ พอได้เห็นเนื้อเรื่องแยกของตัวละครเสริม มันยิ่งทำให้โลกของเรื่องนี้ดูละเอียดขึ้นเพียบเลยนะครับเนี่ย ชอบจริงๆ

aty13

คุณหนูจะโดนเปิดโลกทัศน์​ก่อนไปเรียนรู้​ชีวิต​ที่​กรุงเทพ​รึเปล่านะ

Bluemuffer

อ้างจาก: nato87 เมื่อ มกราคม 14, 2019, 10:55:40 หลังเที่ยง
พูดคุยก่อนอ่าน : หากจำกันได้ ผมเคยบอกว่าจะเขียนเรื่องสั้นภายใน 13 หน้าเวิร์ดจบ แต่ดูเหมือนว่ามันจะทำได้ยาก ด้วยนิสัยของผมที่เป็นพวกเน้นรายละเอียด ไม่อยากตัดทอนอะไรจนมากเกินไปจนเสียอรรถรส ก็เลยทำให้โปรเจคนี้ต้องเปลี่ยนรูปแบบนิดหน่อย 555555+

//two-hitchhikers.ru/eroticasearch/index.php?topic=210406.0

ก็คือ ผมจะคุมสเกลให้ไม่เกินตอนละ 3 Part นั่นเองครับ (Part แรก ปูเรื่องราว Part สอง คือเสียบ Part สาม คือบทสรุป)  แวะมาเขียนโปรเจ็คนี้แก้เซ็งสักหน่อย กับตอนที่คุณโหวตมา 'แหวกกลีบสาวน้องแพรวคนสวย' อย่างที่คุณรู้กัน น้องแพรวก็คือน้องสาวของหมอพลอยนั่นเอง นี่น่าจะเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมเขียนให้นางเอกมีอายุต่ำกว่า 18 ปี (ลูกขวัญในเกมรักภารโรงเฒ่าภาคแรกเธอมีอายุ 17 ปี แต่ในภาคสอง เธอจะมีอายุครบ 18 ปี ในตอนที่เธอเสียสาวให้ลุงพลครับ)

ด้วยโปรเจ็คนี้ ผมจะให้ทุกคนอ่านฟรีแค่ตอนนี้เท่านั้นนะครับ ส่วนอีก 4 ตอน ผมตั้งใจว่าจะเขียนเป็น E-Book ในอนาคตแทน ดังนั้นผมจึงเลือกเรื่องที่คุณอยากจะอ่านมากที่สุด และมีตัวละครเกี่ยวข้องในจักรวาลเกมรักภารโรงเฒ่า มาให้คุณอ่านกัน

สำหรับเรื่องนี้ ออกตัวก่อนเลยว่า มันจะมีกลิ่นอายเหมือนเกมรักภารโรงเฒ่าในช่วงแรกๆ อยู่มากเหมือนกัน ถ้าใครจำได้อ่ะนะ เรียกได้ว่าเป็นสูตรสำเร็จไปแล้วก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งเพราะมันคาบเกี่ยวกัน มีตัวละครในจักรวาลเดียวกับของเรื่องลุงพล แต่ในส่วนของฉากเลิฟซีน มันจะละเมียดละไม ไม่ฮาร์ดคอร์เหมือนเกมรักครับ ผมอยากให้มันนุ่มนวลกว่า แต่ยังคงอีโรติกอยู่เหมือนเดิมนั่นเอง

สำหรับตอนนี้ คือพิเศษตรงรายละเอียดของครอบครัวหมอพลอยครับ หมอพลอยมีนามสกุลแล้วนะ 'จารุศิริการกุล' หรือถ้าจะเรียกเต็มๆ ก็คงจะเป็น 'แพทย์หญิงพลอยพรรณ จารุศิริการกุล' ถ้าไปซ้ำกับชื่อและนามสกุลใครเข้าก็ข้ออภัยนะครับ ตัวละครในเรื่องนี้ทุกตัวเป็นตัวละครสมมุติของผมเท่านั้น โปรดอย่าถือสา และให้อ่านเพื่อความบันเทิงเท่าั้น


####################################

วิทยา จารุศิริการกุล คือนักการเมืองของพรรคการเมืองใหญ่ของประเทศ ที่มีฐานเสียงอยู่ที่ภาคตะวันออก โดยมีศูนย์กลางที่จังหวัดชลบุรี กล่าวได้ว่าตระกูลจารุศิริการกุล คือหนึ่งในตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ท่านวิทยาเป็นนักการเมืองที่มีผลงานโดดเด่น เป็นคนสำคัญของพรรคการเมืองใหญ่พรรคบูรพารักษาแผ่นดิน ที่มักเป็นตัวแปรในการตั้งรัฐบาลจากการเลือกตั้งทุกครั้ง

สำหรับชีวิตส่วนตัว ท่านวิทยาสมรสกับ คุณพนิดา ไฮโซสาว นักการเมืองและนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงของภาคตะวันออก โดยทั้งคู่มีบุตรสาวด้วยกันสองคนคือ พลอยพรรณ และ แพรวพรรณ จารุศิริการกุล ที่กล่าวได้ว่าเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของท่านวิทยาและคุณพนิดาเลยทีเดียว

น้องพลอย เกิดก่อนน้องแพรว 10 ปี แม้จะมีวัยห่างกันพอสมควร แต่สองสาวน้อยแห่งบ้านจารุศิริการกุลต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน ในช่วงที่น้องแพรวอายุได้ 6 ขวบ พี่พลอยของเธอต้องย้ายไปเรียนในโรงเรียนมัธยมที่กรุงเทพ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนในชั้นอุดมศึกษาต่อไป โดยพลอยพรรณตั้งใจว่าในอนาคตข้างหน้าเธออยากจะเป็นแพทย์เพื่อช่วยเหลือชีวิตคนอื่น



มันเป็นวันที่น่าเบื่อไม่น้อยเลยสำหรับน้องแพรว แพรวพรรณ ในวัย 6 ขวบ ที่ต้องแยกจากพี่สาวของเธอ แม้จะเป็นการจากด้วยเหตุผลเรื่องการเรียนก็ตาม แต่แพรวพรรณคนน้องก็มักถูกคาดหวังจากท่านวิทยาเสมอว่าจะสามารถมีผลการเรียนที่ดีได้เหมือนพี่สาวของเธอ แพรวพรรณในตอนนั้นพึ่งจะเรียนชั้น ป.1 ได้ไม่นาน แต่กลับต้องมานั่งเรียนพิเศษในช่วงวันเสาร์อาทิตย์เพื่อเตรียมวางพื้นฐานในการเรียนระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

"โอ้ยย!!!!! นี่หนูต้องอ่านหนังสือเลข ป.3 อีกนานไหมคะ!!!" แพรวพรรณในวัยเพียง 6 ขวบปิดหนังสือประท้วงอาจารย์สอนพิเศษที่ท่านวิทยาจ้างมาสอนถึงบ้าน "หนูอยากวิ่งเล่นแบบเด็กคนอื่นบ้าง!!!"

แพรวพรรณหันไปทาง น้องกิ่งและพี่แก้ว เด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเธอที่วิ่งเล่นในสนามหญ้านอกบ้าน ในขณะที่ตัวเธอต้องมานั่งติวหนังสือแทนที่จะได้ไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ ที่เป็นลูกของตาเกริก เกริกฤทธิ์ คนสวนประจำบ้านกับป้าจวงที่เป็นคนรับใช้ ทั้งคู่รับใช้บ้านจารุศิริการกุลมาตั้งแต่สมัยยังหนุ่มยังสาว โดยพ่อของท่านวิทยาได้ฝากฝังให้ท่านวิทยาในตอนนั้นปกครองและดูแลคนใช้และลูกน้องบริวารภายในบ้านให้ดี เพื่อให้คนเหล่านี้ช่วยดูแลและเป็นหูเป็นตาให้

"ไม่ได้นะคะน้องแพรว!!! น้องแพรวต้องตั้งใจเรียนนะคะ ไม่งั้นครูจะฟ้องคุณพ่อให้ลงโทษน้องแพรวนะ!!" อาจารย์สาวใหญ่ใส่แว่นหนาเตอะคนนั้นขู่ ก่อนหน้านั้นท่านวิทยาก็ได้มาสั่งกำชับให้อาจารย์สามารถดุและตักเตือนน้องแพรวได้ หากน้องแพรวไม่เชื่อฟัง ซึ่งมันก็ได้ผลดีทีเดียว เมื่อน้องแพรวก้มหน้าก้มตาทำแบบฝึกหัดที่ได้รับมอบหมายต่อไป

สำหรับน้องแพรวแล้ว มันเป็นวันที่น่าเบื่อจริงๆ วันเสาร์และอาทิตย์ แทนที่เธอจะได้วิ่งเล่นเหมือนลูกๆ ของคนสวนและคนใช้ภายในบ้าน แต่เธอกลับต้องมานั่งเรียนพิเศษตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง แล้วก็เรียนต่ออีกทีบ่ายโมงจนถึงบ่ายสามโมง ส่วนเวลาที่เหลือเธอก็ได้พักผ่อน ตารางเรียนพิเศษของเธอเป็นแบบนี้ทุกเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์ก็พิเศษตรงช่วงบ่าย ก็จะมีครูสอนดนตรีไวโอลีนมาที่บ้าน เพื่อสอนน้องแพรวเล่นดนตรี



มันเป็นกิจกรรมที่น้องแพรวชอบมากที่สุด เธอเล่นไวโอลีนได้คล่องแคล่ว พออาจารย์สอนดนตรีกลับไป สาวน้อยแห่งบ้านจารุศิริการกุลก็มักหยิบไวโอลินไปสีเล่นริมระเบียงบ้านชั้นสองอย่างมีความสุข

"คุณหนูแพรว เรียนพิเศษเสร็จแล้ว มาเล่นกับพวกเราเถอะ!!" น้องกิ่งและพี่แก้ว โบกมือเรียกแพรวพรรณที่ยืนเล่นไวโอลีนตรงชั้นสองให้มาวิ่งเล่นด้วยกัน พอแพรวพรรณเห็นน้องกิ่งและพี่แก้วก็ยิ้มร่าฟันหลอ ก่อนเดินกลับเข้าห้องเอาไวโอลินไปเก็บและลงมาชั้นล่างเพื่อวิ่งเล่นกับน้องกิ่งและพี่แก้ว

"รอด้วย น้องกิ่ง พี่แก้ว!!!" คุณหนูแพรวยิ้มร่า ขณะกำลังวิ่งเล่นกับสองสาวร่วมรุ่นอย่างมีความสุข แม้จะต่างชั้นวรรณะ เป็นลูกเจ้านายและลูกคนสวน แต่ความใส่ซื่อของเด็ก ที่เพียงแค่ต้องการหาเพื่อนวิ่งเล่นสนุก จึงไม่ได้ทำให้คุณหนูแพรวพรรณรู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย

"โอ้ย!!!" น้องแพรวเผลอวิ่งหกล้มตรงสนามหญ้าริมถนนทางเข้าบ้าน เป็นจังหวะพอดีที่รถยนต์ของท่านวิทยากำลังแล่นเข้ามาภายในบ้าน พอเห็นว่าลูกสาวคนเล็กหกล้ม ท่านวิทยาก็รีบเปิดประตูออกมาเพื่อตรวจดูอาการของน้องแพรว

"น้องแพรว!!! นี่มันอะไรกัน!!!" ท่านวิทยาในชุดสูทผูกเน็คไทรีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งเข้ามาดูอาการลูกสาวคนเล็ก "เป็นอะไรมากไหมน้องแพรว"

"ฮือ...คุณพ่อ...หนูเจ็บ...." น้องแพรวปล่อยโฮออกมา "ฮือ..........."

"ตายแล้ว...เจ็บมากไหมลูก" ท่านวิทยาเห็นหัวเข่าของน้องแพรวถลอกจนมีเลือดซึมออกมา "ที่หลังอย่ามาชวนน้องแพรวเล่นแบบนี้อีกนะ!!ไป!!!"

"มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณวิทยา?" ตาเกริก คนสวนวัย 40 ปี ที่พึ่งเสร็จธุระจากการตัดหญ้าด้านหลังบ้านจารุศิริการกุล ทิ้งเครื่องตัดหญ้ากองบนพื้นแล้วรีบวิ่งมาดูอาการของคุณหนูแพรวพรรณ "มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณวิทยา?"

"ถามลูกสาวแกซิไอ้เกริก!!! ทั้งคู่เลย!!!" วิทยามองน้องกิ่งและน้องแก้วด้วยความโกรธ

"ไปแกล้งน้องทำไม ห๊า!!!" ตาเกริกเอ็ดลูกสาวทั้งสองที่ยืนนิ่งด้วยความตกใจ

"หนูเปล่านะพ่อ..." น้องกิ่งและน้องแก้วปฏิเสธ "คุณแพรวเค้าวิ่งล้มเอง..."

"เพี้ยะ!!!" เสียงตบตูดสองสาวดังขึ้นจากผู้เป็นพ่อ เพื่อเป็นการลงโทษที่ทำให้คุณหนูคนเล็กของบ้านต้องเจ็บตัว

"ไม่ต้องมาโกหก!!!" ตาเกริกทำเสียงดุ "ไปแกล้งคุณแพรวทำไม!!!"

"ลุงเกริก...อย่าตีน้องกิ่ง...อย่าตีพี่แก้ว....หนูล้มเอง....ฮือ..." น้องแพรวรีบห้ามตาเกริกคนสวนประจำบ้าน ทั้งๆ ทั้งยังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ "หนูผิดเอง"

"เอาละๆ พอแล้วตาเกริก แล้วก็แล้วกันไป พาเด็กๆ กลับไปก่อน เดี๋ยวชั้นจะพาน้องแพรวไปหาหมอ"

"กลับห้องไปเลยนะ ไป!!!" ตาเกริกจูงมือลูกสาวทั้งสองคนกลับไปที่ห้อง โดยไม่ลืมหยิบเครื่องตัดหญ้าไปด้วย "ที่หลังอย่าทำแบบนี้อีกนะทั้งคู่เลย คุณแพรวเค้าเป็นลูกสาวเจ้านายเรา จะไปเล่นกับคุณแพรวแบบนั้นไม่ได้...."

นั่นคือสิ่งที่น้องแพรวได้ยิน ก่อนถูกคุณพ่อวิทยาพากลับไปนั่งรถ แล้วสั่งให้คนขับรถเลี้ยวกลับออกไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อทำความสะอาดแผลถลกที่หัวเข่าของลูกสาว ถึงแม้จะฟังดูโอเวอร์ แต่ทั้งหมดก็เพราะความเป็นพ่อ ที่ไม่อยากเห็นลูกเจ็บตัว



หลังจากนั้นเป็นต้นมา น้องกิ่งและพี่แก้วก็มีท่าทีเหินห่างจากคุณหนูแพรวพรรณ ทุกครั้งที่คุณหนูแพรวพรรณมาชวนทั้งคู่เล่นด้วยกัน ทั้งสองสาวก็รีบวิ่งหนี จนทำให้คุณหนูแพรวอดน้อยใจไม่น้อย หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็ถูกส่งไปอยู่กับญาติฝ่ายแม่ที่ต่างจังหวัด บ้างก็ว่าเป็นเพราะตาเกริกและป้าจวงเกรงใจท่านวิทยา เพราะเด็กทั้งสองคนซนมาก และไม่อยากให้ไปวุ่นวายกับคุณหนูแพรวพรรณอีกด้วย แต่ก็ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงอยู่ดี

พอไม่มีเพื่อนๆ ก็เลยยิ่งทำให้น้องแพรวรู้สึกเหงา เพราะไม่มีเพื่อน สิ่งที่ช่วยคลายเหงาของสาวน้อยอย่างน้องแพรวก็คือการได้คุยโทรศัพท์กับพี่พลอย ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมชื่อดังใจกลางกรุงเทพ แต่พี่พลอยก็คุยได้ไม่นาน เพราะต้องใช้เวลาในการทบทวนหนังสือ

ทีนี้พอมีเวลาว่าง น้องแพรวก็มักเดินเล่นไปทั่วบ้าน โดยเฉพาะตรงสวนดอกไม้ ที่ตาเกริกเป็นผู้รับผิดชอบ น้องแพรวรู้สึกสดชื่นเสมอเวลาได้ใช้เวลาอยู่ที่ตรงนี้  โดยเฉพาะเวลาที่ตาเกริกกำลังง่วนอยู่กับการรดน้ำพรวดนดิน มันยิ่งทำให้น้องแพรวรู้สึกสนุกจนอยากเข้าไปร่วมด้วย

"คุณหนู คุณหนูจะมาที่นี่ไม่ได้นะครับ ในนี้มีแต่แมลงทั้งนั้น เดี๋ยวคุณหนูก็โดนกัดหรอก" เสียงตาเกริกร้องห้ามขณะที่คุณหนูแพรวพรรณกำลังยืนมองมันรดน้ำพรวนดินต้นไม้อยู่

"ก็หนูไม่รู้จะไปไหนอ่ะ..." น้องแพรวตอบอย่างซื่อๆ "น้องกิ่งกับพี่แก้วก็ไม่อยู่แล้ว หนูไม่รู้จะเล่นกับใคร"

"ลุงเล่นกับคุณหนูไม่ได้หรอกครับ กลับเข้าบ้านไปเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็น ลุงจะโดนตำหนิได้นะครับ" ตาเกริกขอร้องกึ่งบังคับ จนน้องแพรวทำหน้ามุ่ยเดินกลับเข้าห้องไปตามเดิม

หลังจากนั้นทุกเสาร์อาทิตย์ พอมีเวลาว่างหลังจากเรียนพิเศษเสร็จ คุณหนูแพรวพรรณก็มักเล่นไวโอลินตรงริมระเบียง แล้วตาเกริกที่ทำธุระตรงสวนดอกไม้เสร็จก็มักเดินผ่านตรงนั้น หนุ่มใหญ่เหลือบมองคุณหนูคนสวยด้วยความเอ็นดูและชื่นชมในความสามารถด้านดนตรี ส่วนคุณหนูแพรวก็ยิ้มหวานให้

รอยยิ้มของคุณหนูแพรวในวัยเพียง 6 ขวบ ทำให้จิตใจของตาเกริกชุ่มชื่นอย่างประหลาด แต่มันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก บางครั้งเวลามันเข้าครัวไปหาข้าวกินกับป้าจวงเมียของมัน ก็มักเจอน้องแพรวมาอ้อนป้าจวงเพื่อขอให้ทำของกินอร่อยๆ ให้กิน

"เดี๋ยวอาทิตย์หน้าป้าจวงทำขนมอร่อยๆ ให้คุณหนูกินนะคะ" ป้าจวงลูบผมเด็กสาวด้วยความเอ็นดู

"เย้!!! ดีใจจัง ป้าจวงใจดีที่สุดในโลกเลย!!" น้องแพรวยิ้มร่าอย่างมีความสุข สำหรับเธอแล้ว ป้าจวงเป็นแม่ครัวที่ทำกับข้าวคาวหวานได้อร่อยที่สุด แถมยังใจดีกับเธอมากๆ อีกด้วย

ตาเกริกที่เดินเข้ามาในครัวเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำมาดื่มดับกระหายก็มองเมียมันกับคุณหนูแพรวด้วยรอยยิ้ม ในใจลึกๆ ก็คิดว่ามันอยากมีลูกสาวน่ารักๆ แบบคุณหนูแพรวบ้างเหลือเกิน เพราะนั่งกิ่งกับนั่งแก้วมันเด็กกะโปโลที่ดีแต่วิ่งซนไปวันๆ

..............................................................................

10 ปีผ่านไป ตอนนี้คุณหนูแพรวพรรณเติบโตเป็นสาวน้อยวัย 16 ปีแล้ว แพรวพรรณมีหน้าตาที่น่ารักสดใสสมวัย โดยเฉพาะนัยน์ตาคู่นั้นที่ดูซุกซนและขี้เล่น แพรวพรรณดูเป็นกันเองและเข้าถึงได้ง่าย แตกต่างจากพี่สาวของเธออย่างพลอยพรรณที่ดูสงบนิ่งและเย็นชาราวกับเจ้าหญิงน้ำแข็งตามสมญานามที่เธอได้รับเสียมากกว่า

ในห้วงเวลานั้นเกิดเรื่องเศร้าภายในบ้านจารุศิริการกุล เมื่อป้าจวงเสียชีวิตจากภาวะไตวายเฉียบพลันจากโรคเบาหวาน หลังจากพยายามรักษาอยู่นานนับปี ด้วยความช่วยเหลือด้านการเงินจากท่านวิทยาและคุณนายพนิดาที่เมตตาไอ้เกริกคนสวนและครอบครัวเป็นอย่างมาก

ในงานศพของป้าจวง หมอพลอย พรรณพรรณขับกลับมาจากกรุงเทพเพื่อมาร่วมงานศพของป้าจวงที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ภายในงานทุกคนแต่งสีดำเพื่อไว้อาลัยผู้ตาย หลังจากหมอพลอยจอดรถตรงหน้าลานวัด หญิงสาวในชุดสีดำก็เดินเข้ามาภายในศาลา ที่ครอบครัวของเธอ ญาติผู้ตายและแขกผู้มีเกียรตินั่งอยู่

"พี่พลอย!!! ทางนี้ค่ะ!!" แพรวพรรณในชุดดำรีบวิ่งออกมาจากศาลาเพื่อมาหาพี่สาวคนสวย

"ไงเจ้าตัวเล็ก..." พลอยพรรณโอบกอดน้องสาวคนสวย "โตขึ้นแล้วนะเรา เดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะไปอยู่กับพี่ที่กรุงเทพแล้วซิ ดีใจจัง"

"แพรวก็ดีใจ ที่ได้อยู่กับพี่พลอยสักที หนูเบื่อที่จะอยู่บ้านแล้วอ่ะ" แพรวพรรณทำหน้ามุ่ย "คุณพ่อกับคุณแม่ทำแต่งาน ไม่มีใครมีเวลาให้แพรวเลย"

"พวกท่านทำเพื่อแพรวนะ..." พลอยพรรณลูบศีรษะน้องสาวด้วยความเอ็นดู "มาเถอะ รีบเข้าไปในงานกัน"

"ขอบคุณคุณหนูพลอยมากนะครับที่มางานในวันนี้" ตาเกริกพนมมือไหว้หมอพลอยเป็นการใหญ่ "ขอบคุณจริงๆ ที่เมตตาลุงและครอบครัว บุญคุณของท่านวิทยาและคุณนายพนิดา รวมถึงหมอพลอย ลุงจะไม่มีวันลืมเลยจริง"

"ไม่เป็นไรค่ะลุงเกริก..." พลอยพรรณพนมมือไหว้กลับ "ลุงก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของพลอยเหมือนกัน ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ ยังไงพลอยก็เสียใจด้วยนะคะที่ป้าจวงจากไป"

แพรวพรรณยืนกอดพี่สาวมองลุงเกริกตาแป๋ว ทั้งคู่พูดคุยกันในส่วนของธุระทางบ้าน พอถึงเวลาแขกระดับคนใหญ่คนโตเข้ามาภายในงาน หมอพลอยก็พาน้องแพรวไปต้อนรับแขกเหล่านั้นแทนพ่อกับแม่ ที่จะเดินทางตามมาในภายหลัง

ในช่วงอาหารเย็น หมอพลอยก็พาน้องสาวมาหาอะไรกิน น้องแพรวเอ่ยปากถามพี่สาวถึงชีวิตในกรุงเทพว่าเป็นอย่างไร ดูทรงแล้วน้องแพรวอยากไปกรุงเทพมาก เนื่องจากเธอเคยมีโอกาสได้ไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพในช่วงปิดเทอม เลยติดใจในแสงสีและความเจริญของเมืองหลวง จนเบื่อหน่ายชีวิตซ้ำซากจำเจในชลบุรีเต็มทน

"จริงๆ พี่คุยกับคุณพ่อและคุณแม่แล้ว ว่าไม่แน่อาจจะให้แพรวมาอยู่กับพี่ที่คอนโด" พลอยพรรณตอบ "พี่ยังไงก็ได้ ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเพื่อนอยู่ด้วยกัน บอกตรงๆ บางครั้งพี่ก็เหงาเหมือนกันเวลาอยู่คนเดียว"



"หนูก็อยากอยู่กับพี่พลอยค่ะ..." น้องแพรวสารภาพ "อยากไปเร็วๆ หนูเบื่อบ้าน เบื่อชลบุรีจะตายอยู่แล้ว"

"พูดเบาๆ หน่อยแพรว!!" พลอยพรรณทำเสียงดุใส่น้องสาว ที่พูดเรื่องส่วนตัวดังเกินเหตุ จนแขกภายในงานหันมามองกันเป็นแถว "เสียงดังไม่มีมารยาท เดี๋ยวเถอะแพรว เดี๋ยวเราต้องคุยกันหน่อยแล้ว"

"ค่ะ....." แพรวพรรณทำหน้าจ๋อย เมื่อถูกพี่สาวดุ โดยปกติเวลาทั่วไป พี่พลอยของเธอมักสงบนิ่ง เฉยชาเหมือนคนไม่มีความรู้สึก จนใครต่อใครเรียกว่าเจ้าหญิงน้ำแข็ง แต่สำหรับน้องแพรวแล้ว พี่พลอยเป็นพี่สาวที่มีมุมอ่อนโยน ใจดี และเด็ดขาดในตัวเอง

หลังจากงานศพป้าจวงในวันนั้น หมอพลอยก็ขับรถพาน้องแพรวกลับไปค้างที่บ้านหนึ่งคืน สำหรับหมอพลอยแล้ว เธอเองก็ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนักที่อยู่ภายในบ้านแห่งนี้ เพราะก่อนหน้านั้น เธอเองก็ต้องพบกับการเลี้ยงดูที่แสนเข้มงวดของพ่อกับแม่ไม่ต่างจากที่น้องแพรวเจอ เพียงแต่เธอสามารถรับมือกับมันได้ดี เธอมีผลการเรียนดีมาตั้งแต่ยังเด็ก จนสามารถสอบติดโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังในกรุงเทพได้ ท่านวิทยาและคุณพนิดาจึงมีความภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้มากและคาดหวังว่าน้องแพรว ลูกสาวคนเล็กจะมีผลการเรียนที่ดีไม่ต่างจากพี่สาวด้วยเช่นกัน

..............................................................................

หลังจากที่งานศพป้าจวงผ่านพ้นไป หมอพลอยก็กลับไปทำงานที่กรุงเทพต่อ ตอนนั้นหมอพลอยกำลังรับงานเสริมเป็นติวเตอร์ในสถาบันกวดภาษาในกรุงเทพ เลยทำให้ชีวิตของเธอค่อนข้างวุ่นวาย ต่างจากน้องแพรวที่กำลังรอผลสอบโรงเรียนมัธยมปลายในกรุงเทพ โรงเรียนเดียวกับที่พี่ของเธอเคยสอบเรียนอยู่

ย้อนกลับไปในช่วงที่พี่พลอยยังเรียน ม.ปลาย ในช่วงปิดเทอม พี่พลอยมักพาเพื่อนสนิทมาค้างที่บ้านที่ชลบุรี และได้ทำความรู้จักกับน้องแพรว เสียงหัวเราะและความสุขดังภายในบ้าน แต่พอพี่พลอยและเพื่อนสนิทจากไป ความเหงาก็กลับมาเยือนบ้านจารุศิริการกุลอีกครา เพราะพ่อกับแม่ของเธอกำลังวุ่นอยู่กับการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นและเข้าสังคม จนแทบไม่มีเวลาให้กับเธอเท่าไรนัก

ในวันที่แสนน่าเบื่อ น้องแพรวหยิบเอาไวโอลินตัวใหม่ที่พ่อของเธอซื้อให้เป็นของขวัญในงานวันเกิดปีที่ 15 ที่ทำมาจากไม้ชั้นดี ส่งตรงมาจากประเทศอิตาลีขึ้นมาบรรเลงบทเพลงแสนคลาสสิค พอเล่นไปสักพัก สาวน้อยแพรวพรรณก็เหลือบไปเห็นตาเกริกในชุดตัดอ้อยถือที่รดน้ำต้นไม้กำลังเดินเข้าไปในสวนดอกไม้หลังบ้าน

"นั่นลุงเกริกนี่...." สาวน้อยหยุดบรรเลงไวโอลิน พลางเหลือบมองลุงเกริกจากชั้นสองด้วยความเป็นห่วง หลังจากป้าจวงเสียชีวิตไป ก็ดูเหมือนว่าลุงเกริกจะดูเหงียบหงอยกว่าปกติ

เพราะความเป็นห่วงหรืออะไรไม่ทราบ น้องแพรวเลยตัดสินใจเดินเข้าไปในห้อง เก็บไวโอลินใส่กระเป๋าเหล็ก แล้วเดินลงไปข้างล่างเพื่อไปหาลุงเกริกตรงสวนหลังบ้าน เพื่อถามสารทุกข์สุขดิบลุงเกริก ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเก่าคนแก่ภายในบ้าน

..............................................................................

ลุงเกริกในชุดตัดอ้อยที่แกชอบใส่ กำลังง่วนอยู่กับการรดน้ำดอกไม้ภายในสวนหลังบ้านของตระกูลจารุศิริการกุล พอรู้สึกตัวอีกที หนุ่มใหญ่วัย 50 ปี ก็รู้สึกเหมือนมีใครกำลังเฝ้าดูมันอยู่จากด้านหลัง

"คุณหนู?" ตาเกริกดูตกใจไม่น้อยที่เห็นคุณหนูแพรวพรรณยืนไขว้หลังมองมันอยู่ตรงหน้า "คุณหนูมาทำอะไรที่นี่ครับ?"



"เป็นไงบ้างคะลุงเกริก? สบายใจขึ้นบ้างไหม?" คุณหนูคนเล็กในบ้านจารุศิริการกุลเอ่ยปากถามตาเกริกคนสวนที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่อีกคนของเธอด้วยความเป็นห่วง

"ก็...พอทำใจได้บ้างครับคุณหนู" ตาเกริกตอบ ก่อนหันกลับไปรดน้ำต้นไม้ต่อ "แต่ของแบบนี้มันก็ต้องใช้เวลากันหน่อย นังจวงกับลุงรักกันมาตั้งหลายปี เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ช่วยดูแลกัน แต่วันนี้ไม่มีนังจวงแล้ว มันก็ใจหวิวๆ อยู่เหมือนกัน...."

"ค่ะ...เสียใจด้วยนะคะลุงเกริก" คุณหนูแพรวพรรณพยักหน้า "หนูเองก็รักป้าจวง รักเหมือนแม่..."

"รักเหมือนญาติผู้ใหญ่จะดีกว่าครับ..." ตาเกริกตอบกลับ "ยังไงคุณหนูก็เป็นลูกของท่านวิทยาและคุณหญิงพนิดานะครับ อย่ามาให้เกียรติกับลุงและนังจวงขนาดนั้นเลย แค่นี้บุญคุญของคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณหนูก็ล้นหัวลุงไม่รู้ว่าชาตินี้จะชดใช้ยังไงแล้ว"

"ค่ะ..." แพรวพรรณพยักหน้า "โห...ดูซิ ลุงเกริกเก่งจัง ดอกกุหลาบในสวนนี้ช่อใหญ่จังอ่ะ ลุงทำไดยังไงเหรอคะ?"

"ลุงก็หมั่นรดน้ำพรวนดินให้ปุ๋ยนี่แหละครับ" ลุงเกริกยิ้ม ก่อนหยิบหมวกลงมาจากศีรษะแล้วพัดคลายร้อน "ดอกไม้พวกนี้ก็เหมือนคน ต้องหมั่นดูแลรักษา ไม่งั้นมีแต่จะแห้งเฉาตายได้"

"จริงค่ะ..." แพรวพรรณพยักหน้า ก่อนโน้มตัวลงใช้มือเขี่ยกลีบดอกกุหลาบสีแดงด้วยความตื่นเต้น "ดอกไม้พวกนี้คงมีความสุขนะคะ ที่มีลุงเกริกคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา"

"พูดแปลกๆ นะครับคุณหนู?" ตาเกริกยิ้ม พลางใช้หมวกพัดคลายร้อน "มันเป็นหน้าที่ผมครับคุณหนู ถ้าผมไม่ทำ มีหวังผมโดนคุณพ่อกับคุณแม่คุณหนูด่าเละแน่ๆ"

"หนูนึกว่าลุงจะดูแลดอกไม้ในสวนพวกนี้เพราะความรักซะอีก..." สาวน้อยแพรวพรรณขมวดคิ้วใส่ตาเกริก

"ก็รักล่ะครับ...มันเป็นเพียงไม่กี่อย่างที่ทำให้ลุงรู้สึกสดชื่น กระชุ่มกระชวย" ตาเกริกสารภาพ ก่อนหันไปหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม "ว่าแต่อากาศร้อนนะครับ ผมว่าคุณหนูรีบเข้าที่ร่มเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา"

"แพรวเบื่อนีคะลุงเกริก..." สาวน้อยสารภาพ "อยู่แต่ในบ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยอยากออกมาเดินดูดอกไม้บ้างอะไรบ้าง ลุงโกรธหรือคะ ที่หนูมาที่นี่?"

"เปล่าครับ เปล่าเลย!!!" ตาเกริกปฏิเสธ "คุณหนูจะมาที่นี่เมื่อไรก็ได้เสมอครับ ผมแค่เป็นห่วงคุณหนู เพราะอากาศมันร้อน กลัวคุณหนูไม่สบาย ก็เท่านั้นแหละ"

"ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่ห่วงแพรวแบบที่ลุงห่วง ก็คงจะดี...." น้องแพรวบ่นอุบอิบไปตามเรื่อง

"หนูแพรวว่าอะไรนะครับ?" ตาเกริกหรี่ตามองคุณหนูคนเล็กของบ้านด้วยความแปลกใจ

"เปล่าค่ะ...แพรวแค่บ่นไปตามเรื่อง" สาวน้อยลุกขึ้น เอามือไขว้หลังแล้วยิ้มให้คนสวนอย่างอารมณ์ดี "เอาเป็นว่าแพรวอารมณ์ดีละ ขอบคุณนะคะลุงเกริก ที่คุยกับหนูเป็นเพื่อน หนูไปละ"

"อะไรของคุณหนูเนี่ย..." ตาเกริกได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจปนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูแพรวพรรณที่หันหลังเดินกลับไป แต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหวาบหวิวอย่างประหลาด คุณหนูแพรวพรรณในวันนี้ไม่ใช่เด็กน้อยขี้แย่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ตอนนี้คุณหนูแพรวพรรณกำลังโตเป็นสาวน้อย เปรียบเสมือนดอกไม้แรกแย้มที่กำลังจะผลิบานเพื่อเป็นดอกไม้ที่สวยสดงดงามในอนาคต

ตาเกริกกลืนน้ำลายดังเอื้อก เมื่อเห็นเรือนร่างของคุณหนูแพรวพรรณจากด้านหลัง เสื้อยืดแขนยาวและกางเกงขาสามส่วนที่เด็กสาวสวมใส่มันไม่อาจปิดบังเรือนร่างของกำลังเจริญเติบโตของสาวน้อยวัยขบเผาะคนนี้ได้อย่างมิดชิด มันทำให้อารมณ์กำหนัดของตาเกริกพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

แตกต่างจากน้องแพรว คุณหนูคนเล็กคนบ้าน ที่ไม่ได้คิดอะไรกับลุงเกริกไปมากกว่าคนสวนและญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ เธอเพียงแค่รู้สึกเหงาๆ ที่ต้องอยู่ในบ้านคนเดียวกับเหล่าคนใช้และแม่บ้าน ที่คอยดูแลรักษาความเรียบร้อยขณะที่ท่านวิทยาและคุณหญิงพนิดาไม่อยู่เท่านั้น นอกเหนือจากการเล่นเฟสบุ๊ค ก็มีแต่เล่นไวโอลีนและชมสวนดอกไม้หลังบ้าน ที่พอจะช่วยทำให้ความเหงาในจิตใจของน้องแพรวได้คลายไปเสียบ้าง

"มึงคิดอะไรของมึงเนี่ยไอ้เกริก!!!" คนสวนเรียกสติคืนมา "นั่นลูกสาวเจ้านายนะเห้ย!!!"

..............................................................................

หลังจากผลการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในกรุงเทพประกาศผลออกมา น้องแพรวสอบติด พ่อแม่ของเธอก็เลยพาเธอไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นเพื่อให้รางวัลลูกสาวที่สอบเข้าโรงเรียนมัธยมชั้นนำของประเทศได้สำเร็จ หมอพลอยผู้เป็นพี่สาวได้แต่บ่นเสียดายที่ไม่สามารถไปด้วยได้ เพราะติดธุระเรื่องงาน

น้องแพรวส่งภาพตอนเธอไปเที่ยวที่เมืองโกเบให้พี่สาวของเธอผ่านทางเฟสบุ๊ค จนพี่พลอยที่ส่องเฟสน้องสาว ต้องพิมพ์บ่นด้วยความอิจฉาน้องสาวไม่ได้

"นิสัยไม่ดี!!! ได้เที่ยวญี่ปุ่นแล้วยังมีหน้ามาอวดพี่อีกนะแพรว!!! อย่าลืมซื้อของฝากมาด้วย ไม่งั้นพี่โกรธจริงๆ ด้วย!!!"

"ค่า!!!! พี่สาวคนจ๋วย รับทราบค่า!!!!"

น้องแพรวพิมตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี เธอโพสต์ภาพวิวทิวทัศน์สวยๆ ภายในเมืองโกเบของประเทศญี่ปุ่นลงในเฟสบุ๊ค แต่ก็ไม่ลืมโพสต์ภาพของเธอที่ถ่ายคู่กับคุณพ่อและคุณแม่ จนเพื่อนๆ ของเธอเข้ามากดไลค์และแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของแพรวพรรณเลยทีเดียว หลังจากกลับมาที่ไทย เหลือเวลาอีกไม่กี่วันเท่านั้นที่เธอต้องย้ายไปอยู่กับหมอพลอย พี่สาวของเธอที่คอนโดในกรุงเทพ คุณพ่อและคุณแม่ของเธอไม่ลืมที่จะซื้อของฝากจากญี่ปุ่นมาให้คนใช้ภายในบ้านอีกด้วย

เหลือเพียงแค่ตาเกริก ที่ยังวุ่นอยู่กับงานสวนหลังบ้าน น้องแพรวอาสาเป็นคนเอาของฝากจากญี่ปุ่นไปให้ลุงเกริกด้วยตัวเอง จนถูกทักท้วงจากพ่อและแม่ถึงความเหมาะสม สุดท้ายก็เลยฝากคนใช้อีกคนเอาของฝากไปให้แกแทน

พอวันรุ่งขึ้น พ่อกับแม่ของเธอก็เดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อทำธุระส่วนตัว ปล่อยให้น้องแพรวอยู่เฝ้าบ้านตามเคย ด้วยความเบื่อหน่าย และนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรเป็นพิเศษไม่ทราบ ก็เลยหยิบไวโอลินคันโปรดไปด้วย กะว่าอยากบรรเลงเพลงคลาสสิคให้มวลหมู่ดอกไม้ในสวนได้ฟัง

วันนี้อากาศไม่ได้ร้อนมาก กำลังเย็นสบายได้ที่ น้องแพรวบรรเลงไวโอลินในสวนดอกไม้หลังบ้านอย่างมีความสุข กลิ่นดอกไม้หอมๆ ที่ลอยโชยมา และเสียงไวโอลินที่แสนหวาน มันเป็นอะไรที่ลงตัวที่สุด

....พอเล่นไปได้สักพัก ลุงเกริกก็เดินเข้ามาพร้อมกับที่รดน้ำต้นไม้ พอสาวน้อยแพรวพรรณเห็นก็หยุดบรรเลงทันที

"ลุงรบกวนคุณหนูหรือเปล่าครับ?" ตาเกริกเอ่ยปากถามด้วยความรู้สึกผิด

"เปล่าค่ะ..." แพรวพรรณยิ้มหวาน "ลุงได้ของฝากจากญี่ปุ่นยังคะ?"

"ได้แล้วครับ ขอบคุณมากๆ นะครับ" ตาเกริกยิ้ม "จริงๆ คุณหนูไม่น่าลำบากซื้อของแพงๆ มาฝากลุงเลย"

"พ่อกับแม่หนูซื้อมาต่างหาก..." น้องแพรวตอบ "อีกไม่กี่วันหนูต้องไปอยู่กับพี่พลอยที่กรุงเทพแล้วนะคะ บางทีหนูก็อดคิดถึงบ้านที่ชลบุรีไม่ได้ อดคิดถึงสวนดอกไม้ไม่ได้"

"คุณหนูต้องไปเรียนหนังสือ จะได้จบมาเป็นเจ้าคนนายคนนะครับ อย่าลืมซิ" หนุ่มใหญ่ตอบอย่างสุภาพ "ไปเถอะครับ มันดีกับคุณหนูเอง"

"เหมือนลุงไม่อยากให้หนูอยู่เลย..." แพรวพรรณประท้วง "ลุงอยากให้หนูไปพ้นๆ จากที่นี่ใช่ไหม?"

"เปล่า!!! ลุงไม่ได้หมายความว่ายังงั้นครับ" ตาเกริกส่ายหน้า "คุณหนูยังเด็กนะครับ การเรียนต้องมาก่อนอยู่แล้ว ยังไงมันก็ดีกับตัวคุณหนูเอง"

"หนูรู้แล้วน่า...." สาวแพรวตอบ ก่อนหยิบเอาไวโอลินไปเก็บในกล่องเล็ก "หนูว่าหนูดูดอกไม้ที่ลุงปลูกดีกว่า ไหนดูซิ อือออ หอมจัง ดอกกุหลาบช่องนี้"

ตาเกริกได้แต่ยิ้มให้กับความใสซื่อบริสุทธิของคุณหนูแพรวพรรณ แต่สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นท้ายทอยของเด็กสาวก็นึกซุกซนเหลือบมองลงต่ำจนถึงแผ่นหลัง เอว และบั้นท้ายของสาวน้อยวัย 16 จนทำให้จิตใจของคนสวนเริ่มระส่ำระส่ายอย่างหนัก ไม่เอานะเว้ย!! นั่นลูกสาวคนเล็กของเจ้านายนะเว้ย

แพรวพรรณใช้มือเขี่ยลำต้นของกุหลาบอย่างสนุกสนาน สาวน้อยมองดอกกุหลาบพลิ้วไหวไปมาอย่างมีความสุข จนไม่ทันระวัง โดนผึ้งที่บินมาเพื่อหวังผสมเกสรที่อาจนึกลำคาญแม่สาวน้อยคนนี้กัดเข้าที่ปลายนิ้วโดยไม่ทันตั้งตัว

"โอ้ย!!!! เจ็บ!!!!" แพรวพรรณดึงมือออกมาก่อนเสียหลังล้มลงไปด้วยความตกใจ "ผึ้งต่อย!!!"

"ตายแล้ว!!!" ตาเกริกรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของคุณหนูคนสวย ด้วยความเป็นห่วง มันรีบคว้ามือของเด็กสาวขึ้นมาดูนิ้วข้างที่ถูกผึ้งกัด จนเห็นตำแหน่งที่ถูกฝังเหล็กใน ตาเกริกเลยรีบบีบมันออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนช่วยพยุงตัวคุณหนูคนสวยลุกขึ้นมาเพื่อไปรับการปฐมพยาบาลทันที

"รีบไปล้างแผลเร็วเข้าครับ ทางนี้เลย!!" ตาเกริกหันซ้ายหันขวา ก็เหลือบไปเห็นห้องน้ำด้านหลัง จึงรีบพาคุณหนูแพรวไปล้างมือฟอกสบู่ทำความสะอาดทันที

ด้วยความเป็นห่วงคุณหนูคนเล็กประจำบ้าน เพราะเห็นมาตั้งแต่ตีนเท้าฝาหอย ตาเกริกเลยทำการปฐมพยาบาลด้วยความตั้งใจ ชายสูงวัยใช้สบู่ฟอกมือของเด็กสาวและทำความสะอาด จนมั่นใจว่าพิษของผึ้งเจือจางไปมากแล้ว จึงรีบพาคุณหนูแพรวเข้าบ้านเพื่อประคบน้ำแข็งทันที

"เดี๋ยวหนูเดินเข้าไปในบ้านเองได้ค่ะลุง ขอบคุณมากนะคะ"

"ที่หลังก็ระวังหน่อยนะครับคุณหนู นี่ถ้าใครรู้สงสัยลุงโดนด่าอีกแน่ๆ เฮ้อ!!" ตาเกริกบ่น

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ความผิดของแพรวเอง...อูยยยย" น้องแพรวกุมมือตรงที่โดนผึ้งกัดด้วยความเจ็บปวด

"ถ้าไม่ไหวจริงๆ ผมให้คนพาไปหาหมอให้เอาไหมครับ?" ตาเกริกยื่นข้อเสนอ

"อืม...ก็ได้ค่ะ" แพรวพรรณพยักหน้า "งั้นลุงไปกับแพรวด้วยเลยแล้วกันนะ"

ว่าแล้วตาเกริกก็เลยรีบเดินไปหานายโชค ที่เป็นคนขับรถของบ้าน แต่วันนี้นายโชคไม่อยู่ เพราะต้องขับรถไปรับท่านวิทยาและคุณหญิงพนิดาที่กรุงเทพ สุดท้ายพอไม่มีทางเลือก ตาเกริกเลยต้องขับรถพาคุณหนูไปหาหมอ โดยมีคนใช้หญิงอีกคนติดตามไปด้วย

หลังจากกลับมาถึงบ้าน ท่านวิทยาและคุณหญิงพนิดาก็ตกอกตกใจเป็นอย่างมาก ตอนแรกตาเกริกก็เกือบจะโดนด่าอยู่แล้ว แต่คุณหนูแพรวพรรณได้อธิบายด้วยเหตุผล จนคุณพ่อกับคุณแม่เข้าใจ

"โอเค..ขอบใจมากไอ้เกริก ที่ช่วยเป็นธุระให้"

"งั้น...ผมไปก่อนนะครับ" ตาเกริกพนมมือไหว้ลาท่านวิทยาเพื่อกลับไปที่ห้อง

"เอ่อ...ลุงเกริกคะ?" แพรวพรรณเอ่ยปากเรียกคนสวน

"ครับ...คุณหนู?"

"ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยดูแลแพรว" สาวน้อยยิ้มหวานให้ด้วยความจริงใจ แต่ตาเกริกไม่คิดเช่นนั้น มันเริ่มรู้สึกหวาบหวิวกับคุณหนูคนสวยคนนี้มากขึ้นไปทุกที

กลิ่นเหงื่ออ่อนๆ ปนกับกลิ่นสาบสาวของคุณหนูแพรวพรรณ ในช่วงที่มันล้างมือและปฐมพยาบาลขั้นต้นให้คุณหนูยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงความทรงจำของมัน มือของคุณหนูแพรวพรรณช่างนิ่มนวลยิ่งกว่าอะไร ยังไม่รวมถึงกลิ่นแชมพูอ่อนๆ ที่สาวน้อยผู้สูงศักดิ์ชอบใช้ ที่ยิ่งเพิ่มความหวาบหวิวในใจของคนสวนอย่างไอ้เกริกมากขึ้นทุกที

.........คุณหนูแพรวของไอ้เกริก ลุงรักคุณหนูเหลือเกิน



ตัวอย่างในตอนต่อไป อยากรู้โปรดคอมเม้นท์ครับ



Topp458

แนวทางการปูทางเนื้อเรื่อง น่าสนุก ครับ เชียร์เขียนแนวนี้ต่ออีกครับ



Poowanart Koedmanee

ปูเรื่องน้องแพรว ก็เริ่มเข้าใจความทุกข์ยากในใจของหมอพลอยด้วยล่ะ ความอ้างว้างแบบนี้นี่เองที่หมอตกหลุมรักลุงพล..เอาล่ะว่ะพี่น้องคู่นี้เสร็จตาเฒ่าแก่ๆทั้งคู่ ตอนหน้าคงฟินหน้าดู


petergg

อะไรกันครับเนี่ย

tidtook

คุณหนูแพรวของไอ้เกริก ลุงรักคุณหนูเหลือเกิน

จริงหรือเปล่าลุง?? ผมว่าลุงอยากเคลมคุณหนูมากกว่า
เผื่อผมด้วยลุง

itsara visanwan

อยู่ในครอบครัวแบบนี้คงไม่ค่อยมีความสุข คงต้องไปสนุกกับคนสวนแล้ว

Saber_Autumn

ขอบคุณครับ นานๆ จะมีแนวแบบเป็นเนื่้อเรื่องมาให้อ่านสักที
แค่เริ่มต้นก็มีความน่าติดตามมากเลยตรับ ลุ้นต่อไปว่าลุงจะโชคดีได้คุณหนู 2 คนเลยหรือเปล่า

ขอนลอย บักเคียบ

หนูแพรวอาจจะหลงรักลุงแบบไม่รู้ตัวก็ได เพราะความเหงาและความใกล้ชิดและก็เสร็จลุง555มโนแป๊ปๆ

Debaker Singlek

เล่นเดินเรื่องมาแบบนี้ตายๆๆๆๆๆ น่าติดตามมาก ชอบๆๆๆ แล้วนายเกริกจะได้ลุงเสาเข็มคุณหนูแพรว แบบไหนนะ