ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_ΜoNoTΩИ∑ ★★★

ตำนานเทพวายุ [ season2 ] ตอนที่ 26 : พี่อั้มกับนายริว 2

เริ่มโดย ΜoNoTΩИ∑ ★★★, กุมภาพันธ์ 13, 2020, 03:33:39 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 3 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

dawdom


ipichai

ยังอยู่ใน taxi ไม่ใช่หรอนายริว
เบาๆ พี่อั้มอายนะ

ieaky

เห้อ ข้อความก่อนซ่อนนี่อั้มต้องจินตนาการไปไกลเองแน่ ๆ นี่ในรถแท็กซี่นะ

Thekid34

เดี่ยวๆในรุแทกซี่นะ พี่อั้มจินตนาการเองแน่ๆ

pankea

นายริวกับพี่อั้มจะไปไกลถึงฝั่งฝันหรือไม่เพราะจุดเริ่มต้นบนแท็กซี่คงทำได้ไม่มาก งานนี้รู้สึกอิจฉาโชว์เฟอร์ที่ได้เห็นภาพพลอดรักกันของทั้งคู่

aloneprincess


Tik K.


karn_cab

พี่อั๊มฝันอีกแล้วหรือเปล่า ฝันมีความสุขทุกทีเลย


Man. Number1

#249
ริวมาช่วยอั้มแบบนี้คงได้ใจอั้มไปเต็มๆเลยแน่ๆจากที่รักอยู่แล้วคงหลงอ่ะทีนี้ สุดยอดเลยครับ

Kris.


Ttum1188

เป็นผมก็น้อยใจอั้มนะ แต่อย่างว่านั่นแหละความรักมีหลายรูปแบบ


taohunter

 ::KO::บทบู๊สนุกสัส
อ้างจาก: Monotone_Memory เมื่อ กุมภาพันธ์ 13, 2020, 03:33:39 หลังเที่ยง
สวัสดีอีกรอบครับ ถือว่าเป็นการเบิ้ลให้ หลังจากหายไปนาน ลงไปสองตอนเลยเพื่อความจุใจ ยังไงก็ช่วย คอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะครับ


ตอนนี้มีซ่อนข้อความ ต้องแสดงความคิดเห็นก่อนนะครับ


และเมื่อหลังอ่านจบทั้งหมด อยากให้กลับมาอ Edit และคอมเมนต์เพิ่มด้วยครับผม




ตอนที่ 26 : พี่อั้ม กับ นายริว 2





ตู้ม !!!  ริวกะใช้ท่าของรินที่เคยสอนเขาตอนเด็กๆเอามาใช้ มันเป็น 1 ในกระบวนท่าของวิชาลับประจำตระกูลเฉกเช่นเดียวกับ นาเดชิโกะ แต่ท่านี้พลังทำลายจะมากกว่านาเดชิโกะหลายเท่านัก ในอดีตรินเคยใช้ท่านี้เพื่อทำลายประตูเหล็กกล้าหนากว่า  1 ฟุตมาแล้ว


ภาพตรงหน้านั้นคือ บอดี้การ์ดร่างยักษ์ของไอ้เพียวนั้นลงไปนอนกองกำพื้นเลยทีเดียว อีกทั้งต้นไม้ที่มันใช้พยุงตัวก็เกิดรอยแตกขึ้นด้วย และสิ่งที่มันน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมนั้นคือเสื้อของมัน รอยขาดนั้นแสดงให้เห็นว่า พลังที่อัดกระแทกเข้ามานั้นมหาศาลเพียงใด ขนาดเสื้อกันกระสุนที่ว่าหนายังปริขาดราวกับเสื้อผ้าราคาถูก



แต่สิ่งที่แปลกนั้นก็คือ คนที่ผ่านไปผ่านมานั้น ทำแค่มองๆและเดินผ่านไป พวกเขาไม่คิดว่านี่คือการชกต่อยหรือมีเรื่องกันด้วยซ้ำ ท่วงท่าที่สวยงาม การโจมตีที่ดูแบบมีแผน ทำให้พวกเขาคิดว่า กลุ่มของริวกะและไอ้เพียวกำลังฝึกซ้อมกีฬากันเสียมากกว่า เพราะที่นี่ก็คือสถานที่ออกกำลังกาย จึงไม่แปลกเลยที่จะมีชมรมศิลปะการต่อสู้ตั้งอยู่ในที่นี้ และนั่นก็คือเหตุผลที่พวกเขาไม่สนใจและวิ่งออกกำลังกายกันต่อไปยังไงล่ะ


[ เวย์ ]  :  โอโห  มึงแม่งเกินมนุษย์ไปละมังกร มึงต่อยทะลุเสื้อกันกระสุนเลยเหรอวะ


เวย์ที่อยู่ห่างออกไปเกือบ 1กิโลเมตร ถึงกับเสียวสันหลังว่าบ ว่าบ ว่าบ เพราะตอนนี้ไอ้มังกรเพื่อนของเขาได้โชว์เทพอีกแล้ว คราวนี้แม้จะไม่ได้ดูคลั่งหรือขาดสติแบบตอนที่สู้กับพวกไอ้นพ แต่ว่าแต่ละหมัดที่ออกไป มันสามารถทำให้คนที่โดนนั้นหมดสภาพได้ในครั้งเดียวเลยก็ว่าได้ แต่ว่าความเสียวมันไม่ได้มีแค่นั้นเพราะว่าความมันส์มันกำลังจะเริ่มขึ้นจากนี้ต่างหาก


บรืน !!!  ในขณะที่ไอ้เพียวกำลังสิ้นไร้ไม้ตอกนั้น ก็ได้มีรถแบรนด์ตรา 3 แฉก ขับมาจอดที่ตรงหน้าของมัน ทันทีที่เห็นรมันก็ยิ้มทันที เพราะนี่ก็คือรถของอามันนั่นเอง อาที่มันได้รับเลือดชั่วๆมามากกว่าพ่อตัวเองด้วยซ้ำ


[ เพียว ]   :   คุณอาครับ


[ อาเหี้ยเพียว ]  :  อ้าวว่าไงเพียว บังเอิญจังเลยนะ ( ไอ้ตอแหล ) มาทำอะไรเนี่ย


[ เพียว ]  :   ผมพาอั้ม มาเดินเล่นน่ะครับ พอดีมีคนมาป่วน เลยมีปัญหานิดหน่อยครับ


[ อาเหี้ยเพียว ]  :   เอ๋ อั้ม อ๋อแฟนเราน่ะเหรอ ไหนล่ะ



อาไอ้เพียวนั้นรีบสวมบทบาทคุณอาผู้แสนดีทันที เขาทำทีเป็นถามหาอั้ม ส่วนไอ้เพียวก็ยิ้มเลย มันคิดว่ายังไงซะถ้าอาเป็นคนออกตัวล่ะก็ อั้มต้องไม่กล้าปฏิเสธแน่ๆ เพราะอั้มน่าจะรู้ดีว่าอาของเขานั้นมีอำนาจแค่ไหน แต่ว่า...


[ อั้ม ]  :  ขอโทษค่ะ เพียวกับอั้มไม่ได้มีฐานะเป็นแฟนกันแล้วค่ะ ตอนนี้เราเป็นเพื่อนร่วมโลกที่ดีต่อกันค่ะ


คำพูดของอั้มนั้นทำไอ้เพียวถึงกับหน้าเสียเลย มันไม่คิดว่าอั้มพูดแบบนี้ต่อหน้านาย ภูษิต กรรมการบริหารของบริษัทแสงโรจน์ ผู้ที่มีอิทธิพลเป็นอันดับต้นๆของประเทศแบบนี้ ส่วนนายภูษิตก็ถึงกับหน้าเสียเหมือนกันที่กล้ามีคนมาหักหน้าเขาแบบนี้ และดูเหมือนพี่แกจะจุดเดือดต่ำเสียด้วย เพราะทันทีที่ถูกหยามหน้าสันดารก็เริ่มออกทันที


[ ภูษิต ]   :   เอ... อาว่าพวกเราไปหาที่เงียบๆนั่งคุยกันดีกว่ามั้ย จะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น



ทันทีที่พูดขึ้นมา ไอ้บอดี้การ์ดส่วนตัว ทั้ง4 คนก็เดินเข้าหาอั้มทันที แน่นอนว่าความหมายของนายภูษิตนั้นคือ จับอีนี่มาให้กู ดังนั้นพวกมันจึงไม่รอช้าและเดินเข้าไปจับตัวอั้มทันที แต่ว่า มั่บ !!!  มีใครบางคนโผล่มาและจับล็อคข้อมือของพวกมันไว้ทันที


[ ยามิ ]  :  ไม่ดีนะครับที่ทำแบบนี้ !!!


[ อั้ม ]  :  พี่ยามิ


ยามินั่นเอง อยู่ดีๆยามิก็โผล่มาและจับล็อคมือของไอ้คนที่กล้าแตะต้องลูกสาวบุญธรรมของนายท่านริน กรึ้กก !!!  ยามิแค่บิดเบาๆเท่านั้นบอดี้การ์ดตัวโตถึงกับลงไปนั่งคุกเข่าพร้อมสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างยิ่ง


[ ภูษิต ]  :  เฮ้ย !!!  กล้าทำร้ายคนของชั้นได้ยังไง ( เกรียนแตก ) รู้หรือเปล่าชั้นเป็นใคร ปล่อยมือคนของชั้นเดี๋ยวนี้


[ ยามิ ]  :  รู้สิ่ครับ คุณภูษิต นิมิตทรัพย์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท แสงโรจน์ จำกัดมหาชน สิ่นะครับ


[ ภูษิต ]  :  งั้นก็ดี งั้นแก ก็จงปล่อยคนของชั้นซะ


และยามิก็ปล่อยมือคนของนายภูษิตตามที่เขาร้องบอก ไอ้บอดี้การ์ดคนนั้นถึงกับรีบลุกขึ้นด้วยท่าทีที่หวาดกลัว ชายตรงหน้า ( ยามิ ) สูงแค่ 180 จริงอยู่ที่ดูผ่านเสื้อผ้าก็น่าจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง แต่ไอ้การบีบมือของมันจนมันเจ็บปวดจนยืนไม่ไหวนั้นมันผิดปกติเกินไป เพราะตอนที่อยู่ในโรงเรียนสอนบอดี้การ์ด เรื่องพละกำลังของมันก็ไม่เป็นสองรองใครในรุ่น แต่ตอนนี้มันเหมือนว่ากลายเป็นเด็กที่ไร้เรี่ยวแรงและไร้หนทางที่จะต่อสู้เลยก็ว่าได้


[ บอดี้การ์ด ]  :  นายครับ ผมว่าเราถอยกันก่อนเถอะครับ ไอ้นี่มันไม่ธรรมดานะครับ


[ ภูษิต ]  : มึงจะกลัวอะไรมันนักหนา นายภูษิตคนนี้ไม่เคยถอย ไม่เคยอ่อนข้อให้คนที่คิดเป็นปฎิปักษ์ ใครหน้าไหนมันหยามชั้น มันต้องพังกันไปข้างนึง คิดว่าตลอดเวลาเกือบ 10 ปีที่ชั้นยืนอยู่ในธุรกิจนี้ได้ เพราะชั้นยอมคนงั้นเหรอ


[ ยามิ ]  :   จะว่าไปแล้วผมลืมแนะนำตัวเลยครับ ผม คุเรไน ซึบาสะมารุ ผู้ตรวจการณ์จากอิซานางิ ครับ


ทันทีที่เอ่ยชื่อขึ้นมา ทั้งนายภูษิต  และบอดี้การ์ดทุกคนถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก คุเรไน ซึบาสะมารุ หรือรู้กันในนามผู้ตรวจการของบ้านใหญ่ เขามีหน้าที่ในการตรวจสอบบริษัทต่างๆในเครืออิซานางิกรุ๊ป และไตรภาคี ว่ากันว่าเขาสามารถไปมาได้ราวกับสายลมก็มิปาน ทั่วทั้งภูมิภาคเขาสามารถเดินทางไปมาได้ราวกับหายตัว ตลอด 10 ปีที่ผ่าน ชื่อของ คุเรไน เป็นที่หวาดกลัวของผู้ที่คิดคดทรยศต่อไตรภาคีเป็นอย่างมาก


[ ภูชิต ]   :   และ และ และคนของอิซานางิกรุ๊ป มีธุระอะไรกับผม ไม่ทราบ


[ ยามิ ]  :  นั่นสิ่นะครับ


ยามินั่นตอบอย่างเรียบๆ เหมือนว่าไม่สนใจอะไร แต่ตอนนี้เหงื่อของนายภูชิตเรียกได้ว่า แตกพลั่กๆเลย นั่นเพราะว่านายภูษิตนั้นได้ประพฤติมิชอบต่อบริษัท หรือ ยักยอกทรัพย์นั่นเอง จริงอยู่ว่า นิมิตทรัพย์ ไม่ได้ขึ้นตรงกับอิซานางิ แต่ว่ายังไงซะ บริษัทของเขาก็อยู่ในเครือข่ายของพิทักษ์เทวา ซึ่งเป็น 1 ในไตรภาคีนั่นเอง


[ ภูชิต ]  :   เอ่อะ เอ่อ งั้นเชิญคุณไปนั่งทานน้ำเย็นๆที่บ้าน และนั่งคุยกันก่อนไหมครับ


[ ยามิ ]  :   ไม่ดีกว่าครับ ผมมาเพื่อแจ้งให้คุณทราบว่า อิซานางิ กรุ๊ป ขอปลด บริษัท แสงโรจน์ จำกัดมหาชน ออกจากไตรภาคี


[ ภูชิต ]  :  อะ อะไรกันครับ ทำไมอิซานางิ กรุ๊ป ถึงมีอำนาจการปลดแสงโรจน์ออกจากไตรภาคีล่ะ บริษัทของผมเป็นเครือข่ายของพิทักษ์เทวา แล้วอีกอย่างคุณเอาข้อหาอะไรมาปลดผมออกล่ะ หลักฐานไหนล่ะหลักฐาน


หลักฐานน่ะเหรอครับ มีแน่นอน


เสียงบางเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับร่างของใครบางคน และนั่นก็คือ เวตาล หรือ เวโรจน์ พิทักษ์เทวา นั่นเอง เขาเดินมาด้วยตัวคนเดียว ด้วยท่าที่ภูมิฐานและดูสง่างามมากๆ แต่นั่นกลับแฝงไว้ด้วยบารมีและความน่ากลัวจนยากจะหยั่งถึง ริวกะเองก็ถึงกับยืนเอ๋อเลยก็ว่าได้ หรือว่านี่จะเป็นงานที่ยามิพูดถึงกันนะ ส่วนอั้มนั้นได้ทีก็รีบวิ่งไปคล้องแขนนายริวไว้อย่างรวดเร็ว ราวกับว่ารู้ตัวว่าทำผิดไปแล้วและอยากจะขอให้นายริวให้อภัย แต่ตอนนี้ริวกะไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย เขากำลังตั้งใจมองการกระทำของเวตาลที่กำลังจะเกิดขึ้นมากกว่า


[ เวตาล ]  :  เจอกันอีกแล้วนะครับ คุณภูชิต


[ ภูชิต ]  :   เอ่อ... สวัสดีครับ คุณเวโรจน์ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ ถึงได้มาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง


ไอ้เพียวถึงกับหน้าซีดเลยทีเดียว อาของมันที่มันเห็นมาตั้งแต่เด็กคือคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่ตอนนี้อาของมันกลับมาท่าทีที่สงบสเงี่ยมเจียมตัวมาก ไอ้คุณเวโรจน์คนนี้มันเป็นใครกันแน่ ซึ่งการที่มันจะไม่รู้จักก็ไม่แปลก เพราะว่ามันไม่เคยเรียนรู้หรือศึกษากิจการและธุรกิจของทางบ้านเลย วันๆเอาแต่ใช้เงินโดยอ้างว่าเรียนหนังสือเท่านั้น


[ เวตาล ]  :  ผมมาที่นี่เพื่อแจ้งว่า พิทักษ์เทวา ขอปลด นิมิตทรัพย์และบริษัทแสงโรจน์ ออกจากการเป็นเครือข่ายของ พิทักษ์เทวา มีผลตั้งแต่ตอนนี้ครับ


[ ภูชิต ]  :   อะ อะไรนะ ปลด ปลดออกได้ยังไง แสงโรจน์ ทำอะไรผิด


ภูชิตนั้นเรียกได้ว่าหัวใจตกลงตีนเลยก็ว่าได้ ประกาศิตจากปากเวตาลนั้นทำให้มันถึงกับกลายเป็นคนติดอ่าง อ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ออก มันได้แต่คิดในใจว่า บ้าน่าทุกอย่างก็ดูไม่มีพิรุธและไม่มีทางที่จะจับได้แน่ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงโดนจับได้ล่ะ


[ เวตาล ]  :   คุณลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ ว่าเมื่อ 10 ปีก่อน คุณทำอะไรไว้กับสถิตย์เทวาและคุณหนูรุ้งพลอยไว้ และคุณคงไม่ลืมนะว่า พิทักษ์เทวาถูกก่อตั้งขึ้นมาด้วยจุดประสงค์อะไร


ขึ้นเลยริวกะขึ้นเลย พอเอ่ยว่ารังแกรุ้งพลอยพี่นี่ขึ้นเลย ริวกะกำหมัดแน่น ราวกับรู้ได้ทันทีว่าไอ้ภูชิตนี่เป็น 1 ในคนที่ทำให้พลอยต้องตกระกำลำบากถึง 10 ปีเต็มๆ


[ เวตาล ]  :   คุณรวมหัวกับพี่น้องสถิตย์เทวา ยักยอกทรัพย์สินส่วนที่เป็นของคุณหนูรุ้งพลอย แอบขายหุ้นบริษัท จนทำให้กิจการค้าส่งมูลค่าหลายล้านๆบาทของสถิตย์เทวาต้องล้มละลาย  อีกทั้ง 5 ปีมานี่คุณได้เข้ามาเป็นเครือข่ายของพิทักษ์เทวา คุณก็ยังไม่ทิ้งพฤติกรรมเดิมๆ คุณพยายามทุจริตเรื่องงบการซื้อ อีกทั้งยังนำข้อมูลของบริษัทไปขายให้กับคู่แข่ง แบบนี้เพียงพอให้ผมปลดคุณออกไหมครับ



ภูชิตฟังแล้วถึงกับพูดไม่ออกเลย เพราะทุกๆข้อหาที่เวตาลเอ่ยมานั้นไม่ผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่น้อย ใช่ !!! มันนี่แหละที่มีส่วนทำให้รุ้งพลอยต้องตกระกำลำบาก อีกทั้งระยะเวลา 5 ปีที่แสงโรจน์เข้ามาร่วมหุ้นกับพิทักษ์เทวา นายภูชิตพยายามทำการทุจริตหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งยังขายข่าว ขายข้อมูลอีกด้วย


และนั่นจึงทำให้หลักฐานมันแน่นที่บ่งชี้ว่านายภูชิตคิดไม่ซื่อนั้นหนามากขึ้น เพราะข้อมูลทุกข้อมูลในระยะ 1 ปีที่นายภูชิตนำไปขายนั้นเป็นข้อมูลลวงที่เวตาลสร้างขึ้นมาและมีเพียงนายภูชิตเท่านั้นที่รู้ นั่นเท่ากับว่าการที่คู่แข่งทางธุรกิจรู้ข้อมูลนั้นๆของพิทักษ์เทวา เป็นเพราะนายภูชิตเอาไปขายนั่นเอง


ริวกะงี้กำหมัดแน่นเลย พอได้รู้ความจริงว่าต้นเหตุที่ทำให้รุ้งพลอยต้องลำบากเป็นเพราะมัน ความโกรธความแค้นต่างๆ ก็ประดังเข้ามาราวกับพายุ แต่ว่าอั้มก็กอดแขนเขาแน่นขึ้นราวกับว่าจะบอกให้ใจเย็น เพราะถ้ายิ่งนายริวนั้นโมโหขึ้นมาเรื่องมันยิ่งเลยเถิดไปใหญ่ ส่วนไอ้ภูชิตที่ยืนฟังอยู่นั้นก็เหงื่อแตกพลั่กๆๆๆๆ  มันไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึงจริงๆ ระยะเวลา 10 ปีที่มันไต่เต้าจากผู้บริหารเล็กๆ จากเงินเดือนเพียงหลักหมื่นจนตอนนี้มีทั้งอำนาจและบารมีที่มากหลาย


เขาเดินมาไกลแล้ว ไกลเกินกว่าที่จะกลับไปได้ เป็นไงเป็นกัน ถ้าต้องยอมเสียทุกอย่างไป สู้ฆ่าคนที่รู้ที่เห็นให้หมดจะดีกว่า ยังไงมันเองก็มีทั้งเงินและอำนาจอยู่แล้ว ยังไงซะอำนาจเงินก็ต้องทำให้มันหลุดคดีแน่ๆ มันส่งสัญญาณให้ลูกน้องของมันทั้งหมดพุ่งเข้าใส่เวตาลทันที แต่ว่า.....


[ เวตาล ]  :   นั่งลง !!!


เกิดสิ่งที่น่าเหลือเชื่อขึ้น เพียงเวตาลพูดขึ้นมาไอ้พวก 4 คนนั้นถึงกับทรุดลงไปนั่งคุกเข่าทันที ด้วยท่าทางและภาษากายนั้นบ่งบอกว่าพวกมันไม่ได้เต็มใจ แต่กำลังถูกบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นบังคับอยู่ เวตาลพูดย้ำอีกครั้งว่าให้นั่งลง คราวนี้พวกมันถึงกับทรุดลงอย่างรุนแรง ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้เลย ริวกะนั้นพอจะเข้าใจว่าเวตาลนั้นอาจจะใช้จิตหรืออะไรบังคับให้ทำตาม แต่อั้มนี่สิ่ถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว



[ ยามิ ]  :   ในนามของผู้ตรวจการไตรภาคี ที่ขึ้นตรงต่ออิซานางิ ผมขอประกาศไว้ ณ. ทีนี้ว่า แสงโรจน์ ได้พ้นจากการเป็น สมาชิกของพิทักษ์เทวา และไตรภาคีแล้ว ทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ พวกเราไม่ขอมีส่วนเกี่ยวของใดๆทั้งสิ้น


ไอ้เพียวนั้นถึงกับพูดไปออก ปากสั่นตัวสั่นไปหมด มันเกิดบ้าอะไรขึ้น มาแค่จะพาอั้มมาปิดจ๊อบ ไหงกลายเป็นแบบนี้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนทั้ง 4 คนของคุณอา นั่งคุกเข่าลงแบบนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพียวมองไปที่ริวกะด้วยสายตาที่เคียดแค้นมาก ถ้าเมื่อครึ่งปีก่อนมันไม่โผล่มาล่ะก็ อั้มคงกลายเป็นของมันไปแล้ว


[ เพียว ]  :   มึง มึงมันเสือกเรื่องของกู อย่าคิดว่ามันจะจบง่ายๆ มึงคิดว่ามึงเป็นใคร กู ภูภัทร นิมิตทรัพย์ ลูกชายคนเดียว ของนาย ภูมิ นิมิตทรัพย์โว้ย มันต้องไม่จบ มันต้องไม่จบแค่นี้ ( ปากดีเหลือเกินนะเรา )


ไอ้เพียวนั้นสติแตกเลยทีเดียว ชีวิตของมันไม่เคยพบกับความอับอาย ความผิดพลาดขนาดนี้ เป็นเพราะริวกะคนเดียวที่เข้ามาทำให้ทุกๆอย่างของมันป่นปี้ไปหมด ริวกะได้ฟังแล้วก็ยังคงนิ่งอยู่ เขาไม่พูดอะไรทั้งนั้น แต่เขาค่อยๆเดินไปที่รถของนายภูชิต จากนั้นก็วางมือไปที่ฝากระโปรงรถก่อนที่จะเอ่ยว่า


[ ริวกะ ]  :   ชั้น อิซานางิ ริวกะ  จำใส่หัวเอาไว้ด้วยล่ะ


ตู้ม !!!  ริวกะพูดจบก็อัดฝ่ามือลงบนฝากระโปรงรถทันที และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันอยู่เหนือจินตนาการของพวกมันทุกคน ล้อทั้งสี่ข้างนั้นหลุดกระเด็นออกจากเพลาราวกับถูกดึงอย่างรุนแรง ถ้าถามว่าใครที่ตกใจมากที่สุด ก็คงเป็นไอ้คนที่โดนริวกะซัดด้วย ท่าพยัคฆ์คำรณ นั่นเอง นี่ถ้าริวกะเอาจริงขึ้นมาล่ะก็ตัวของมันคงระเบิดเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว  และอีกคนที่ตกใจไม่แพ้กันก็คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากไอ้คู่หูนรกแตกที่สังเกตการณ์จากยอดตึกที่ห่างออกไป 1 กิโลเมตรนั่นเอง


[ เวย์ ]  :   เชี้ยเอ๊ย  กูสาบานเลย กูจะไม่กวนตีนมึงอีกแล้วไอ้มังกร เสียวหลังเลยกู


เวย์ถึงกับตกใจเลยทีเดียวที่เห็นภาพดังกล่าว เพราะเขาก็ไม่คิดว่าไอ้มังกรเพื่อนของเขาจะทำแบบนี้ได้ ยิ่งอั้มแล้วยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ จริงอยู่ที่เธอรู้อยู่เต็มอกว่าความเก่งของริวกะนั้นสุดยอดเพียงใด ถึงแม้ความเก่งจะไม่ได้เสี้ยวของคุณพ่อริน แต่ก็ถือว่าเก่งเกินมนุษย์อยู่ดี แต่เธอเองก็พึ่งเคยเห็นนี่แหละว่านายริวทำแบบนี้ได้ด้วย


[ อั้ม ]  :  พยัคฆ์คำรณเหรอ


[ ยามิ ]  :  ลองมองที่รอยบุบให้ดีๆสิ่ รอยของตำแหน่งการประสานมือไม่ใช่ พยัคฆ์คำรณ นั่นมัน ลมหายใจมังกร ( 竜の息吹 ) ต่างหาก


[ อั้ม ]  :  หะ หาา ลมหายใจมังกร  นี่นายริวใช้ เท็น โนะ กาต้า แบบคุณปู่ได้แล้วเหรอ


[ ริวกะ ]  :   ถือว่านี่เป็นค่าชดใช้ ที่ทำให้พลอยต้องตกระกำลำบากนับ 10 ปี ไอพวกชั่ว


ริวกะพยายามใจเย็น ใจเย็นและใจเย็น เขาเดินกลับมาทีเดิม พร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไปราวกับพยายามทำใจให้สงบ ซึ่งยามิเองก็ถูกใจสิ่งนี้มากๆ นายน้อยของเขาดูเหมือนจะรู้จักการระงับอารมณ์ได้ดีขึ้น ถึงแม้พึ่งจะพังรถไป 1 คันก็เถอะ ส่วนเวตาลหลังจากที่คลายคำพูดแล้ว ทั้งนายภูชิตและลูกน้องสี่คนก็เริ่มขยับตัวได้ในทันที


[ ภูชิต ]  :   ฝากไว้ก่อนเถอะ มันไม่จบแค่นี้แน่


นายภูชิตกล่าวอย่างอาฆาต ก่อนที่จะเดินออกไปทันที ไอ้เพียวนั้นรีบเดินตามอาของมันไปทันที ปล่อยให้พวกลูกน้องนับ 10 นอนแช่อิ่มอยู่ที่เดิม ยามิไม่ได้ตามไปแต่เขายังคงยืนอยู่โดยมีริวกะและอั้มยืนอยู่ด้วย


[ ริวกะ ]  :  นี่เหรองานที่นายบอก ยามิ


[ ยามิ ]  :   แหม่ ๆ ๆ ก็มันเป็นงานจริงๆนี่ขอรับนายน้อย แต่ว่าการวิ่งจากรังสิตมาที่นี่ก็ถือว่า เป็นการออกกำลังชั้นยอดเลยนะขอรับ


นั่นไงล่ะ เป็นไปอย่างที่อั้มคาดการไว้จริงๆด้วย ที่ชีพจรต่างๆของนายริวดูรวนไปหมด คงเพราะความเหนื่อยล้าจากการวิ่งจากรังสิตมานี่สิ่นะ


[ อั้ม ]  :  นายริว นายวิ่งจากมหาวิทยาลัย มาที่นี่จริงๆเหรอ


[ ริวกะ ]  :   เปล่าครับ วิ่งถึงแค่ราชเทวี ที่เหลือขับมอเตอร์ไซค์มา


[ อั้ม ]  :  โห จากมหาวิทยาลัยมาถึงราชเทวีก็ 43 กิโลเมตร ยังไงก็ มาราธอนอยู่ดี นายเหนื่อยมั้ย กินอะไรหรือยัง


เท่านั้นแหละ พอเจอคำว่ากินอะไรหรือยัง ริวกะถึงกับสตั้นเลย ก็วันนี้อั้มสัญญาว่าจะทำมื้อเย็นนี่นา แต่กลับกลายเป็นว่าเธอ มากินมื้อเย็นกับไอเพียวแทนแล้ว สีหน้าของริวกะเปลี่ยนไปทันทีจนอั้มรู้สึกได้


[ ริวกะ ]  :  ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ


[ อั้ม ]  :  เดี๋ยวสิ่นายริว เดี๋ยวก่อน


อั้มพยายามเรียกนายริวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล เขาเดินออกไปโดยที่ไม่ฟังอะไรเลย ตอนนี้น้ำใสๆเริ่มไหลมาคลอที่สองตาของเขาแล้ว อารมณ์น้อยใจ อารมณ์เคืองใจ มันถาโถมไม่หยุด ริวกะเดินมาสักพักก็มาถึงที่ที่เขาจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ เขาถอนหายใจดังเฮือกก่อนที่จะขึ้นคร่อมมัน สตาร์ท และบิดออกไปทันที โดยแน่นอนว่าที่ที่จะกลับไปก็คือบ้านของเขานั่นเอง ส่วนอั้มนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งโดยไม่พูดอะไรเลย เธอรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนกับเมื่อครึ่งปีก่อนเลย มันเหมือนกับตอนที่เธอกับนายริวจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว



[ เวตาล ]  :   ถ้าเช่นนั้นกระผมคงต้องขอตัวไปจัดการธุระให้จบเสียที


[ ยามิ ]  :  ฝากท่านจัดการต่อด้วย ข้าคงมีเรื่องที่ต้องทำเช่นกัน


ยามิพูดแค่นั้นเวตาลก็เดินออกไปทันทีส่วนเขานั้นก็มองไปที่น้องสาวบุญธรรมที่ตอนนี้ กำลังทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ เขารู้ว่าในใจของอั้มนั้นเกิดคำถามมากมายเลยก็ว่าได้


[ ยามิ ]  :  ไปเถอะ เดี๋ยวข้าไปส่ง


[ อั้ม ]  :  งือ


อั้มตอบสั้นๆแค่นั้น แบะเดินตามยามิไปทันที ดูเหมือนว่าอั้มจะรู้สึกแย่เอามากๆ เธอคิดตื้นเกินไปจริงๆที่มากับเพียว เธออยากให้โอกาสไอ้เพียวอีกครั้งในฐานะเพื่อนแต่ดูเหมือนว่าเพียวจะไม่ได้เปลี่ยนไปเลย อีกทั้งการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเธอครั้งนี้กลับยิ่งน้ำบาดแผลเดิมให้มันกลับมาเจ็บอีกครั้งด้วยซ้ำไป


[ เวย์ ]  :  เฮ้อ... รอดตัวไปนะเอ็ง หรือว่าเป็นพวกตูที่รอดตัววะ 5555


เวย์นั้นเอ่ยขึ้นอย่างโล่งใจที่ไอ้มังกรเพื่อนเขาไม่ได้อาละวาดอะไรมากมาย แค่ทำลายรถไปคันนึงเท่านั้นเอง เขาสังเกตการณ์ผ่านกล้องส่องทางไกลอีกครั้งและเมื่อเห็นว่าไม่น่ามีอะไรแล้ว เขาจึงได้สั่งให้ถอนกำลังออกทันที



•• ด้านภูชิต ••


หลังจากที่เสียหน้าเพราะถูกหยาม และถูกปลดออกจากลูกข่ายของพิทักษ์เทวา มันก็รีบกลับมาที่บ้านทันที แน่นอนว่าความแค้นครั้งนี้มันต้องเอาคืนให้สาสม


[ ภูชิต ]  :  แก ไอ้เวโรจน์ ชั้นจะให้แกชดใช้ด้วยชีวิต ไอ้เพียว


[ เพียว ]  :  ครับคุณอา


[ ภูชิต ]  :  นังเด็กที่ชื่ออั้มนั้น หาคนไปอุ้มมันมาซะ แก ต้องจับมันทำเมียให้ได้ ไอ้พวกอิซานางิ มันต้องชดใช้ที่ทำให้ชั้นอับอาย


[ เพียว ]  :  ได้เลยครับ คุณอา


ผมว่า คงไม่มีทางยอมให้ทำแบบนั้นครับ


เอาอีกแล้ว เสียงนี้มาอีกแล้ว เสียงของเวตาลมาอีกแล้ว คราวนี้ไม่ได้มาแค่คนเดียว แต่มาเป็นทั้งตำบล เจ้าหน้าที่ตำรวจนับ 10 คนเดินเข้ามาพร้อมแสดงหมายจับ หมายค้นทันที


[ ภูชิต ]  :  นี่มันอะไรกันคุณเวโรจน์


[ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ]  :  เรามีหลักฐานและพยานที่บุว่า คุณ ภูชิต นิมิตทรัพย์ ได้ทำงานทุจริต ยักยอกทรัพย์ และ แพร่งพรายความลับของบริษัท เชิญไปคุยกันที่โรงพักครับ


[ ภูชิต ]  :  เฮ้ย ได้ยังไงกัน พวกแกมาปรักปรำกันแบบนี้ ชั้นจะฟ้องกลับทุกคนเลย ทนาย ชั้นต้องการทนาย


[ เวตาล ]  :  ทนายของคุณให้การสารภาพทั้งหมดแล้วครับคุนณภูชิต ยอมไปกับเราแต่โดยดี ดีกว่าครับ ที่ผมไม่จับกุมคุณตั้งแต่ที่สวนสาธารณะ เพราะผมเห็นแก่หน้าคุณภูมิ พี่ชายของคุณ


ตำรวจสองนายเข้าจับกุมนายภูชิตพร้อมกับนำตัวออกไปทันที โดยที่ปากยังคงด่าทอต่อว่าเจ้าหน้าที่ต่างๆนาๆ ขู่อาฆาตจะฟ้องกลับทุกคน แน่นอนว่าคดีนี้ต่อให้แบ็คใหญ่แค่ไหนก็ไม่กล้ายุ่ง เพราะเจ้าของคดีเป็นถึง 3 ขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจของเอเชีย อย่างไตรภาคี


เรียกได้ว่าตอนนี้ภูชิตโดนตัดหางปล่อยวัดเรียบร้อย ส่วนไอ้เพียวที่กำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า ก็ต้องตกใจอีกรอบเพราะ เจ้าหน้าที่พิเศษคนหนึ่งได้เดินเข้ามาหามันและแสดงหมายจับอีกฉบับต่อหน้ามันทันที


[ เจ้าหน้าที่พิเศษ ]  :  คุณภูภัทร นิมิตทรัพย์ ขอเชิญตัวไปที่สถานีตำรวจด้วยครับ


[ เพียว ]  :  อะไร เชิญทำไม ผมทำอะไรผิด


[ เจ้าหน้าที่พิเศษ ]  :  มีเจ้าทุกข์ร้องเรียนมาทางเรา ว่าถูกคุณทำการล่วงละเมิดทางเพศหลายราย ขอเชิญมากับเราด้วยครับ


มั่บ !!! ไอ้เพียวโดนรวบทันทีไม่มีรีรอ เพราะข้อมูลที่หน่วยงานพิเศษค้นหามานั้น ระบุว่าไอ้เพียวนั้นก็มีคลิปที่เตรียมไว้เพื่อแบ็คเมลล์หญิฝสาวที่ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน ทันทีที่มันถูกรวบไป ทีมงานที่เหลือก็รีบไปที่ห้องของมัน


เพื่อสำรวจตรวจค้น อุปกรณ์อิเลคโทรนิคทุกอย่างที่มี เพื่อตามหาคลิปทั้งหมด ซึ่งระหว่างนั้น นายภูมิ นิมิตทรัพย์ พ่อของไอ้เพียวและเจ้าของบ้าน ก็เดินลงมาด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง เขารู้และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใครล่ะจะไม่รู้สึกเสียใจที่น้องชายและลูกชายในใส้ถูกจับไปแบบนั้น


[ เวตาล ]  :  คุณทำถูกแล้วคุณภูมิ อย่าเสียใจไปเลยครับ


[ ภูมิ ]  :  มรดกพวกนี้ มันเป็นมรดกบาป มรดกที่แย่งชิงเขามาสักวันก็ต้องถูกเอาคืน ผมคงทำอะไปไม่ได้มากกว่านี้แล้ว คุณเวโรจน์



[ เวตาล ]  :  คุณไม่ได้มีส่วนร่วมกับบาปกรรมครั้งนี้ คุณทำใจให้สบายเถอะ อย่างน้อยในตอนนั้นคุณก็ไม่คิดจะแย่งชิงมรดกของคุณสกุณา และพาคุณหนุรุ้งพลอยไปฝาก คุณป้าดำเลี้ยงที่ลพบุรี ถ้าวันนั้นคุณไม่ได้มีจิตใจที่เมตตา คุณคงปล่อยให้เธอต้องโดดเดี่ยวแล้วล่ะ



[ ภูมิ ]  :  อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ คุณเวโรจน์ เพราะหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ไปดูดำดูดีรุ้งพลอย และปล่อยให้เธอเติบโตมาโดยลำพังเท่านั้น  บุญที่ผมเฝ้าทำมาสิบปี ก็คงไม่สามารถชดใช้บาปกรรมเมื่อตอนนั้นได้



[ เวตาล ]  :  ทุกคนย่อมมีกรรมเป็นของตัวเอง การที่คุณไม่สามารถไปพบเจอคุณหนูรุ้งพลอย นั่นก็เป็นเพราะเวรและกรรมเช่นกัน จงตั้งมั่นทำดีต่อไปเถอะครับคุณภูมิ  ต่อให้จากนี้ไป แสงโรจน์และนิมิตทรัพย์ จะไม่ได้ร่วมกับเครือไตรภาคี แต่ผมเชื่อความคุณความดีและความซื่อสัตย์ของคุณ จะทำให้นิมิตทรัพย์กลับมารุ่งเรื่องอีกครั้ง และวันที่คุณใช้ความดีพิสูจน์ตัวตนของแสงโรจน์ได้ วันนั้นพิทักษ์เทวาจะขอต้อนรับคุณอีกครั้ง


เวตาลพูดแค่นั้นและเดินออกไปทันที คุณภูมิก็ได้แต่ทำใจ และเข้าใจเป็นอย่างดี การที่บริษัทแสงโรจน์ของเขาถูกปลดออกมานั้น มันถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆของธุรกิจ ในองค์กรที่มีขนาดใหญ่มากๆ การปกครองนั้นต้องเด็ดขาด ผิดก็คือต้องลงดาบและตัดทิ้ง มันคือสัจธรรมขององค์กรขนาดใหญ่ 


แต่ถึงยังไงเวตาลก็ถือว่าเมตตามากๆ เขามีสิทธิ์ที่จะฟ้องนิมิตทรัพย์ให้ล้มละลายได้ง่ายๆ แต่เขาไม่ทำ เขาอยากให้โอกาสคนดีๆอย่างคุณภูมิ ได้บริหารบริษัทที่เขาสร้างมากับมือต่อไป ส่วนเนื้อร้ายอย่างภูชิตและไอ้เพียว ก็คงต้องปล่อยให้กฏหมายและเวรกรรมเป็นคนจัดการเท่านั้นเอง


•••••


กลับมาที่พระเอกช้ำรักของเราต่อ หลังจากที่ทุกอย่างจบลง พี่แกก็หง่อมเป็นทุเรียนสุกเลย เขาบิดมอเตอร์ไซค์คันโตกลับมายังคอนโดหรูกลางเมือง และแน่นอนว่าเมื่อเจอรถที่ไม่คุ้นตา พนักงานรักษาความปลอดภัยจึงได้รีบเดินมายังริวกะทันที


[ พนักงานรักษาความปลอดภัย ]  :  สวัสดีครับ ต้องการติดต่อใครครับผม


[ ริวกะ ]  :  ( ถอดหมวกกันน็อค )  ผมเองครับ


[ พนักงานรักษาความปลอดภัย ]  :  อ้าว คุณริวกะเองเหรอครับ ผมขอโทษด้วยครับ พอดีผมไม่คุ้นรถมอเตอร์ไซค์คันนี้เลย


[ ริวกะ ]  :  ไม่เป็นอะไรครับ ยังไงก็อัพเดททะเบียนรถคันนี้ลงในระบบให้ด้วยนะครับ


[ พนักงานรักษาความปลอดภัย ]  :  ได้เลยครับ ผมจะประสานกับฝ่ายทะเบียนให้ครับ


[ ริวกะ ]  :  ขอบคุณครับ


หลังจากคุยกับพนักงานรักษาความปลอดภัยเรียบร้อย ริวกะก็ขับรถเข้ามาจอดในโซน VIP ของเขาทันที จากนั้นพ่อหนุ่มช้ำรักก็เดินขึ้นเข้าไปในตัวคอนโดและตรงไปที่ลิฟต์ด้วยสายตาที่หมองเศร้า ราวกับพระเอกที่พึ่งโดนนางเอกบอกเลิกมาเลยทีเดียว


ติ๊ง !!! เสียงลิฟต์ดังบอกว่า ถึงชั้น 10 แล้ว ตอนนี้ริวกะเองก็เริ่มปรับอารมณ์มาได้ระดับนึงแล้วล่ะ อย่างน้อยพี่อั้มก็พูดชัดเจนแล้วว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับไอ้เพียวแล้ว แค่นี้ก็ทำให้พ่อหนุ่มมังกรช้ำรักใจชื้นขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว  ตึ้ก ตึ้ก ตึ้ก ระหว่างที่ริวกะกำลังเดินเข้าห้องเขาก็รู้สึกได้ว่ามีเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาเดินตามมา แน่นนอนว่าเขารู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร


[ ริวกะ ]  :  ชั้นไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ขอบใจนะที่มาถึงที่นี่ กลับไปบ้านใหญ่เถอะ


ร่างที่สูงใหญ่เกือบติดเพดานย่อเท้าคู่หน้าลงและก้มหัวราวกับกำลังรับฟังอย่างเคารพ ริวกะลูบที่แผงคอของมันอย่าวแผ่วเบาสองสามครั้ง และร่างของปีศาจตนนั้นก็ค่อยๆหายไป ริวกะถอดรองเท้า ถอดเสื้อผ้า เปลี่ยนชุดทันที ตามที่เคยทำมาในทุกๆวัน


[ ริวกะ ]  :  คิราระ วันนี้มีอะไรกินมั่ง หิวจังเลยยย


ริวกะทำอย่างที่เคยทำเป็นประจำในทุกๆวัน นั่นก็คือถามคิราระว่ามีอะไรกินมั่ง ซึ่งปกติเขาจะเดินเข้าไปหาและกอดเมดสาวและออดอ้อดราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่วันนี้คิราระไม่อยู่ เพราะไปบ้านพลอยนั่นเอง ริวกะถึงกับเกาหัวแกรกๆเลยทีเดียว คงเพราะความเคยชินที่อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา ริวกะจึงได้ลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ เขาดูนาฬิกาซึ่งบอกเวลา 19.00 น.  ตอนนี้คงกำลังกินมื้อเย็นกันอยู่ เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว ความคิดที่จะโทรศัพท์ไปหาก็ต้องล้มเลิกทันที


[ ริวกะ ]  :  ตอนนี้ให้สองคนนั้นพักผ่อนดีกว่า


ริวกะคิดแบบนี้จริงๆ เพราะถ้าโทรฯไปตอนนี้ก็จะรบกวนเวลาทานข้าวของคุณแม่ยายและเมียทั้งสองแน่ๆ แต่ยังไงซะ ทั้งเหตุการณ์วันนี้ บรรยากาศแบบนี้ มันทำให้เขา อดที่จะนึกถึงเรื่องราวต่างๆในอดีตจริงๆ เรื่องราวของเขาและพี่อั้มนั่นเอง


•• ณ.บ้านสถิตย์เทวา  ••

ทั้งพิกุล คิราระ และรุ้งพลอย กำลังร่วมมื้ออาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย พลอยมีความสุขมากๆ เพราะการกลับมาบ้านครั้งนี้มีอะไรหลานๆอย่างเปลี่ยนไปมากจริงๆ ส่วนทั้งลุงอุดมและป้าเกสร ต่างก็ยิ้มอย่างมีความสุข ภาพตรงหน้านั้นเหมือนกับวันวานไม่มีผิด แม้คุณหนูพลอยของเธอจะโตขึ้น
แม้คนที่อยู่ข้างๆจะเป็นคุณพิกุล แต่ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมา ก็ไม่ต่างจากคุณสกลและคุณสกุณาเลยแม้แต่น้อย


[ พิกุล ]  :  แล้วคิราระ ออกมาแบบนี้ ริวจะกินอะไรล่ะเนี่ย ฝีมือการทำอาหารยิ่งเป็นแบบนั้นด้วย


[ พลอย ]  :  งือออ ทำไมเหรอคะแม่กุล ริวทำอาหารไม่เป็นเหรอคะ


[ คิราระ ]  :  ต้มมาม่าเส้นยังไหม้ติดหม้อเลยค่ะคุณพลอย


[ พลอย ]  :  ง่าาาา ไม่เอา ไม่เอาคุณพลอย ต้องน้องพลอยสิ่ ฮืออออ


[ พิกุล ]  :  สอนไม่จำเลยจริงๆ สงสัยชั้นต้องบอกให้รินส่งเธอกลับญี่ปุ่นจริงๆซะแล้วสิ่


[ คิราระ ]  :  อ๊าาาา อยะ อย่าทำแบบนั้นนะคะ ถ้าคิราระกลับไปนายน้อยจะทานอะไรล่ะคะ ขนาดใช้เครื่องปิ้งขนมปังแบบอัตโนมัติ ขนมปังยังไหม้เลยค่ะ


[ พลอย ]  :  ฮ๊ะ !!!  เครื่องปิ้งขนมปังมันเป็นระบบออโต้นะคะ  ปิ้งยังไงให้ขนมปังไหม้เนี่ย  โอ๊ย !!! ตาบ๊องเอ๊ย


พลอยนั้นถึงกับเหวอเลยทีเดียวพอได้ยินคิราระพูดแบบนี้ ริวนั้นทำอาหารห่วยจริงๆ แตกต่างจากโคฮาคุและกัปปะที่สองรายนั้นทำอาหารได้อร่อยสุดๆ ทุกคนที่ได้ยินพลอยบ่นก็ถึงขำไม่หยุดโดยเฉพาะคิราระ เธอไม่คิดเลยว่าการมาของพลอย จะช่วยให้เธอได้พบฟ้าหลังฝนแบบนี้ มันนานแล้วนะที่เธอไม่ได้รู้สึกโล่งอกโล่งใจแบบนี้


หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จพลอยกับคิราระ ก็ถูกป้าเกสรไล่ให้มาพักผ่อนทันที เพราะถ้าไม่พูดแบบนี้ทั้งสองคนคงได้เข้าไปช่วยทำความสะอาดแน่ๆ เรียกได้ว่าป้าเกสรอ่านเกมส์ขาดจริงๆ เพราะทันทีที่ถูกห้ามไม่ให้ช่วย ทั้งสองก็หน้ามุ่ยทันที แต่ป้าเกสรก็ให้เหตุผลว่า " ขอให้พวกป้าได้ทำหน้าที่นี้เถอะ พวกป้าอยากรับใช้หนูพลอยแบบนี้ มาสิบปีแล้ว " ด้วยคำพูดของป้าเกสรจึงทำให้พลอยนั้นไม่อาจจะเถียงได้ เธอจึงพาคิราระขึ้นไปพักผ่อนทันที


[ พิกุล ]  :  พลอย เดี๋ยวแม่จะคุยธุระกับรินแปปนึงนะ หนูอยู่กับคิราระก่อนนะลูก  แล้วถ้าคิราระเรียกหนูว่าคุณพลอยอีก รียมาบอกแม่เลยนะ แม่จะให้รินเอาตัวกลับญี่ปุ่นทันทีเลย



[ พลอย ]  :  ได้เลยค่ะแม่กุล ว๊า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดูซิ๊พี่คิราระจะเรียกพลอยว่า " คุณ " อีกมั้ย



[ คิราระ ]  :  อ่ะ ฮือออออ


สาวน้อยวัย20 หัวเราะอย่างผู้มีชัย ความน่ารักสดใส และจิตใจงามแบบนี้ ทำให้คิราระนั้นเอ็นดูเธอราวกับเป็นน้องสาวจริงๆ แค่คงเป็นน้องสาวที่มีสามีคนเดียวกันละมั้งนะ ทั้งพลอยและคิราระพากันขึ้นมานอนพักผ่อนข้างบน คิราระถึงกับตะลึงไปเลยทีเดียว พอได้เห็นที่นอนลายพาวเวอร์พัฟเกิร์ล เธอคงคาดไม่ถึงว่าสาวสวยวัย 20 จะนอนบนที่นอนลายการ์ตูนแบบนี้ แต่พลอยก็ยิ้มอย่างภูมิใจพร้อมกับเล่าเหตุผลที่เธอรักที่นอนหลังนี้มากๆ ซึ่งพอคิราระได้ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้เลย เธอภูมิใจในตัวชายคนรักจริงๆ ที่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบนี้ ซึ่งแน่นอนเธอรู้ดีถึงความใส่ใจนี้อยู่แล้ว นี่คือ 1 ในเหตุผลนานับประการที่ทำให้เธอรักริวกะยังไงล่ะ


[ คิราระ ]  :  เอ... ทุ่มกว่าแล้ว ริวกะจะได้ทานอะไรหรือยังนะ  อืมม... ปานนี้พี่อั้มคงทำให้ทานแล้วล่ะ


คิราระมองนาฬิกาและพร่ำพรรณาออกมาถึงชายคนรัก ซึ่งปกติแล้วในเวลานี้ของทุกๆวันเธอจะง่วนอยู่กับการทำอาหารมื้อเย็นให้เจ้านายสุดที่รัก แต่ว่าวันนี้เธอมาบ้านของพลอย แม้พี่อั้มรับปากว่าจะเป็นคนจัดการเรื่องอาหารให้ แต่เธอก็ยังแอบหวั่นใจเล็กๆอยู่เช่นกัน


ในขณะที่คิราระกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ดูเหมือนสาวน้อยคนทรง ภรรยาคนเล็กของนายมังกรก็ได้สังเกตเห็นพฤติกรรม ของคิราระ พูดก็พูดตรงๆ เธอมีเรื่องที่แอบคิดอยู่ในใจมาหลายวันแล้ว แน่นอนว่าความตะขิดตะขวงใจเรื่องพี่มิไรและคิราระ ได้หายไปหมดแล้ว แต่สิ่งที่เธอยังไม่แน่ใจ นั่นคือความรู้สึกข้างในของอั้มนั่นเอง ทั้งพี่มิไร และพี่คิราระ ก็ต่างยืนยันว่าพี่อั้มนั้นรักนายริวเหมือนกัน แต่สิ่งที่พลอยรู้สึกได้มันไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว


[ พลอย ]  :  พี่คิราระ พลอยอยากรู้ค่ะ


[ คิราระ ]  :  หืม ?  อะไรเหรอพลอย


[ พลอย ]  :  พี่อั้มเขา... รักริวจริงๆเหรอคะ


เอาแล้ววววว อยู่ดีๆพลอยก็ถามคำถามแบบนี้ขึ้นมา และพอพลอยถามเท่านั้นแหละคิราระก็ถึงกับนิ่งเลยทีเดียว เธอตกใจราวกับว่าพลอยไปรู้อะไรมาอย่างงั้นแหละ แต่เธอก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เผลอหลุดปากอะไรไปสักคำ


[ คิราระ ]  :  ทำไมพลอย ถามแบบนั้นล่ะ พลอยสงสัยอะไรในตัวพี่อั้มเหรอ


[ พลอย ]  :  ไม่ใช่แบบนั้นค่ะพี่คิราระ อืม พูดยังไงดีล่ะ อื้อออ แบบนี้ๆๆ


อยู่ดีๆพลอยก็ชูมือขึ้นมาทั้งสองข้าง ข้างขวาชูมา 5 นิ้ว และข้างซ้าย 4 นิ้ว ซึ่งคิราระมองแปปเดียวก็พอจะเดาความหมายได้ นั่นก็เพราะเธอรู้ว่าตัวของอั้มยังมีเรื่องอะไรในใจอย่างที่พลอยบอกนั่นเอง


[ พลอย ]  :  วันที่พลอยไปบ้านริวคราวก่อน ตอนที่พวกเรสามคนนั่งคุยกัน พลอยรู้สึกได้ค่ะ ว่าทุกครั้งๆที่พูดถึงริวพี่คิราระจะแสดงออกชัดเจนว่าคิดยังไง รู้สึกยังไง ทั้งแววนาและภาษากายของพี่คิราระ ทำให้พลอยนั้นรู้ได้เลยว่าพี่รักริวมากๆ แต่กับพี่อั้ม.....



[ คิราระ ]  :  พี่อั้มทำไมเหรอพลอย



[ พลอย ]  :  แววตาของพี่อั้มเหมือนจะมีความทุกข์ค่ะ จริงอยู่ว่าพี่อั้มยิ้ม จริงอยู่ว่าพี่อั้มนั้นหัวเราะมีความสุขกับพวกเรา แต่แววตาของพี่อั้มนั้นกลับโกหก


[ คิราระ ]  :  พลอยจะบอกว่าพี่อั้ม ไม่ได้รักริวกะเหรอ


[ พลอย ]  :  ..... ( ครุ่นคิด ) พลอยแค่รับรู้ได้ถึงความสับสนในใจของพี่อั้ม จะบอกว่าพี่อั้มไม่ได้รักริวนั้นไม่ใช่แน่ๆค่ะ ตอนที่ริวสลบไปน่ะ ( ตอนที่ 7 ) สายตาของพี่อั้มไม่ต่างจากพี่ๆทั้งสองคนเลย  แต่สิ่งที่พลอยรู้สึกได้จากที่พวกเราสามคนนั่งคุยกัน เหมือนพี่อั้มกำลังสับสนและปิดกั้นอะไรบางอย่างอยู่



[ คิราระ ]  :  ปิดกั้น ( ท่าทางตกใจ )



[ พลอย ]  :  อืมมม พูดยังไงดีล่ะ


พลอยนั้นครุ่นคิดต่างๆนาๆ ว่าจะอธิบายยังไงให้คิราระเข้าใจ และทันใดนั้นสาวรุ้งพลอยก็คิดได้ ว่าตลอดเวลาที่นั่งคุยกัน พลอยใช้ภาษาไทยคุยกับพี่คิราระนี่นา มิน่าล่ะเธอเลยดูงงในหลายประโยคที่พลอยพูด ถ้างั้นก็แค่พูดด้วยภาษาอังกฤษสิ่ แบบนี้พี่คิราระจะได้เข้าใจง่ายกว่าภาษาไทย และพลอยเองก็จะได้ฝึกการสนทนาไปในตัวด้วย


••• บทสนทนาภาษาปักกิด •••


[ พลอย ]  :  umm พลอยเคยทำงานร้านเหล้าปั่นค่ะ เรียกว่ายังไงดี อืมม พลอยเห็นสายตาของคนหลากหลายอารมณ์มากเลยค่ะ ( คิราระมีสีหน้าดีขึ้นเพราะเข้าใจทุกคำพูกมากกว่าภาษาไทย )


[ คิราระ ]  :  สายตา


[ พลอย ]  :  ใช่ค่ะ ยามปกติคนเราอาจจะสามารถเก็บความรู้สึก ทั้งท่าทางและคำพูดไว้ได้ แต่ยามเผลอหรือยามที่ไม่สามานถควบคุมสติได้ ความรู้สึกเหล่านั้นจะถูกแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวค่ะ


[ คิราระ ]  :  ใช่ๆๆ ตอนคุณลุงนูระริเฮียงเมานะ ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย แต่พอสร่างเมาท่านบอกว่าจำอะไรไม่ได้



[ พลอย ]  :  ใช่ค่ะ ตอนที่คนเราเมานั้น จะไม่สามารถประคองสติสัมปชัญญะไว้ได้เหมือนตอนปกติ ทำให้พฤติกรรมต่างๆที่พยายามเก็บไว้ถูกแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว  ทั้งสีหน้า แววตา วาจาและภาษากาย รวมถึงสิ่งที่ต้องการทั้งหมดจะถูกระเบิดออกมาอย่างห้ามไม่ได้


[ คิราระ ]  :  พลอย หรือว่า...


[ พลอย ]  :  ใช่ค่ะ เรื่องราวของริวที่พวกเราสามคนพูดกัน มันก็เหมือนแอลกอฮอล์สำหรับพี่อั้ม ตอนที่พี่คิราระและพลอยพูดคุยเกี่ยวกับริว สีหน้า แววตา ของพี่อั้มนั้นมีความสุขมากๆ พี่อั้มจะยิ้มและหน้าแดงตลอดเลยค่ะ แต่ว่า....  พอถึงคราวที่พี่อั้มต้องเล่าให้พวกเราฟังบ้าง แววตาของเธอกลับเปลี่ยนไป เหมือนพยายามเก็บงำอะไรบางอย่าง ตอนที่พลอยจับมือของพี่อั้ม พลอยรู้สึกได้ถึงความอึดอัด กดดันที่มันใกล้จะระเบิดเต็มที เพราะแบบนี้ล่ะค่ะ พลอยถึงสับสนและสงสัย ว่าอันที่จริงแล้วพี่อั้มเขารักริวเหมือนที่พวกเรารักริวหรือเปล่า


พลอยนั้นพรั่งพรูความรู้สึกจริงๆที่เธอได้สัมผัสและรู้สึกออกมา ตลอดเวลาตั้งแต่กลับจากบ้านริวคราวก่อน เธอก็ครุ่นคิดเรื่องพี่อั้มมาตลอดเวลา จะว่าพี่อั้มรักริวเธอก็เชื่อ แต่ไอ้ความรู้สึกแปลกที่เธอรู้สึกได้นี่สิ่ ที่ก่อกวนใจของเธอตลอดเวลา คิราระพอได้ฟังสิ่งที่พลอยพูดออกมาก็ถึงกับนิ่งเลยทีเดียว ด้วยการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษนี้ จึงทำให้เธอเข้าใจทุกคำ ทุกความหมายที่พลอยสื่อออกมา คิราระถึงกับถอนหายใจดัง เฮ้อ ความจริงเธอก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าพลอยจะรู้สึกได้ถึงเรื่องนั้นด้วย


[ คิราระ ]  :  .... อืมม ... อาจจะเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อนน่ะ


[ พลอย ]  :  หือ ครึ่งปีก่อน ?  มันเกิดอะไรขึ้นคะพี่คิราระ


[ คิราระ ]  :  .... พลอย สมมติว่าพลอยเป็นผู้ชายที่ได้อยู่ใกล้ชิดพี่อั้มทุกวัน ทุกวัน พลอยคิดว่าพลอยจะเผลอใจ ชอบพี่อั้มมั้ย


[ พลอย ]  :  โห สวยก็สวย ใจก็ดี แถมนิสัยงี้น่าอยู่ใกล้สุดๆ ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยค่ะว่าถ้าพลอยเป็นผู้ชายนะ พลอยก็คงชอบพี่อั้มแน่นอนเลยค่ะ ถามทำไมเหรอคะพี่คิราระ



[ คิราระ ]  :  อืมม... ริวกะน่ะเคยแอบชอบพี่อั้มซึ่งพี่อั้มไม่เคยรู้ และมีครั้งหนึ่งที่พี่อั้มปล่อยให้ริวกะนอนป่วยอยู่คนเดียวที่บ้านน่ะ



[ พลอย ]   :   ห๊า !!!  ริวเคยแอบชอบพี่อั้ม และ พี่อั้มเคยทิ้งให้ริวนอนซมเป็นไข้คนเดียว เกิดอะไรขึ้นคะพี่คิราระ


รุ้งพลอยสาวน้อยตาใสตกใจเลยทีเดียวเมื่อความลับครั้งนี้ถูกเปิดเผย ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ มันเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างของริวกะและพี่อั้มกันแน่


[ คิราระ ]  :  เรื่องมันมันเกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนที่แล้ว ตอนนั้นริวกะยังเรียนอยู่ปี 1 ซึ่งคงเพราะความใกล้ชิด ความสนิท ความอบอุ่น ความเอาใจใส่ ที่พี่อั้มมีให้ นั่นเลยทำให้ริวกะนั้นแอบชอบพี่อั้ม ถึงริวกะจะไม่บอกพี่ก็รู้เพราะการกระทำทุกอย่างมันฟ้อง แต่ว่าริวกะน่ะไม่ได้พูดมันออกไป แต่ลงมือทำให้พี่อั้มแทบจะทุกๆอย่าง


[ พลอย ]  :  อ้าว แล้วเกิดอะไรขึ้นคะพี่


[ คิราระ ]  :  พี่อั้มเองก็มีแผลในใจ พี่อั้มชอบคิดตลอดว่าตัวเองเป็นคนนอก เธอชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับตัวพี่มิไร ตัวพี่เอง และตัวพลอยด้วย


[ พลอย ]  :   ง๊า หนูเกี่ยวไรด้วย


[ คิราระ ]  :  ก็เพราะพลอยเป็นคนที่ริวกะคิดถึงไง ในความคิดพี่อั้มนั้น พี่มิไรน่ะเป็นเหมือนคนที่อยู่กับริวกะมานานจึงเป็นคนสำคัญ ชอบคิดว่าพี่น่ะเป็นเมดส่วนตัว ดูแลริวกะได้ทุกๆเรื่องๆ ส่วนตัวพลอยเองก็รู้ๆกันอยู่ว่าริวกะทุ่มเทตามหาตัวมากแค่ไหน ส่วนพี่อั้มเองก็คิดว่าตัวเองเป็นแค่ลูกสาวบุญธรรมที่นายท่านรับมาเลี้ยงเพราะอยากช่วยเพื่อน


[ พลอย ]  :  พี่อั้มเลยคิดว่าตัวเอง แปลกแยกจากพวกพี่ๆ ที่อยู่กับริวที่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่แรก และพลอยที่รู้จักกับริวมาตั้งแต่เด็กเหรอคะ


[ คิราระ ]  :  ใช่ ยิ่งนานวันเข้าความกดดันมันก็สะสม จนกลายเป็นความเหงาอ้างว้าง ทั้งๆที่ริวกะทำอะไรให้หลายๆอย่างแต่พี่อั้มก็มองไม่เห็นอยู่ดี และตอนนั้นก็มีคนเข้ามาจีบพี่อั้มเอาอกเอาใจสารพัด คงเพราะความเหงาที่มีถูกแทนที่ด้วยความเอาใจใส่ พี่อั้มเลยตกลงคบกับคนๆนั้น


[ พลอย ]  :  ง๊า แล้วริวล่ะคะ ริวเป็นไงบ้าง


[ คิราระ ]  :  ตอนนั้นริวกะก็เป๋ ไปพักนึกเลยนะ แต่เขาก็ยังคงไม่แสดงอาการให้พี่อั้มเห็นและยังคงใช้ชีวิตตามปกติ พอกลับมาจากมหาวิทยาลัยก็จะมาคอยพี่อั้มกลับบ้านทุกวัน พอเข้านอนก็จะไปเสิร์ซข้อมูลเพื่อตามหาเบาะแสของพลอย


พลอยได้ฟังก็ถึงกับสะอึกเลยทีเดียว แต่แปลกที่เธอไม่ยักจะโกรธหรือน้อยใจริวนะที่เคยชอบพี่อั้ม และยิ่งพอมารู้ว่าทุกๆคืนริวจะมาคอยตามหาเธอ เธอก็ถึงกับยิ้มเลย แม้ว่าถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ริวนั้นถือว่าเป็นผู้ชายที่หลายใจคนนึง เพราะว่าไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว แต่ด้วยอะไรทั้งหลายทั้งแหล่ที่เธอรับรู้เกี่ยวกับตัวเขาผสมกับสิ่งที่เขาแสดงออกมาให้เธอเห็น มันก็ทำให้พลอยเข้าใจได้


และที่สำคัญคนที่ริวชอบ คนที่ริวกะรัก ไม่ว่าจะพี่มิไร พี่อั้ม พี่คิราระ ทุกคนต่างก็ดีกับเธอมากมายอย่าง อย่างที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน นั่นจึงทำให้เธอไม่คิดโกรธและสนับสนุนให้ริวนั้นรวบทั้งหมดเข้าฮาเร็มนั่นเอง และที่ริวชอบพี่อั้มนั้นพลอยก็ไม่แปลกใจเลย โห !!!  อยู่ด้วยกันทุกวันกับสาวสวยนิสัยดีขนาดนั้น ไม่รู้สึกอะไรเลยสิ่แปลก จริงอยู่ว่าการรักหรือคบหากันระหว่างพี่น้องมันจะผิดศีลธรรม แต่ว่าบางครั้งความรักมันก็ห้ามกันไม่ได้จริงๆ


[ คิราระ ]  :  พี่เล่ามาถึงตรงนี้พลอยอาจจะขุ่นเคืองใจเรื่องริวกะน่ะ ที่แอบชอบพี่อั้ม


[ พลอย ]  :  ไม่เลยค่ะ พลอยเข้าใจ แล้วเรื่องเป็นไงต่อคะ


[ คิราระ ]  :  จากปกติที่พี่อั้มจะกลับบ้านมาทานข้าวเย็นด้วยกันทุกวัน กลับกลายเป็นว่ากลับมาหลังอาหารเย็นทุกวัน พี่กับริวกะต้องกินข้าวกันสองคนเป็นเดือนๆ


[ พลอย ]  :  งือออ งั้นพี่อั้มคง....


[ คิราระ ]  :  พี่อั้มยังบริสุทธิ์อยู่  เธอยืนยันเรื่องนั้นกับพี่เอง เพราะว่าไม่เคยไปไหนสองต่อสองกับแฟนที่คบกันเลย


[ พลอย ]  :  เฮ้ออออ โล่งใจ


[ คิราระ ]  :   มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ่พลอย และสุดท้ายวันนั้นก็มาถึง วันนั้นริวกะมีไข้ตั้งแต่ตอนกลางดึก ไม่ยอมบอกใคร พอพี่อั้มออกไปเรียนถึงได้ยอมบอกพี่ วันนั้นพี่ต้องออกไปทำธุระเรื่องเอกสารที่อิซานางิ กรุ๊ป ( สาขาประเทศไทย )  จริงอยู่ว่าริวกะสั่งห้ามไม่ให้บอกพี่อั้ม แต่เพราะพี่เป็นห่วงพี่เลยโทรไปบอกเธอให้กลับเร็วๆหน่อย ตอนแรกพี่ก็คิดว่าพี่อั้มจะกลับเร็ว พี่ก็เลยไม่ได้รีบกลับและอยู่สะสางธุระจนเสร็จ กว่าจะกลับก็ 5 ทุ่ม พอกลับมาที่บ้านสภาพคือแย่มาก ริวกะไข้ขึ้นเกือบ 50 องศา


[ พลอย ]  :  หา 50 องศา โอ๊ยยยยย สำหรับพลอยแค่ ตัวร้อน 39 องศาก็แทบพ่นไฟได้แล้วนะคะ แล้วริวเป็นไงบ้างคะพี่คิราระ


[ คิราระ ]  :   ลุกไม่ไหวเดินไม่ไหว  พูดได้คือแย่น่ะ อย่าว่าแต่ข้าวเลย น้ำก็แทบไม่ได้กิน มันแย่ตรงที่ว่าตอนที่ริวกะกำลังแย่ กำลังทรุดลงกับพื้นพี่อั้มกลับเดินโทรศัพท์หัวเราะเข้ามาและยิ้มอย่างมีความสุข จริงอยู่ว่าพี่อั้มก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะไปกับแฟน แต่ว่าเหตุการณ์ตอนนั้นมันกลับกลายเป็นภาพจำของริวกะเลยล่ะ


..... เหตุการณ์วันนั้น ....


คิราระนั้นเดินทางกลับบ้านมาเวลา ประมาณ 3 ทุ่ม เพราะคิดว่าพี่อั้มกลับมาดูแลริวกะแล้ว เธอจึงอยู่เคลียร์งานอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่พอเห็นว่าชั้น 5 ไม่เปิดไฟ เธอจึงรีบขึ้นไปทันทีด้วยความร้อนใจ เพราะสังหรณ์ใจไม่ดีและก็เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ ทั้งชั้นไม่มีไฟติดอยู่เลยสักดวง หลังจากที่ก้าวออกมาจากลิฟต์ ปั้ป ปั้ป คิราระปรบมือ 2 ทีคราวนี้ไฟติดทั้งชั้นเลย เธอจึงรีบวิ่งไปที่ห้องทันที และสิ่งที่พบคือริวกะกำลังนอนซมอยู่ที่โซฟา


[ คิราระ ]  :  นายน้อย นายน้อย อ๊าย


[ ริวกะ ]  :  อื้อ กลับมาแล้วเหรอ เธอช่วยหยิบน้ำให้หน่อยได้มั้ย ชั้นหิวน้ำจังเลย


ทันทีที่คิราระแตะที่ตัวของริวกะ เธอก็ต้องสะดุ้งเพราะตอนนี้ตัวของริวกะร้อนมากๆ  ปากก็ซีด แถมตัวยังแห้งอีก สภาวะขาดน้ำแน่นอน คิราระวิ่งไปหาปรอทวัดไข้มาทันที เธอเสียบไว้ที่ใต้รักแร้ของริวกะและก็วิ่งไปหยิบน้ำทันที ซึ่งเมื่อเธอกลับมาก็ประจวบเหมาะกับเครื่องวัดไข้ดังแจ้งเตือนพอดี ในขณะที่ริวกะกินน้ำ อึ้ก อึ้ก อึ้ก คิราระที่หยิบปรอทวัดไข้ขึ้นมาก็ถึงกับตกใจจนแทบเป็นลม เพราะตัวเลขมันคือ 50 °C   ขนาดตัวเธอมีไข้แค่ 38 ยังทรมานแทบตายที่ริวกะตัวร้อนถึง 50 เลยเหรอ และสิ่งที่ตกตะลึงยิ่งกว่านั้นคือ น้ำจำนวน 3 ลิตรที่เธอหิ้วมาก็หมดไปเช่นกัน นี่เขาต้องทนหิวขนาดไหนเนี่ย ถึงได้กินน้ำหมดรวดเดียวแบบนี้


[ ริวกะ ]  :  รบกวนพาชั้นไปห้องน้ำทีได้มั้ยคิราระ ชั้นเดินเองไม่ไหวเลย ปวดฉี่จัง


[ คิราระ ]  :  ไม่รบกวนเลยเจ้าค่ะ นายน้อย


ซึ่งในขณะที่คิราระกำลังประคองริวกะให้ยืนขึ้นนั้น เสียงอั้มก็เดินเข้ามาพอดี เธอเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มมีความสุข พร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปยิ้มไป ตุ้บ !!!  ริวกะที่ไร้เรี่ยวแรงก็ทรุดตัวล้มลงอย่างกระทันหันทำให้คิราระนั้นคว้าตัวไม่ทัน จนหน้าริวกะฟาดกับขอบโต๊ะปากแตกเลือดอาบเลยทีเดียว


[ อั้ม ]  :  ว๊ายย เกิดอะไรขึ้น อึ้ก !!! 50 องศา นายริวเกิดอะไรขึ้น


เพียงอั้มแตะตัวริวกะ เธอก็รู้ถึงระดับไข้ของริวกะทันที สมกับเป็นอัจฉริยะ เธอพยายามพูดพยายามถาม แต่ริวกะก็ไม่พูดอะไรกับเธอทั้งนั้น


[ คิราระ ]  :  นายน้อยเป็นไข้ตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ บ่าวก็พึ่งกลับมาถึง


[ ริวกะ ]  :  รบกวนพอชั้นกลับไปที่ห้องที


วินาทีนั้นที่ริวกะพูดแทรกคิราระขึ้นมา อั้มก็รู้แล้วว่าทุกๆอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในขณะที่เธอกำลังจะพูดว่าทำไมไม่บอกเธอ อั้มก็ได้ฉุกคิดขึ้นมาว่าตอนเที่ยง คิราระได้โทรไปหาเธอและบอกว่าอยากให้กลับบ้านเร็วๆ ซึ่งเธอกลับไม่สนใจและไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนและแฟนหนุ่มของเธอนั่นเอง ทันทีที่คิราระพาริวกะไปเข้าห้องน้ำและส่งยังที่นอน เธอก็กุลีกุจอวิ่งมาที่ห้องครัว และทำอาหารง่ายๆ เบาๆสำหรับคนไข้ทันที


[ อั้ม ]  :  เกิดอะไรขึ้น เธอทำอะไรเหรอคิราระ


[ คิราระ ]  :  บ่าวจะทำอาหารให้นายน้อยเจ้าค่ะ นายน้อยบอกว่าหลังจากมื้อเช้าก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย กินแค่น้ำกับยาแก้ไข้


[ อั้ม ]  :  ทำไมไม่บอกพี่ล่ะว่านายริวไม่สบาย


[ คิราระ ]  :  บ่าวบอกไปแล้วเจ้าค่ะว่าอยากให้คุณอั้มกลับเร็วหน่อย  บ่าวก็คิดว่าคุณอั้มจะรีบกลับมา ไม่งั้นบ่าวคงกลับมานานแล้วเจ้าค่ะ


อึ้ก !!! อั้มถึงกับสะอึกทันที คำพูดของคิราระก็ไม่ได้แรงอะไรเลย แต่ทำไม่รู้สึกว่าถูกกระแทกใส่หน้าเต็มๆ และหลังจากวันนั้นอั้มก็รู้สึกได้ทันทีว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ทุกครั้งตอนเช้าริวกะจะคอยเตรียมโต๊ะเตรียมเก้าอี้ไว้ให้ตอนนี้กลับกลายเป็นคิราระที่ต้องทำ ทุกเช้าริวกะจะเตรียมกุญแจรถไว้ให้ตอนนี้คิราระก็กลายเป็นคนเตรียมมาให้ ทุกเช้าจะนั่งกินข้าวด้วยกัน 3 คนตอนนี้ก็มีเพียงเธอกับคิราระ เพราะริวกะนั้นขอแค่แซนวิช 2 ชิ้นและออกไปทันที ตอนเย็นแม้จะนั่งกินข้าวด้วยกันแต่เธอกลับรู้สึกว่านายริวไม่ใช่คนเดิม



--- ปัจจุบัน ---


[ พลอย ]  :  งืมมม เป็นพลอย พลอยก็คงน้อยใจบ้างแหละค่ะ แล้วเป็นไงต่อคะพี่คิราระ


[ คิราระ ]  :  บรรยากาศมาคุอยู่ 3 เดือนน่ะ เขาคุยกับพี่ปกติแทบทุกอย่างเลยนะ แต่พอกับพี่อั้มนั้น....


[ พลอย ]  :  กับพี่อั้ม ทำไมคะ


[ คิราระ ]  :  ยังไงดีล่ะ คือกับพี่อั้มนั้นริวกะ แทบจะไม่ได้คุยกันเลย พูดยังไงดีคือ ภาษาไทยพี่ก็ไม่ค่อยแข็งแรงมากด้วยสิ่


[ พลอย ]  :  ภาษาอังกฤษก็ได้ค่ะพี่ พลอยจะได้ฝึกภาษาด้วย


[ คิราระ ]  :  อื้อๆ พี่ลืมตัวพูดภาษาไทยอีกแล้ว


ตอนแรกคิราระก็เล่าแบบตะกุกตะกัก เพราะว่าเผลอกลับมาใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร แต่พอพลอยบอกว่าให้คุยกันเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นแหละ คิราระก็พูดคล่องขึ้นมาทันที จนพลอยถึงกับอึ้งเลย ฝ คิราระก็ได้อธิบายเรื่องราวต่างๆให้ฟัง เธอเล่าว่าริวกะนั้นก็ไม่ได้พูดกับอั้มอีกเลย ตั้งแต่วันนั้น วันที่อั้มทิ้งให้เขานอนซมอยู่คนเดียว สำหรับอั้มมันคงอึดอัดมากๆนะ เพราะว่าริวกะนั้นกลายเป็นคนที่เงียบขรึม ถามคำตอบคำ ถ้าอั้มไม่ถามก็คือจะไม่พูด อะไรเลย คิราระรู้ดีว่าริวกะนั้นเป็นอะไรเธอจึงเข้าใจเขา แต่พอวันหนึ่งอั้มก็ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา


[ อั้ม ]  :  เป็นอะไรทำไมไม่พูด พี่อึดอัดนะนายริว ถ้ายังจะอยู่ด้วยกันก็พูดมาเลยว่าเป็นอะไร


[ ริวกะ ]  :  ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจครับ



เท่านั้นแหละเรียกได้ว่าความชิบหายบังเกิดเลย วันรุ่งขึ้นริวกะก็โชว์ความอินดี้ด้วยการ เก็บกระเป๋าไปอาศัยอยู่กับเวย์ ซึ่งก่อนไปเขาก็ฝากฝังให้คิราระช่วยดูแลบ้านสักระยะ ถ้าวันไหนเขารู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นภาระเขาจะกลับมา คิราระนั้นใจนึงก็ไม่อยากให้ริวกะไป แต่เพราะว่าเธอนั้นรู้จักริวกะดีว่า เมื่อตัดสินใจอะไรไปแล้ว ถึงห้ามไปก็ไร้ประโยชน์ เธอจึงยอมให้เขาไป และอีกอย่างเพราะไปอยู่กับเวย์ด้วย นั่นจึงทำให้คิราระไม่ต้องห่วงอะไร หน้าที่ของเธอคือตั้งใจทำงานให้สมกับหน้าที่เมดส่วนตัวและเลขาของมิไรนั้นเอง



ส่วนอั้มนั้นก็ยังคงไม่รู้เรื่องอะไร เพราะคิดว่าริวกะคงแค่ไปทำงาน ทำรายงาน แต่พอสามสี่วันผ่านไป ริวกะยังไม่กลับบ้านอั้มจึงได้เอ่ยถามคิราระ และพอได้ฟังคำตอบจากคิราระ เธอก็ถึงกับไปไม่เป็นเลย  เชื่อหรือไม่ว่าตลอด 3 เดือน อั้มไม่ได้เจอหน้าริวกะเลย ไม่ใช่ว่าริวกะไม่ไปเรียน ไม่ใช่ว่าริวกะหนีไปที่อื่น แต่ทุกครั้งที่อั้มพยายามมาหาเขา เขาก็จะเลี่ยงๆออกตลอด และแน่นอนความเร็วระดับเทพสายฟ้าแบบนั้น ใครจะไปตามทัน เรียกได้ว่าตลอดเวลานั้น มันทำให้อั้มได้ทบทวนอะไรมากมายจริงๆ



แต่แล้วโชคชะตาก็นำพาให้ริวกะต้องมาเจออั้มอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์บางอย่างทำให้อั้มนั้นเลิกกับแฟนคนนั้น บางสิ่งบางอย่างในใจก็ชัดเจนขึ้นมาทันที ตลอดเวลาที่เธอมีแฟนเพราะเธอคิดว่าแฟนที่เธอคบนั้นจะช่วยทำให้เธอลืมริวกะได้ เพราะเธอนั้นคิดว่าตัวเองแค่รู้สึกดีและรู้สึกขอบคุณที่ริวกะเคยเข้ามาช่วยไว้ เลยคิดว่าถ้ามีแฟนก็คงทำให้ลืมริวกะได้ ซึ่งพอถึงเวลากลับไม่ใช่แบบนั้น แม้เธอจะมีแฟนแต่เธอก็ยังคิดถึงริวกะอยู่ดี ตอนนี้อั้มนั้นรู้หัวใจตัวเองทันทีว่าเขาไม่ได้รักริวกะในฐานะน้องชายอีกแล้ว




จนเวลาผ่านไปอีก 1 อาทิตย์อั้มที่พึ่งเลิกกับแฟนและคิดถึงแต่เรื่องของนายริวนั้น ก็ต้องกลับบ้านก่อนเวลาเพราะเธอไม่มีสมาธิในการเรียนเลย และเมื่อเธอกลับบ้านเธอก็พบกับริวกะที่กำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ ริวกะเองก็อึ้งแด๊กเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าคนอย่างพี่อั้มจะโดดเรียนกลับมาบ้าน  ตลอดระยะเวลา 3 เดือนนั้นอั้มได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆมากมาย ได้คิดถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นมากมายจนแน่ใจว่าเธอนั้นรักนายริว  สภาพของริวกะตอนนี้คือโทรมมากๆ จะว่ายังไงดีคือ เขาต้องทำรายงานกับเวย์ 2 คนมา 2วันสองคืนแทบไม่ได้นอน


แม้คะแนนจะออกมาดีจนได้ท็อปห้องแต่มันก็ต้องแลกมาด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนเพลีย วันนี้เขาตัดสินใจกลับมาที่คอนโดเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า Set ใหม่ เอาไปไว้ที่คอนโดเวย์ ตึ้ก ตึ้ก ตึ้ก ตึ้ก ริวกะที่เหม่อๆเพราะอาการง่วงนั้นก็หันควั่บไปตามเสียง และก็พบกับอั้มที่กระโดดพุ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ทัน และโดนชนล้มไป ริวที่กำลังเหวออยู่นั้นก็จะเงยหน้าขึ้นมาพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องชะงักไปทันที เพราะตอนนี้พี่อั้มกำลังร้องไห้ฟูมฟาย อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน


ขนาดว่าเหตุการณ์ตอนที่บ้านของพี่อั้มกำลังแย่ เขายังไม่เคยพี่อั้มร้องขนาดนี้เลย หลังจากนั้นทั้งสองได้ปรับความเข้าใจกันอยู่นาน ( รออ่านใน Side Story ของอั้มนะครัช ) ทั้งคู่ก็ได้กลับมาคุยกันเหมือนเดิม และคนที่ดีใจที่สุดนั้นย่อมเป็นคิราระแน่นอน เพราะเธอจะได้รับใช้นายน้อยสุดที่รักใกล้ชิดสักที


[ พี่อั้ม ]  :  พี่นอนไม่หลับแทบทุกคืนเลยนะ อย่าทำแบบนี้อีกนะ ทีหลังมีอะไรก็พูดกับพี่ตรงๆนะนายริว ยังไงเรากันพี่น้องกัน


นี่คือคำที่อั้มพูดย้ำไปอีกครั้งเพื่อบอกริวกะ จริงๆนั้นอั้มน่ะไม่ได้อยากจะพูดคำว่าพี่น้องเลย แต่เพราะตื่นเต้นที่จะได้กลับมาอยู่ใกล้กันอีกครั้ง เลยตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ถูก ส่วนตัวริวกะเองนั้นพอได้ยินก็นิ่งไปหลายวินาทีเหมือนกัน และตั้งแต่นั้นมาริวกะก็ฝังใจกับคำว่าพี่น้องมาตลอด จนถึงทุกวันนี้


...ปัจจุบัน...


[ พลอย ]  :  งืมมม แบบนี้นี่เองเหรอคะ แล้วหลังจากวันนั้นล่ะค่ะพี่คิราระ


[ คิราระ ]  :   ตั้งแต่พี่อั้มพูดคำว่ายังไงเราก็พี่น้องกัน  ริวกะก็ไม่แสดงอาการอะไรที่บ่งบอกความในใจออกมาเลย เขาทำได้แค่เชื่อฟังพี่อั้มและตามใจพี่อั้มทุกๆอย่างแทน เพื่อหวังว่าคนที่เขารักจะมีความสุข


[ พลอย ]  :  เฮ้อ ความรักนี่ก็แปลกเนอะ ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งไม่เข้าใจ


[ คิราระ ]   :   อื้ม ทุกวันนี้พี่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมพี่รักริวกะมาก ทั้งๆที่ตลอดเวลาเขาตามหาแต่พลอย  เฮ้อออออ


[ พลอย ]  :  ง่าส์ อย่าพูดแบบนั้นสิ่คะพี่ อย่าว่าแต่พี่เลยค่ะ หนูก็ยังแปลกใจเหมือนกัน ทั้งๆที่พลอยน่าจะลืมริวไปแล้ว แต่ เวลาที่พลอยทุกข์ เวลาพลอยเสียใจ หรือแม้แต่ดีใจเพราะทำอะไรสำเร็จ ริวนั้นจะแว๊บขึ้นมาในหัวพลอยเลยค่ะ


[ คิราระ ]  :  ใช่ ๆ ๆ ๆ   ตอนนั้นที่พี่สอบได้ที่ 1 พี่ก็โทรหาริวกะก่อนเลยล่ะ พี่อยากบอกเขา อยากพูดกับเขานะ แต่ริวกะทำไงรู้มะน้องพลอย


[ พลอย ]  :  ตานั่นทำยังไงคะ


[ คิราระ ]  :  ตอนที่พี่โทรไปหาในวันที่ประกาศผลสอบเพราะตั้งใจจะบอกข่าวดี ตานั่นดั่นพูดแทรกขึ้นมาแล้วบอกว่า " เธอควรไปบอกน้าคุรุมิก่อนยัยบ๊อง " เนี่ยพูดแบบเนี้ยแล้วก็ตัดสายไปเลย ยังไม่ได้พูดอะไรซักนิด


[ พลอย ]  :  ง๊าส์ ตานั่นทำไมเป็นแบบนี้นะ ฮึ้ย !!!  ขอให้ริวกับพี่อั้มเข้าใจกัน รักกัน เนอะ


[ คิราระ ]  :  ใช่ จะได้ช่วยกันรีดพิษมังกรด้วย ยังไง 3 คนก็น่าจะเวิร์คกว่า 2


[ พลอย ]  :   ง๊า ฮืออออ พอแย๊วพี่คิราระ ฮืออออ พลอยอายนะคะ ฮือออออ


สองศรีภรรยานั้นพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและมีความสุข ตามประสาพี่น้องที่รักกันโดยไม่มีเหตุผล และเพียงไม่นานพิกุลก็เข้ามาทำให้ทั้งสองต้องเลิกคุยเรื่องนี้ทันที และใช้เวลาที่มีในการพูดคุยนู่นนี่นั่นตามประสาผู้หญิงๆนั่นเอง ทั้งสองสาวนั้นหวังว่าอั้มจะกล้าเปิดใจมากกว่านี้และหวังว่าริวกะจะกล้าพูดออกไปตรงๆเช่นกัน โดยที่พวกเธอไม่รู้เลยว่าพี่มังกรของพวกเรานั้นกำลังหิวจนใส้แทบจะขาด



จ๊อกกก !!!  เสียงท้องร้องดังลั่นห้องเลย เวลาตอนนี้ 19.30 แล้ว ซึ่งปกติมื้อเย็นของบ้านนี้จะเริ่มตอนนี้พอดี และเหมือนว่าร่างกายริวกะจะรับรู้ว่าได้เวลาอาหาร มันจึงส่งเสียงประท้วงว่าให้หาอะไรกินได้แล้ว วันนี้คิราระไม่อยู่ก็คงต้องหาอะไรกินเอง ริวกะกำลังจะหยิบมือถือมาสั่งอาหาร แต่พอมองเห็นถุงถั่วแระกับสาหร่ายก็เลยเลิกล้มความคิดนั้นไป โชคดีที่คิราระซื้อพวกของแห้งที่สามารถกินกับข้าวเปล่าได้ทิ้งเตรียมไว้ ริวกะจึงไม่ต้องลำบากอะไรมาก เพราะถ้าให้ริวกะทำกับข้าวเอง ไฟคงไหม้ครัวพอดี ริวกะจึงได้เดินดูรอบๆในครัวว่ามีอะไรที่เขาพอจะหยิบมากินได้บ้าง


[ ริวกะ ]  :   อืมมม ไข่ไก่ แฮม ขนมปัง ต้นหอม ซอสโชยุ มะะขือเทศ สาหร่ายแห้ง  อื้มๆ พอแล้วมั้ง เอ้ย หุงข้าวก่อน


ริวกะสำรวจวัตถุดิบเบื้องต้นแล้วก็พบว่ามีเพียบเลย เขาถึงกับยิ้มและพูดในใจว่าคิราระน่ารักที่สุด ที่เตรียมของไว้ยามฉุกเฉิน เพราะฝีมือการทำอาหารของริวกะนั้นก็ถือว่าโอ โอโหใครจะไปกินกับมึงได้วะ เรียกได้ว่าความเก่ง ความหล่อ ความฉลาด นั้นไม่ได้ช่วยเรื่องการทำอาหารเลย ริงกะทำอาหารห่วยแตกมากถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ นี่คือเหตุผลที่คิราระตระเตรียมของที่ทำกินง่ายๆไม่ยุ่งยากไว้ให้นั่นเอง ชายหนุ่มเริ่มจากการหุงข้าวก่อน แล้วจึงไปหยิบสารพัดวัตถุดิบมาเตรียมการ


แฮมกับขนมปังถูกโยนใส่เครื่องปิ้งที่มีระบบอัตโนมัติ เพียงครู่เดียวขนมปังกรอบๆก็เด้งออกมา แต่ว่าใครจะไปเชื่อว่ามันจะไหม้ ใช่ครับริวกะปรับไฟแรงเกินไปและตั้งเวลานานเกินไป จึงทำให้ขนมปังนั้นไหม้ไปชุดนึง แถมแฮมก็เกรียมจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย


[ ริวกะ ]  :  เอาวะ ความผิดพลาด คือบทเรียนชั้น


เดี๋ยวๆมึงหยุดเลยไอ้มังกร แค่ปรับอุณหภูมิไฟกับตั้งเวลา มึงยังกะผิด สกิลการทำอาหารห่วยแตกขั้นบรม ริวกะจึงจำเป็นต้องทิ้งขนมปังชุดแรกไปลงถังและเริ่มทำชุดใหม่ ซึ่งก็ถือว่ายังดีที่มีพัฒนาการ เพราะคราวนี้ขนมปังออกมาดูดีมาก แต่แฮมนั้นอาจจะแห้งจนเกือบเกรียมไปสักหน่อย แต่ก็พอกินได้ ขนมปังพร้อมแฮมพร้อมต่อไปก็มะเขือเทศ ต้องชมว่ามะเขือเทศที่ส่งตรงมาจากฟาร์มนั้นสดจริงๆ


ขนาดว่าถูกแช่เย็นไว้หลายวัน สีสันยังดูดีมากๆ สีแดงเข้มซึ่งบ่งบอกถึงคุณภาพชั้นดี อีกทั้งความฉ่ำวาวหลังล้างน้ำก็การันตีได้เลยว่าผักพวกนี้ต้องถูกปลูกในดินที่อุดมสมบูรณ์มากแน่ๆ ริวกะหั่นมะเขือเทศเป็นแว่นหลายๆชิ้นและจัดใส่จาน  ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด เมื่อหม้อข้าวแต้งเตือนว่าสุกแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินไปคดข้าวใส่ชามทันที



ป๊อกก แกร่กกก ริวกะตอกไข่ไก่สองใบลงใส่ข้าวทันทีซึ่งเมนูนี้เรียกว่า ทามาโก คาเกะ โกฮัง หรือข้าวหน้าไข่นั่นแหละ เมื่อไข่ทั้งสองใบอยู่ข้าวแล้วริวกะก็คนๆๆๆ จนไข่ไก่สีเหลืองนั้นฉาบทั่วเม็ดขาวสีขาวจนกลายเป็นสีเหลืองนวลชวนหิว อีกทั้งยังเหยาะซอสโชยุเพื่อเพิ่มรสชาติ อ่าาาส์ สวรรค์ของคนกินง่าย





ข้าวหน้าไข่ราดซอสโชยุ มีเครื่องเคียงคือ ถั่วแระญี่ปุ่น สาหร่ายแผ่น และปลาแห้ง  อีกทั้งยังมีขนมปังอบร้อนๆ พร้อมด้วยแฮมที่เกรียมกำลังดี และมะเขือเทศที่แสนจะชุ่มฉ่ำ และเมื่อทุกอย่างครบแล้ว ปั้ป !!! ริวกะประกบมือเข้าหากันและเอ่ยขึ้นว่า


[ ริวกะ ]  :  อิตาดากิมัซ  ( จะทานแล้วนะครับ )



งั่ม !!! ริวกะจับตะเกียบขึ้นโซ๊ยทันที เขาคีบข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆที่ถูกชโลมด้วยไข่ดิบเลิศรสเข้าปาก รสหวานจากไข่ดิบมันช่างเข้ากันกับข้าวเหลือเกิน แกร๊บบบ เสียงสาหร่ายแผ่นกรอบลั่นขึ้นทันทีที่ถูกสัมผัส ริวกะใช้ตะเกียบคีบแผ่นสาหร่ายมาโป๊ะไว้บนข้าว และคีบมันพร้อมกับข้าวหน้าไข่ทันที แผ่นสาหร่ายสีเขียวแก่ถูกห่อเข้ากับข้าวสีเหลืองนวลและคีบเข้าปากอย่างชำนาญ





[ ริวกะ ]  :  อุไม่ ( อุมาอิ ) ( อร่อยจัง )


แผ่นสาหร่ายกรอบๆคอยๆถูกเคี้ยวช้าๆ อย่างละเมียดละไม สลับกับเสียงเคี้ยวกร๊อบๆจากถั่วแระญี่ปุ่น





มันช่างน่าฟังเหลือเกิน คนห่าอะไรกินข้าวเสียงยังเพราะ ริวกะคีบนู่นสลับคีบนี่ เคี้ยวทุกๆคำ ทุกๆเมนู อย่างละเมียดละไมตามฉบับคนถูกสั่งสอนมาอย่างดี พริบตาเดียว ทั้งข้าวหน้าไข่ดิบชามโตๆ ทั้งถั่วแระเกือบ 2 ขีด ทั้งแผ่นสาหร่ายหอมๆนับ10 แผ่นก็หายวับไปกับตา





เมื่อจานหลักหมดแล้วก็เหลือจานรอง ขนมปังโฮลวีท.อบกรอบๆและแฮมเกรียมๆนั่นเอง ริวกะใช้มือเปล่าๆหยิบมันขึ้นมาและโซ๊ยมันทันที








แม้จะไม่กรอบเหมือนทำใหม่ๆแต่รสชาติก็ดีเยี่ยมเลยทีเดียว มะเขือเทศที่หั่นเป็นแว่นๆก็เนื้อกรอบเหลือเกิน





ทั้งหวานทั้งกรอบราวกับเด็ดจากต้นมากินสดๆเลย และแค่แปปเดียวขนมปัง 4  แผ่นก็หมดเรียบร้อย เขาก็พนมมืออีกครั้งเพื่อเอ่ยคำขอบคุณอาหารที่เขาได้รับประทาน





[ ริวกะ ]  :  โกจิโซ ซามะ  เฮ้อ !!!  ยังไม่อิ่มเลย แต่พรุ่งนี้ค่อยออกไปหาอะไรกินแล้วกัน


ยัง !!! มันไม่อิ่ม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ ริวกะนั้นเป็นที่ระบบเผาผลาญดีมากๆ ถึงขั้นดีเยี่ยมเลยก็ว่าได้ อีกเหตุผลคือทั้งตัวยังมีแต่กล้ามเนื้อที่เป็นเสมือนเตาเผาผลาญพลังงานตามธรรมชาติ


นั่นจึงทำให้เขาสามารถกินอาหารได้มากกว่าคนทั่วไปนั่นเอง โชคดีที่เมนูที่ริวกะทำนั้นไม่ซับซ้อนอะไรมาก แค่จับนั่นใส่นี่ กดนั่น หั่นนี่ นั่นจึงทำให้คนที่ทำอาหารไม่เป็นแบบเขาสามารถทำได้


ตามตารางเมนูอาหารของริวกะที่โคฮาคุเป็นคนจัดให้นั้น วันนี้ริวกะต้องกินอาหารมากถึง 3000 kcal เพราะวันนี้เป็นวันชีทเดย์ของเขานั่นเอง ซึ่งปกติหลังอาหารเย็นนั้นคิราระจะทำเมนูจำพวกอกไก่มาให้  แต่ว่าวันนี้คิราระไม่อยู่บ้านริวกะจึงไม่ได้กินอะไรอีก จะมีก็แค่นมถั่วเหลืองคุณภาพสูงอีก 1 ลิตรเท่านั้นเอง รวมๆแล้ววันนี้สารอาหารที่ริวกะได้รับทั้งหมดอยู่ที่ราวๆ 1,900 - 2,000 kcal เอง ยังเหลืออีกตั้ง 1,000 kcal


เหตุผลที่ริวกะต้องกินมากขนาดนี้เพราะในทุกๆวันเขาจะต้องออกกำลังกายตามโปรแกรมสุดโหดของโคฮาคุ เขาจึงต้องใช้พลังงานเยอะมากๆ และยิ่งวันนี้เขาก็ใช้ฮิไรชินวิ่งจากรังสิตไปราชเทวี ระยะทางร่วม 42 กิโลเมตรอีกด้วย กล้ามเนื้อที่อ่อนล้าจากการใช้งานย่อมต้องการสารอาหารจำนวนมากมาเติมเต็มและซ่อมแซมอย่างมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ริวกะจะกินเยอะขนาดนี้


หลังจากที่เก็บจานชาม อุปกรณ์ต่างๆล้างทำความสะอาด เก็บถังขยะเข้ามุม และ เก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย ริวกะจึงเดินมาที่ห้องรับแขกและเปิดทีวีดูรายการกีฬาของญี่ปุ่น


" วันนี้ทางสมาคมกีฬาคาราเต้ของญี่ปุ่น ได้ประกาศรายชื่อนักกีฬารุ่นประชาชนอายุไม่เกิน 25 ปี ทั้งทีมเอ และ ทีมบี เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทั้งหมดจะได้เข้าร่วมค่ายเก็บตัวนานาชาติ ซึ่งจะมีนักกีฬาจากทั่วภูมิภาคเอเชีย เข้าร่วมฝึกซ้อมด้วย "


ริวกะยืนดูข่าวด้วยความสนใจมากๆ ถึงตัวเขาจะไม่ได้เดินเส้นทางกีฬาอย่างเต็มตัวแต่เขาก็ติดตามข่าวสารวงการกีฬาศิลปะการต่อสู่ของญี่ปุ่นเสมอ และทันใดนั้นริวกะก็กำหมัดแน่นราวกับกำลังดีใจเป็นอย่างมาก เพราะรายชื่อที่ถูกประกาศออกมานั้นมี อาโอยามะ ทาเครุ อยู่ด้วย


[ ริวกะ ]  :  คิราระ คิราระ เจ้าทาเครุติดทีมชาติด้วยแหละ ดูสิ่


อึ้ก !!! ริวกะที่กำลังพูดขึ้นด้วยความดีใจก็ถึงกับสะดุกอึ้กทันที เพราะตอนนี้คิราระไม่อยู่นี่นา คงเป็นเพราะความเคยชินนั่นแหละ เพราะทุกๆครั้งที่เขานั่งดูข่าวผ่านจอทีวีจะมีคิราระอยู่ด้วยเสมอ

เขามองนาฬิกาซึ่งก็ 20.00 แล้ว พี่อั้มคงกำลังกลับมาแล้วล่ะ มียามิอยู่ด้วยคงไม่เป็นอะไร ริวกะบอกตัวเองแบบนั้นก่อนที่จะปิดโทรทัศน์และเดินกลับห้องตัวเองเพื่ออาบน้ำและนั่งสมาธิเหมือนที่เคยทำเช่นทุกวัน


20 นาทีต่อมา ยามิก็ขับรถพาอั้มมาส่งถึงคอนโด อั้มนั้นถึงกับเงียบกริบเลยทีเดียวหลังจากที่ยามิพูดเรื่องราวต่างๆออกมาทั้งหมด ตกลงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นตัวเธอเองสิ่นะที่สร้างช่องว่างนั้นขึ้นมาเอง ยามิไม่พูดอะไรอีกเพราะเขาอยากให้อั้มนั้นทบทวนตัวเอง ทบทวนอะไรหลายๆสิ่งที่มันปั่นป่วนในหัวใจด้วยตัวของเธอเอง


[ ยามิ ]  :   ข้ากลับก่อนนะ


[ อั้ม ]  :  ค่ะ


แว๊ป !!! หลังจากเดินมาส่งถึงในบ้าน ยามิก็เทเลพอร์ตกลับไปยังบ้านใหญ่ทันที ตอนนี้ทั่วทั้งห้องมีแต่ความเงียบ เสียงที่ดังที่สุดตอนนี้คือหัวใจที่มันรู้สึกเจ็บปวดของอั้ม ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอมองข้ามสิ่งสำคัญไปมากๆ เธอมองข้ามความรู้สึกดีๆที่นายริวมีและทำให้เธอตลอดมา


[ อั้ม ]  :  เอ๊ะ !!! นายริวล่ะ นายริวกลับมายัง นายริวกินข้าวหรือยัง


อั้มนั้นฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เลยมื้อค่ำแล้ว เธอจึงรีบเดินเข้าไปในห้องครัวเพราะคิดว่านายริวคงอยู่ในห้องครัว แต่เธอก็พบแต่ความว่างเปล่า สิ่งที่เห็นคือซิงค์ล้างจาน ที่ยังมีน้ำขังอยู่เล็กน้อยเท่านั้น นั่นจึงทำให้อั้มรู้ได้ทันทีว่านายริวต้องล้างจานแน่ๆ แล้วนายริวทำอะไรกินล่ะ สิ่งที่อั้มทำต่อมานั่นก็คือเดินไปยังถังขยะ เธอเปิดฝามันขึ้นมาและดูสิ่งที่เหลืออยู่ภายใน ซึ่งมีเปลือกไข่  ขั้วมะเขือเทศ ขั้วถั่วแระ เศษปลาแห้ง


[ อั้ม ]  :  ข้าวหน้าไข่ดิบเหรอ มันจะไปอิ่มได้ไงแบบนี้ โอย อะไรเนี่ย ปิ้งยังไงให้ขนมปังไหม้ขนาดนี้


เพียงแค่มองวัตถุดิบอั้มนั้นรู้ได้ทันทีว่าเมนูที่นายริวทำกินนั้นคือข้าวหน้าไข่ดิบ เพราะริวกะนั้นทำเป็นอยู่สองอย่าง ไม่ไข่ต้มทรงเครื่อง ก็ข้าวหน้าไข่ดิบ แต่ไอ้สิ่งที่ทำให้อั้มปวดหัวนั่นก็คือขนมปังที่ไหม้จนดำปี๋ อีกทั้งเศษซากเนื้อบางอย่างที่ดำจนไม่สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ ( แฮม ) อั้มรู้ดีเรื่องตารางอาหารของริวกะว่าวันนี้ต้องกินเยอะ แต่ด้วยหลักฐานตรงหน้าที่เหลืออยู่ มันบ่งบอกได้ทันทีว่าไม่พอ นายริวยังกินไม่อิ่มแน่ๆ


[ อั้ม ]  :  พี่ผิดสัญญาอีกแล้วสิ่นะ นายริว


อั้มรู้สึกสะท้อนใจตัวเองเลยทีเดียว นี่เป็นอีกครั้งแล้วสิ่นะที่เธอผิดสัญญากับนายริว เหมือนที่เคยทำมาในอดีต แต่ว่าตอนนี้เธอจะเศร้าไม่ได้ ถ้าเธอทำผิดพลาดไปเธอก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขมัน พอคิดได้แบบนี้อั้มจึงรีบเดินไปที่ห้องของริวกะทันที เธอใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะทำใจเคาะประตูห้องได้ นั่นเพราะเธอไม่รู้จะทำหน้ายังไงเวลาคุยกับนายริว เพราะวันนี้เธอพึ่งผิดสัญญาว่าจะกลับมาทานข้าวพร้อมกันกับเขานั่นเอง แต่ว่า... ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากังวลอีกต่อไปแล้ว  ครึ่งปีที่ผ่านมามันนานมากพอแล้วที่เธอต้องเก็บงันความรู้สึกจริงๆของตัวเองไว้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก !!!


[ อั้ม ]  :  นายริวนอนยัง


[ ริวกะ ]  :  ครับครับ ยังครับ


เพียงแค่เคาะประตูและเรียกแค่ไม่กี่คำ ริวกะก็ตอบกลับมาทันที และรีบเดินมาเปิดประตู สิ่งแรกที่อั้มเห็นคือ ซีเรียลบาร์อัดแท่ง ที่อยู่ในมือของนายริว นายริวยังไม่อิ่มจริงๆด้วย เธอคิดในใจก่อนที่จะพูดกับเขา


[ อั้ม ]   :   พี่หิวจังเลย นายริว


[ ริวกะ ]  :  ครับ ?  อ่อ อื้ม เบอร์สั่งอาหารก็แปะไว้ที่ตูเย็นนี่ครับ งั้นเดี๋ยวผมโทรสั่งให้


[ อั้ม ]  :  ไม่เอา พี่อยากไปหาอะไรกินข้างนอก


[ ริวกะ ]  :  แต่มันดึกแล้วนะครับ อีกอย่างผมก็กินข้าวแล้วด้วย


[ อั้ม ]  :  กินแล้วก็กินอีกได้ ไม่รู้ล่ะ พี่จะไปอาบน้ำแล้ว อีก 20 นาทีนายต้องพร้อมด้วยนะ


[ ริวกะ ]  :  หะ หา !!! ?


อั้มไม่พูดอะไรอีก เธอหันหลังและยิ้มทันทีก่อนที่จะเดินออกไปโดยที่ปล่อยให้ริวกะยืนมึนอยู่อย่างนั้น ส่วนชายหนุ่มก็ได้แต่เกาหัว แกร่กๆ


[ ริวกะ ]  :  เฮ้อ ไปก็ไป


ริวกะเอ่ยขึ้นมาแค่นั้นจริงๆ เพราะยังไงเขาก็ไม่คิดจะขัดใจอั้มอยู่แล้ว 20 นาทีผ่านไป ริวกะก็แต่งตัวมารอที่ห้องรับแขกเรียบร้อย ตอนนี้เวลาเกือบ จะ 3 ทุ่มแล้ว  แล้วเขาจะพาพี่อั้มไปที่ไหนดีล่ะ ตึ้ง !!! เสียงปิดประตูเบาๆดังขึ้นมาจากข้างใน อั้มคงใกล้ออกมาแล้วล่ะ สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าชายหนุ่มนั้นจะเรียกว่านางฟ้านางสวรรค์ก็คงไม่เกินไป ปกติก็ว่าสวยอยู่แล้ว มาตอนนี้ยิ่งไปกันใหญ่


ใบหน้าที่แต่งเบาๆเหมือนจะไม่ได้แต่งก็สวยจนบาดใจ อีกทั้งหน้าอกหน้าใจก็ใหญ่พอดีมือ อั้มนั้นเลือกใส่เสื้อยืดแขนกุดสีเนื้ออ่อน ไซส์ S พอดีตัวก็ยิ่งทำให้ทั้งเอวและหน้าอกนั้นเด่นชัดมากขึ้น อีกทั้งกางเกงยีนส์ที่เธอใส่ก็ทำให้เห็นเรียวขาและสะโพกได้ชัดเจน การเลือกเฉดสี การเลือกทรงเสื้อและกางเกง อั้มทำได้ดีมากๆ เรียกว่าเสื้อผ้าที่เลือกใส่นั้นทำให้ ทรวดทรงองเอวของเธอนั้นเด่นชัดมากขึ้นจนสะกดตาสะกดใจกันเลยทีเดียว ส่วนอั้มนั้นพอเห็นสายตาของนายริวที่มองมา ก็แอบยิ้มในใจทันที นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนี้แล้วใจเต้นรัวๆเลยก็ว่าได้


ชุดที่พี่อั้ม ใส่




[ อั้ม ]  :  ไปกันเถอะ นายริว พี่หิวแล้ว


[ ริวกะ ]  :   ครับๆ  กุญแจรถล่ะครับ เดี๋ยวผมขับให้


[ อั้ม ]  :  ไม่ต้องขับไปหรอก ไป Taxi กันดีกว่า ไปเร็วพี่หิวแล้ว


ทั้งคู่นั้นพากันเดินออกมาพร้อมๆกันวันนี้อั้มนั้นสวยมาก แค่ด่านผ่านล็อบบี้ ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นยังมองตามคอแทบหัก แล้วแบบนี้คนที่อยู่ใกล้ชิดแบบนายริวจะเหลืออะไร กลิ่นน้ำหอมบางๆจากอั้มนั้นก็ยิ่งทำให้จิตใจไม่อยู่สุขเลยทีเดียว


[ ริวกะ ]  :  พี่อั้มเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมเหรอครับ


[ อั้ม ]  :  อึ่ อื้อ อื้ออ กลิ่นมันแปลกเหรอ ( ท่าทีกระวนกระวายใจ )


[ ริวกะ ]  :  เปล่าครับ ก็ปกติตอนไปมหาวิทยาลัยพี่ใช้แต่ chanel chance นี่ครับ


[ อั้ม ]  :  อือ อือออ ก็ ก็นี่จะออกไปข้างนอกนี่นาก็เปลี่ยนบ้างสิ่ ชอบมั้ยนายริว


[ ริวกะ ]  :  ครับหอมดีครับ


ดูเหมือนว่าคำตอบนี้จะทำให้อั้มไม่พอใจมาก ริวกะเล่นตอบไม่ตรงประเด็นแบบนี้อั้มก็ปรี๊ดสิ่ครับ อั้มกอดแขนของนายริวไว้จนหน้าแขนของเขาสัมผัสเจ้ากับหน้าอกอึ๋มๆของเธอ และอั้มก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า


[ อั้ม ]  :  ไม่ได้ถามว่าหอมมั้ย ถามว่าชอบมั้ย


[ ริวกะ ]  :  เออะ เอ่อ ชอบครับ


[ อั้ม ]  :  ก็แค่เนี้ย นั่นไงๆ รถมาแล้ว โบกๆ ๆ ๆ เร็วนายริว



เอาแล่วช่วงคำตอบวัดใจมาแล้ว พอโบกปุ๊ป เปิดประตูป๊าป พี่ Taxi ถามก่อนเลยว่าไปไหน ตอนนี้แหละจะตอบยังไงดี เพราะอั้มเองก็ไม่ได้บอกด้วยว่าอยากไปไหน บอกแค่ว่าอยากให้พาไปกินข้าว


[ ริวกะ ]  :  เอเชียทรี๊คครับ


อื้อหืมมม คำตอบนี้ถูกใจอั้มนักแล เอาตามจริงไม่ว่าริวกะจะพาไปไหนเธอก็ดีใจหมดแหละ แต่เพราะนายนิวบอกว่าไปเอเชียทรี๊ค จึงทำให้อั้มนั้นดีใจเป็นอย่างมาก จนเผลอกอดแขนของนายริวจนนมเบียดแขนอีกครั้ง เมื่อพี่โชเฟอร์ตอบกลับมาว่าไป ริวกะจึงขึ้นรถไปก่อนและอั้มจึงขึ้นตาม


แต่ในระหว่างนั้นเธอดันซุ่มซ่ามจนตัวพุ่งเข้าไปซบอกนายริวเต็มๆ หน้าอกที่บึกบึนพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมที่ชวนหลงไหล ทำให้อั้มแทบจะตกอยุ่ในภวังค์เลยทีเดียว อั้มต้องคุมสติตัวเองไม่ให้เคลิ้มให้ได้ เธอสลัดความคิดนั้นทิ้งไปและรับก้าวขึ้นไปทันที



[ โชเฟอร์ ]  :  พาแฟนไปเที่ยวเหรอครับเนี่ย


[ ริวกะ ]  :  เปล่าครับ นี่พี่สาวผมเอง


[ โชเฟอร์ ]  :  เหรอครับ ต้องขอโทษด้วยครับคุณลูกค้า อื้มม มองยังไงก็เหมือนคู่รักนะครับเนี่ย เสื้อก็เหมือนกัน ผมนึกว่าใส่เสื้อคู่นะครับเนี่ย


ใช่แล้ว เป็นไปตามที่คุณโชเฟอร์พูด เพราะริวนั้นก็ใส่เสื้อโปโลสีเนื้ออ่อน แถมยังลายปักก็เหมือนกันอีก จริงๆนั้นริวกะไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น ที่เขาเลือกใส่ตัวนี้เพราะเนื้อผ้ามันนิ่ม ใส่สบายและระบายอากาศได้ดี เรียกได้ว่าเป็นความบังเอิญที่แสนพิเศษก็ว่าได้


[ ริวกะ ]  :  อย่าพูดแบบนี้เลยครับพี่ เดี๋ยวพี่สาวผมโกรธเอานะ


ริวกะพูดไปแบบนั้น เพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เขากลัวอั้มจะไม่พอใจ ที่ใครต่อใครก็คิดว่าเธอกับเขาเป็นแฟนกัน แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย ตอนนี้สิ่ที่เธอกำลังงอน เธองอนที่ริวกะไปบอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ว่างอนได้ไม่นานอั้มก็ใจเต้นแรงตึกตักตึกตัก เพราะตอนนี้กลิ่นกายของริวได้กระตุ้นเธออีกครั้งแล้ว


[ อั้ม ]  :  ชิ !!! ร้ายไม่เบานะ ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ด้วย


อั้มคิดในใจก่อนที่จะพยายามดม เบาๆแต่ยิ่งดมยิ่งรู้สึกหลงไหล Giorgio Armani Attitude นี่มันกลิ่นพิฆาตนารีนี่นา ยิ่งดมอั้มก็ยิ่งเคลิ้ม เคลิ้ม เคลิ้ม จนนายริวต้องทักขึ้นมา


[ ริวกะ ]  :  พี่อั้มไม่สบายหรือเปล่าครับหน้าแดงๆ


ริวถามแค่นั้นก็ก้มไปหาทันที เพราะตอนนี้อั้มมีท่าทีแปลกๆไป ตอนนี้เรียกได้ว่าอั้มนั้นสุดจะทนจริงๆเพราะทั้งความใกล้ชิด ทั้งกลิ่นกายจากนายริว ทั้งความต้องการจากหัวใจ มันเริ่มทำให้สามัญสำนึกเริ่มลดน้อยถอยลง อุ๊ป !!! ชายหนุ่มถึงกับตกใจตาเบิกโพรง เพราะอยู่ดีๆสาวสวยตรงหน้าก็ยื่นหน้าเข้ามาประกบปากจูบเขาด้วยตัวเอง ริมฝีปากเรียวงามบดบี้กับริมฝีปากของชายที่รักอย่างเร่าร้อน


เพียงไม่นานจากการบดบี้ เริ่มเปลี่ยนเป็นการแลกลิ้นเพื่อกระตุ้นอารมณ์หญิงสาวที่เป็นฝ่ายเริ่มกลับกำลังถูกชายหนุ่มที่ประสบการณ์การสูงกว่า ใช้ลิ้นเพื่อไล่ต้อนจนติดมุม ตอนนี้ในหัวของเธอมันโล่งไปหมด ไม่เหลืออะไรนอกจากความอยากที่มันกำลังเพิ่มขึ้นทุกทีที่ลิ้นตวัด ตอนนี้เธอกำลังถูกน้องชายที่รักประเคนความรู้สึกวาบหวิวผ่านปลายลิ้น อีกทั้งมือของเขาก็กำลังพยายามล้วงเข้ามาบีบคลึงหน้าอกเธอด้วย


[ อั้ม ]  :  อื๊ออออ ซื๊ดดดด นายริว อ๊อยยยย อย่านะ


ถึงปากของเธอจะเอ่ยห้าม แต่น้ำที่มันไหลออกจากหว่างขานั้นช่างขัดแย้งกันจริงๆ ปากก็โดนจูบ นมก็โดนคลึงแบบนี้ แบบนี้มีเหรอที่น้ำจะไม่เดิน อื๊ออออ อ๊อยยย เสียงร้องของหญิงสาวนั้นดังลั่นเลยทีเดียว เพราะชายหนุ่มเริ่มรุกหนักขึ้นมากกว่าเดิม เขาถลกทั้งเสื้อยืดและเสื้อในขึ้นจนเต้าอวบๆนั้นโผล่ออกมาอวดสายตาอย่างน่าชม


[ อั้ม ]  :  อร๊างง อย่าดูดแบบนั้นสิ่ นายริว อื๊อออ อย่าล้วง หยะ อย่า อร๊าาา


ริวกะรุกหนักจริงๆ เขาก้มลงดูดหัวนมสีชมพูจนอั้มนั้นดิ้นพร่าน ปากก็ดูด มือก็คลึง แต่ที่ทำสติเตลิดก็คือมือขวาที่กำลังล้วงไปยังเนินโหนกสวาทนั่นเอง ริวกะแซะขอบกางเกงยีนตัวฟิตเข้าไปบี้เกี่ยวที่ถ้ำสวาทเสียแล้ว โดนเล้าโลมสามจุดพร้อมกันอย่างนี้มีเหรอที่สาวสวยไร้ประสบการณ์จะรับมือไว้ อั้มทำได้แค่ร้องครางเพื่อระบายความเสียวที่กำลังถาโถมเข้ามาเท่านั้น


[ อั้ม ]  :  โอ๊ยยย ซื๊ดดดด อย่ากัดแบบนั้นสิ่นายริว ซื๊ดดดดด


[ ริวกะ ]  :  ผมขอนะพี่อั้ม ผมทนไม่ไหวแล้ว


[ อั้ม ]  :  อย่านะนายริว กลับไปทำที่บ้านนะ พี่ยอมนายทุกอย่าง แต่กลับบ้านก่อนนะ ที่นี่ไม่ได้  หยะ อย่า  อย่าา

lnw007

ขอบคุณครับ ขอเม้นก่อนครับ เดี่ยวมา Edit

นายเวย์ นี่พี่อั้มต้องให้รางวัลละ