ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

พิษสวาทบ่วงบาศกามา ตอน 16

เริ่มโดย Orgasmic writer, กรกฎาคม 15, 2022, 09:19:35 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Lufy

จะโดนอีกรอบมั๊ยน้าาา คุณมายติดใจยัง

Kraken5

มายติดบ่วงสุขุมซะแล้ว สงสัยต่อไปจะโดนไม่ใช่น้อย ::Evil::


Madeal


jackhide


Zmtfuck


no image


Nop lp101


rb26dett

อ้างจาก: Orgasmic writer เมื่อ กรกฎาคม 15, 2022, 09:19:35 หลังเที่ยงพิษสวาทบ่วงบาศกามา ตอน 16

หลังจากขับรถมาร่วมชั่วโมงเศษ ฝ่าฟันกับฝูงรถราที่เบียดเสียด​ยั้วเยี้ยอยู่เต็มถนนหนทาง มนัสนันท์ก็เดินทางมาจนเกือบจะถึงตึกสำนักงานของตนที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง วันนี้เป็นเพียงไม่กี่วันนับตั้งแต่เธอเริ่มทำงานมา ที่เดินทางถึงออฟฟิศสายจนเวลาล่วงเลย​ไปเกือบจะสิบโมงแล้ว มิหนำซ้ำเหตุผลของการมาสายก็น่าอายเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟังได้ ว่ามัวเสียเวลาไปกับการรำลึก​นึกถึงเรื่องราว​คาวโลกีย์​ของตนกับลูกน้องจนเลยเถิดถึงขั้นเผลอช่วยตัวเองไปพร้อม ๆ กับภาพเหตุการณ์ที่แล่นอยู่ในหัว แม้สมองจะพยายามสั่งการให้ลบลืมเรื่องราวในคืนนั้นอย่างเด็ดขาด แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้ มันยังคงตามวนเวียนหลอกหลอนมนัสนันท์อยู่ในทุกขณะจิต จนตนเองอดคิดไม่ได้ว่า หรือลึก ๆ แล้ว เธออาจเป็นคนที่มีพื้นเพความต้องการทางเพศสูง เพียงแต่ที่ผ่านมาความรักนวลสงวนตัวได้สะกดมันเอาไว้อยู่ในส่วนลึกจนไม่เคยรับรู้

แล้วไฟจราจรที่เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวก็ดึงสติของมนัสนันท์ให้กลับมาจดจ่ออยู่กับท้องถนนอีกครั้ง หญิงสาวขับรถผ่านสี่แยกไฟแดงไปได้ จนในที่สุดเธอก็กำลังจะถึงปากทางเข้าอาคารจอดรถอยู่แล้ว แต่ทันใดนั้น สายตาก็สะดุดเข้ากับรถข้างหน้าที่เพิ่งจะเลี้ยวเข้าอาคารไปหมาด ๆ ถึงแม้จะเห็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่มนัสนันท์ก็จำรถคันนั้นได้เป็นอย่างดี รถสปอร์ตสุดหรูราคาเหยียบ 20 ล้านบาท ที่เธอได้เคยนั่งอยู่ในนั้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนกับชายที่เธอเคยรักสุดหัวใจอย่าง บอส

แค่รู้ว่าตนเองกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับแฟนหนุ่มที่เพิ่งจะสร้างบาดแผลทิ้งไว้ในใจของเธอจนเหวอะหวะ มนัสนันท์ก็จิตใจหวั่นไหวพร้อมกับมือไม้ที่เริ่มสั่นเทา ก่อนเธอจะใช้เวลาคิดเพียงเสี้ยววินาทีตัดสินใจขับรถพุ่งตรงเลยไปจากอาคารสำนักงานของตน แม้จะยังไม่รู้ว่าตนกำลังจะไปไหน แต่ก็ขอให้ได้ออกจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุดเป็นพอ

มนัสนันท์​ขับรถมาจอดที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากออฟฟิศ ซึ่งแน่นอนว่าคงจะกลายเป็นที่ทำงานชั่วคราวของเธอในวันนี้​ หญิงสาวพราวสเน่ห์​หยิบโทรศัพท์​ขึ้นมาเพื่อไล่โทรหาลูกน้องระดับหัวหน้างานเพื่อจะแจ้งว่าวันนี้เธอจะไม่เข้าสำนักงาน มนัสนันท์ไล่โทรออกไปเรื่อย ๆ จนต้องมาสะดุดหยุดชะงักกับการโทรหาลูกน้องคนสุดท้ายอย่าง สุขุม มนัสนันท์​แสดงท่าทีอึดอัดออกมาอย่างชัดเจนเมื่อจะต้องโทรหาเขา เพราะสถานะระหว่างกันที่มันเปลี่ยนไปอย่างก้าวกระโดดจากที่เคยเป็นแค่ เจ้านายกับลูกน้อง แต่ตอนนี้ดันกลับตาลปัตรแปรเปลี่ยนเกินเลยถึงขั้นเป็นคู่ชู้สาว หรือเรียกตามภาษาชาวบ้านว่า ผัวเมีย อย่างที่สุขุมใช้เป็นสรรพนามเรียกแทนตัวเขาและเธอในคืนนั้น มันจึงทำให้การกดโทรออกที่ช่างยากเย็นเสียเหลือเกินสำหรับมนัสนันท์ หญิงสาวถอนหายใจออกมาอยู่หลายครั้งก่อนจะกลั้นใจกดมือถือเพื่อจะโทรออกไปหาเขาในที่สุด แต่แล้วหญิงสาวก็ถึงกับสะดุ้งจนทำมือถือของตัวเองหล่น เพราะชายที่เธอลำบากใจหนักหนาที่จะต้องโทรไปหา กลับเป็นฝ่ายที่โทรเข้ามาหาเธอเสียเองอย่างเหมาะเจาะราวกับเป็นพรหมลิขิตจากสวรรค์ มนัสนันท์ทำตัวเงอะ ๆ งะ ๆ เพื่อตั้งสติและทำตัวให้เป็นปกติอยู่สักพักก่อนจะกดรับสายเขา
 
"ฮะ ฮะ ฮัลโหล สวัสดีค่ะพี่สุขุม มีอะไรหรือเปล่าคะ?" แม้จะตั้งสติและคิดว่าตัวเองเป็นปกติแล้ว แต่เสียงพูดของมนัสนันท์ที่เปล่งออกมา กลับยังตะกุกตะกักอย่างเห็นได้ชัด

"สวัสดีครับคุณมาย ขอโทษ​ทีที่โทรมากวน พอจะสะดวกคุยไหมครับ?"

"คุยได้ค่ะ มีเรื่องอะไรหรอคะ?"

"คุณมายอยู่ที่ออฟฟิศหรือยังครับ?"

"อ้อ ยังค่ะ พอดีมา..." ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค สุขุมก็ชิงพูดสวนขึ้นมาต่อ

"งั้นดีเลยครับ ตะกี้ผมบังเอิญเห็นแฟนคุณมายอยู่ใต้ตึก​ ผมเลยโทรมาบอกคุณมายไว้ก่อนครับ"

"จริงหรอคะ ขอบคุณ​มากนะคะ ที่โทรมาบอกมาย" แม้มนัสนันท์​จะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องเอ่ยขอบคุณ​สุขุมในความหวังดีของเขา

"ว่าแต่ ตอนนี้คุณมายกับแฟนได้กลับมาพูดคุยทำความเข้าใจกันหรือยังครับ?"

"ยะ ยังหรอกค่ะ มายยังไม่พร้อมจะคุยกับเขา" มนัสนันท์​ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พลางน้ำตาก็เอ่อรื้นออกมา โดยไม่รู้เลยว่าผู้ถามกลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ได้ยินแบบนั้น

"ถ้ามีอะไรที่ผมจะพอช่วยได้ บอกผมได้เลยนะครับ"

"ขอบคุณ​ค่ะ งั้นเดี๋ยวมายขอตัวก่อนนะคะ" หลังจากวางสายจากสุขุม มนัสนันท์​ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างโล่งใจ แม้เรื่องราวในคืนนั้นไม่อาจจะสลัดให้หลุดออกไปจากใจได้ แต่การที่สุขุมไม่ได้พูดอะไรถึงมันออกมาเลยนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับหญิงสาว ว่าสุขุมนั้นสามารถทำได้ตามสิ่งที่เขาให้คำมั่นกับเธอเอาไว้ในคืนนั้น

(ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในคืนสวาทระหว่างสุขุมกับมนัสนันท์)

ความเหนื่อยล้าจากเกมกามมาราธอนที่ทำให้มนัสนันท์​หมดสติหลับคาเตียงไปในที่สุด หลังจากนั้นเธอก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลยจนกระทั่งเวลาผ่านล่วงเลยไปจนเกือบจะถึงรุ่งเช้า หญิงสาวตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสภาพสะลึมสะลือ หัวสมองหนักอึ้ง ก่อนเธอจะค่อย ๆ ปรับสายตาเพื่อประมวลผลสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว ลักษณะห้องที่ไม่คุ้นตาค่อย ๆ ปลุกย้ำเหตุการณ์​ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ไหลย้อนกลับเข้ามาในหัว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างแจ่มชัดขึ้นคือท่อนแขนอันหนักอึ้งของชายร่างท้วมที่วางพาดผ่านบริเวณเนินหน้าอกเปลือยเปล่าของมนัสนันท์​อย่างถือสิทธิ์​ หญิงสาวสะดุ้งโหยงรีบประคองตัวขึ้นจนเห็นว่าตนเองในตอนนี้อยู่ในสภาพร่างกายเปลือยเปล่า ไร้อาภรณ์ใด ๆ หลงเหลืออยู่บนร่างกายติดตัวเลยสักชิ้น มนัสนันท์ใบหน้าซีดเผือด เพราะสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นแค่เพียงความฝันกลับเกิดขึ้นกับเธอจริง ๆ ในตอนนี้เธอรู้สึกสับสนไปหมด ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมปล่อยให้อะไรต่อมิอะไรเลยเถิดได้ถึงขนาดนี้ น้ำตาแห่งความเศร้าโศกค่อย ๆ เอ่อไหลออกมาอาบนองสองข้างแก้ม ด้วยเสียใจที่พลาดพลั้งเสียความสาวให้กับชายที่ตนไม่ได้รัก มนัสนันท์นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ชั่วครู่ ก่อนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตั้งสติ ใช้สองมือปาดคราบน้ำตาออกจากแก้ม แล้วรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อหาเสื้อผ้ากลับมาสวมปกปิดเรือนร่างและพาร่างกายที่บอบช้ำของตนออกจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด

แต่ทันทีที่จะก้าวเท้าลงจากเตียง ความแสบตึงก็แล่นพล่านออกจากกลางหว่างขาจนต้องรีบส่งมือไปเกาะกุมเป้าเอาไว้ แล้วนิ้วเรียวเล็กก็สัมผัสได้ถึงคราบอันเหนียวข้นที่เกาะเกรอะกรังอยู่เต็มร่องสาวอันเป็นต้นตอของกลิ่นคาวที่คละคลุ้งเตะจมูก มนัสนันท์ก้มมองดูคราบสีขาวขุ่นปนแดงที่เกาะติดนิ้วด้วยความสะอิดสะเอียดจนรู้สึกอยากอาเจียน ก่อนจะรีบฝืนกายเดินก้มเก็บเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนที่ตกหล่นกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นห้องแล้วรีบเข้าห้องน้ำไป

มนัสนันท์ไม่มีเวลาให้สำรวจร่างกายได้มากนัก เธอได้แต่วักน้ำจากอ่างล้างหน้ามาเช็ดเรือนร่างอย่างลวก ๆ ก่อนจะรีบสวมเสื้อผ้าชุดเก่ากลับไปโดยเร็ว เพื่อหวังจะพาตนเองออกจากโรงแรมแห่งนี้ให้ไวที่สุด พอจัดแจงทุกอย่างจนเข้าที่ เธอก็รีบเดินจ้ำออกมาจากห้องน้ำ ก่อนจะต้องร้องอุทานด้วยความตกใจเพราะชายร่างท้วมที่นอนหลับใหลอยู่แนบข้างตนเมื่อครู่ กลับนั่งเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ปลายเตียงโดยไม่ได้มีท่าทีกระดากอายเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังจ้องมองมายังเธอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของเขาได้ ในตอนนี้การต้องเผชิญกับเขาหลังเพิ่งผ่านพ้นเรื่องราวคาวสวาทที่ช่างสับสนมึนงง ยิ่งทำให้หญิงสาวจิตใจสั่นไหวอย่างรุนแรง จนต้องรีบหลบสายตาและฝืนเดินเลี่ยงไปคว้ากระเป๋าของตนที่วางอยู่ตรงโซฟา พอจัดแจงของในกระเป๋าเรียบร้อย เธอก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังประตูห้องโดยไม่มีท่าทีจะหันกลับมาคุยกับสุขุมเลยสักนิด

"คุณมายจะไปแล้วหรอครับ?" คำถามของสุขุมภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงัดทำให้มนัสนันท์ที่กำลังจะเงื้อมมือไปเปิดประตูต้องหยุดลง

"ค่ะ มายขอตัว" มนัสนันท์ยังคงไม่หันกลับมามองหน้าผู้ถาม ทั้งยังตอบกลับเขาไปเพียงสั้น ๆ ด้วยไม่รู้จะวางตัวอย่างไร จนไม่อยากจะอยู่ในห้องนานกว่านี้แม้เพียงเสี้ยวนาที

"แล้วคุณมายจะกลับยังไงล่ะครับ ให้ผมไปส่งนะครับ" มนัสนันท์ได้ยินความปรารถนาดีของสุขุมที่หยิบยื่นให้ แทนที่จะรู้สึกซาบซึ้ง แต่มันกลับยิ่งตอกย้ำถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา จนก่อเกิดเป็นความรู้สึกขมขื่นอยู่เต็มอกจนน้ำตาค่อย ๆ เอ่อรื้นออกมาเต็มสองตา

"ถ้าพี่ไปส่งครั้งนี้ มันจะไปจบที่โรงแรมไหนอีกละค่ะ" หญิงสาวเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพูดสวนสุขุมกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

"คุณมาย ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ต้องการจะให้มันเป็นแบบนี้เลยครับ แต่ว่า..." สุขุมพยายามคิดหาคำตอบที่สวยหรูเพื่อเอาตัวรอด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ มนัสนันท์ก็พูดสวนกลับมาจนเขาต้องหยุดพูดลง

"หยุดพูดเถอะค่ะ มายไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว แล้วก็... เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ มันก็แค่เกิดจากความผิดพลาด ช่วยคิดซะว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราก็แล้วกัน" มนัสนันท์ไม่อยากจะฟังคำแก้ตัวใด ๆ ของสุขุมในตอนนี้ จึงพูดสวนเขากลับไป ก่อนจะพูดดักคอไม่ให้เขาพูดถึงเรื่องนี้อีก ด้วยเกรงว่าถ้าเขาเอาไปพูดเสีย ๆ หาย ๆ มันจะกระทบกับชื่อเสียงและหน้าที่การงานของเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มนัสนันท์ตั้งใจจะทิ้งประโยคนี้จะเป็นประโยคสุดท้ายไว้กับสุขุม ก่อนทำท่าจะเปิดประตูห้องอีกครั้ง

"ผมคงหลอกตัวเองว่าเรื่องราวดีดีระหว่างเรามันไม่เคยเกิดขึ้นไม่ได้หรอกครับคุณมาย" คำพูดของสุขุมที่เอ่ยสวนกลับมา ทำเอามนัสนันท์ถึงกับหยุดชะงัก พลางจิตใจก็เกิดอาการสั่นไหว

"พี่จะคิดยังไงก็แล้วแต่พี่เถอะค่ะ แต่สำหรับมาย มันคือความผิดพลาดที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น" แม้มนัสนันท์จะรู้สึกสับสนเพราะภาพกิจกรรมที่เพิ่งผ่านพ้นไป ค่อย ๆ ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ ทั้งภาพการจูบอันเร่าร้อน หรือภาพการกระเด้งเอวเข้าใส่สุขุมอย่างแรดร่านของตน ล้วนบ่งบอกว่าเธอก็ยินยอมพร้อมใจให้เขากระทำ แต่หญิงสาวก็อับอายเกินกว่าจะยอมรับความจริงในข้อนั้น จึงทำได้แต่ปฏิเสธหลังชนฝา

"ใจของคุณมายมันบอกแบบนั้นจริง ๆ หรอครับ" สุขุมยังคงพูดต่อ เพราะรู้ว่าลึก ๆ แล้ว มนัสนันท์ก็ต้องรู้สึกดีกับท่วงทำนองรักที่เขามอบให้อย่างแน่นอน ราวกับว่าสุขุมพูดจี้ถูกจุด เพราะครั้งนี้หญิงสาวกลับเลือกที่จะฟังอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ตอบโต้อยู่ชั่วครู่คล้ายเธอกำลังคิดตาม ก่อนจะบิดลูกบิดประตูห้องเพื่อเปิดประตูห้องอีกครั้ง

"ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมรับปากว่าจะไม่พูดเรื่องในคืนนี้ให้รำคาญใจคุณมายอีก เพียงแต่จะขอเก็บมันไว้เป็นความทรงจำของผมก็เท่านั้น" สุดท้ายสุขุมก็รับปากว่าจะไม่พูดเรื่องราวคาวโลกีย์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อหวังให้มนัสนันท์คลายความกังวลใจ แล้วหลังจากนั้นหญิงสาวก็เดินโซเซพ้นจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก

(นั่นคือสิ่งที่สุขุมรับปากมนัสนันท์เอาไว้ และจนถึงตอนนี้เท่าที่หญิงสาวรับรู้ เขาก็ทำได้ตามที่เขาพูดทุกประการ)

.
.
.

"นี่พวกเรา แถวบ้านพักที่จะไปมีคาเฟ่สวย ๆ ด้วยแหละ ดูสิ" ก้อยยื่นมือถือของตนที่บันทึกรูปภาพร้านคาเฟ่ที่ตั้งใจจะแวะไปถ่ายรูปเอาไว้ให้เพื่อน ๆ ดู

"แหม ทีเรื่องแบบนี้นี่พร้อมเชียวนะ" บิ๊กเห็นท่าทีระรี้ระริกของเพื่อน ก็อดที่จะแซวไม่ได้

"ก็แน่นอนซิ!! นาน ๆ จะได้ไปเที่ยวพร้อมหน้ากับเพื่อนแบบนี้สักที" ก้อยตอบสวนทันควัน เพราะนับตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยและรู้จักกันมา เธอก็ไม่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดกันเองแบบนี้เลยสักครั้ง จึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาก็มีแต่ไปเข้าค่ายอาสาเท่านั้น

"หูยยย สวยจริงด้วยว่ะก้อย" ทันทีที่กิ๊ฟท์เห็นรูป ก็เห็นพ้องกับที่เพื่อนเธอพูดทุกประการ

"มิ้นท์ แกลองดูซิ" แล้วกิ๊ฟท์ก็ส่งมือถือของก้อยให้มินตราดูต่อ

"อื้อ ๆ สวยจริงด้วย แถมติดทะเลอีกนะเนี่ย" มินตราที่ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจดูมากนัก แต่พอเห็นภาพบรรยากาศของร้านเท่านั้นแหละ ก็ปฏิเสธความสวยงามของร้านรวงที่ตกแต่งอย่างพิถีพิถันและตั้งอยู่ติดริมทะเลไม่ได้เลยจริง ๆ

"เห็นมั้ยล่ะ ชั้นบอกแล้ว นี่อยากจะไปซะตอนนี้เลยเนี่ย" พอเห็นทุกคนเออออด้วย ก้อยก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่

"เบาได้เบา เดี๋ยวก็ได้ไปวันศุกร์นี้แล้ว ใจเย็น ๆ หน่อยเพื่อน ว่าแต่... เบิร์ด มึงนั่งเงียบเลยนะ มึงอยากไปป่ะเนี่ย" บิ๊กถึงกับต้องเบรคก้อยก่อนจะคิดเตลิดเปิดเปิงและพูดเพ้อเจ้อไปไกลกว่านี้ พลางย้อนกลับไปถามเบิร์ดที่เอาแต่นั่งนิ่งคิดอะไรอยู่คนเดียว ไม่พูดไม่จา

"เห้ย!! เบิร์ดโว้ยยย!! มึงได้ยินกูป่ะเนี่ย" บิ๊กถึงกับต้องตะโกนใส่ถึงจะทำให้เบิร์ดหันมาสนใจเขา

"นี่มึงตะโกนทำไมว่ะ เรียกธรรมดากูก็ได้ยินแล้ว" เบิร์ดถึงกับสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ แล้วจึงได้เห็นว่าตอนนี้ทุกคนในกลุ่มกำลังจ้องมองมายังเขาเป็นตาเดียว รวมถึงมินตราด้วยที่มองมาหาเขาด้วยแววตาที่ดูห่างเหิน

"ห่าาา กูเรียกมึงไปแล้วโว้ย แต่มึงก็เอาแต่เหม่ออยู่นั่นแหละ กูถามว่ามึงอยากไปเที่ยวไหมเนี่ย? เห็นนั่งเงียบไม่พูดไม่จากับใคร" 

"ไปซิว่ะ กูต้องไปให้ได้" คำตอบของเบิร์ดยิ่งทำให้ทุกคนทำหน้าฉงน ราวกับเขามีธุระอะไรบางอย่างจึงจำเป็นจะต้องไป หาใช่ว่าต้องการจะไปเที่ยวเหมือนกับคนอื่นเขา ใครจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วเบิร์ดไม่ได้นั่งเหม่อลอยแต่อย่างใด แต่กลับกัน เขากำลังคาดเดาแผนการที่แท้จริงของอาร์มอยู่ เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าอาร์มไม่ได้เป็นคนจิตใจดีที่จะมาหาที่พักให้กับเพื่อนฝูงฟรี ๆ แต่ลึก ๆ แล้วอาร์มต้องมีแผนการชั่วร้ายบางอย่างที่จ้องจะเคลมสวาทหญิงสาวที่เขาหลงรักอย่างแน่นอน แม้จะรู้ทั้งรู้ แต่เบิร์ดก็ไม่สามารถจะพูดบอกใครได้ โดยเฉพาะกับมินตรา เพราะดูจะเป็นการใส่ร้ายเพื่อนจนมีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขานั้นแย่ลง ดังนั้นทริปนี้เขาจึงจำเป็นต้องไปเพื่อปกป้องคนที่เรารักให้รอดพ้นจากคนชั่ว ๆ ให้ได้

"เออ ๆ  กูเชื่อแล้วว่ามึงอยากไป" แม้จะตะขิดตะขวงใจในคำตอบของเพื่อน แต่บิ๊กก็ขี้เกียจจะไปไล่จี้ถามต่อจนเสียบรรยากาศ

"ดีดี งั้นกลุ่มเราก็ไปกันครบทุกคน เอ้อ นี่ชั้นว่านะ ตอนเย็นเรามาทำปิ้งย่างอาหารทะเลกันดีกว่า" กิ๊ฟท์ไม่ปล่อยให้เกิดภาวะสุญญากาศขึ้นในกลุ่ม รีบเสนอไอเดียกับเพื่อนต่อ

"เห้ย น่าสน ๆ ได้กินอาหารทะเลแล้วก็ดื่มด่ำกับเสียงคลื่นกระทบชายฝั่ง​ โคตรดีเลย" บิ๊กสนับสนุนไอเดียออกมาอย่างออกนอกหน้า

"แต่ว่าที่บ้านพักจะมีเตาย่างหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ" มินตราก็รู้สึกชอบเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าที่บ้านพักจะมีอุปกรณ์ทำอาหารอย่างที่ต้องการไหม

"ก็เดี๋ยวให้อาร์มหาให้ก็ได้นะเราว่า" ในขณะที่ทุกคนกำลังกังวลเรื่องเตาย่างอยู่นั้น ก้อยก็ดูเหมือนจะหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้

"พักนี้แกดูสนิทกับอาร์มจังนะ อย่าบอกนะว่าแกกับมัน..." กิ๊ฟท์อดที่จะถามไม่ได้ เพราะพักหลังก้อยก็สนิทกับอาร์มอย่างผิดสังเกต

"บ้าน่าาา!! มันจะมาสนใจอะไรคนอย่างชั้นเล่า คนที่มันสนใจคนนู้นนู่น" ก้อยรีบปฏิเสธทันควัน พลางบุ้ยปากไปทางมินตราจนทุกคนมองตาม แล้วมินตราที่ถูกทุกสายตามองเข้าหาก็ได้แต่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไรต่อ

ในระหว่างนั้นทั้งมินตรา ก้อย กิ๊ฟท์ บิ๊ก และเบิร์ด ก็ยังนั่งพูดคุยเพื่อจัดแผนเที่ยวกันอย่างต่อเนื่องด้วยที่กลุ่มของพวกเขาเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดทริปนี้ จึงรับอาสาที่จะเป็นผู้จัดการเรื่องสถานที่และกิจกรรมทั้งหมด หลังจากทุกอย่างเริ่มลงตัว ทั้งกิจกรรม อาหาร และเครื่องดื่มที่พวกเขาจะต้องเตรียม บิ๊กก็วนกลับมาแซวเบิร์ดที่ยังคงนั่งเงียบอยู่

"เอ้อ เบิร์ด กูไม่ได้ซื้อนมไปให้แดกนะเว้ย คนอื่นเขากินเหล้ากินเบียร์กันหมด"

"เออ ไม่เห็นจะมีอะไร กูแดกมาหลายรอบแล้ว" เบิร์ดโดนแซวกลางวง เลยจำเป็นต้องพูดโกหกออกไป ทั้งที่ในชีวิตนี้เขาไม่เคยได้แตะมันเลยสักครั้งเดียว ซึ่งเพื่อน ๆ ก็แอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะรู้ว่าเขาโกหก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่อ

.
.
.

"ของที่กูฝากมึงไปเอา เรียบร้อยดีปะว่ะ?" ในระหว่างคาบเรียน อาร์มก็เอ่ยปากถามเรื่องที่ตนได้ฝากฝังเอาไว้ให้ยอดทำให้

"เรียบร้อยล่ะ แต่มึงรู้จักคนพวกนี้ได้ไงว่ะ แม่งน่ากลัวฉิบหาย นึกแล้วกูยังขนลุกอยู่เลยเนี่ย" แม้ยอดจะเป็นเด็กเกเรไม่เอาไหน แต่ถ้าเทียบกับคนที่อาร์มนัดให้ไปเอาของมาให้แล้วนั้น มันช่างต่างกันอย่างลิบลับ เพราะอย่างน้อย ๆ ยอดก็ยังเป็นเด็กที่อยู่ในแวดวงนักเรียนนักศึกษา สังคมการใช้ชีวิตจึงแตกต่างจากนักเลงหัวไม้ที่ต้องใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบอย่างพวกมัน

"ไม่เห็นต้องไปกลัวเลยว่ะ ที่พวกมันต้องทำตัวน่ากลัว เพราะแม่งไม่มีเงินเป็นเครื่องมือ​แบบกูไง อย่าไปสนใจพวกแม่งหรอก คิดถึงเรื่องสนุก ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นของพวกเราดีกว่า ฮ่า ๆๆ" อาร์มกลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวพวกนั้นแต่อย่างใด เพราะเชื่อมั่นว่าเงินที่เขามีอย่างมากล้นพ้นตัว จะช่วยปกป้องเขาได้ทุกอย่าง

.
.
.

"มายยังไม่มาอีกหรอครับ ช่วยลองโทรถามให้อีกทีได้ไหม" บอสที่นั่งรอมนัสนันท์อยู่ที่ใต้ตึกสำนักงานตั้งแต่ช่วงสายจนถึงบ่าย ๆ ก็ยังไม่เห็นวี่แววของหญิงสาวเลยสักนิด จนต้องเดินกลับไปถามเจ้าหน้าที่​ประชาสัมพันธ์​เป็นรอบที่ 5

"ยังไม่เข้ามาเลยค่ะ" สาวน้อยประชาสัมพันธ์หน้าตาจิ้มลิ้ม​โทรเช็คขึ้นไปที่ออฟฟิศของมนัสนันท์ ก่อนจะตอบกลับชายหนุ่มรูปหล่ออย่างสุภาพ หากแต่คำตอบนั้นไม่ใช่คำตอบที่เขาคาดหวังจะได้รับ จนเริ่มออกอาการหัวเสีย เพราะเขาติดต่อมนัสนันท์​ไม่ได้มาหลายวันเกินไปแล้ว จนคาดเดาได้ว่าเกิดบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติขึ้นเป็นแน่ เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก่อนสุดท้ายบอสจะหยิบมือถือ​แล้วพิมพ์​ข้อความส่งหาใครบางคน

{มาหาผมที่คอนโดตอนนี้}�

.
.
.

ตกยามเย็นอันเป็นช่วงเวลาที่ร้านกาแฟใกล้จะปิดลงในไม่ช้า มนัสนันท์ก็สามารถจัดการอีเมล์และงานระบบต่าง ๆ ที่เธอพอจะทำได้ด้วย laptop คู่กายจนทุกอย่างเสร็จสิ้น ตอนนี้หญิงสาวกำลังนั่งครุ่นคิดด้วยเป็นกังวลว่าวันพรุ่งนี้บอสจะมาดักพบเธอที่ออฟฟิศอย่างวันนี้หรือไม่ แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพร้อมกับความสงสัยที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันสวยหวานเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะกดรับสายที่โทรเข้ามานั้น

"สวัสดีค่ะพี่สุขุม" มนัสนันท์กล่าวรับสายอย่างสุภาพ พลางคาดเดาเรื่องที่สุขุมโทรมาหาไปต่าง ๆ นานา

"คุณบอสเขากลับไปแล้วนะครับ เผื่อคุณมายต้องการเข้ามาเคลียร์​เอกสาร" ช่วงเวลายามเย็นที่คนหลายต่อหลายคนเริ่มทยอยเก็บของและกลับบ้านหลังจากสะสางงานเสร็จสิ้นเรียบร้อย จนทำให้พนักงานในออฟฟิศเริ่มบางตาลงไป ก็เป็นเวลาที่สุขุมตั้งใจโทรหามนัสนันท์เพื่อรายงานสถานการณ์หน้างานให้เธอรับทราบ เพราะหากโชคชะตาเป็นใจให้หญิงสาวกลับเข้ามา ก็จะทำให้เขามีโอกาสได้อยู่กับเธอสองต่อสองอีกครั้ง

"ขอบคุณ​นะคะ"  มนัสนันท์กล่าวขอบคุณสุขุม ก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะกดวางสายไป

.
.
.

[มาดึกแบบนี้ก็ดี ไม่ต้องมีใครมากวนใจ] มนัสนันท์คิดอยู่ในใจ หลังจากวางสายจากสุขุม เธอก็ตั้งใจปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปอีกสักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจเข้ามาเคลียร์เอกสาร เพื่อหวังว่าจะไม่ต้องมาเจอทั้งบอสและสุขุม ซึ่งมนัสนันท์ก็คิดไม่ผิดจริง ๆ เพราะเมื่อเธอเดินเข้ามา ออฟฟิศทั้งชั้นก็โล่งชนิดที่ไม่เห็นใครนั่งอยู่สักคน เมื่อมนัสนันท์เดินไปจนถึงห้องทำงานของตน เธอก็พบเอกสารกองโตที่วางรอเธอให้ลงนาม หญิงสาวทยอยจัดการเอกสารไปเรื่อย ๆ จนผ่านไปร่วมชั่วโมงเธอก็เคลียร์ได้แล้วมากกว่าครึ่ง ก่อนที่จะมีเสียงใครบางคนดังขึ้นจากบริเวณหน้าห้องจนทำให้มนัสนันท์สะดุ้งโหยง



eden2313

สุขุมแอบดักเจอคุณมายแน่ๆเลย รอจัดการเหยื่ออีกรอบแน่


bybee


LoveU2017