ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

Copy บันทึกคัมภีร์มหัศจรรย์ ตอน15 คำสัญญา บทประพันธ์ nookylove

เริ่มโดย areja, ตุลาคม 11, 2012, 08:41:52 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

areja

   Normal  0          false  false  false    EN-US  X-NONE  TH                                          MicrosoftInternetExplorer4                                    
Copy บทประพันธ์ ท่าน nookylove





ท่ามกลางฝนที่ซัดสาดลงมาราวกับฟ้ารั่วเงาร่างสีดำทะมึนโยนตัวไปมาระหว่างกิ่งขนาดใหญ่ของต้นไม้ที่มีอายุนับร้อยปีต้นแล้วต้นเล่าระหว่างที่แสงฟ้าแล่บก่อนจะตามมาด้วยเสียงสนั่นของฟ้าผ่าเผยให้เห็นร่างอรชรบอบบางในวงแขนกำยำเต็มไปด้วยขนหยาบยาวรุงรังที่เปียกลู่จากหยาดฝนเรือนกายใหญ่โตเกินกว่าวานรทุกชนิดที่มนุษย์ได้เคยพบเห็นหากแต่ปราดเปรียวยิ่งนักจังหวะการโหนตัวพุ่งจากกิ่งไม้ใหญ่จากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งคล่องแคล่วรวดเร็วราวกับว่าขนาดอันใหญ่โตไม่เป็นอุปสรรคสักนิดขณะที่ร่างวานรยักษ์นั้นกำลังลอยอยู่กลางอากาศ พลันมันก็ส่งเสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวดเมื่อร่างพุ่งเข้าปะทะกับกำแพงที่มองไม่เห็นร่างทะมึนที่กำลังชะงักอยู่กลางอากาศก่อนจะร่วงจากความสูงหลายสิบเมตรมันจึงจำเป็นต้องปล่อยร่างที่อยู่ในวงแขนตามสัญชาติญาณเอาตัวรอดแล้วพยายามไขว่คว้ากิ่งไม้ใกล้ตัวแทนส่วนร่างบอบบางที่ลอยละลิ่วลงจากยอดไม้นั้นไม่ได้สติแต่ดูเหมือนดวงชะตาของเธอยังไม่ถึงฆาตเมื่อร่างนั้นแทบจะไม่ได้กระทบกิ่งไม้ใหญ่เลยระหว่างที่ร่วงลงมามีเพียงกิ่งเล็กๆที่สร้างเพียงรอยขีดข่วนบางๆเท่านั้นเพียงแต่หากตกลงมาด้วยความสูงขนาดนั้นก็คงไม่แคล้วจากความตายไปได้ ในไม่กี่วินาทีที่ร่างกำลังจะกระทบกับพื้นป่าสองแขนแข็งแกร่งก็รองรับร่างของเธอไว้อย่างนุ่มนวลราวกับปาฏิหาริย์เสียงคำรามก้องป่าอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาจากยอดไม้ทำให้ผู้มาใหม่ต้องละความสนใจจากร่างในอ้อมแขนตอนนี้เงยหน้าขึ้นไปมองทโมนไพรร่างยักษ์อย่างแปลกใจไม่ใช่แปลกใจในขนาดอันใหญ่โตแต่แปลกใจที่มันมาปรากฏตัวในดินแดนแถบนี้ได้อย่างไรเมื่อตาสองคู่ประสานกันเจ้าร่างใหญ่ขนยาวก็เป็นฝ่ายคำรามทิ้งท้ายก่อนจะโหนตัวจากไปเขาจึงหันกลับมาสนใจร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขนอีกครั้งเมื่อเพ่งมองก็บอกได้ทันทีจากการแต่งกายว่าไม่ใช่สาวชาวป่าแน่นอน จึงตัดสินใจพากลับหมู่บ้านเพื่อตรวจดูบาดแผลให้แน่ใจอีกที

เสียงทักทายพูดคุยกันยามเช้าและเสียงจากการทำงานปลุกให้ร่างที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่ใช้ต่างเตียงลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงงเมื่อสายตาปรับภาพได้ชัดเจนแล้ว ชุดที่ใส่อยู่ก็ไม่ใช่นี่เคยใส่แต่ดูเหมือนเป็นชุดชาวบ้านพื้นเมืองยังไม่ทันได้คิดถึงเหตุใดเธอจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ประตูกระท่อมก็ถูกเปิดออกร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามายิ่งทำให้หญิงสาวประหลาดใจมากขึ้นเมื่อคนที่เข้ามานั้นเป็นชายหนุ่มชาวตะวันตกทักทายเธอเป็นภาษาอังกฤษแถมยังแนะนำตัวเองว่าเป็นหมอ จากนั้นก็ถามอาการเบื้องต้นของเธอก่อนจะจับชีพจรตรวจดูคร่าวๆเมื่อได้ผลเป็นที่พอใจแล้วจึงออกไปเมื่ออยู่ลำพังเธอจึงได้มีเวลาคิดทบทวนเรื่องราวอีกครั้งหลังจากดึงดันดื้อแพ่งจะขอติดตามพันโทศาสตร์ว่าที่คู่หมั้นมาเที่ยวป่าเพราะเธออยากจะรู้นักว่าทำไมพวกผู้ชายถึงได้ชอบเข้าป่าล่าสัตว์ทำร้ายชีวิตอื่นด้วยความสนุกสะใจแถมยังยิ่งชื่นชมยกย่องผู้ที่ฆ่าได้มากโดยเฉพาะสัตว์ใหญ่อย่างพวกกระทิง เสือ ช้างอีกอย่างเธอทำเพื่อประท้วงคุณพ่อคุณแม่ที่เธอเรียนจบกลับจากอังกฤษได้ไม่นานก็จับคู่ให้กับนายทหารหนุ่มอนาคตไกลเชื้อสายตระกูลขุนนางทหารเก่าแก่ด้วยเหตุผลที่ว่าเหมาะสมและผู้ใหญ่สองฝ่ายต่างก็เห็นชอบเธอจึงอ้างเหตุผลในการขอติดตามเข้าป่ามาด้วยว่าต้องการเรียนรู้ว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไรจะปกป้องคุ้มครองเธอได้ไหมตอนแรกฝ่ายผู้ใหญ่ต่างก็ไม่มีใครเห็นด้วยที่จะให้เธอตามมาแต่เพราะว่าที่คู่หมั้นของเธอยืนยันว่าเขาสามารถดูแลเธอได้ซึ่งอาจเป็นเพราะต้องการทำคะแนนให้เธอยอมรับในตัวเขาก็เป็นได้เดิมทีคิดว่าจะเป็นการเข้าป่าล่าสัตว์ที่แผ่นดินไทยแต่ว่าที่คู่หมั้นของเธอบอกว่าป่าในประเทศไทยเขาเข้าออกจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้วจึงอยากลองหาความท้าทายใหม่ๆที่ยังไม่เคยไปและน้อยคนนักจะได้ไปแถมยังอุดมสมบูรณ์กว่ามากดังนั้นคณะของเธอจึงได้ข้ามฝั่งสาละวินมายังผืนป่าแห่งนี้โดยได้รับการช่วยเหลือจากนายทหารของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นเพื่อนกับว่าที่คู่หมั้นของเธอในช่วงวันแรกๆพรานนำทางชาวกระเหรี่ยงนำคณะไปยังจุดที่สัตว์ป่าชุกชุมจนเดินทางลึกเข้ามาเรื่อยๆ จนเธอสังเกตว่านี่ไม่น่าจะเป็นการเข้าป่าล่าสัตว์ธรรมดาเพราะเหมือนมีจุดหมายบางอย่างการเดินการหยุดพักเป็นเวลาไม่คล้ายกับการท่องเที่ยวล่าสัตว์เพื่อความสนุกจนกระทั่งเมื่อเย็นวานฝนเทกระหน่ำท้องฟ้ามืดมิดพรานนำทางเร่งให้คณะรีบขึ้นที่สูงเพราะเกรงจะเจอน้ำป่าด้วยที่ตั้งแคมป์ของคณะอยู่ไม่ไกลจากทางน้ำเพื่อความปลอดภัยฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้เกิดความวุ่นวายไม่น้อยพวกลูกหาบต่างเก็บข้าวของอย่างทุลักทุเลรีบเร่งขึ้นพื้นที่สูงขณะที่ทุกคนต่างวุ่นวายกันอยู่นั้น เธอก็รู้สึกถึงความร้อนด้านหลังและลมหายใจร้อนๆเป่าอยู่บนศีรษะยังไม่ทันจะหันไปมองเสียงคำรามจนสมองอื้ออึงก็ดังขึ้นจากนั้นแขนยาวเต็มไปด้วยขนรุงรังก็โอบรัดตัวเธอพาร่างลอยขึ้นจากพื้นดินเฉอะแฉะแล้วเธอก็ไม่ได้สติอีกเลยจนมาถึงตอนนี้

เมื่อหญิงสาวเดินออกมาจากกระท่อมก็พบชายชาวตะวันตกที่บอกว่าเป็นหมอกำลังคุยกับผู้ชายอีกคนหนึ่งไม่ไกลนักลักษณะการแต่งกายดูคล้ายกับชาวบ้านทั่วไปส่วนสูงเตี้ยกว่าคุณหมอหนุ่มราวคืบหนึ่งทั้งคู่ยืนหันหลังให้เธอจึงไม่ได้เห็นว่าคนที่ยืนคุยกับคุณหมอหน้าตาเป็นอย่างไรแต่ก็เพียงไม่นานดูเหมือนทั้งคู่จะรู้สึกตัวว่ามีคนยืนมองอยู่ข้างหลังจึงหันมาหมอหนุ่มยิ้มทักทายให้เธอแล้วหันไปพูดกับชายหนุ่มข้างตัวอีกสองสามประโยคแล้วจึงโบกมือเดินจากไปชายหนุ่มคนนั้นจึงก้าวเข้ามาหาเธอแล้วพูดบางอย่างเป็นภาษาที่เธอไม่เข้าใจ

" คุณดีขึ้นหรือยัง " ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นถามเธอด้วยภาษาอังกฤษ

" เอ่อ ค่ะดีขึ้นแล้ว " หญิงสาวตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกันพลางสังเกตลักษณะของชายหนุ่มตรงหน้าดูแล้วน่าจะเป็นคนเอเชียเพียงแต่ระบุไม่ได้ว่าเป็นคนชาติไหนจะว่าเป็นกระเหรี่ยงก็ไม่น่าใช่เพราะดูไม่คล้ายกับที่เธอเคยพบมาใบหน้าคล้ายกับรวมด้วยหลากเชื้อชาติ จมูกโด่ง เบ้าตาค่อนข้างลึกออกไปทางคนเอเชียตะวันตกมากกว่า ผมสีดำ แต่ดวงตากลับเป็นสีน้ำตาลใบหน้าเรียวได้รูปรับกับคางเหมาะเจาะดุจสร้างโดยปฏิมากรเอก ไหล่หนาบ่ากว้าง ส่วนสูงของเธอประมาณคางของเขาเท่านั้นหญิงสาวมัวหลงอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ทันฟังที่ชายหนุ่มพูดจนเขาแตะที่ข้อศอกเธอเบาๆอย่างสุภาพ

" คุณคงหิวแล้ว เชิญทางนี้เถอะ " ชายหนุ่มบอกและผายมือเชิญเธอให้เดินตามหญิงสาวจึงเดินตามเขาไปขึ้นเนินค่อนข้างชันเขาจึงยื่นมาให้ให้เธอจับก่อนจะพาเดินไต่ขึ้นไปอย่างมั่นคงเมื่อทั้งคู่พ้นเนินมาแล้วก็พบเห็นบ้านเรือนอีกหลายหลังแต่ละหลังสร้างด้วยวัสดุเหมือนกันหลังคาและฝาบ้านมุงด้วยใบหญ้าและฟางตัวบ้านยกสูงจากพื้นดินราวเมตรเศษชายหนุ่มพาเธอเดินผ่านบ้านอีกหลายหลังจนมาถึงเพิงขนาดใหญ่เปิดโล่งไร้ผนังมีเพียงหลังคาไว้กันแดดกันฝนก็พบกับคุณหมอหนุ่มนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ขนาดใหญ่โดยมีสตรีชาวตะวันตกนั่งข้างๆ ที่บอกได้เพราะสังเกตจากผมสีน้ำตาลแกมแดงยาวแต่ถูกมัดรวบไว้กลางหลังชายหนุ่มพาเธอมานั่งที่แคร่ไม้ก่อนจะเดินไปยังเตาไฟที่มีหม้อขนาดใหญ่ตั้งอยู่

" เมื่อเช้าผมลืมแนะนำตัว ผมโยฮัน นี่ภรรยาผมโจแอนนา ผมเป็นคนเยอรมันน่ะส่วนเธอฝรั่งเศส " หมอหนุ่มแนะนำตัวและพูดคุยอย่างเป็นกันเองโจแอนนาก็ยื่นมือมาให้จับแล้วยิ้มให้อย่างมีมารยาท

" ฉันอำไพค่ะ เป็นคนไทย " หญิงสาวแนะนำตัวบ้าง หมอหนุ่มร้องโอ้อย่างแปลกใจยังไม่ทันจะพูดอะไรชามที่ใส่ข้าวต้มร้อนๆหอมกรุ่นก็ถูกยกมาวางข้างหน้าเธอหญิงสาวหันไปขอบคุณแล้วมองลงไปในชามไม้ตรงหน้า

" ผมก็เรียกไม่ถูกว่าข้าวต้มอะไรเพราะเขาใส่ทั้งเผือก มัน เนื้อสัตว์ แต่คุณลองชิมก่อนเถอะรสชาติดีทีเดียว "เสียงพูดเป็นภาษาไทยอธิบาย หญิงสาวหันไปมองอย่างแปลกใจส่วนคู่สามีภรรยาชาวตะวันตกยิ้มอย่างถูกใจ

" ผมก็คนไทยครับ ชื่อ ดา เอ่อขอโทษผมไม่รู้จริงๆว่าคุณเป็นคนไทย " ชายหนุ่มรีบขอโทษเพราะได้รับค้อนจากหญิงสาวมาวงนึง

" ฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนไทยเหมือนกัน "อำไพพูดกึ่งจริงกึ่งประชดเพราะเขาก็ไม่คล้ายคนไทยเหมือนกันสองสามีภรรยาพากันหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะขอโทษแล้วเอ่ยขอตัวปล่อยให้ทั้งคู่นั่งทานอาหารเช้าต่อไป

" คู่นั้นเขาฟังภาษาไทยรู้เรื่องน่ะพูดได้นิดหน่อย โยฮันเขาเป็นหมอจากเยอรมันส่วนแอนนาเป็นนักพฤษศาสตร์ " ดา อธิบายหลังจากทั้งคู่เดินจากไปแล้วซึ่งหญิงสาวรับฟังอย่างตั้งใจเพราะดูจากการพูดจาแล้วชายหนุ่มน่าจะมีความรู้ไม่น้อยแถมยังพูดได้หลายภาษาอีกต่างหาก

" ส่วนผมงูๆปลาๆไปเรื่อยๆไม่ได้จบอะไรกับเขาหรอกรีบทานเถอะเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน " ชายหนุ่มพูดต่อราวกับอ่านใจเธอได้ อำไพจึงลงมือจัดการกับอาหารเช้าเมื่อทานอาหารเก็บชามไปล้างเสร็จชายหนุ่มจึงพาเธอออกเดินอีกครั้ง

" คุณจำอะไรได้บ้างไหม " ชายหนุ่มถามราวกับว่าเธอความจำเสื่อม ทำให้เธอทั้งโกรธทั้งขำ

" ฉันไม่ได้ความจำเสื่อมนะคะรู้ตัวเองดีว่าเป็นใครมาจากไหน " อำไพตอบไปอย่างฉุนๆ

" อ่อ ผมขอโทษบางทีผมอาจจะใช้คำถามได้ไม่ดีพอคือผมหมายถึงคุณจำเหตุการณ์ที่ถูกจับตัวมาได้ไหม " ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษและอธิบายชัดๆให้เธอเข้าใจ หญิงสาวคาดว่าเขาคงไม่ได้ใช้ภาษาไทยมานานพอดู

" อืม ใช่ฉันถูกตัวอะไรไม่รู้ลักพาตัวมาจากแคมป์ตอนที่ฝนตกหนักแล้วทุกคนกำลังวุ่นวายคุณรู้ไหมว่ามันเป็นตัวอะไร " อำไพทบทวนความจำก่อนจะเล่าให้ชายหนุ่มฟังคร่าวๆ

" คุณอำไพเคยอ่านเรื่องรามเกียรติ์หรือเปล่าครับ" ชายหนุ่มตั้งคำถามแทนคำตอบทำเอาหญิงสาวงุนงง

" ก็เคยฟังนิทานมาบ้าง เรื่องที่ยักษ์ลักพาตัวนางเอกแล้วพระเอกยกทัพไปช่วยใช่ไหมคะแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของฉันล่ะ " เธอตอบเขาไปตามที่เคยฟังมาตอนเด็กๆ

" ใช่ เรื่องนั้นแหละก็ตัวที่ลักพาตัวคุณจากที่พักไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อไหมถ้าผมจะบอกว่าเป็นเชื้อสายของพวกทหารพระราม " ชายหนุ่มอธิบาย ฟังดูเหลือเชื่อสำหรับเธอที่ผ่านโลกศิวิไลมาหลายปีแต่ดูท่าทางของเขาแล้วไม่ดูเหมือนล้อเล่นสักนิด

" คุณจะบอกว่ามียักษ์มาลักพาตัวฉันหรือคะ "อำไพ ถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ชายหนุ่มนี่สิกลับหลุดขำชวนให้หมั่นไส้โดยที่เธอไม่รู้ตัวเองเลยว่าปล่อยไก่ออกไปหมดเล้า

" ลิงครับ ทหารพระรามเป็นลิง " ชายหนุ่มอธิบายทั้งที่ยังขำอยู่ จนหญิงสาวอยากจะซัดสักทีด้วยความอายปนโมโห

" ก็ฉันเคยฟังมาตอนเด็กๆนี่คุณจะขันอะไรนักหนา " อำไพต่อว่าทั้งหน้าแดงจากความอายจนชายหนุ่มรีบหยุดขำเพราะกลัวหญิงสาวจะงอนเสียก่อน

" แล้วมันจะจับตัวฉันไปทำไมหรือคะ " เธอเริ่มถามต่อ เมื่อชายหนุ่มหยุดขำ

" ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่แต่ในรามเกียรติ์พาลียังเก็บนางมณโฑไว้จนคลอด องคตออกมาได้เลยนี่ครับ " คำพูดของชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวขนลุกเกรียวนี่หมายความว่ามันจะจับเธอไปเพื่อสมสู่หรือนี่

" แล้วมันมาจากไหนคะ " อำไพถามเสียงสั่นสายตากวาดมองไปยังต้นไม้สูงอย่างระแวงร่างกายขยับไปใกล้ชายหนุ่มจนเกาะแขนเขาอย่างไม่รู้ตัว

" ที่ที่ไกลจากที่นี่มากครับ...คุณไม่ต้องกลัวหรอกมันเข้ามาถึงนี่ไม่ได้แน่ " ดวงตาของชายหนุ่มมีแววหวนรำลึกอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกลับเป็นปกติแล้วจึงบอกให้หญิงสาวคนที่กำลังเกาะแขนเขาอยู่ตอนนี้สบายใจเขายืนนิ่งอยู่นานจนเธอรู้สึกตัวรีบปล่อยแขนของเขาแล้วเอ่ยขอโทษเบาๆแต่ชายหนุ่มหัวเราะแล้วบอกเธอว่ามาถึงแล้ว

" คุณคงต้องอยู่ที่นี่หลายวันหรืออาจจะเป็นสัปดาห์เพราะช่วงนี้มรสุมเข้าแล้วยังมีปัญหาจากสิ่งที่คุณได้พบมาแล้ว ผมเลยขอให้ซายีนายบ้านที่นี่สร้างที่พักให้คุณน่ะอยู่ใกล้ๆหมอโยฮันกับแอนนาเย็นนี้คงเสร็จส่วนเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนผมขอจากมะเมี๊ยะเมียซายีให้คุณแล้ว "ชายหนุ่มอธิบายยาวเหยียดหญิงสาวเอ่ยขอบคุณแล้วมองไปยังกระท่อมที่เธอต้องอาศัยอยู่นับแต่คืนนี้โดยชาวบ้านกำลังช่วยกันขึ้นไปมุงหลังคา

" ประเดี๋ยวผมต้องเข้าป่าไปกับพวกชาวบ้าน "ชายหนุ่มบอกแล้วพาเธอเดินเลยจากที่พักของเธอที่กำลังสร้างอยู่เพียงชั่วครู่ก็พบกับสองสามีภรรยานั่งอยู่ในเพิงเปิดโล่งบนแคร่ไม้ไผ่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เล็กๆมากมาย

" เดี๋ยวผมต้องเข้าป่า " ชายหนุ่มบอกทั้งคู่หมอโยฮันยิ้มรับเข้าใจความหมายว่าเขานำสุภาพสตรีทางด้านหลังมาฝากไว้ส่วนคนที่ถูกนำมาฝากให้ดูแลเพิ่งเข้าใจความหมาย

" ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆนะคะคุณจะไปไหนก็ไปเถอะไม่ต้องห่วงฉันหรอก " หญิงสาวพูดอย่างงอนๆเขาจึงเดินไปสมทบกับกลุ่มชาวบ้านที่ยืนคอยอยู่ไม่ไกล

" ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยได้พบปะกับผู้หญิงเท่าไหร่น่ะค่ะมิสอำไพ " โจแอนนาละสายตาจากสมุดโน๊ตที่เจ้าตัวกำลังจดบันทึกขึ้นมาพูดกับอำไพด้วยภาษาอังกฤษค่อนข้างชัดกว่าผู้เป็นสามี

" เรียกฉันอีฟก็ได้ค่ะ " อำไพบอก กับทั้งคู่เพราะชื่อภาษาไทยเธอออกเสียงยากสำหรับชาวตะวันตก

" อีฟ เชิญนั่งก่อน " หมอโยฮันชวนเธอนั่งลง

" พวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่คะ " อีฟหรืออำไพ ถามหลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว

" ฉันกำลังจดบันทึกสมุนไพรพวกนี้ป่าเขตร้อนแถบนี้มีสมุนไพรมากมายเลยนะคะ " โจแอนนาตอบ

" ไม่รู้ว่าคุณตามผมมาหรือผมตามคุณมากันแน่เนี่ยที่รัก" หมอโยฮันพูดยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดี

" ก็ตอนแรกผมอยากจะมาเพื่อศึกษาเกี่ยวกับโรคภัยของภูมิภาคนี้ทางยุโรปมีหมอเยอะแล้วแต่ทางนี้กับทางอาฟริกาด้านการแพทย์ยังล้าหลังอยู่มากผมจึงอยากมาอยู่ที่นี่ " หมอหนุ่มอธิบายทำเอาหญิงสาวทึ่งในความคิดของหมอหนุ่มคนนี้

" ส่วนโจแอนตอนแรกที่รู้ว่าผมจะมาที่นี่เขาแทบจะขอหย่ากับผมเลยนะแต่ดูสิพอมาอยู่แล้วหลงสมุนไพรพวกนี้มากกว่าผมเสียอีก " หมอหนุ่มพูดต่ออย่างขัดเขินจากสายตาของภรรยาและหญิงสาวอีกคนที่มองมาอย่างชื่นชม

" ก็ดูสิที่นี่สำหรับฉันเปรียบเหมือนห้องสมุดหรือคลังสมบัติเลยนะสมุนไพรพันธุ์ไม้มากมายที่ยังไม่ถูกเปิดเผยให้โลกได้รับรู้ " โจแอนนาตีแขนสามีเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย

" พวกคุณรู้จักเขานานหรือยังคะ เอ่อฉันหมายถึงคุณดาน่ะ " หลังจากมองคู่สามีภรรยาหยอกล้อกันอย่างมีความสุขไปด้วยอำไพจึงชวนสนทนาต่อ

" ก็ราวๆสี่ปีแล้วครับ พบกันครั้งแรกที่ทวายเขาเข้ามาช่วยเราไว้จากโจรกระเหรี่ยงน่ะ แล้วก็พาเรามาอยู่ที่นี่" หมอโยฮันเล่า

" เขาเป็นคนยังไงเหรอคะ " อำไพ ถามอย่างสนใจ

" อืม จากที่รู้จักกันมาหลายปีต้องบอกว่าเขาเป็นคนดี ดีมากครับ ชาวบ้านแถบนี้รักเขาทุกคนตอนแรกที่เจอผมนึกว่าเขาเป็นทหารเสียอีก แต่พอต่อมาผมก็คิดว่าเขาเป็นหมอเพราะบางทีแค่ได้ยินเสียงลมหายใจเขาก็สามารถบอกได้แล้วว่าคนๆนั้นกำลังป่วยยิ่งรู้จักนานเข้าชายคนนั้นยิ่งทำให้ทึ่งน่ะครับ " หมอหนุ่มบรรยายให้ฟัง

" สมุนไพรพวกนี้เขากับชาวบ้านก็เป็นคนนำมาให้เขาทำให้ฉันกลับไปเป็นนักศึกษาอีกครั้งเลยล่ะ ว่างๆก็จะมาให้ฉันเลคเชอร์สักรอบแล้วเวลาคุยกับโยฮันตามลำพังเขาก็พูดเยอรมันกันพอมาอธิบายเรื่องสมุนไพรให้เขาก็พูดฝรั่งเศสกับฉันแถมยังอธิบายได้ดีทีเดียวคุณว่ามหัศจรรย์ไหมล่ะคะ " โจแอนนา เสริมต่อจากสามี

" ปกติเขาอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือคะ " หญิงสาวถามอย่างสนใจ เพราะจากที่สองสามีภรรยาคู่นี้เล่ามาชายหนุ่มที่บอกว่าเป็นเพื่อนร่วมชาติมีประวัติความเป็นมาลึกลับแต่กลับมีความสามารถมากมายขนาดนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกสนใจ

" เอ...ไม่หรอกครับ เขาจะไปๆมาๆในหมู่บ้านแถบนี้ บางทีก็ข้ามไปฝั่งไทย " โยฮันเป็นฝ่ายตอบคำถาม

" เห็นว่าระยะนี้เกิดเรื่องประหลาดขึ้นในแถบนี้ทำเอาพวกชาวบ้านหวาดกลัวกันมากเขาเลยต้องมาดูน่ะค่ะ นี่ก็อยู่ได้สักพักแล้ว " โจแอนนากล่าวเสริมทำให้หญิงสาวคิดไปถึงเรื่องลิงยักษ์ที่ลักพาตัวเธอมาจากแคมป์

" เอาล่ะเดี๋ยวฉันพาคุณชมรอบหมู่บ้านดีกว่าค่ะอีฟ ที่รักฝากทำต่อด้วยนะคะ " โจแอนนาหันไปบอกสามีแล้วลุกขึ้นอาสาพาเพื่อนใหม่เดินชมหมู่บ้านว่าแล้วก็คล้องแขนพากันเดินไป

หลังจากเดินตามแหม่มสาวผมน้ำตาลแกมแดงทำให้หญิงสาวรู้ว่าชาวบ้านที่นี่นอกจากปลูกข้าวตามเชิงเขาแล้วยังมีแปลงผักกับเลี้ยงไก่ไว้เป็นอาหารแล้วยังมีสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือโรงกลั่นเหล้ากับโรงกลั่นหัวน้ำหอมจากดอกไม้ป่าซึ่งเกิดจากความคิดและฝีมือของผู้ชายแสนลึกลับคนนั้นโดยโจแอนนาอธิบายว่าผลผลิตที่ได้สร้างประโยชน์ได้อย่างมากทั้งนำไปแลกกับเกลือและเวชภัณฑ์ที่ต้องการยังช่วยให้โยฮันมีแอลกอฮอล์ไว้ใช้อีกด้วย ทั้งคู่พากันเดินจนตะวันคล้อยลงมาก

" ใกล้ได้เวลาที่สาวๆจะอาบน้ำแล้วมาเถอะอีฟเตรียมตัวกัน " แหม่มสาวบอกอย่างยิ้มแย้มแล้วพาเธอมาที่ลำธารใกล้หมู่บ้าน เมื่อเห็นน้ำใสๆแล้วหญิงสาวรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีแต่ก็อดประหม่าและระแวงไม่ได้ที่ต้องเปลือยกายอาบน้ำในลำธารแบบนี้จึงยืนลังเลอยู่

" ไม่ต้องกังวลหรอกอีฟพวกหนุ่มๆไม่กล้าแอบดูหรอกเรามียามเฝ้า " โจแอนนาบอกแล้วเริ่มเปลื้องผ้าออกเป็นการแสดงความมั่นใจให้เพื่อนใหม่ของเธออำไพยืนลังเลอยู่ชั่วครู่แต่เมื่อหันไปดูก็เห็นทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ในหมู่บ้านต่างก็เปลือยกายอาบน้ำกัน จึงลงมือถอดบ้างเมื่อเปลื้องผ้าออกหมดอวดเรือนร่างอวบอิ่มสมบูรณ์จนได้รับเสียงชมจากแหม่มสาวก็อดเขินไม่ได้

" ว้าว อีฟ ผิวเธอเนียนสวยน่าอิจฉาจังรูปร่างก็ดี " โจแอนนาชมจนเธอแทบอยากจะมุดน้ำหนีแม้จะเคยไปเรียนถึงอังกฤษแต่ก็ไม่เคยอาบน้ำร่วมกับคนอื่นแบบนี้มาก่อน

" เอ่อ ขอบคุณค่ะ " หญิงสาวไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากขอบคุณในใจก็นึกอิจฉาสองเต้าขนาดใหญ่ของแหม่มสาวเหมือนกันแต่เมื่อนึกดูอีกทีถ้าเธอใหญ่ขนาดนั้นคงปวดหลังตายชักหน้าอกใหญ่ๆแบบนี้เหมาะกับไซส์ยุโรปมากกว่า

" นี่จ๊ะสบู่เหลวผลิตภัณฑ์จากวิทยาศาสตร์อย่างง่ายๆ โดยเขาอีกนั่นแหละ " โจแอนนายื่นกระบอกสบู่เหลวให้เพื่อน เมื่อหญิงสาวรับมาก็ลองเทบนฝ่ามือดมดูก็มีกลิ่นหอมของดอกไม้แม้จะไม่มีฟองเวลาถูตัวแต่ประสิทธิภาพการชำระล้างก็ดีไม่น้อยทำให้เธอสดชื่นขึ้นมากแช่น้ำได้สักพักโจแอนนาก็สะกิดเตือนให้ขึ้นได้แล้วเพราะเย็นมากแล้ว อากาศจะยิ่งหนาวสาวๆก็เริ่มทยอยกันขึ้นจากน้ำแต่งตัวแล้วกลับเข้าหมู่บ้านอำไพจึงขึ้นมาแต่งตัวบ้างและเดินกลับพร้อมกับโจแอนนาโดยที่มีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่บนยอดไม้สูง

บรรดาผู้หญิงในหมู่บ้านหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ไปรวมตัวกันที่เพิงขนาดใหญ่ที่ดาและเธอรับประทานอาหารเมื่อตอนเช้าเพื่อรอพวกผู้ชายเข้ามาสมทบแล้วจะได้ทานอาหารพร้อมกัน

" เอ ปกติเขาทานอาหารพร้อมกันแบบนี้หรือคะ "อำไพหันไปถาม โจแอนนาด้วยความสงสัย

" ปกติต่างคนต่างทานในครอบครัวของตัวเองน่ะจ้ะแต่ระยะนี้เกิดเหตุการณ์ไม่น่าไว้ใจคุณดาเขาเลยให้ทุกคนมารวมตัวกันตอนเย็นเพื่อดูว่าใครหายไปหรือเกิดเหตุอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันได้อีกอย่างเผื่อใครมีความคิดเห็นหรือต้องการบอกข่าวอะไรจะได้รับรู้กันอย่างทั่วถึงจนเดี๋ยวนี้กลายเป็นกิจวัตรกันไปแล้ว" แหม่มสาวอธิบายให้เพื่อนฟังทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่สักพักพวกผู้ชายก็เริ่มทยอยกันเข้ามาในหมู่บ้านนี้อาศัยกันอยู่ประมาณยี่สิบครอบครัวส่วนมากจะมีแต่คนที่แต่งงานแล้วกับเด็กและคนแก่ส่วนพวกวัยรุ่นหนุ่มๆสาวๆในหมู่บ้านมักจะออกไปผจญภัยเผชิญโชคกันในเมืองหรือในถิ่นอื่นเท่าที่ดูสาวๆที่ยังไม่แต่งงานในหมู่บ้านก็มีอยู่ไม่กี่คน ส่วนพวกที่โตเป็นหนุ่มนั้นเท่าที่เห็นก็มีอยู่สองสามคนเมื่อดูเหมือนจะมากันครบทุกคนแล้วดาชายหนุ่มลึกลับสำหรับเธอก็ออกไปยืนอยู่ด้านหน้าโดยมีซายีนายบ้านยืนอยู่ข้างๆแล้วพูดกับชาวบ้านเป็นภาษาพื้นเมือง แต่โชคดีที่เธอมีล่ามเป็นฝรั่งคอยแปลให้ฟังสรุปใจความว่า วันนี้ล่าสัตว์ได้หลายตัวและถ้าไม่จำเป็นอย่าออกนอกเขตหมู่บ้านตามลำพังถ้าจำเป็นจริงๆให้มาบอกเขาสักครู่ชายหนุ่มก็ผายมือมาทางเธอ โจแอนนาจึงสะกิดบอกให้เธอลุกขึ้นหญิงสาวได้แต่ลุกขึ้นอย่างงงๆระคนเขินอายกับสายตาทุกคู่ที่มองมาทางเธอจนชายหนุ่มพูดบางอย่างบรรดาชาวบ้านก็ยิ้มอย่างดีใจจนหญิงสาวหันไปส่งสายตาถามเพื่อนแหม่มก็ของเธอ โจแอนนาจึงบอกว่าคุณดาบอกกับชาวบ้านว่าในระยะนี้เธอจะมาเป็นครูสอนเด็กๆในหมู่บ้านเมื่อชายหนุ่มพูดจบ นายบ้านก็พูดต่ออีกเล็กน้อยจึงบอกให้เริ่มทานอาหารกันได้พวกเขาจึงพลัดกันลุกไปตักสำรับกับข้าวฝีมือบรรดาแม่บ้านที่ช่วยกันทำแล้วนั่งล้อมวงกันหลายวง

" อาหารพื้นๆ พอทานได้ไหมครับ " ชายหนุ่มถามเธออย่างเจาะจงเพราะถามเป็นภาษาไทยหลังจากตักอาหารเสร็จก็มานั่งล้อมวงกับพวกเธอ

" ฉันก็ไม่ใช่คนช่างเลือกนี่คะขอบคุณที่ถามเรื่องอาหาร แต่คุณจะไม่ถามเรื่องที่จะให้ฉันเป็นครูสอนเด็กๆบ้างหรือคะ" หญิงสาวพูดประชดเรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มและสองสามีภรรยาชาวตะวันตก

" ก็ผมเห็นว่าคุณน่าจะพอสอนเด็กๆได้เอาหน่าดีกว่าอยู่ว่างๆนะคุณ ถือซะว่าฆ่าเวลาระหว่างรอให้มรสุมผ่านไป " ดา พยายามกล่อม

" แล้วจะให้ฉันสอนอะไรเล่าภาษาพื้นเมืองก็พูดไม่ได้ อุปกรณ์ก็ไม่มี " แม้จะเริ่มคล้อยตามแต่ก็ยังอดท้วงไม่ได้

" สอนนับเลขก็ได้ เรื่องภาษาไม่ต้องห่วงครับเด็กๆพอรู้ภาษาอังกฤษบ้าง พวกผู้ใหญ่ที่นี่หลายคนก็ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี " ชายหนุ่มบอกให้เธอเลิกกังวลและยอมรับงานโดยดีก่อนจะบอกให้ลงมือทานอาหารเพราะหลังจากนี้เขาจะพาไปดูกระท่อมที่เพิ่งสร้างเสร็จของเธอ

" เอ่อ ให้ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวหรือคะ "อำไพถามขึ้นเมื่อชายหนุ่มพาเธอมายังที่พักหลังใหม่ของเธอซึ่งมีลักษณะไม่แตกต่างจากหลังอื่นๆเพียงแต่ภายในยังไม่มีเตียงหรือเครื่องเรือนอย่างอื่น มีแต่ห้องโล่งๆกับเสื้อผ้าหลายชุดและผ้าห่ม ผ้าปูนอนพับไว้มุมหนึ่งของห้อง

" งั้น เดี๋ยวผมจะขอให้เมยลูกสาวซายีมาอยู่เป็นเพื่อนคุณก็แล้วกันไม่ต้องกลัวหรอกครับหมอโยฮันกับแอนนาก็อยู่ใกล้ๆนี่เอง " ชายหนุ่มบอกพลางเดินไปจุดตะเกียงให้เธอจากนั้นจึงขอตัวไปหานายบ้าน ไม่นานก็กลับมาพร้อมเด็กสาวอายุราว15-16ปี แถมยังหอบเอาผ้าห่มหมอนมุ้งมาเผื่อด้วยเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงออกจากที่พักของเธอเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของหมู่บ้าน

" เมย ใช่ไหมจ๊ะ ฉันชื่อ อำไพเธอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างหรือเปล่า " อำไพเอ่ยทักทายและถามเด็กสาวด้วยภาษาอังกฤษอย่างช้าๆ หลังจากช่วยกันจัดที่นอนเสร็จ

" หนูพูดไทยได้จ้ะ แม่หนูเป็นคนไทย " เมยตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ แล้วยิ้มให้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู

" จริงเหรอ ดีจังแบบนี้ฉันก็มีเพื่อนคุยแล้วสิ" อำไพดีใจจะมีเพื่อนร่วมห้องที่คุยกันรู้เรื่องแม้จะเรียกได้ว่าเธอเป็นคุณหนูเกิดในครอบครัวตระกูลเก่าแก่แต่ก็ไปอยู่ที่ต่างประเทศมานานจึงมีนิสัยไม่เจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนลูกคุณหนูหลายคนที่เธอรู้จักเมื่อคุยกันทำให้รู้ว่าแม่ของเด็กสาวเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเด็กส่วนมะเมี๊ยะเป็นเมียใหม่ของพ่อและอีกหลายเรื่องจนดึกทั้งคู่จึงหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

ตอนเย็นของวันรุ่งขึ้นหลังจากเสร็จการสอนเด็กๆในตอนเช้าและช่วยงานเล็กๆน้อยๆสองสามีภรรยาก็พบว่าเธอรู้สึกสนุกและมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ต้องอยู่ในกรอบอย่างทำอะไรก็ทำได้อย่างอิสระแถมยังได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆแม้จะเหน็ดเหนื่อยบ้างด้วยความที่ยังไม่ชินแต่ก็สุขใจที่เธอสามารถทำประโยชน์ให้ส่วนรวมได้ขณะกำลังนั่งพักผ่อนหลังจากอาบน้ำเสร็จพร้อมกับแอนนาก็เห็นผู้ชายคนนั้นเดินกลับเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับบรรดาหนุ่มๆที่ตามเขาเข้าไปดูจากสีหน้าแล้วเหมือนกับเขามีเรื่องไม่สบายใจเมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จวันนี้บรรดาชาวบ้านต่างแยกย้ายกันเข้าบ้านเร็วกว่าปกติเพราะดูท่าฝนเริ่มตั้งเค้ามาแล้ว

" เมย จ๊ะ นายดาเขาพักที่ไหนหรือ " หญิงสาวถามเพื่อนร่วมห้อง

" ก็หลังที่คุณ อยู่คืนแรกนั่นแหละค่ะคุณไม่รู้หรือ ตอนนายเขาพาคุณมา คุณยังไม่ได้สติเมยกับแม่มะเมี๊ยะเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณเอง " เด็กสาวตอบอย่างยิ้มๆซึ่งเป็นสิ่งที่หญิงสาวพอจะคาดเดาได้เพราะท่าทางอย่างผู้ชายคนนั้นคงไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอเองหรอก

" นี่เมยจ๊ะ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเขาน่ะไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ" หญิงสาวเอ่ยปากชวนเพราะเกรงว่าจะไม่เหมาะถ้าไปหาผู้ชายค่ำๆมืดๆคนเดียวเพียงแต่ปฏิกิริยาของเด็กสาวนี่สิทำให้เธอแปลกใจเพราะเห็นสาน้อยรีบส่ายหน้าหวือโดยปกติไม่ว่าเธอจะขอร้องให้ทำอะไรเด็กสาวไม่เคยปฏิเสธสักครั้งแต่คราวนี้น่าแปลกหรือว่ามีอะไร...

" ทำไมล่ะจ๊ะ หน่านะ ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ"อำไพพยายามข้อร้อง ดูเด็กสาวจะมีทีท่าลังเลเหมือนจะใจอ่อนแต่ต่อมาก็ส่ายหน้าเหมือนเดิม

" นายเลี้ยงผี เมยกลัว " เด็กสาวบอกสั้นๆ แล้วทำท่าขนลุกเหมือนกลัวจริงๆหญิงสาวเห็นอย่างนั้นเลยเป็นฝ่ายใจอ่อนเพราะดูท่าจะชวนไม่สำเร็จพลางคิดว่าคงกลัวเพราะความเชื่อส่วนใหญ่ของชาวบ้านที่การศึกษายังไม่เจริญนักมักจะกลัวเรื่องเหนือธรรมชาติยิ่งเห็นนายคนนั้นเก่งกล้ามีความสามารถเลยคิดไปว่าเขาต้องเป็นคนมีวิชาเลี้ยงผีเลี้ยงสางแต่เธอไม่เชื่อหรอก จึงเดินออกมาลำพังเมื่อเด็กสาวไม่ไปเป็นเพื่อนเธอว่าจะลองรบกวนแอนนาดู เพราะอย่างไรการไปพบผู้ชายอยู่กันสองต่อสองเธอก็คิดว่าไม่ค่อยเหมาะแม้ว่าเธอจะเป็นเด็กนอกหัวสมัยใหม่แต่ก็ยังพอมีความเป็นกุลสตรีไทยอยู่บ้างอีกอย่างเธอกลัวใจตัวเองด้วยเพราะความรู้สึกแปลกๆที่มาพร้อมกับความสนใจที่มีให้เขาบางทีอาจทำให้เผลอใจทำอะไรที่ไม่เหมาะสมลงไปก็ได้ ยิ่งบรรยากาศเป็นใจขนาดนี้ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่านสองเท้าก็เดินเข้าใกล้ที่อยู่ของสองสามีภรรยาเพียงแต่เสียงแปลกๆที่ดังออกมาจากภายในนี่สิทำให้อดสงสัยไม่ได้จึงค่อยเดินเข้าไปใกล้ๆก็พบที่มาของเสียงจากรอยต่อของประตูกระท่อมแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันทำให้เห็น...

" อู้ววว ที่รักแทง หนักๆ เน้นๆ " ภรรยาสาวร้องบอกสามี พร้อมช่วยเด้งเอวสวน ยิ่งทำให้เสียงเนื้อกระทบกันดังพั่บๆ สนั่นห้อง แอนนา ซึ่งตอนนี้ยืนโก้งโค้งสองมือจับยึดขอบเตียงไว้แน่นโดยมีโยฮันยืนอยู่กระแทกท่อนลำยาวเป็นมันเลื่อมอยู่ข้างหลังยิ่งได้ยินเสียงภรรยาสาวสวยสุดที่รักร้องบอกให้แทงหนักๆเน้นๆเขาก็ยิ่งกระชากท่อนเอ็นออกมาแล้วส่งกลับเข้าไปแบบเน้นๆ จนสะโพกอวบสะท้านยิ่งเร่งจังหวะสองเต้ามหึมายิ่งแกว่งไกวจนอดไม่ได้ต้องโน้มตัวไปบีบเคล้นอย่างแรงด้วยอารมณ์กระสันเมามันอากาศเย็นแต่ร่างของทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยเหงื่อฝ่ายหญิงสาวที่แอบดูอยู่ด้านนอก เกิดมายี่สิบสี่ปีเพิ่งจะเคยเห็นคนร่วมรักกันเป็นครั้งแรกก็หน้าแดง ขนลุกด้วยความสยิว ยิ่งแอบดูนานเข้ายิ่ง เกิดอาการแปลกๆกับร่างกายร่องหลืบเริ่มขับน้ำหล่อลื่นจนชื้นแฉะ ปลายยอดของอกอวบเริ่มแข็งเป็นไตนิ้วเรียวยาวของเธอขยับลงต่ำโดยไม่รู้ตัว โดยเกือบลืมไปว่าเธอมาหาทั้งคู่ทำไมจนกระทั่งได้สติ จึงรีบก้าวเท้าจากมาพร้

kaithai



noojane

กลับมาแต่งเรื่องนี้ต่อเถอะ. คิดถึงใจจะขาด ::Crying::


ปล​ คิดถึงเรื่องนี้​