ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_err

จอมไสยสาว ตอนที่ 11 (จูบแรก)

เริ่มโดย err, พฤศจิกายน 08, 2010, 11:31:07 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

err

พี่องอาจโทรมาหาดิฉันบ่อย ๆ จนช่วงหลัง ๆ เราพูดจาเล่นหัวกันได้
"วิ..พรุ่งนี้พี่จะไปหาวินะ..อยากคุยด้วย..."
"อื้อ..คุยอะไร.."
"อยากให้วิทรงกระดานให้เรื่องนึง..."
"เรื่องอะไรหรือพี่องอาจ..."
"ไว้พรุ่งนี้บอก..."
"บอกก่อนน่า..."
"พี่อยากถามเรื่องเนื้อคู่ของพี่..แล้วพี่จะสมหวังหรือเปล่า..."
"อ๋อ..อยากจะมีเมียนะไม่ว่า.."
"แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายหญิงเค้าจะตกลงหรือเปล่า..ยังไม่รู้เลย..."
"อ้าว..พี่องอาจยังไม่ตกลงกับเค้าเหรอ..."
"อื้อ..ยังไม่แน่ใจเลย..พี่เพิ่งเจอเค้าไม่นานเท่าไหร่นี่เอง..."
"เหรอพี่...จริงใจอย่างเดียวชนะได้ทุกอย่าง"
"พี่ก็ว่าแบบนั้นแหละ..."
เฮ่อ..ในใจกลับรู้ว่าคนที่เค้าจะถามถึงนะใคร วิ..เอ๋ย..วิ

.........

หลังจากวางสายจากพี่องอาจ พี่อาจองก็โทรมาหา
"วิ.."
"ขา..."
"คิดถึงวิจัง.."
"พี่อาจองนี่ปากหวานเป็นเหมือนกันะ.."
"อ้าว...พี่ไม่เคยพูดแบบนี้เหรอ..."
"เห็นทุกทีก็ทื่อ ๆ"

"วันก่อนชวนไปดูหนัง..ยังไม่ตอบเลย พี่ว่างพรุ่งนี้เราไปดูหนังกันหรือเปล่า"
"อื้อ..พรุ่งนี้วิไม่ว่าง พี่องอาจจะมาหา อยากให้ดูเนื้อคู่ให้"
"พี่องอาจนี่นะ"
"ค่ะ...เพิ่งวางหูตะกี้นี่เอง..พูดเหมือนไปแอบรักใคร แต่ฝ่ายหญิงเค้ายังไม่รู้ยังงั้นแหละ"
"เหรอ..แปลกจัง..."
"พี่อาจองก็มาด้วยซิพรุ่งนี้..."
"ม่ายละ..ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ"
"ขวาง..อะไรละพี่อาจอง เรากันเองทั้งนั้น"

................

สาย ๆ พี่องอาจมาหาที่บ้าน
ยิ่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
ดิฉันอบอุ่นแล้วก็อยากอยู่ใกล้ชิด

ฉะนั้น..เวลาคุยกันแบบสนุก หยอกล้อ ดิฉันไม่ขัดเขินที่เข้าไปอิงแอบอกพี่องอาจ
ซึ่งก็เป็นการแสดงออกเป็นไปตามธรรมชาติ
พี่องอาจก็ไม่ได้แสดงทีท่าอะไรแบบน่าเกลียดเอาแต่ได้
ดิฉันจึงยิ่งสนิทใจกับพี่องอาจเพิ่มยิ่งขึ้น

"พี่องอาจจะกินอะไรก่อนหรือเปล่า"
"พี่ว่าวิทรงกระดานให้พี่เลยดีกว่า"
"ทำไมรีบจัง..."
"กังวล..เมื่อคืนตื่นเต้นจนนอนเกือบไม่หลับแนะ
"เหรอ...งั้นไปกันเลยดีกว่า"

ดิฉันพาพิ่องอาจขึ้นไปยังห้องที่เก็บแผ่นไม้ทรงกระดาน
พี่องอาจช่วยดิฉันเปิดผ้าคลุมออก
ดิฉันเอามือลูบไปที่รอยสลักตัวหนังสือ
ลูบไปทีละตัว ๆ ด้วยความรู้สึกเต็มตื้นยินดี
หันไปมองหน้าพี่องอาจที่จ้องเขม็งเช่นกัน

ดิฉันเลื่อนมือมายังจุดเริ่มต้นที่มีเครื่องหมายเป็นวงกลม
จากนั้นก็ใช้นิ้วกดลงที่วงกลม
ลิ้นชักขนาดเล็ก ๆ ยื่นออกมา
ดิฉันหยิบลูกแก้วมาวางตรงตำแหน่งวงกลมตรงจุดเริ่มต้น

"พี่องอาจคือใคร...???? "
ดิฉันกำหนดจิตถามเจตสิกที่สถิตย์อยู่กับกระดานไปตรง ๆ
ไม่นานนักหลูกแก้วมีอาการหมุนติ๋ว ๆ แต่ไม่เคลื่อนที่ไปตามตัวหนังสือ

ดิฉันหลับตากำหนดจิตเพื่อที่จะถามอีกครั้ง
พอลืมตาขึ้นดิฉันเห็นลูกแก้วกลับหยุดนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ อีกเหมือนเดิม
ดิฉันถอนหายใจ คำถามนี้คงอยู่เหนือความสามารถของเจตสิกที่จะตอบให้ได้
หรืออาจเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่ไม่มีสิ่งใดจะมาช่วยมาแก้ให้ได้
ผู้ทำกรรมใดก็ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น
สรุปก็คือ คนทำดีก็ต้องดี ไม่ใช่ได้ดี
คือทำแล้วดี ไม่มีความจำเป็นจะต้องได้สิ่งดี ๆ ตอบแทนเสมอไป
ไม่นั้นคนทำบุญ 10 บาท ก็ต้องถูกรางวัลที่ 1 กันไปทุกคนแล้ว

แต่คำถามนี้เป็นคำถามส่วนตัวของดิฉัน
ในเมื่อดิฉันพาพี่องอาจมาด้วย ดิฉันควรจะถามคำถามที่เป็นกลาง ๆ ดีกว่า
ดิฉันหันมามองพี่องอาจแล้วพูดว่า
"วิ..จะถามเรื่องหินพญาคนะค่ะ..."
พี่องอาจพยักหน้า

ดิฉันหลับตากำหนดจิตนิดนึงแล้วแปล่งเสียงดัง ๆ ออกมา
"หินพญานาคคืออะไร"
คราวนี้ลูกแก้วกลับวิ่งจี๋ไปยังตัวหนังสือต่าง ๆ พอถึงตัวที่ต้องการก็หยุดนิดนึงแล้วก็วิ่งต่อไป
ดิฉันรีบอ่านข้อความตามตัวอักษรออกมาทันที

"หินพญานาคเป็นของพญานาคองหนึ่งที่ใช้ฤทธิ์อธิษฐานจิตออกมา ภายในบรรจุด้วยพิษของ
พญานาคองค์นั้นเอาไว้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง"

พี่องอาจพยักหน้าตามไปเรื่อย ๆ ตามการสะกดคำและแปลออกมาของดิฉัน
ในที่สุดคำตอบก็หยุดลง ลูกแก้ววิ่งกลับอยู่ยังตำแหน่งเริ่มต้น

ดิฉันเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วก้มลงพอดีกับพี่องอาจเงยหน้าขึ้นทำให้ศีรษะของเราชนกัน
"อุ๊ย...พี่ขอโทษ..."
ก็ไม่เจ็บหรอกค่ะ..แหม..แต่อยากอ้อนนะ
ดิฉันยกมือขึ้นลูบตรงที่ชนกันแล้วห่อปากครางเบา ๆ
พี่องอาจรีบยื่นมือมาประคองดิฉันเอาไว้
แล้วก้มลงเป๋าพรวด ๆ ตรงตำแหน่งที่ชน
"เพี้ยง ๆ ๆ"

ดิฉันอดหัวเราะไม่ได้
ก็พี่องอาจทำเหมือนคนแก่ทำกับเด็กยังไงยังงั้น
แล้วก็ทำให้พี่องอาจพลอยหัวเราะไปด้วย

พอเงยหน้าขึ้นมองดิฉันต้องตะลึงกับรอยยิ้มของพี่องอาจที่ก้มลงมองดิฉัน
เราใกล้กันมากแต่ดิฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าอึดอัด
จากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
เราต่างก็เงียบมีแต่สายตาที่มองสบกัน
เค้าก็มองหยั่งลึกเข้าไปแววตาดิฉัน
ขณะเดียวกันดิฉันก็มองหยั่งเข้าไปภายในดวงตาของเค้าเหมือนกัน

ในขณะนั้นดิฉันรู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกมีเพียงเรา 2 คนเท่านั้นเอง
ดิฉันยอมรับว่าตัวเองเคลิ้บเคลิ้ม หัวใจเต้นแรง
พี่องอาจก้มลงประทับริมฝีปากดิฉันแล้วบดริมฝีปากจูบ

ดิฉันไม่ทราบหรอกว่าเค้าจูบกันยังไง
แต่ริมฝีปากของพี่องอาจที่ร้อนผ่าวเหมือนไฟประทับกับริมฝีปากดิฉัน
ทำให้ใจดิฉันร้อนรนราวลุกไหม้ทันที
ยิ่งบดริมฝีปากให้แนบแน่น
มันยิ่งทำให้ดิฉันอ่อนระทวยแล้วยกมือโอบรอบตัวเค้าไว้เพื่อพยุงตัว

สุดท้ายตอนที่พี่องอาจค่อย ๆ สอดปลายลิ้นเข้ามาในปากดิฉัน
เรี่ยวแรงยิ่งไม่รู้หายไปไหนทั้งหมด
ลิ้นเราตวัดพันกันจนรู้สึกซ่านสยิวไปหมด
หัวใจเต้นรัว เนื้อตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจที่จะข่มเอาไว้ได้
เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนดิฉันก็ไม่อาจทราบได้
ดิฉันดันตัวพี่องอาจออกแล้วตัวเองก็ไม่อาจยืนตรงกายเอาไว้ได้ค่อย ๆ ทรุดลงนั่ง

พี่องอาจทรุดลงนั่งตามดิฉันยื่นมือมาจับไหล่ดิฉันไว้แน่น
"วิ..พี่ขอโทษ..."
ดิฉันก้มหน้าลงมองพื้น ก็จะให้ดิฉันตอบว่าไงละ
"วิ..พี่อดใจไม่ไหวจริง..พี่รักวินะ..."
ดิฉันรู้สึกวาบขึ้นมาในใจ เงยหน้าขึ้นมองหน้าพี่องอาจ
"พี่รู้สึกรักวิตั้งแต่แรกเจอแล้ว..."
ดิฉันยังก้มหน้านิ่งไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมอง

"พี่รักวิจริง ๆ นะ..."
พี่องอาจบีบไหล่ดิฉันไว้แน่นแล้วดึงดิฉันเข้ามากอด
ดิฉันก็ยังไม่มีแรงที่จะขัดขืนปล่อยให้พี่องอาจกอดดิฉันไว้แน่น
"พี่รักวิ.."
"ค..ค..ค...ะ..ะ..."
ดิฉันรับคำด้วยความปากคอสั่น ๆ ก็คนมันไม่เคยนี่คะ

พี่องอาจจับหน้าดิฉันให้เงยขึ้นมองสบตาแล้วพูดว่า
"พี่พูดจริง ๆ วิ..พี่รักวิ..รักมากด้วย"
"อ..ะ..เร็..ว..ว..ไ..ป.."
"ไม่เร็วหรอก..ตั้งแต่พบกันพี่รู้สึกว่าเหมือนรู้จักน้องวิมานานเหลือเกิน..."
ดิฉันพยักหน้า

"วิ..ก็รู้สึกเหมือนพี่ใช่หรือปล่าว..."
ดิฉันพยักหน้ารับอีกครั้ง
"เป็นแฟนกับพี่นะ..."
ดิฉันก้มหน้านิ่ง ก็ไม่กล้าทั้งตอบรับหรือปฏิเสธ

พี่องอาจค่อย ๆ ประคองให้ดิฉันลุกขึ้น
"พี่ไม่เร่งรัดให้วิตอบพี่หรอก..พี่จะรอนะ.."
แล้วพี่องอาจปล่อยมือจากตัวดิฉันแล้วยืนมองด้วยสายตายิ้มกริ่ม

ตกลงเราถูกเค้าจูบไปแล้วหรือนี่
รสจูบมันเป็นแบบนี้เองเหรอ
ต้องเอาลิ้นเข้าพันกันด้วยเหรอนี่
เอ่อ...แต่ก็ทำให้รู้สึกดี ๆ เหมือนกันนะ
แล้วก็อดที่แย้มยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้
ยังดีนะตอนนั้นพี่องอาจเค้าหันข้างให้ไม่เห็นยิ้มเจ้าเล่ห์

"พี่องอาจมั่นใจเหรอ...ที่พูดนะ..."
ดิฉันพูดขึ้นลอย ๆ พอพี่องอาจได้ยินเค้ารีบหันมาทันที
"พี่ว่าพี่มั่นใจที่สุดเลย..พี่ไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนมาก่อน
พอมาเจอวิ..ในวันที่อาจองพามา พี่คิดว่าพี่เจอคนที่พี่ตามหามาตลอดชีวิตพี่แล้ว"

"วิ..นี่นะเหรอ.."
"ใช่..พี่มั่นใจ.."
"ไม่รู้ว่าวิจะรู้สึกหรือเปล่า..ว่าเราเหมือนจะรู้จักกันมานานแสนนาน"
ดิฉันพยักหน้ายอมรับ และบอกว่า
"วิ..ก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกันว่าเคยเจอพี่องอาจจากที่ไหน ทำไมมันคุ้ยเคยเหลือเกิน"

"พี่เคยฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนนางพญาเราแต่งงงานกันแล้วหลังจากนั้น
มันเหมือนหนังขาด พี่ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรา"

ดิฉันใจสั่นระทึกกับคำบอกเล่าของพี่องอาจ
ความฝันของเค้าช่างเหมือนกับของดิฉันเหลือเกิน
ไม่ใช่เหมือนซิ..แต่ต่างก็เห็นเหตุการณ์เดียวกัน

ดิฉันเงยหน้าขึ้นมองพี่องอาจเต็มตาแล้วพูดว่า
"วิ..ก็ฝันแบบนั้นเหมือนกัน เราอยู่ในพิธีแต่งงานถูกส่งตัวเข้าหอ แล้วก็ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา"

ดิฉันวิ่งไปหยิบปิ่นที่ลูงมอญมอบให้มาให้พี่องอาจดู
เค้ายื่นมือสั่นระริกมาสัมผัสปิ่นทองที่ทำอย่างปราณีตงดงาม
"วิ..พี่เห็นปิ่นนี้อยู่บนหัวของผู้หญิงคนนั้น...ผู้หญิงคนนั้น..ใช่วิ..หรือเปล่า..."

ดิฉันพยักหน้าน้ำตาคลอแทบหยาดหยด
"ในที่สุดพี่ก็เจอเสียที...ใช่แน่นอน..."
แล้วพี่องอาจก็โผเข้ามากอดดิฉันไว้แนบอก
ปากประกบปากจูบกันอย่างดูดดื่ม
เป็นจูบที่ดิฉันประทับใจและโอนอ่อนอย่างเต็มใจที่สุด

แต่ขณะที่พี่องอาจหมุนตัวดิฉันไปมานั้น
ดิฉันสังเกตเห็นแววตาที่เป็นประกายสีเขียวเรืองรองแปลกประหลาด
เป็นแววตาที่ไม่เหมือนแววตามนุษย์ จนดิฉันตกใจรีบดันตัวพี่องอาจออกห่าง
แล้วรีบวิ่งไปที่ประตูเห็นคน ๆ หนึ่งกำลังวิ่งลงบันใด

ดิฉันรีบตามไปติด ๆ จนพี่องอาจตามลงมาทัน รีบถามดิฉันว่า
"ใคร..วิ...ใคร..."
ดิฉันส่ายหน้าแววตาคงเต็มไปด้วยปริศนา
"ใคร....."

ทำไมหลังจากบรรลุนิติภาวะ เรื่องต่าง ๆ จึงติดตามออกมามากมาย

"วิ..คงไม่ใช่ผู้ร้ายนะ...เข้ามาได้ยังไง..."
"ไม่ใช่หรอกคะ..."
ดิฉันไม่กล้าบอกพี่องอาจว่าคนที่วิ่งไปก็คือพี่อาจองนั่นเอง
แต่จะวิ่งไปเพราะเหตุอะไรดิฉันก็ไม่อาจทราบได้

ดิฉันเห็นสายตาที่มีประกายสีเขียวเรืองแบบนี้ของพี่อาจองมาหลายครั้ง
แต่ครั้งนี้เป็นประกายสีเขียวเข้มจัดที่สุด

พี่องอาจปลอบประโลมดิฉันอยู่นานจนดิฉันบอกว่าเป็นไร
"วิ..ไม่เป็นไรหรอกคะ..พี่องอาจ...นี่ก็ดึกแล้วกลับก่อนเถอะคะ..."
พี่องอาจพยักหน้าแล้วมองดิฉันอย่างห่วงใย
"วิ..ระวังตัวให้ดีนะ...ปิดประตูให้เรียบร้อย บ้านมีแต่ผู้หญิง"
"คะ.."
พี่องอาจไม่ทราบว่าดิฉันมีม่านปรอท และเจตสิกเหล็กไหลคอยคุ้มครอง
ถ้าไม่ใช่วิวากกรรมก็ไม่มีอะไรที่จะทำอันตรายดิฉันได้

............

หลังพี่องอาจกลับไปเรียบร้อย
ดิฉันจัดการปิดประตูหน้าต่างทุกบานพร้อมเปิดระบบรักษาความปลอดภัย
วันนี้หลังจากทำอาหารเสร็จน้านวลขึ้นหาพ่อเพื่อเอาของบางอย่างไปให้
ทั้งบ้านก็เลยเหลือเพียงดิฉันคนเดียว

เมื่อตรวจสอบทุกอย่างเสร็จ
ดิฉันรีบขึ้นห้องอยากอาบน้ำเสียเหลือเกิน
เปิดน้ำใส่อ่างแล้วดิฉันลองไปนอนแช่น้ำปล่อยให้สมองค่อย ๆ คิดไปเรื่อย ๆ
ค่อย ๆ ประติดประต่อจิ๊กซอว์ที่ค่อนข้างมีน้อยเหลือเกิน

สิ่งแรกชัดเจนแล้วก็คือว่า
ผู้ชายในพิธีแต่งงานส่งตัวเข้าหอ ฝ่ายหญิงก็คือดิฉันในชื่อ "มนตรา"
ฝ่ายชายคือ พี่องอาจ ไม่ชัดเจนว่าจะอยู่ในชื่อ "ปะวรรค" หรือเปล่า
ปิ่นทอง แผ่นทรงกระดาน หินพญานาค ทั้งหมดเหมือนบ่งชี้ว่า
เหตุการณ์อดีตที่เกี่ยวโยงกับปัจจุบันของดิฉันแน่นอน

แล้วเพื่ออะไรกันละหรือ
พ่อเคยพูดถึงเรื่องกรรมที่ผูกกันและกันเอาไว้
แล้วที่แรงที่สุดก็คือแรงอาฆาต
พี่อาจอง..อาฆาตดิฉันหรือ หรือว่าพี่อาจองคือ "ปะวรรค"

ดิฉันนอนปะติดประต่อเรื่องราวไปเรื่อย ๆ
จะด้วยความเหนื่อยหรืออะไรก็แล้วแต่
ดิฉันค่อย ๆ เข้าสู่ภวังค์แล้วดวงจิตค่อย ๆ อ่อนลงจนเข้าสู่การหลับไหล

นานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ
แต่เหมือนว่าดิฉันตื่นขึ้นมาแล้วอยู่ในม่านหมอก
ดิฉันอยู่ในชุดเจ้าหญิงที่ศีระเกล้ามวยเสียบด้วยปิ่นทอง
ในภาพที่เห็นดิฉันคนนั้นกำลังนั่งสมาธิแน่วแน่

ดิฉันยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง
ดิฉันในร่างนั้นก็ยกมือขึ้น
"โอ๊ะ...."
ร่างของดิฉันค่อย ๆ กลายร่างเป็นงูใหญ่เท่าลำตาล
ลำตัวยาวหลายวากระโจนลงในแม่น้ำใหญ่เบื้องหน้าทันที
เสียงน้ำกระจายดังมาก

ดิฉันสะดุ้งสุดตัว..แล้วรีบยันตัวขึ้น
น้ำกำลังเข้าจมูกและปากดิฉันจนสำลัก
ดิฉันยกมือขึ้นมาลูบและพ่นเอาน้ำออก
หอบหายใจด้วยความตระหนก

อะไรกันนี่...มนตรานาคา คือดิฉันในร่างพญานาคนั่นเอง
ชัดเจนทั้งภาพและความรู้สึก
แล้วดิฉันมาอยู่ในร่างมนุษย์ได้อย่างไร
ดิฉันตะลึงอยู่นานจนรู้สึกหนาวจึงรีบขึ้นจากอ่างน้ำ
ดึงผ้ามาเช็ดตัวแล้วก็พันตัวเอาไว้ เปิดน้ำทิ้ง

.............

วันนี้..เป็นวันที่ดิฉันวุ่นวายใจมาก
เมื่อใส่ชุดนอนเรียบร้อยก็คิดจะนั่งสมาธิเพื่อสงบจิต
แต่ก็กำหนดยังไงใจก็ไม่สงบ

ภาพพี่องอาจ ภาพมนตรานาคาที่กลายร่างจากมนุษย์เป็นพญานาค
เรื่องของพี่อาจอง วนเวียนรบกวนจนใจไม่อาจจะสงบลงได้

ดิฉันทำไม่ได้แม้แต่หยั่งจิตเข้าสู่ร่างแก้วผลึกที่เจตสิกเหล็กไหลสถิตย์อยู่
คืนนั้นกว่าดิฉันจะหลับไปได้ก็เกือบสว่าง

..............

ดิฉันตื่นขึ้นมาเกือบเก้าโมงเช้า เป็นเช้าที่เหมือนจะสายที่สุด
ในหัวร้าวไปหมด จึงเบี้ยวไม่ไปเรียน

ดิฉันนอนคิดเรื่องต่าง ๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีประกายอะไรใหม่ ๆ
มีแต่จะเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าเสียมากกว่า

ดิฉันหันมาทบทวนอาคมที่พ่อสอนให้
ทีละบท ๆ ไปเรื่อย ๆ โดยไม่รีบเร่ง
จิตที่วุ่นวายสับสนก็เริ่มสงบลงจนสามารถหยั่งเข้าสมาธิระดับสูงได้
ดิฉันพักผ่อนในฌานระดับ 4 อยู่นานนับชั่วโมงจนเต็มอิ่ม

พอถอยออกมาอยู่ที่ฌานอุปจาระสมาธิ
ดิฉันหยั่งจิตเข้าสู่มณีในดอกบัว
เจตสิกองค์เหล็กต้อนรับดิฉันอย่างชื่นบาน

"ช่วงนี้ลูกวุ่นวายมากเลยนะ..คู่กรรมมาพบแล้วซิ..."
"เขาใช่หรือ..ท่านแม่..."
"อื้อ..แต่ลูกมีกรรมที่จะต้องแหวกออกมาให้ได้ ไม่งั้นก็จะวนเวียนติดอยู่กับกรรมอันนั้นไม่สิ้นสุด
ชาติแล้วชาติเล่า เหมือนอยู่ในเขาวงกฎ"

"ท่านแม่..บอกให้กระจ่างได้หรือเปล่า..."
"บอกไม่ได้ลูก..กฎของฟ้าดิน..กฎของกรรมเป็นของส่วนบุคคล ใครก็เข้าไปข้องแวะไม่ได้"
ดิฉันเหม่อมองท่านแม่..
"แม่บอกใบ้ให้ลูกได้นิดนึงนะ..อภัย..เมตตา..กรุณา..แล้วอุเบกขา นะลูกนะ จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ"
"ลูกจะจำที่ท่านแม่เตือน..."

"ที่เหลือก็ให้เป็นวิถีกรรมก็แล้วกันนะลูก ทำให้ดีที่สุด ผลจะเป็นอย่างไรก็รับอย่างหน้าชื่นนะลูกนะ"
ดิฉันพยักหน้าแล้วก้มลงกราบแล้วถอยจิตออกมาภาวะปกติ

ดิฉันมองไปที่โทรศัพท์เพราะเหมือนรับรู้ว่าพี่องอาจจะโทรมาหา
เสียงเพลงบรรเลงที่ดิฉันใช้เป็นริงโทนดังขึ้น ดิฉันกดรับ
"สวัสดีคะ..."
"น้องวิ...นี่พี่เององอาจ..."
"ขา..."
"พี่เป็นห่วงมากเลย จะโทรหลายครั้งแล้วแต่รู้สึกว่ายังไม่ควรโทร จนตอนนี้แหละ"

เออ..แปลกดีเหมือนกัน..ดิฉันเพิ่งจะออกจากสมาธิเดี่ยวนี้เอง
หรือพี่องอาจมีกระแสจิตที่หยั่งเข้ามาในใจดิฉันได้ แปลกดีต้องคอยสังเกตดูต่อก็แล้วกัน

"วิ..สบายดีคะ..พี่องอาจไม่ต้องเป็นห่วงนะ..พี่ละเป็นไงบ้าง..."
"เมื่อคืนพี่นอนไม่หลับเลย เห็นแต่ภาพปรากฎขึ้นมาเต็มไปหมด วันนี้ก็เลยเปี้ยวไม่เรียน"
ดิฉันไม่กล้าบอกว่าดิฉันเองก็เบี้ยว กลัวเดี่ยวพี่องอาจจะมาหา
มันกลัวใจตัวเองนะ..เอาไว้ให้ถึงเวลาก่อนก็แล้วกัน
อดคิดไปถึงรสจูบเมื่อวานไม่ได้

"พี่องอาจก็นอนพักผ่อนมาก ๆ นะคะ..เดี่ยวไม่สบาย"
"วิ...ละอยู่ไหน..."
"วิ..กำลังทำธุระให้พ่อนะคะ.."
"อยากไปหา..."
"วิ..ไม่อยู่บ้าน..ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยคะ.."
"เหรอ..งั้นพี่ก็นอนก็แล้วกัน..."
"ดีคะ...แค่นี้ก่อนนะ"
"จ๊ะ..สวัสดี"
"สวัสดีคะ"

ดิฉันจำเป็นจะต้องโกหกพี่องอาจ มันจำเป็นจริง ๆ ก็กลัวตัวเองนี่นา
ช่วงนี้ยิ่งดูดีวีดีของแก้วบ่อย ๆ ด้วย เดี่ยวก็ปล้ำเค้ามันจะยุ่งไปใหญ่
นึกแล้วก็อดขำไม่ได้เหมือนกัน
----------------------------------------------------------------

manunited68

เริ่มจูบแล้ว ขั้นต่อไปใกล้เข้ามาละ