เมื่อคนผู้นั้นแนะนำตนให้รู้จัก พลันก็รู้สึกว่า ชื่อ สุมาเต็กโช นั้นรู้สึกคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินมา แล้วพลันนึกออกว่า ว่าน่าจะเป็นนักปราชญ์ที่ผู้คนมักร่ำลือพูดถึงอยู่บ่อยๆ ที่มีฉายาว่า คันฉ่องวารีเป็นแน่ จึงสอบถามย้ำว่า
"ท่านคือ อาจารย์ สุมาเต็กโช ฉายาคันฉ่องวารี นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ผู้คนกล่าวถึงหรอกรึ"
สุมาเต็กโช แย้มยิ้มอย่างถ่อมตน พูดว่า
"ข้าพเจ้าเป็นนักปราชญ์จริง แต่เพียงแค่สอนหนังสือกับปรัชญาการเมืองการปกครอง คำว่านักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คงไม่กล้ารับ"
ผมเลยรู้ว่าน่าจะใช่คนเดียวกัน จึงชักชวนให้ไปคุยกันที่บ้าน ระหว่างที่เดินไปก็เหลือบสายตาไปสังเกตเด็กทั้งสามคนที่ติดตามสุมาเต็กโชมา เด็กพวกนี้ อายุประมาณสิบเอ็ดถึงสิบสองปีไม่น่าเกินนี้ คนที่ดูเด็กสุดน่าจะเป็นเด็กที่ชื่อจูกัดเหลียง หน้าตาดูน่ารักแฝงความฉลาดเฉลียว และมักกรอกตามองจับจ้องสังเกตุสิ่งต่างๆ อยู่ตลอด ต่างกับอีกคนที่ชื่อบังทอง เด็กคนนี้ตัวดำตาโปน คิ้วดกไมเป็นระเบียบ ดูไม่มีความน่ารักหนักไปทางขี้เหร่เสียมาก ส่วนเด็กที่ชื่อชีซีนั้น กลับมองไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไรแน่ เนื่องเพราะมันหน้าเปอะเปื้อนมอมแมมไปหมด แถมผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงจนปิดหน้า ดูสกปรกไม่ต่างจากขอทาน แต่ดูจากเค้าโครงหน้าและสัดส่วนศีรษะแล้ว ก็น่าจะจะหน้าตาดีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ทำตัวปล่อยปละหน้าตาเนื้อตัวให้ดูไม่ได้จนไม่น่าเข้าใกล้ ตอนนั้นยังนึกแปลกใจอยู่ว่า ทุกคนแต่งตัวกันสะอาดสะอ้าน หากจะมีเปอะเปื้อนเพราะการรอนแรมเดินทางก็ไม่มากมายนัก แต่เด็กคนนี้ไฉนจึงแตกต่าง ราวกับพึ่งหลุดรอดมาจากสมรภูมิสนามรบ
เมื่อผมพาสุมาเต้กโชเดินมาถึงที่หน้าบ้าน ก็ยิ้มแย้มพูดตามภาษาเจ้าบ้านว่า
"เกรงว่าบ้านข้าพเจ้าคับแคบ ต้อนรับท่านไม่ดีก็อย่าได้ถือสา เชิญพวกท่านเข้าไปนั่งทานข้าวปลากันก่อน อีกสักครู่จะให้คน นำเก๋งรถม้ามาใช้แทนห้องหับให้พวกท่านอยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว"
ตอนนั้นบ้านผมปลูกสร้างเป็นบ้านดินกันอยู่อาศัยกันแบบพออยู่ได้ เพราะไม่คิดจะอยู่ถาวร และแยกแบ่งออกเป็นหลายหลังให้พอจำนวนคน และบ้านผมหลังเดียวก็อยู่กันถึงเจ็ดคน เพราะมีผมและเหล่าภรรยากับสองสาวรับใช้ อาจจะดูคับแคบอัตคัดไม่น่าภิรมย์นัก จึงได้พูดออกตัวไว้ก่อน
สุมาเต็กโช ก็พูดอย่างเกรงอกเกรงใจ ว่า
"ท่านเอื้อเฟื้อพวกเราเช่นนี้ ก็นับว่ามีน้ำใจมากล้นแล้ว พวกเรามีแต่จะขอบคุณไหนเลยยังกล้าเรื่องมากตำหนิติเตียนอีก ...อ้อ ข้าพเจ้ายังไม่ได้ถามท่าน ท่านมีชื่อแซ่เรียกว่ากระไร"
"อ้อ..ข้าพเจ้าเองก็ลืมแนะนำตัวไป ข้าพเจ้า แซ่กา เรียกว่า กาเซี่ยง"
คำตอบของผม ทำเอาสุมาเต็กโช กับเด็กทั้งสามคน สะอึกชะงักงันหันมองหน้ากัน คล้ายกับพวกเขาเคยได้ยินชื่อผมมาก่อน แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครพูดว่ากระไร
แต่พอผมเดินคล้อยหลังหายเข้าประตูไป จะเข้าไปบอกถรรยาว่ามีแขกมา ให้จัดเตรียมอาหารต้อนรับ กลับได้ยินเสียงเด็กอายุน้อยสุด ประมาณสิบเอ็ดสิบสองปี นามว่าจูกัดเหลียง หันไปถามอาจารย์ด้วยเสียงที่เบาว่า
"เขาคือ กาเซี่ยง ผู้ช่วยทรราชครองแผ่นดิน จนแผ่นดินเป็นกลียุคนะหรือ"
สุมาเต็กโชพอถูกถาม ก็รีบใช้สายตาปรามลูกศิษย์ มิให้พูดในตอนนี้ เพราะเกรงว่าผมจะได้ยิน แต่บรรดาลูกศิษย์กลับไม่ได้เชื่อฟัง โดยเฉาพะชีซี เมื่อรู้ว่าเป็นกาเซี่ยง ก็มีสีหน้าครุ่นแค้นขึ้นมา พูดว่า
"หากเป็นมัน พวกเราก็อย่าได้มาขอร้องพึ่งพิงมันเลย ท่านอาจารย์พวกเราไปกันยังที่อื่นเถิด"
บังทองเป็นเด็กที่โตกว่าเพื่อนจึงมีความคิดแยกแยะได้ดีกว่า กลับพูดว่า
"ยามนี้พวกเจ้าอย่าได้ถือฐิถิมากนัก ควรฟังท่านอาจารย์ตัดสินใจ"
สุมาเต็กโช จึงพูดว่า
"แม้หลายคนบอกว่าเขาคือต้นเหตุของกลียุค แต่ความจริงกลียุคมันเกิดจากความเสื่อมโทรมของการปกครองด้วยตัวมันเอง จะโทษเขาเสียทีเดียวก็ไม่ถูก เอาเถิด เมื่อเขามีไมตรีอันดีมา ยามนี้เราไม่มีทางเลือกมากนักก็ควรรับไว้ก่อน หากพบว่าเขาเป็นคนไม่ดี พวกเราก็ค่อยจากไปก็ยังไม่สาย"
เด็กๆ จึงพากันเงียบลง แต่ชีซีนั้นกลับไม่นึกเห็นด้วยในใจ
ในตอนนั้นผมยังยื่นแอบฟังอยู่ข้างประตูยังไม่ได้ไปไหน พลันครุ่นคิดว่า ชื่อเสียงของผมในตอนนี้คงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี ชาวบ้านที่เดือดร้อนจากภัยสงคราม ก็คงกล่าวโทษผมกันเป็นเสียงเดียว จะว่าไปนั้นมันก็สมควรอยู่ เพราะผมชักนำตั๋งโต๊ะไปยึดเมืองหลวง พอหมดตั๋งโต๊ะ ก็ยังจะพาลิฉุยกับกุยกีเข้าไปอีก และทั้งตั๋งโต๊ะและลิฉุยกับกุยกี พอเข้าไปมีอำนาจ ต่างก็ไม่ได้เข้าไปทำนุบำรุงแผ่นดินกันเลยแม้แต่น้อย มีแต่ตักตวงผลประโยช์ใส่ตัวเอง จนนำมาซึ่งสงครามระหว่างหัวเมืองกระจายไปทุกหย่อมหญ้า หากประชาชนที่ทุกข์ร้อน จะหาคนๆหนึ่งเพื่อเป็นที่ระบายกล่าวโทษ คนๆ นั้นก็สมควรเป็นผมมากที่สุด
ยามนั้นจึงแสร้งเป็นไม่ได้ยิน เพราะไม่รู้ว่าจะไปโต้แย้งแก้ตัวเพื่อการใด เลยเข้าไปบอกเหล่าภรรยาภายในบ้านว่ามีแขกมา พอบรรดาเหล่าภรรยารู้ว่าเป็นนักปราชญ์ชื่อสุมาเต็กโช ก็รีบจัดการเตรียมรับรองต้อนรับ
อาเจินเลยให้เสี่ยวถิงจัดโต๊ะสถานที่และเชิญทั้งหมดให้เข้ามานั่งพักรอรับประทานอาหาร ส่วนงิวอี้หลางก็ขันอาสาทำอาหารให้ โดยพาเสี่ยวจูเข้าไปในครัว และผมก็บอกตูตู้หลุน ให้ไปบอกบ่าวทาสด้านนอก ให้นำเก๋งรถม้ามาลากมาจัดทำเตรียมเป็นห้องหับ ให้แขกที่มาได้ใช้เป็นที่พักผ่อนเป็นที่หลับนอน
ไม่นานนัก อาหารก็ถูกจัดเตรียมมาให้รับประทานกัน ทุกคนก็รับประทานยกเว้นแต่ชีซี ที่ไม่แตะต้องอาหารเลยสักคำเดียว สุมาเต็กโช เห็นว่ามันถือฐิถิแสดงออกจนมากไป อาจไปกระตุ้นความสงสัยผู้อื่น จึงสบสายตามองมันด้วยสีหน้าตำหนิ พร้อมสะกิดมันให้กิน แต่ชีซีก็ยังไม่ยอมกิน
ผมสังเกตุเห็นแล้วแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น เพราะเข้าใจว่า มันคงเกลียดผมมาก จนไม่คิดจะรับบุญคุณใดๆทั้งสิ้น ก็เลยไม่อยากจะเซ้าซี้ไปบีบบังคับ อาเจินกลับไม่ทราบความนัย เห็นมันไม่กินข้าวปลา อีกทั้งมันมีรูปลักษณ์มอมแมมน่าเวทนา จึงนึกเอ็นดูสงสาร เขาไปสอบถามว่า
"เจ้าไม่หิวหรือ หรือกับข้าวไม่ถูกปาก หากเจ้าไม่ชอบ เจ้าก็ลองบอกมา ว่าอยากกินอะไร เผื่อข้าจะหามาให้ได้ "
ชีซีกลับบอกอย่างสีหน้าเรียบเฉย ว่า
"ไม่ข้าไม่หิว"
ชีซีตอบสั้นๆ แล้วลุกขึ้นสะบัดตัวเดินออกไปนอกบ้าน สุมาเต็กโชถึงกับหน้าเสีย รีบหันมายกมือประสานคาราวะ กล่าวขอโทษแทน แล้วพูดว่า
"เด็กคนนี้ อุปนิสัยเข้าใจยาก ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่เข้าใจมันมากนัก เนื่องเพราะเพิ่งได้เจอะเจอและรับมันเป็นศิษย์ จึงยังไม่ได้อบรมบ่มนิสัย ถ้าอย่างไรก็ขอให้พวกท่านอย่าได้ถือสา"
ผมก็รีบคาราวะตอบพูดว่า
"ท่านอาจารย์ กล่าวเกรงใจไปแล้ว เด็กก็คือเด็ก ข้าพเจ้าย่อมไม่เก็บไปคิดมากหรอก ท่านอาจารย์ก็อย่าได้กังวลใจไปเลย"
บรรยากาศจึงค่อยดีขึ้นและรวมกันพูดคุยรับประทานจนเสร็จ ยามนั้นผมอยากรู้เรื่องความเป็นไปในสงคราม เพราะตั้งแต่มาหลบอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรมากนัก จึงชักชวนคุยหลังทานอาหารกันเสร็จ สุมาเต็กโชจึงบรรยายสถานการณ์ให้ฟัง ผมถึงได้รู้ว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงหนีไปได้ และโจโฉได้เข้ามามีส่วนร่วมในสงคราม ทำการชิงตัวพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปได้ และกำลังรบกับลิฉุยกับกุยกีอยู่ในขณะนี้
เด็กน้อยจูกัดเหลียง พลันยิ้มขึ้น ถามอาจารย์ว่า
"ท่านอาจารย์ ลัทธิหยูของท่านขงจื้อ สอนด้านคุณธรรมเอาไว้ว่า ความซื่อสัตย์เป็นคุณธรรม ความจริงใจเป็นคุณธรรม และความมุ่งมั่นก็เป็นคุณธรรม ท่านอากาเซี่ยงผู้นี้ มีคนกล่าวว่าเป็น ปราชญ์ เมื่อเป็นปราชญ์แล้ว ย่อมต้องศึกษาศาสตร์แห่งหยู แต่เหตุไฉนเขาถึงได้ละทิ้งลิฉุยกับกุยกี เสียแต่กลางคัน ให้พวกนั้นเผชิญชะตากรรมรบกับโจโฉกันเพียงลำพัง มิได้อยู่ช่วยพวกเขา"
มันแม้ทำทีเป็นพูดถามอาจารย์ แต่สายตาจิกมาที่ผม สุมาเต็กโชกับผมย่อมเข้าใจความหมาย เพราะสิ่งที่จูกัดเหลียงถามนั้น เจตนาว่าผมทางอ้อมว่า เป็นคนขาดคุณธรรม ไม่สมกับที่เป็นนักปราชญ์นั่นเอง
ผมพลันคิดว่าถึงแม้เด็กคนนี้จะได้ยินกิตติศัพท์ที่ล่ำลือกันในทางร้ายของผม แต่ผลงานที่ช่วยพวกลิฉุยกับกุยกีปราบลิโป้ กำจัดอองอุ้นจนเข้ายึดเมืองหลวงได้ ก็ยากจะหากุนซือผู้ใดทำได้ในแผ่นดินในตอนนั้น ดังนั้นเด็กคนนี้เลยคิดอยากจะลองภมิปัญญา
สุมาเต็กโชสีหน้าไม่สู้ดี เห็นว่าจูกัดเหลียงทำไม่ควร คิดจะว่ากล่าวตำหนิ แต่ผมยิ้มและห้ามไว้ พูดว่า
"ท่านอาจารย์ เด็กนึกสงสัยใคร่อยากเรียนรู้ ก็ให้ข้าพเจ้าชี้แจงเองเถอะ"
สุมาเต็กโช เห็นผมไม่มีที่ท่าโกรธเคืองอันใด อีกทั้งจะชี้แจง ก็นึกอยากฟังเหมือนกัน จึงยิ้มรับไม่กล่าวกระไร ผมจึงพูดว่า
"ข้าเองแม้ศึกษาปราชญ์แห่งหยู แต่ก็เห็นว่าไม่ควรปฏิบัติตามทุกถ้อยกระทงความ บางอย่างเป็นดังว่า แต่บางอย่างก็ต้องผันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา คุณธรรมของเจ้านั้นเป็นตัวหนังสือ แต่คุณธรรมของข้านั้นเป็นมุมมอง หากเจ้าบอกว่าข้าละทิ้งลิฉุยกับกุยกีมาเป็นที่ผิดคุณธรรม แล้วหากข้าช่วยพวกมันแล้วประชาชนเดือนร้อน เจ้ายังมองข้าว่ามีคุณธรรมอยู่อีกหรือไม่"
จูกัดเหลียงนิ่งคิดไป ในขณะสุมาเต็กโชหลับตานึกลูบเครา บังทองพลันสอดแทรกขึ้นว่า
"ท่านเมื่อรู้ว่า ช่วยพวกมันแล้วประชาชนเดือดร้อน เหตุใดท่านจึงช่วยพวกมันเสียตั้งแต่ทีแรก"
ผมหันไปทางบังทอง คิดว่าเด็กคนนี้ก็ไม่เบา รู้จักจับประโยคตัดมาโจมตี ผมจึงพูดว่า
"หากตั้งแต่แรกรู้ว่ามันเป็นเสียเช่นนี้ ข้าก็คงไม่ช่วยพวกมัน แต่คนเราไม่อาจล่วงรู้จิตใจคนได้มากกว่าตามองเห็นการกระทำ ในเมื่อตอนนั้นมันมิได้ชั่ว แล้วเหตุใดข้าถึงช่วยมันไม่ได้ เพียงแต่ใจคนเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เมื่อพวกมันมีอำนาจก็หลงระเริง ข้าจึงได้ละทิ้งพวกมันมา"
จูกัดเหลียงได้โอกาสจึงสอดว่า
"ท่านละทิ้งก็ขาดความมุ่งมั่น หน้าที่ท่านเป็นกุนซือที่ปรึกษา ไฉนจึงไม่ว่ากล่าวตักเตือนให้มันทำในสิ่งที่ถูก กลับหนีหายเอาตัวรอด"
"เจ้าอ้างหยู ข้าอ้างพุทธ พุทธศาสนาเปรียบคนแบ่งออกเป็นสี่เหล่าเหมือนดอกบัว ที่เบ่งบานแล้ว ก็สวยงามเห็นมีแต่ความสำเร็จ ที่พ้นน้ำก็รอวันเบ่งบาน ที่อยู่ใต้น้ำก็รอวันขึ้นจากน้ำ แต่ที่ยังจมปรักอยู่ใต้โคลนตมทำอย่างไรก็ไม่ขึ้นเสียจากโคลนตมนั้น ก็ไม่มีวันขึ้นมาพ้นน้ำได้ ลิฉุยกับกุยกีก็เหมือนบัวในโคลนตมนั้น ไม่ว่าพูดสอนเข่นอย่างไรก็ไม่ขึ้น แล้วมีประโยชน์อันใด ที่ข้าจะยึดหลักคุณธรรมแห่งหยูยึดติดอยู่กับมัน สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน"
ทั้งสองกัดริมฝีปากอย่างนึกหาเหตุผลที่จะพูด แต่ยังนึกไม่ได้ เพราะพุทธศาสนาเพิ่งเข้ามาเผยแผ่ได้ร้อยกว่าปีในประเทศจีนในยุคนั้น คุณรู้เรื่องพุทธถือว่าจำกัดนัก พลันพากันนิ่งไปทั้งคู่
รอขงเบ้งโตก่อน ท่านกาจะเป็นคนกัดฟันเสียเองแล้ว
ขอฝากคำเตือน ก่อนคอมเม้นต์ จากเจ้แว่น
................................................
ใครจะอ่านผลงานทุกตอนในห้องนี้ ถ้าทำตามกติกา-เงื่อนไขนี้ไม่ได้ แล้วรีพลายมักง่ายผ่านไปที หรือ รีพลาย ขอบคุณครับ,ขอบคุณ,ขอบคุณค่ะ,ติดตามครับ,สนุกมากครับ,ติดตามต่อ. อะไรประมาณนี้ จะแบนเลยนะ ขอบคุณมากๆครับ ก็ไม่ต้อง thank,thank you,thx ขี้หมาหลายแหล เหล่านี้ก็อย่าให้เห็น จัดรูดแบนไปยาวๆถ้าเจอ นี่เป็นข้อตกลงไว่ก่อนอ่านระหว่างเจ้าของงาน กับสมาชิก ::Angry:: ถ้า รีพลายผิดเงื่อนไขมาหรือ โชว์พาล์วอยู่มานาน โชว์เก๋า โชว์สด โชว์เกรียน ทำมึนลองมาจะแบนเลย เพื่อสมาชิกอีกส่วนที่พร้อมทำตามกติกา ::Cheeky:: เพราะไม่เช่นนั้น รีพลายคุณอาจทำให้ สมาชิกที่ปฏิบัติตามพลอยอดอ่านไปด้วย ฉะนั้นไม่แน่ใจ อย่าพิมพ์เอามักง่ายมั่วๆ..ถ้าคิดว่า กฏนี้มันยากก็ไปหาที่อื่นเสพนะ อย่าเข้ามาใช้มาอ่านงานที่ห้องนี้ อ๋อ ใครโดน pm เตือนถ้ายังมึนจะแบนจาก 6 เดือนเป็น 1ปี. .
กฎที่วางนี่ไม่ได้เขียนเอา ฮา เนอะ แบนจริงใครอยู่นานแล้วคงรู้จัก แว่น ดี..คิดว่า ฉันแบนจริงหรือเตือนเอาสนุกเล่นๆ..อย่าๆลอง เดี๋ยวจะเสียความรู้สึกด้วยรีพลายคุณเอง ทำตามเงื่อนไข ยากอะไร หรือ จะโชว์เกรียน..เตือน,ขอร้อง,ขอความร่วมมือ แล้วเมื่อไม่รักษาสิทธิ์-ประโยชน์คุณเอง ก็แบนไปใช้เวปอื่น. .
................................................................................................................
ท่านกาอย่าให้เด็กถอนงอกได้นะขอบคุณครับ
เจอกันครั้งแรกก็โดนลองภูมิซะแล้ว... ::Thinking::
เก่งกาจ ตั้งแต่เด็กสมแล้วคือยอดกุนซือ ขงเบ้ง
แต่ขงเบ้งจะตายเพราะยึดถือหลักการลัทธิหยูมากเกินไป
มาสั้นๆแต่มาคมๆ เยี่ยมมากอาจารย์กา
ยามนี้กาเซียงได้เจอทั้งนักปราชญ์และนักรบในวัยเด็ก ที่มีฝีปากจัดจ้าน ทิฏฐิสูงยิ่ง อยากรู้ว่าพวกเขาจะช่วยกันทำอะไรเพื่อบ้านเมืองในยามนี้ได้บ้าง
ท่านกามีส่วนช่วยสอนอะไรไว้ให้ขงเบ้งรึเปล่า ถายภาคหน้าถึงได้เก่ง
เวลยังน้อยโดนกาเซี่ยงตบเกรียนแตกไป
เพราะงี้ไอที่สบายตอนแก่เลยมีแค่กาเซี่ยง
มีความรู้บู้ บุ๋น เสียว อีก อยากเจอคนแต่งมากครับอยากรู้จักมากๆ
จูกัดเหลียงขนาดเป็นเด็กความคิดความอ่านไม่ธรรมดาเลย
อัจริยะมีแววแต่เล็ก แต่ก็ต้องมีการคัดเกลาที่ดี รวมทั้งได้รับการชี้แนะที่เหมาะสม และโอกาสจากคนรอบข้างด้วย ดังเช่นตัวอย่างจากท่านกาเซี่ยงนะ ::Doubt::
เนื้อหาปรัชญาล้วนๆเลยครับ
::YehYeh:: การโต้วาทีได้เกิดขึ้นแล้ว กาเซี่ยงคงไม่ยอมง่ายๆเป็นแน่แท้
ดูเหมือนจะเป็นการสอนเด็กน้อยที่ยังไม่เข้าใจในโลก เมื่อเด็กมีปัญญา ก็สามารถนำไปขบคิดให้แตกฉานและเข้าใจโลกมากขึ้น
ขงเบ้งถึงกับพูดไม่ออกเลย กาเซี่ยงเราเอาเรื่องแฮะ ว่าแต่ไรต์ทิ้งไว้งี้ขาดตอนเลย กำลังเสพเพลินๆ ฮาๆ
ท่านกาเซียง เฉียบ! มาก
ไม่ใช่ว่าเพราะการสนทนานี้รึเปล่า ขงเบ้งถึงเปลี่ยนมุมมองและดูเป็นคนฉลาดที่สุดในบรรดาศิษย์สามคน
ขนาดเด็กสุดยังทรงภูมิอย่างดีจริงท่ายจูกัดเหลียง
เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ไม่ว่ายุคไหนก็เหมือนกัน
จอมปราชญ์ปะทะฝีปากกันแล้ว เพิ่งมารู้ว่า ท่านกาเซียงอายุมากว่าสมาปราชญ์ที่เหลือ
สุดยอดนักปราชญ์มาเจอกัน
หวังว่าเด็กๆจะเข้าใจท่านกาเซียงนะครับ
คงเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ทางสุมาฯ กันเหล่าศิษย์ยังไม่เคยรู้มาก่อน ยึดถือแต่เจ้านายคนเดิมแม้จะดีชั่วยังไง มาเจอมุมมองคนปัจจุบันย้อนเวลาเข้าไปถึงกับพูดไม่ออก ท่านกาโคตรเฉียบในเมื่อรู้ว่าเขาทำผิดจะไปช่วยเขาต่อทำไม คนเราพอมันมีอำนาจมันก็หลงระเริงไปกับอำนาจที่มี น้อยคนนักที่จะรู้จักควบคุมมันได้ ::Thinking::
ว่าแต่โตไปจูกัดเหลียงสามารถดูดาว อ่านฟ้าดินได้ ท่านกาเราละจะมีวิชาอะไรบ้างไหม มีคาถามหาเวทย์ คงกระพันชาตรีเรียกลมเรียกฝนได้ไหมน้อ เพราะเมืองไทยพวกไสยเวทย์มีเยอะมาก น่าติดตามจริงๆ ::DookDig::
คำพูดสั้น แต่มีความหมายลึก นี่ละคน
เด็กน้อยย่อมยึดแต่ตำราว่าแต่ความเป็นจริงนั้นซับซ้อนนัก
สนุกมากครับเยี่ยมมากอาจารย์กา
เด็กพวกนี้กะลูบคมท่านกาเซี่ยงของเราซะแล้ว ตบเกรียนให้อยู่นะท่าน แล้วก็ปรับความเข้าใจกะเด็กๆซะด้วย เดี๋ยวพวกมันโตขึ้นแล้วเป็นศัตรู จะเป็นปัญหากับตัวท่านเอง
ปล.อ่านไปยิ้มไปจริงๆ กับท่อนที่เสวนาคุยกันตอนกินข้าว รู้สึกสนุกมาก ถามตอบกันแบบไม่เกรงกลัวกันเลย
เหตุผลที่กาเซี่ยงใช้โต้ตอบครั้งนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน
ขอบคุณมากครับ
โชว์สกิลเทพเลยท่านกาเจ๋ง ตบมันให้เรียบ
จับขงเบ้งขึ้นครูเสียดีไหมนี่
ท่านกาโดนเด็กน้อยสองคนรุมซะแล้ว แต่ก้วยประสบการณ์ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ::HoHo::
ปราชญ์ มาเจอกับปราชญ์
การถกเถียงด้านปรัชญาจึงเกิดขึ้น ผู้ที่ได้ประโยชน์ น่าจะเป็นเด็กรุ่นหลังที่มีโอกาสได้นั่งฟัง
ตอนนี้ไม่มีบทเซ็กซ์ แต่บทสนทนานี้กินขาดเลยครับ คอยดูฝีมือกาเซียงว่าจะต่อกรกับปรมาจารย์สุมาเต็กโชยังไง
ชอบแนวการเขียนที่อ้างอิงประวัติศาสตร์ แบบเดียวกับที่กำลังเฟ้ออยู่ในปัจจุบันที่เอามาเป็นโครงเรื่องแล้วจินตนาการในรายละเอียดต่าง ๆ ลงไป ... เก่งมากครับ ::Thankyou::
ถ้าเราคิดแต่จะใช้อารมณ์โต้เถียง จะไม่มีวันชนะเลย กาเซี่ยงเป็นคนควบคุมอารมณ์ได้ดี จะทำให้คนที่ไม่พอใจ เปลี่ยนใจได้ ขอบคุณในข้อคิดดีดีครับ
แย้งกับปราชย์ต้องใช้เหตุและผล ถ้าเค้าจนเมื่อไหร่ก็ยอมรับเราเมื่อนั้น ขอบคุณคับ
ท่านกาได้สอนเด็กเกรียน2คน ไปไม่เป็นเลย555
ผมขอชื่นชมผู้แต่งเรื่องนี้เป็นอย่างมาก สนุกทุกตอนจริง ๆ
ไอ้เด็กพวกนี้มันร้าย ::Horror::
เอาเข้าแล้วไง สงครามวิวาทะเริ่มขึ้นแล้ว แสบกันทั้งสองฝ่าย หลังจากสนทนากันเสร็จน่าจะมีการให้พวกเสี่ยวจูแอบลากตัวเจ้าหนู จู๋กัดเหลียง(ตั้งใจสะกดนะครับไม่ได้สะกดผิด)ไปสอนให้รู้จักเรื่องของผู้ใหญ่มากขึ้นอีกหน่อยคงจะดีไม่น้อย
อยากรู้ครับว่าสงครามวาจานี้จะมีต่อเป็นเช่นไร
สงครามลิ้นๆเล็กๆนี่ ดุท่าสงสัยจะส่งผลถึง ขงเบ้งในอนาคต
ขอบคุณครับ ได้ความรู้สอกแทรกในเนื้อเรื่องด้วย วางพล็อตได้เข้ากับสามก็กเลยครับ เหมือนเป็นตอนแยกเนื้อเรื่องกาเซี่ยงเลย
โอ้ มีตำนานโผล่ออกมาเพิ่มแล้ว
ทำให้ค่อยๆอ้างอิงกับประวัติศาสตร์ได้
จริงๆนี่มันเหนือกว่าเรื่องบุพเพฯอีกนะครับเนี่ย เป็นกำลังใจให้และขอบคุณมากครับ
อืม สรุปแล้วท่านกาเนี่ยแก่กว่าขงเบ้งและอีกสองหน่อน้อยๆเนี่ยเยอะ กว่าเด็กมันจะโตจนเป็นปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ กาเซี่ยงก็คงเป็นผู้เฒ่าหงำเหงือกไปแล้วนั่นเอง มิน่าจึงไม่ทันได้ยินการต่อกรระหว่างกาเซี่ยงและขงเบ้งเลย อายุต่างกันมากนี่เอง มังกรหลับและหงษ์ดรุณเลยไม่ทันได้ประมือกับผู้เฒ่าฉะนี้ ::Elder::
ถึงกับสอนขงเบ้ง กะ บังทองเลยนะนั่น
ว่าแต่ ชีซี นี่เป็นผู้หญิงหรือป่าว ถ้าใช่งสัยจะถูกรวมไว้ในบ้านพี่เจ๋งแน่ ๆ
ยกแรก พี่เจ๋ง เจ๋งสมชื่อ
พระเอกโต้วาทีซะขงเบ้งเงียบเลย บัวสี่เหล่าเปรียบได้ชัดเจนจริงๆครับ ขอบคุณมากครับ
ท่านกาเซียงได้สอดแทรกแนวคิดแบบพุทธเข้าไปด้วย ขอคารวะครับ
กาเซี่ยงมีเสียทีที่เป็นผู้รอบรู้ ไม่จำนนต่อหยูจริง ๆ
บางคนแค่เก่งกลอนเก่งหนังสือก็ได้รับการขนานนามว่าปราชญ์แต่ไม่เคยคิดทำเพื่อประชาชนคนยากไร้เหมือนนักวิชาการในยุคปัจจุบัน ส่วนตัวแล้วสุมาเต็กโชผมว่าไม่ควรจะได้รับการยกย่องด้วยซ้ำ เพราะว่าลูกศิษย์ทั้งสามคนของมันคนหนึ่งก็หันหลังให้กับโลกภายนอก ส่วนอีกสองคนก็ประลองสมองกันเองโดยโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนตัวเอง แถบพอย่างเข้าวัยชรายิ่งเร่งรีบสร้างผลงานตีเมืองต่างๆอีก
ในที่สุดก็ตามอ่านทันแล้ว ไชโย เปรียบเทียบได้ดี นับถือๆ
พระเอกมักจะได้เปรียบเพราะตัวเองเป็นคนยุคใหม่ นึกถึงเจาะเวลาหาจิ๋นซี เซี่ยงเส้าหลงก็มีมุกแบบนี้เลยครับ
รอตอนต่อไปครับ อย่าหายไปนาน คิดถุง ท่านกาเซี่ยง
เขียนดีครับเกี่ยวกับแนวความคิดด้านศาสนาาและปรัชญา อ่านแล้วน่าสนใจให้ติดตามผลงานดีๆอีกเรื่องครับ
ผมว่าเราติดตามอ่านเรื่องของ กาเซี่ยงมานาน ย่อมเข้าใจตัวเค้า แต่คนที่แค่ได้ยินเรื่องราวจากปากคนอื่น ไม่มีทางจะเข้าใจได้
เหมือนคำที่ว่า อย่าตัดสินคนจากปากคนอื่น
รอคอยครับ ไม่ทราบท่าน writer จะกลับมาเขียนให้อ่านซักทีครับ ::Waiting:: ::Waiting::
เนื่องเรื่องกำลังสนุกครับ อย่าเพิ่งหยุดแต่งนะครับ ::Thankyou::
จูกัดเหลียงยังมีได้ถก. แต่ชีซีนี่สิ
คุณพี่เขียนมาดีๆทำไมหยุดไปละครับผมชอบตู้หลุนมากๆน่ารักจังเป็นนักกีฬาคงเนื้อแน่นดีน่าจัดทั้งวันทั้งคืนอย่างไรก็ขอเชียร์ให้เขียนต่อนะครับแฟนเรียกร้องได้โปรดกรุณานะครับ
บักอาจชกข้ามรุ่น
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ อ่านแล้วเพลินมากลืมเวลาเลย อยากให้มีบทอิงประวัติศาสตร์แบบนี้ต่อไปนะคะ ขอบคุณค่า
ตบเด็กเลย
รอตอนต่อไปอยู่ด้วยใจจดจ่อครับ
นิยายท่าน ทรงคุณค่าและ น่าติดตาม ผมกลับมาอ่าน 3 รอบแล้วครับ!!!
ขอท่านผู้เขียน ช่วยเขียนต่อด้วยครับ รวมทั้งเรื่อง survival Online ::Thankyou:: ::Thankyou:: ::Thankyou::
ยังหวังใจอย่างยิ่งว่า ท่านจะหาเวลากลับมาเขียนต่อจนจบได้นะครับ
เรื่องนี้มีเค้าโครงเรื่องของวรรณกรรมมาอยู่แล้ว อยากให้ไรต์มาแต่งต่อไปเรื่อยๆ
อยากให้ท่านเขียน ให้จบ อ่านแล้วไม่หนักไปทางไดทางหนึ่ง เราทุกคน รออยู่ นะครับ เป็นกำลังใจให้
รอตอนใหม่อยู่นะครับ
โอยค้างง แยากอ่านต่อจังเลย
เด็กสมัยก่อนนี่เอาเรื่องเหมือนกันนะ ด่าแบบผู้ดีซะด้วย 555
นิยายดีๆแบบนี้ กลับมาเขียนเพิ่มเถอะพลีส ขายก็ได้ ฮือออออออ