"อืออออออ" หวังปี้ลืมตาตื่นขึ้น มือปาดป่ายสัมผัสความนุ่มนิ่มทั้งสองข้างกาย "หือ!?!"
มันลืมตาขึ้นมอง
ตอนเข้านอนนั้นทั้งสี่นอนห่างกันพอสมควร แต่บัดนี้หลิวอังนอนอยู่ขวามือมัน ใบหน้าเยาว์วัยไร้เดียงสาวางแนบบนอกกว้างของมัน
ร่างเพรียวบางในชุดขาวบริสุทธิ์ก็นอนทับแขนซ้ายมันอยู่ แม้ในยามหลับเซียวเฟยซิงก็ยังเปล่งรัศมีงดงามจับจิต หวังปี้มิอาจละสายตาได้เลย
ความนุ่มนิ่มของทั้งสองร่างทำหวังปี้มีอารมณ์นัก มังกรน้อยค่อย ๆ ขยายตัวใหญ่ขึ้นในกางเกงที่มันสวม
เซียวเฟยซิงค่อย ๆ ลืมตาและเงยศีรษะขึ้น มือบางของนางที่วางอยู่บนร่างหวังปี้กลับรู้สึกถึงบางอย่างที่กลับแข็งใหญ่ขึ้น
"อา ท่านพี่หวังอี้" นางร้อง "นอนเคียงกายท่าน ข้ารู้สึกสดชื่นนัก"
"แม่นางเซียว....." หวังปี้มิรู้จะพูดอะไรจึงได้แต่กล่าว "อรุณสวัสดิ์"
"ฮือออออ" หลิวอังบิดกาย ก่อนจะลุกขึ้นเช่นกัน "ข้าหลับสบายจริง ๆ"
"ตื่นเถิด" ราชสีห์ทองคำว่า "ข้าทำอาหารเสร็จแล้ว"
เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วทั้งหมดจึงแยกย้าย หลิวอังทำท่าอาลัยอาวรณ์แต่สุดท้ายก็พยักหน้าให้ตนเอง
บิดาก็ต้องจากภรรยาทั้งสิบสองออกท่องยุทธภพหลายครั้ง ตัวข้าเองก็ต้องไปเช่นกัน แต่ก็ใช่ว่าความรักระหว่างข้าแลพี่หวังปี้จะลดลง
"บอกหน่อยเถิด ท่านพี่หวังอี้" เซียวเฟยซิงถาม "ไยแม่นางหลิวอังเรียกท่านว่าหวังปี้เล่า"
"อ้อ" หวังปี้ร้อง "อาจารย์ตั้งสมญาให้ข้าว่าหวังปี้ก่อนข้าออกท่องยุทธจักร ข้าใช้นามนั้นมาโดยตลอดหลังจากจากท่านผู้เฒ่าเฮี๊ยงมา แต่หวังอี้ก็ยังคงเป็นนามของข้า อยากเรียกข้าอย่างไรก็แล้วแต่แม่นางเถิด"
"นามที่ใช้ท่องยุทธจักรควรมีเพียงหนึ่ง" เซียวเฟยซิงบอก "ข้าจักเรียกท่านพี่ว่าหวังปี้เช่นกัน หากท่านแต่งงานแลอยู่บ้านโดยสงบกับภรรยาจึงค่อยเป็นหวังอี้เถิด"
"แม่นางคิดว่าเราจักหาคัมภีร์เอกสุริยันได้ที่ใดเล่า" หวังปี้ถาม หลังทั้งคู่เงียบกันไปพักใหญ่
"เริ่มจากแสวงหาบ้านหรือกระท่อมที่เป็นที่อยู่มารประจิมก่อน" เซียวเฟยซิงตอบ "มันต้องรู้ตัวก่อนเป็นแน่ว่าข้ากับอ้าวหลางจะมา จึงออกมาสู้กับเราที่ลานโล่งบนยอดเขา แต่มันคงไม่นอนกลางดินกินกลางทรายหรอก"
ทั้งสองแสวงหากันทั่วบนยอดเขา สุดท้ายก็พบกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง
"ลมปราณพิษฉาบทาไปทุกที่" เซียวเฟยซิงบอก "พี่หวังปี้ ท่านจงโคจรลมปราณให้มั่นคง อย่าให้พิษเข้าร่างได้"
"ข้าทราบแล้วและทำอยู่"
"ดีมาก" นางว่าและเปิดประตูเข้าไปในกระท่อม
ในกระท่อมเล็ก ๆ นั้นมีเตียงนอนอันสุดแสนโสมมตัวหนึ่งแลโต๊ะเขียนหนังสือ ที่บนโต๊ะนั้นมีกระดาษกองพเนินโดยรอบตำราเล่มหนึ่ง ดูเก่าแก่โบราณนัก
"คัมภีร์เอกสุริยัน" เซียวเฟยซิงอ่าน "มารประจิมหามันเจอจริง ๆ"
นางพลิกอ่านหน้าแล้วหน้าเล่า ขณะที่หวังปี้หยิบดูเศษกระดาษ
"แม่นาง...........ข้าคิดว่ามารประจิมพยายามคัดลองตำราเล่มนี้" มันหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งยื่นให้นางดู นางเปรียบเทียบกับหน้าในตำรา
"จริงด้วย มันพยายามคัดลอกคัมภีร์เอกสุริยัน หน้านี้มันเขียนผิดจึงฉีกทิ้ง.....พี่หวังปี้ ท่านพบเล่มที่คัดลอกไว้หรือไม่"
หวังปี้หาต่ออีกนาน ขณะที่นางก้มหน้าก้มตาอ่านคัมภีร์เอกสุริยัน
"ไม่มีเลย" ในที่สุดมันก็ยอมแพ้
"แสดงว่า..........สิ่งที่มารประจิมส่งให้หวังฟันเจ้า..........."
"คือคัมภีร์เอกสุริยัน ฉบับคัดลอก"
"แล้วหวังฟันเจ้าก็ได้สุดยอดเคล็ดวิชาไปอีกหนึ่ง" เซียวเฟยซิงว่า "ข้าอุตส่าห์หลงเชื่อว่าหากศึกษาคัมภีร์นี้ข้าจะเอาชนะมันได้"
นางกวาดสายตาผ่านคัมภีร์อีกหลายรอบ "แต่ถึงอย่างไร ข้าก็คิดว่าข้าควรศึกษา"
นางอ่านคัมภีร์อยู่หลายชั่วยามจนอาทิตย์คล้อยต่ำ หวังปี้ทำอาหารมาให้นางก็รีบยัดใส่ปากแล้วกลับไปอ่านคัมภีร์ต่อ
"มืดค่ำแล้ว แม่นางหลับนอนก่อนเถิด" หวังปี้ว่า "คัมภีร์ไม่ไปไหนหรอก พรุ่งนี้เช้าท่านค่อยศึกษาต่อก็ได้"
นางเหลียวมองรอบกาย ดวงจันทร์ขึ้นเกือบถึงกลางศีรษะแล้ว
หวังปี้ปูผ้านอนลงข้างเตาผิงหน้ากระท่อม เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเข้าใกล้เตียงของมารประจิม
เซียวเฟยซิงถอนหายใจเบา ๆ ปิดคัมภีร์ลงยัดไว้ในอกเสื้อแล้วจึงเดินออกจากกระท่อม ทอดกายลงข้างหวังปี้
หวังปี้ถึงกับตะลึงงัน ผ้าใช้ปูนอนผืนใหญ่นัก มันไม่คิดว่านางจะเข้านอนชิดใกล้มันถึงขนาดนั้น
มันรวบรวมความกล้า ก่อนจะค่อย ๆ วางมือลงบนหน้าท้องแบนราบของนาง เซียวเฟยซิงเกร็งตัว ทว่าไม่พยายามขัดขืนแต่อย่างใด กลับแนบร่างนุ่มเข้าใกล้ชิดมันมากขึ้น
"หลับเถิด ท่านพี่หวังปี้" นางกระซิบ
มันดุนจมูกเข้าที่สันคอนาง สูดกลิ่นคล้ายดอกไม้หอมจนชื่นใจ "แม่นางเซียว กลิ่นกายท่านช่างหอมหวานยิ่งนัก ได้นอนดมกลิ่นนี้ทั้งคืนข้าคงฝันดีมากเป็นแน่"
นางไม่ตอบอันใด ลมหายใจเรียบนิ่ง
ช่างหลับง่ายดายนัก
หวังปี้สูดกลิ่นกายนางอีกครั้งหนึ่งจนชุ่มปอด ก่อนจะอิงหัวกับเรือนผมนุ่มของนางแล้วหลับไป
ทันทีที่หวังปี้ผล็อยหลับ เซียวเฟยซิงก็เอื้อมมือไปหยิบตะเกียงไฟมาจุด ดึงคัมภีร์เอกสุริยันออกมาจากอกเสื้อ แล้วจึงอ่านศึกษาคัมภีร์ต่อใต้แสงตะเกียงโดยที่ยังมีมือของหวังปี้วางอยู่บนสะโพกแลลมหายใจของชายหนุ่มสัมผัสรดที่ต้นคอ
ตื่นเช้ามา หวังปี้ก็พบเซียวเฟยซิงนั่งอ่านคัมภีร์เอกสุริยันอยู่แล้ว
"อรุณสวัสดิ์ แม่นางเซียว" มันว่า
"ท่านพี่หวังปี้ ท่านตื่นสายนัก" นางหันมามองหน้ายิ้มแย้ม
เหรอวะ หวังปี้คิดในใจและหันไปมองฟ้าที่เพิ่งเริ่มมีแสงทองติดนิด ๆ ยังไม่เห็นแม้เศษดวงอาทิตย์
"ข้าตื่นก่อนท่าน มีเวลาศึกษาคัมภีร์อีกพอสมควร ข้าว่าข้าเข้าใจอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง"
"เล่าให้ข้าฟังเถิด"
"คัมภีร์เล่มนี้ซับซ้อนนัก ข้ามิเคยเห็นวิชายุทธใดลึกล้ำเท่านี้มาก่อน ทว่าขั้นตอนแรก คือการฝึกฝนลมปราณสุริยัน เป็นปราณขั้นสูงที่พัฒนาจากธาตุพื้นฐานดินน้ำลมไฟในร่างเรา แต่จะฝึกปราณสุริยันได้ ลมปราณที่เป็นฐานต้องเป็นลมปราณบริสุทธิ์ นั่นคือลมปราณที่ฝึกฝนด้วยตนเอง ไม่ใช่ไปสูบมาจากผู้อื่น ทำให้มารประจิมเองไม่สามารถฝึกฝนได้ หากดันทุรังมีแต่จะธาตุไฟแตกเสียเปล่า ๆ"
"แล้ว...แม่นางคิดว่าหวังฟันเจ้า....."
"มันฝึกวิชาเอง" เซียวเฟยซิงบอก "หากมันบรรลุวิชาสามสิบแปดกระบวนท่าในคัมภีร์นี้ เกรงว่าคงไม่เหลือใครในยุทธจักรจะต่อกรมันได้"
นางผุดลุกขึ้น "ท่านพี่หวังปี้ ท่านทำอาหารได้หรือไม่ ข้าจักคิดวางแผนแลฝึกปรือบางอย่าง"
นางร่ายรำกระบวนท่างดงามหลายท่วงท่าขณะที่หวังปี้ทำอาหาร ครั้งเมื่อแล้วเสร็จจึงมานั่งกินด้วยกัน
"ยามเดินทางมาที่นี่ ข้ากับท่านอ้าวหลางพบน้ำตกแห่งหนึ่งที่ตีนเขาลูกใกล้ ๆ ด้านหลังน้ำตกเป็นถ้ำโถงใหญ่โตแลเย็นสบายนัก ข้าแลอ้าวหลางนอนพักที่นั่นคืนหนึ่ง วันนี้เราไปที่นั่นกันเถิด"
"ด้วยเหตุอันใด"
"ไปถึงแล้วข้าจะบอกท่าน"
ที่ถ้ำน้ำตก
"หวังปี้ ท่านพี่โปรดฟังข้าเถิด" เซียวเฟยซิงมองหน้ามันแล้วเอ่ยปาก "ข้าจักบำเพ็ญปราณสุริยัน หากหวังฟันเจ้าบรรลุวิชานี้ ข้าจำต้องมีพลังพอสู้มันได้"
"แม่นางบำเพ็ญเถิด"
"ข้าคงต้องให้ท่านพี่ช่วย" นางหยิบคัมภีร์ขึ้นพลิกดูอีกครั้ง "ปราณสุริยันเร่าร้อนรุนแรงกว่าไฟธาตุธรรมดานัก หากฝึกไม่ระวังย่อมมีแต่จะธาตุไฟแตกตายฤาเสียสติโดยง่าย ในขั้นแรกที่ฝึก ก่อนควบคุมปราณสุริยันได้นั้น ร่างกายจะร้อนเป็นพิเศษ ความเสี่ยงธาตุไฟแตกยิ่งสูง ข้าพาท่านมาที่แห่งนี้เพื่อที่ความเย็นของถ้ำจะช่วยบรรเทาความร้อนลงได้บ้าง แต่หากไม่พอ ท่านพี่โปรดช่วยข้าตามท่านจะเห็นสมควรเถิด"
"ตามข้าจะเห็นสมควรหรือ"
"ข้ามิอาจคาดการล่วงหน้าได้ ว่าหากข้าคุมปราณสุริยันไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น ลมปราณข้าอาจผันผวนจนกายข้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านพี่ก็เพียงแค่ต้องฝังศพให้ข้าแลช่วยกลับไปบอกสำนักหมื่นบุปผา แต่หากข้าควบคุมไม่ได้เพียงเล็กน้อย ท่านอาจช่วยข้าได้โดยให้ความเย็นแก่ข้าฤาช่วยดูดความร้อนส่วนเกินออก ข้ามิอาจบอกได้ว่าควรทำอย่างไร เพราะข้าไม่อาจบอกได้ว่าจะเกิดอันใดขึ้น แต่ข้าไว้ใจท่านพี่ว่าท่านต้องช่วยเซียวเฟยซิงได้แน่"
"ข้าปัญญาน้อยนัก แต่จะทำให้สุดความสามารถ" หวังปี้ตอบ
"ดี ดีนัก" เซียวเฟยซิงว่า นางลังเลนิดหน่อย ก่อนจะดึงผ้าผูกผมออก ปล่อยผมดำยาวสยาย ก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อคลุมแพรขาวที่ชั้นนอกออก
"แม่นาง!!!!" หวังปี้เบือนหน้า "ท่านจะทำอันใด"
"คัมภีร์เตือนหลายครานัก ว่ายามเริ่มฝึกปราณสุริยันจะร้อนรุ่มนัก ข้าจำต้องทำให้ร่างกายพร้อมระบายความร้อนที่สุด........คือต้องถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า"
"เช่นนั้นข้าจักไปคอยด้านนอก"
"ท่านต้องอยู่ คอยเฝ้าระวังช่วยข้าหากเกิดธาตุไฟแตก" นางว่า แต่ก็หน้าแดงก่ำ "แล...ยามข้าเสียทีหวังฟันเจ้าท่านก็เคยเห็นหมดแล้ว ข้าหาเหลือสิ่งใดต้องปกปิดจากท่านไม่"
หวังปี้กลืนน้ำลาย
เป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก
นางปลดเปลื้องแพรขาวออกทีละชิ้น พับเรียบร้อยแลวางลงบนพื้นถ้ำ จนสุดท้ายร่างเปล่าเปลือยก็ยืนระหงอยู่กลางถ้ำน้ำตก
ร่างของนางงดงามเสียยิ่งกว่าที่มันจำได้เสียอีก
หวังปี้กลืนน้ำลาย พยายามข่มใจแล้วข่มใจอีกแต่แท่งทองก็บวมเป่งขึ้นใหญ่โตนัก
นางพยักหน้าให้มันครั้งหนึ่งเป็นสัญญาณว่าจะเริ่มต้นแล้ว
คัมภีร์เอกสุริยันวางลงตรงหน้าร่างเปลือยเปล่า เซียวเฟยซิงนั่งลงขัดสมาธิ เปิดคัมภีร์หน้าหนึ่งแล้วเริ่มวาดมือตามที่คัมภีร์ระบุ
เท้านางที่ไขว้เป็นท่าขัดสมาธินั้นปกปิดถ้ำรักสีชมพูสดไม่ได้ด้วยซ้ำ แลเต้านมของนางก็ตั้งเด่นตระหง่านงดงามนัก ปลายถันทั้งสองขนาดกำลังพอเหมาะอีกยังเป็นสีสดใส ชวนให้ดูดดื่มนัก เพียงได้เห็นหวังปี้ก็คอแห้งไปหมด
แต่มันก็รู้ดีว่ารบกวนนางระหว่างบำเพ็ญปราณก็เทียบได้กับฆ่านางด้วยมือมันเอง
"ไยร่างท่านช่างเย้ายวนเช่นนี้เล่า แม่นางเซียว" มันกระซิบกับตนเอง
มันเฝ้าชื่นชมร่างเปลือยของนางมิรู้เบื่อ ขณะที่นางก็ปรับเปลี่ยนท่าทางบ้าง แต่ส่วนใหญ่เฉยนิ่งในท่าทำสมาธิ ไม่แสดงท่าทางใดว่ารับรู้
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม มันเริ่มเห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามร่างแสนงาม แม้ว่าในถ้ำจะยังคงเย็นสบายนัก
ใบหน้าของนางยังดูผ่อนคลาย มิได้เดือดร้อนกับเหงื่อที่ปรากฏขึ้นเป็นเม็ด ๆ
"อา เม็ดเหงื่อเกาะแทบจะติดยอดถัน ข้าอยากจะดูดเลียให้แห้งนัก" หวังปี้กระซิบบอกตนเอง "แลเม็ดเหงื่อที่สะบักของนางอีก เป็นความงามสมธรรมชาติจริง ๆ"
อีกหนึ่งชั่วยาม เม็ดเหงื่อบนตัวนางเริ่มทวีมากขึ้น บางส่วนหยดรวมหลั่งไหลเป็นสาย แลดูเย้ายวนนัก ผมดำสลวยเริ่มชุ่มชื้นด้วยเหงื่อจากหนังศีรษะ หวังปี้ดึงแท่งทวนประจำกายออกมาแล้วเริ่มช่วยตัวเอง
ชั่วยามถัดมา ร่างของนางเปล่งประกายแวววาวราวกับเคลือบทาด้วยผงไข่มุก แท้ที่จริงแล้วชโลมไปด้วยหยาดเหงื่อทั้งสิ้น สีหน้าของนางเริ่มหม่นหมอง คิ้วขมวดราวกับอดกลั้นความเจ็บปวด หวังปี้ที่ปลดปล่อยไปแล้วสามน้ำเริ่มวิตก เป็นห่วงมากเท่าที่เป็นหื่น
อีกสองชั่วยาม หวังปี้เริ่มรู้สึกได้ว่าในถ้ำน้ำตกนั้นร้อนขึ้น ราวกับความร้อนที่แผ่จากร่างนางมากเกินกระแสน้ำเย็นสบายจะกลบลงได้
ชั่วยามต่อมาหวังปี้จึงมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเองแน่ ตัวมันเองก็เหงื่อโทรมกายแล้ว ละอองน้ำที่แต่ก่อนแต่ไรกระเซ็นเข้าในถ้ำต่อเนื่องก็ระเหิดหายไปหมดสิ้นราวกับนั่นหาใช่ถ้ำน้ำตกไม่แต่เป็นถ้ำทะเลทราย
ยามเที่ยงคืน นางลืมตาขึ้นนิดหน่อย หวังปี้รีบดึงกางเกงขึ้นไม่ให้นางเห็นว่ามันแอบทำอะไรอยู่
"ข้าบรรลุขั้นแรกแล้ว ทว่าคัมภีร์บอกว่าขั้นต่อไปจะยากกว่านี้" นางหอบหายใจ "แลข้าจักยังควบคุมความร้อนแห่งปราณสุริยันไม่ได้จนกว่าจะบรรลุขั้นที่สอง"
นางจัดท่ามือใหม่ตามภาพในคัมภีร์ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง
ตีสาม หวังปี้ต้องหยิบเอาอาภรณ์แพรขาวออกมาวางไว้นอกถ้ำด้วยกลัวติดไฟ
อากาศในถ้ำแทบจะร้อนจนเกินทนอยู่ได้แล้ว
หวังปี้รู้สึกว่าตัวมันเองก็จะเป็นลมไปเมื่อไหร่ก็ได้ จึงสาวทวนเนื้อต่อเพื่อควบคุมสติไม่ให้สลบไสล
ตีห้า มันสังเกตว่าเซียวเฟยซิงมิได้นั่งหลังตรงสง่าเช่นที่เคยแล้ว ตัวนางดูจะงอด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
หวังปี้ลังเลนัก เซียวเฟยซิงยังคงคุมลมปราณอยู่ได้หรือเปล่า หรือนางกำลังเข้าสู่ขั้นแรกของการธาตุไฟแตกแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นมันควรทำอย่างไรเล่า ตักน้ำจากในน้ำตกมาราดรดตัวนางหรือ
ฟ้ารุ่ง หวังปี้ต้องปลดเปลื้องเสื้อคลุมชั้นนอกออกด้วยร้อนเกินจะทานทนไหว ในถ้ำแทบจะเหมือนนรกภูมิ ร้อนจนอากาศบิดเบี้ยวไปเสียหมด หวังปี้รู้สึกเพียงลูกนัยน์ตามันแห้งผากจักมอดไหม้อยู่ในเบ้า ท่อนทวนเนื้อสากราวกับอาโปธาตุที่หล่อเลี้ยงนั้นระเหยแห้งไปหมดสิ้นแล้ว
หากตัวมันยังเป็นเช่นนี้ แม่นางเซียวจะทรมานแค่ไหน
แล้วมันจะทำอะไรเพื่อช่วยนางได้
จนพระอาทิตย์ใกล้เที่ยงวัน เซียวเฟยซิงจึงหงายล้มลงจากท่านั่งสมาธิ หวีดร้องลั่นถ้ำ
"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก ข้าร้อน ข้าร้อนยิ่งนัก ข้าไม่ไหวแล้ว ได้โปรดหยุดเถิดดดดดด"
"แม่นาง!!!" หวังปี้ร้อง ตรงเข้าไปหาเซียวเฟยซิง มันแตะไหล่นางทีเดียวก็สะดุ้งโหยง ร่างกายของนางร้อนกว่ายามจับกาน้ำชาที่ร้อนเดือดเสียอีก
"อ๊าาาาาาาาา" เซียวเฟยซิงครวญคราง ดิ้นพล่านบนพื้น ควันลุกไหม้ขโมงตามลำตัว
จะทำอย่างไรจะช่วยนางได้เล่า หากเอาน้ำสาด เกรงว่านางจะระเบิดเหมือนแก้วที่ถูกน้ำร้อนน้ำเย็นสลับกันทันที
ต้องระบายความร้อนส่วนเกินออกจากร่างนาง มิใช่เติมความเย็นเข้าไป หวังอี้ตระหนัก
แล้วสิ่งเดียวในถ้ำที่อาจจะรับปราณร้อนมากมายมหาศาลขนาดนี้ได้คือตัวมันเอง
หวังปี้โคจรปราณเย็นทั้งหมดที่มีในร่างเพื่อพยายามป้องกันตัว ก่อนจะประคองร่างเซียวเฟยซิงขึ้นมา มันรู้สึกได้ว่านิ้วที่จับร่างเซียวเฟยซิงเริ่มพองบวม แต่มันพยายามไม่ใส่ใจความเจ็บปวด
จ๊วบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
ปากของมันประทับลงบนปากของเซียวเฟยซิง
ในโพรงปากของนางนั้นร้อนรุ่มจนมันแปลกใจนักที่นางยังไม่ระเบิด มันพยายามสูดเอาความร้อนนั้นเข้าในร่างกายมันเองให้มากที่สุด อดทนไม่สนความเจ็บปวดทรมานเหมือนมีพระเพลิงลุกไหม้อยู่ในปากแลจมูก
ลมหายใจของเซียวเฟยซิงเริ่มเสถียรขึ้นหน่อยหนึ่ง
ทว่าร่างกายของนางยังร้อนรุ่มนัก หวังปี้เคลื่อนใบหน้าลงมาที่เต้านมอวบอิ่มแสนงามแลเริ่มต้นดูด แต่สิ่งที่พุ่งทะลักเข้ามาในปากมันหาใช่น้ำนมไม่ แต่เป็นความร้อนชนิดที่มันไม่คาดคิด หวังปี้รู้สึกราวมีคนราดน้ำมันในปากลงไปจนถึงกระเพาะแลจุดไฟให้ติดเป็นเพลิง น้ำตาพวยพุ่งจากตาของมันเมื่อมันรู้สึกราวกับจะทนเพลิงร้อนไม่ไหวแล้ว มันปล่อยเต้านมข้างซ้ายออกจากปากแลสลับไปดูดที่เต้านมข้างขวา อดทนกับความร้อนอันแสนทรมานอีกครั้งครา
มันระบายความร้อนจากกายท่อนบนของนางแล้ว จึงได้เริ่มเคลื่อนสู่ท่อนล่างเมื่อนางร้องขึ้น
"ท่านพี่หวัง พอเถิด ข้าเริ่มควยคุมปราณสุริยันได้แล้ว"
หวังปี้ปล่อยตัวนางด้วยความยินดี
"ข้าอ่อนแรงนัก ท่านช่วยหยิบคัมภีร์มาแล้วเปิดไปหน้าต่อไปได้หรือไม่" นางถามอย่างอิดโรย หวังปี้รีบปฏิบัติตาม นางกวาดสายตามองทั่วหน้าหนังสือ ก่อนจะดันตัวกลับเข้านั่งในท่าขัดสมาธิอีกครั้งครู่เดียวลมหายใจของนางก็เริ่มกลับไปราบเรียบเป็นปกติ
ฉับพลันความร้อนในถ้ำก็สลายราวกับไม่เคยมีอยู่
เซียวเฟยซิงยกมือขึ้นระดับอก พลิกฝ่ามือก่อนค่อย ๆ ลดมือลงอีกครั้ง
นางลืมตา ลุกขึ้นยืน ขานางสั่นระริก ทว่ายังพาร่างนางเดินได้ นางออกจากถ้ำน้ำตก หยิบอาภรณ์แพรขาวมาสวมใส่จนครบทุกชิ้น ผูกมัดผมแล้วจึงค่อยหันกลับมาพูดกับหวังปี้
"ข้าควบคุมปราณสุริยันได้แล้ว ขอบคุณท่านนัก หากมิได้ท่านช่วย วันนี้เซียวเฟยซิงคงถึงแก่ความตายเป็นแน่แท้" นางกระทำคารวะ ทว่าท่าทางของนางเป็นทางการนัก มิได้มีความสนิทสนมที่นางแสดงออกดังแต่ก่อน
หวังปี้ยังคงรุ่มร้อนท่วมอยู่ในปาก แต่ก็ยกมือรับคารวะ
"บรรลุลมปราณสุริยันแล้ว ข้าคงมิมีปัญหาฝึกสามสิบแปดกระบวนท่า จากดัชนีสุริยัน จนถึงคลื่นปราณฟ้าล่ม แต่ข้าจักเก็บตัวในถ้ำนี้ ฝึกสามสิบแปดกระบวนท่าจนกว่าจะครบถ้วน หวังปี้ ท่านจงไปที่วังน้ำแข็งเถิด ที่นั่นอยู่ห่างไปยี่สิบลี้ทางทิศอุดร ลองดูว่าท่านจักหาทางเข้าไปพบจ้าววังน้ำแข็งแลเชิญชวนมาเป็นพันธมิตรได้หรือไม่"
วาจาของนางนั้นสุภาพ ทว่าสุ้มเสียงของนางนั้นบอกชัดเจนว่านี่เป็นคำสั่ง หาใช่ข้อเสนอแนะไม่
"แต่ว่า แม่นางเซียว"
"หวังปี้ท่านไปเถิด" นางว่า "ข้าจักฝึกยุทธ หาได้ต้องการให้ท่านรบกวนไม่"
หวังปี้อ้าปากค้าง
ไม่เพียงนางเรียกมันด้วยชื่อ มิใช่เป็นพี่หวังเช่นทุกครั้ง ทว่ากริยาท่าทางของนางกลับเย็นชานัก คล้ายเซียงเฟยซิงที่มันพบครั้งแรกที่เมืองวิปลาสมากกว่าสตรีที่นอนเคียงกายมันมาสองคืน
"เช่นนั้น หวังปี้ขอตัว พบท่านอีกครั้งที่งานชุมนุมชาวยุทธ" มันคารวะ แล้วเดินจากไป
นางโกรธที่ข้าล่วงเกิน
จิตใจของหวังปี้เฝ้าบอกซ้ำ ๆ
หนทางถ่ายปราณร้อนออกจากร่างนางมีมากนัก ไยต้องดูดนมเล่า
ก็ตอนนั้นข้าคิดได้อย่างนั้นนี่นา
แล้วบัดนี้นางก็โกรธข้ายิ่ง
แล้วจะทำอย่างไรให้นางหายโกรธได้เล่า
ทำตามที่นางสั่งซี
เชิญจิวไต้กั๋วแห่งวังน้ำแข็งมาร่วมพันธมิตรปราบหวังฟันเจ้า
ได้ ข้าจะทำ
แล้วไยในร่างกายข้าจึงรู้สึกร้อนเป็นไฟเช่นนี้เล่า 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน
หวังปี้ผิดหวังหรือที่แม่นางเซียวเปลี่ยนไปหรือเป็นที่ดูดแต่นม ไม่ดูดข้างล่าง