คุยก่อนอ่าน สำหรับเรื่องนี้ได้เเรงบัลดานใจจาก H - manga [emily] Princess Maid แปลไทย by Melody
และใจก็อยากจะลองเขียนแฟนตาซีแนวเกิดใหม่ในต่างโลกดูบ้าง หลังจากลองเขียน Loso แล้วได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม
สำนวนและเรื่องราวอาจจะไม่ค่อยลื่นไหล เพราะหยุดเขียนไปเกือบๆ 4 เดือนเพราะปัญหาชีวิตประดังเข้ามาหลายอย่าง
ก็จะพยายามเคาะสนิม แกะความขี้เกียจออก แล้วเขียนต่อเรื่อยๆ โดยเรื่องนี้คงจะไม่ยาว (จริงๆ อย่ามองหน้าผมอย่างนั้น)
ดีไม่ดี ถูกใจหรือไม่ และอยากแนะนำอะไร เขียนบอกกันไว้ได้
ขอร้องอย่าอ่านเงียบๆแล้วจากไปเฉยๆ บอกตรงๆใจคอไม่ดีเลย
ด้วยไมตรีจิต นีโอ
นำเรื่อง
"คุณจะทิ้งผมไปจริงๆหรือจุ๊บแจง?"วรินทร์ ชายหนุ่มวัย 35 รูปร่างผอมสูงทำตาละห้อยมองคนรักของตนกำลังเก็บเสื้อผ้าข้าวของต่างๆลงในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ จุ๊บแจง หรือชื่อจริงตามบัตรประชาชนว่า นางสาวอรอุมา คนรักสาวที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทั้งสองได้ตกลงปลงใจจะอยู่ร่วมหอลงโลงสัญญากันว่าจะร่วมกันเก็บหอมรอมริบด้วยจุดหมายแต่งงานอยู่กินกันไปชั่วชีวิต ตลอดระยะเวลาหลายปีที่อยู่ร่วมกันมาต่างอดทนลำบากแทบจะกัดก้อนเกลือกิน แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้
เธอกำลังจะตีจากเขาไป เหตุเพราะชีวิตของเขากำลังมาถึงห้วงวิกฤติ "จุ๊บแจง....." ชายหนุ่มเอ่ยเรียกคนรักเสียงเบา "ผมขอร้อง...อย่าทำกับผมอย่างนี้เลย ผมไม่เหลือใครแล้วนะ"
"ปล่อนฉันไปเถอะ ฉันทนอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้อีกแล้ว" หญิงสาวเอ่ยบอกโดยไม่สนใจจะมองมาที่เขาในขณะสองมือยังสาละวนหยิบโน่นจับนี่ใส่ลงกระเป๋าไม่หยุด "แม่โทรฯ มาตามให้ฉันกลับไปอยู่บ้าน เพราะสงสารฉัน"
"ทำไมถึงทนไม่ได้ เราอยู่กันมาตั้งหลายปี ก็ยังอยู่ได้ดีนี่นา..."
'จุ๊บแจง'หรือ 'อลินดา' แฟนสาวหน้าตาสวยหุ่นนางแบบชำเลืองมองดูวรินทร์ แฟนหนุ่มที่เคยคิดจะร่วมหัวจมท้ายอย่างละอาใจ สภาพในตอนนี้ของเขามีสารรูปแทบดูไม่ได้ ใบหน้าตาซูบผอม ดวงตาโหลลึก หนวดเคราไม่โกน ผมเผ้าปล่อยยุ่งเป็นกระเซิง เสื้อผ้าที่ใส่ก็สกปรกยับยู่ยี่แถมเนื้อตัวยังกลิ่นเหล้าราคาถูกโชยมาอีก ผิดกับวรินทร์ในอดีตที่หล่อเหลาแต่งตัวเนี๊ยบด้วยเสื้อผ้ามีรสนิยมแม้จะราคาถูกชนิดเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
"ก็ฉันทนจนทนไม่ไหวแล้วนี่ รินทร์! วันๆ มีแต่เจ้าหนี้มาทวงเงิน ข้าวของมีค่าโต๊ะตู้เตียงอะไรก็ไม่มีเหลือแล้ว เธอขนเอาไปขายใช้หนี้ไปหมดหรือเธอจะให้ฉันอยู่คอยให้เจ้าหนี้มาชี้หน้าด่าว่าไปเอาเงินทองเขามาแล้วไม่มีปัญญาไปใช้คืน รวมทั้งโต๊ะบอลที่ส่งคนมาขู่ว่าจะจับฉันไปขายให้เสี่ยกระเป๋าหนักเอาเงินมาใช้หนี้ที่เธอติดพวกมัน!?"
วรินทร์ สะอึกในคำตอบนั้น มันจุกแน่นในอกและเจ็บจนพูดอะไรไม่ออก
เวลานี้เขากำลังเข้าตาจนหาทางออกไม่ได้จริงๆ หันหน้าไปพึ่งใครก็มีแต่คนหลบหน้าหลบตา เพื่อนฝูงที่เคยคบกันมาเคยช่วยเหลือเกื้อกูลยามยากก็เมินหน้าหนี ทำให้เขานึกถึงสำนวนไทยที่ว่าไว้ 'ถ้ามีเงินก็นับเป็นน้อง ถ้ามีทองก็นับเป็นพี่ ถ้าไม่มีเงินทองก็ไม่มีทั้งพี่ทั้งน้อง'
ช่างเป็นสำนวนที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยแล้วก็เป็นจริงเสียด้วย อย่าว่าแต่เพื่อนฝูงเลยแม้แต่พี่น้องที่คลานตามกันมาหรือแม้แต่คนรักที่นอนแนบชิดสนิทเสน่หาก็กลายเป็นคนอื่นไปได้ยามหมดเงินหมดทอง
อย่างเช่นตัวเขาในเวลานี้....
ชายหนุ่มจำใจเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจ เขาขอเธอแต่งงานเพราะมั่นใจว่าเธอรักเขาเหมือนที่เขารักเธอมาตลอด 8 ปีที่คบหาดูใจกันมา แต่เมื่อเวลาและสถานภาพของเขาเปลี่ยน ใจของเธอก็เปลี่ยนตามไป
เขาเคยมั่นใจว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่จะอยู่เคียงข้างเขาในทุกเวลา ไม่ว่าจะมีสุขหรือทุกข์ดั่งที่พร่ำรำพันในคืนวันอันแสนหวาน แต่นั่นเป็นเพียงแค่ลมปากที่พ่นออกมายามที่ชีวิตมีทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์
ยามมีสุขดันอยู่ พอมีทุกข์กลับจะทิ้งกัน
"จุ๊บแจง...เธอจะทิ้งเรือนหอของเราจริงๆหรือ?" วรินทร์ พยายามเหนี่ยวรั้งเธอไว้อีกครั้ง พลางทำตาละห้อยอ้อนวอน หวังให้เธอเปลี่ยนใจ
"เรือนหอบ้าบออะไร บ้านมือสองที่ดาวน์มาแล้วไม่ได้ส่งมา 6 งวด ธนาคารกำลังจะมายึดแล้ว น้ำก็ถูกตัด ไฟก็กำลังจะมาตัดพรุ่งนี้ ยอมรับความจริงซักทีเถอะ ว่าเธอมันหมดปัญญาจะรักษามันไว้แล้ว ถ้าเธออยากอยู่ก็อยู่ไปเถอะ ฉันอยู่ไม่ได้หรอก ฉันจะไปแล้ว!" หญิงสาวบ่นยาวพลางสะบัดหน้าเบ๊ปากอย่างรำคาญถ้อยคำของเขาที่รบกวนประสาทหู
"จุ๊บแจง ให้โอกาสผมสักครั้งเถอะนะ ผมขอแก้ตัว อย่าทิ้งผมไปเลยนะ..นะ.." วรินทร์ พยายามอ้อนวอนอีกครั้งหวังว่าจะมีประโยคใดประโยคหนึ่งสะดุดใจฉุดรั้งให้เธออยู่ต่อ
"พอเถอะนะรินทร์!..ฉันให้โอกาสเธอมานานแล้ว ฉันทนไม่ไหวแล้ว" หญิงสาวสบตาเขาอย่างเหนื่อยหน่าย ในแววตาไม่เหลือร่องรอยความรักความอาลัย นอกจากแววเบื่อหน่ายและอยากจะไปให้พ้นๆเขาสักที
วรินทร์ สบสายตาของคนรักที่หมดใจด้วยความปวดร้าวในใจ ภาพวันชื่นคืนสุขที่ทั้งสองเคยหยอกเย้าเคล้าคลอได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว วันนี้เขามีแต่ตัวและหัวใจที่เหลืออยู่เท่านั้น และมันก็ไม่พอจะฉุดรั้งให้เธอทนอยู่กับคนไร้อนาคต เขาจึงได้แต่ทนก้มหน้ารับความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น
"ผมนึกว่าจุ๊บแจงจะยังรักและอยู่ให้กำลังใจผมเหมือนวันก่อนๆ ขาดจุ๊บแจงไปผมก็ไม่เหลืออะไรแล้วนะ"
"ความรักอย่างเดียวมันกินแทนข้าวใช้แทนเงินไม่ได้หรอก ปล่อยฉันไปตามทางเถอะอย่ามาถ่วงฉันไว้เลย"
คำพูดนั้นดังเข็มพันเล่มทิ่มแทงหัวใจของวรินทร์ ให้เจ็บปวดสิ้นดี มันปวดแปลบจนน้ำตาแทบไหล
ปรี้นๆๆ
ชายหนุ่มกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่แล้วสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงรถจอดที่หน้าบ้านพร้อมกดแตรถี่ๆเรียกคนในบ้าน
"อุ๊ย! รถของคุณสเตฟานมารับแล้ว" หญิงสาวอุทานอย่างตื่นเต้น แววตาระริกด้วยความดีใจ เธอรีบรูดซิบกระเป๋าเดินทางในขณะที่เสื้อผ้าข้าวของยังใส่เข้าไปไม่หมด จากนั้นก็ดึงคันชักลากมามือหนึ่ง หิ้วมามืดหนึ่ง แต่ก่อนจะออกจากห้องไปเธอหยุดตรงหน้าเขาแล้วสบตาอีกครั้ง
สายตาที่สบมาเป็นแววตาที่มองคนอื่นทั่วๆไป ไม่ใช่แววตาของคนเคยรักกันเหมือนเคย ฉายแววขอความเห็นใจให้อภัยที่เธอตัดสินใจเช่นนี้ สองมือบางวางกระเป๋าลงและจับสองมือสากหยาบกร้านของเขาขึ้นมาเขย่าเบาๆ
"ให้อภัยเถอะฉันนะรินทร์ ที่จริงฉันก็ไม่อยากให้เราจบกันอย่างนี้..."
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่บาดหัวใจของวรินทร์ ยิ่งนัก พูดจบหญิงสาวก็หอบกระเป๋าเดินทางออกจากห้องไป ส่วนตัววรินทร์ เดินตามไปส่งเธอที่หน้าประตูบ้าน มองตามหลังหญิงสาวที่กระวีกระวาดเปิดประตูรั้วลากกระเป๋าไปที่รถยนต์ยุโรปยี่ห้อหรูคันนั้น เจ้าของรถเป็นหนุ่มใหญ่ รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าน้าเหลี่ยม ตัดผมรองทรงเรียบร้อยใส่แว่นตาดำ สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมบ่งบอกฐานะว่าไฮโซฯโก้หรู เขาเดินลงมาเปิดท้ายรถยืนรอหญิงสาวอยู่
"...!!!..." หัวใจของวรินทร์ เสียวแปล๊บๆหวิวๆราวจะหลุดจากขั้ว
ภาพต่อมายิ่งตอกย้ำให้ช้ำใจหนักกว่าเดิม เมื่อชายคนนั้นหลังจากช่วยยกกระเป๋าใส่ท้ายรถแล้ว สองมือของคนรักเขาเอื้อมไปเกาะที่บ่าชายคนนั้นพลางเขย่งไปจูบปากกันอย่างไม่แคร์สายตาของวรินทร์ที่ยืนเกาะวงกบประตูดูอยู่ เขากัดกรามกรอดด้วยความแค้น ทั้งเจ็บทั้งแค้นและเสียใจอย่างสุดที่ประมาณได้
"อีนังแพศยาสารเลว...!!!" เขาไม่รู้จะสรรหาคำใดมาด่าหญิงคนนี้ให้สาแก่ใจได้
สุดท้ายก็ทรุดลงนั่งหลังพิงฝาบ้านเอาสองมือปิดหน้าร้องไห้โฮอย่างสุดกลั้น....
------------------------------------------------
เกิดอีกที...ขอพี่เทพ
ตอนที่ 1 : กากไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
------------------------------------------------บ้านหลังใหญ่ในเนื้อที่กว้างขวางเมื่อปิดไฟเกือบหมดจึงดูเงียบและวังเวงราวกับเป็นบ้านร้างมีเพียงห้องครัวที่เปิดไฟทิ้งไว้ แต่ก็แค่หลอดนีออนเล็กที่ให้แสงสว่างไม่มาก
ติ๊ก..ติ๊ก..ตี๊ก...เสียงนาฬิกา ส่งเสียงเพียงแผ่วเบา ทีละวินาทีๆ ในคืนที่เงียบสงัด
นาฬิกายังคงเดินหน้าไปแต่ละวินาที วินาทีค่อยๆผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ไม่หวนกลับ
ชีวิตเขาคงจบแล้ว ทุกอย่างที่สะสมมา ทุกสิ่งที่ร่วมทำกันมา วันนี้ไร้ค่า
วรินทร์ กวาดตามองรอบกายด้วยความสิ้นหวัง ท้อแท้ และหมดเรี่ยวแรงกำลังใจ
วรินทร์ ยังคงนั่งจมอยู่ที่โต๊ะกินข้าวที่เปลี่ยนจากโต๊ะไม้สักพร้อมเก้าอี้ครบชุดราคาเกือบหมื่นมาเป็นโต๊ะเหล็กพับได้กับเก้าอี้พลาสติกราคาไม่กี่ร้อยบนโต๊ะมีขวดเหล้าขาวราคาถูกกับจานกับแกล้มจากร้านข้าวแกงริมถนนที่ในอดีตเขาเคยติว่าสกปรกมีแต่คนชั้นต่ำเท่านั่นที่จะกินได้
ชายหนุ่มหัวเราะให้กับความโง่เขลาเบาปัญญาในอดีต
เขาเคยคิดว่าตัวเองฉลาดแต่ความจริงแล้วโง่บรม มารู้เอาตอนยากจนนี่แหละว่าทุกอย่างไม่ว่าจะราคาไม่กี่สิบบาทหรือแพงเป็นแสนเป็นล้านมันก็ล้วนแต่มาจากดินทั้งนั้น
สุดท้ายทุกชีวิตก็กลับคืนสู่ดิน เหลือเพียงความว่างเปล่า
สิ่งที่สำคัญกับมนุษย์รองจากอากาศที่ใช้หายใจก็คือเรื่องกินนี่แหละ จะยากดีมีจนยังไงก็ต้องกิน กินเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดจะกินถูกกินแพงกินวิเศษเลอเลิศยังไงก็ได้แค่อิ่มท้อง หิวอีกก็กินใหม่ อิ่มแล้วหิว หิวแล้วอิ่ม วนเวียนอยู่อย่างนี้เหมือนอยู่ในวังวนไม่มีจบสิ้น ตายเสียเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละถึงหยุดกิน หยุดหิว หยุดดิ้นรน หยุดค้นหาเอามาบำเรอตน
ตายหรือ!ความตายน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่กำลังจนตรอกหมดทางไปอย่างเขา
วรินทร์ นั่งกระดกเหล้าลงคอราวกับดื่มน้ำ ฤทธิ์ของแอลกอฮอร์ที่ปั่นระบบประสาททำให้เขาตัดสินใจทำตามความคิดชั่ววูบ นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนกระดกเหล้าแก้วสุดท้ายเข้าปาก แล้วตัดสินใจเดินโซเซออกจากบ้านหลังนั้นไป
บ้านที่เขาพยายามทุกอย่างเพื่อจะได้มันมาใช้เป็นรังรัก วรินทร์ คิดๆแล้วก็นึกรันทดหดหู่น้อยใจกับโชคชะตาชีวิตของตัวเอง ทั้งที่เขาพยายามขยันขันแข็งทำงาน หาลู่ทางรวยของตัวเองให้มากที่สุดแล้ว แต่อะไรๆกลับไม่เป็นอย่างที่คิด แบบนี้มันเรียกว่าโชคร้ายชัดๆ และชีวิตของเขาก็มีแต่โชคร้ายมาตั้งแต่จำความได้
ชีวิตของเขาก็ไม่เคยโชคดีหรือทำอะไรราบลื่นอะไรเลยสักครั้ง
ต้องมีอุปสรรค โชคร้ายมาขัดขวางประจำ จนไปไม่ถึงจุดหมายสักที
ปฐมบทความโชคร้ายของเขามีจุดเริ่มต้นตั้งแต่จำความได้
แรกเริ่มพ่อของเขาเป็นหัวหน้าวิศวกรคุมโครงการรัฐใหญ่ๆมีรายได้ดี เลี้ยงครอบครัวได้สบาย แต่พอเขาเติบโตเข้าเรียนประถม 1 หรือป.1 ได้ไม่กี่วันพ่อของเขาก็ประสบอุบัติเหตุตกตึกตายระหว่างการทำงานเสียก่อน ชีวิตสุขสบายวัยประถมของเขาจบลงเพียงเท่านั้น หลังจากขาดพ่ออันเป็นเสาหลักของครอบครัวไป เขาก็ต้องช่วยแม่ทำงานหาเงินมาจุนเจือชีวิตตัวเป็นเกลียว ต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองและผ่อนค่าบ้าน ค่ารถ ที่พ่อซื้อทิ้งไว้
ทั้งวรินทร์ และแม่ทำงานกันอย่างหนัก เก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี สุดท้ายบ้านและรถก็ถูกยึดไป เขาจึงต้องไปอาศัยห้องเช่าราคาถูกๆ จนกระทั่งจบมัธยมปลาย โชคดีขึ้นมาหน่อยเมื่อสอบคณะรัฐศาสตร์มหาลัยดังติด และบากบั่นร่ำเรียนจนจบจนได้รับปริญญาอยู่แล้ว แต่แม่ที่ตรากตรําทำงานหนักส่งเสียเขาก็มาจากไปเสียก่อนได้ทันเห็นลูกรับปริญญา แต่ยังดีที่เพื่อนสาวที่คบหาดูใจอยู่อย่าง 'จุ๊บแจง'คอยอยู่เคียงข้างเป็นความหวังและกำลังใจ และเขาก็ถือว่าเธอคือสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต และเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเสียไป
หลังจากเรียนจบเขาก็ไปสมัครงาน แต่อะไรดูเหมือนไม่เป็นใจนักเมื่อเขาไม่ได้งานสักที่ สุดท้ายจึงจำใจทำงานให้กับบริษัทขายประกัน เป็นพนักงานกินเงินเดือนไป แต่ระหว่างนั้นเขาก็ไม่ย่อท้อ พยายามสมัครงานไปเรื่อยๆ แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นใจ สุดท้ายจุ๊บแจงทนความลำบากไม่ไหว และเริ่มเปลี่ยนไปโดยแอบคบหากับชายใหม่ ที่เธอคิดว่าจะดูแลเธอได้ดีกว่าแต่ก็พยายามปกปิดไม่ให้เขารู้ แม้จะระแคะระคายบ้าง แต่วรินทร์ก็มั่นใจว่าความรักความจริงใจของเขา มันมีค่ามากพอจะรั้งใจของเธอไว้
เมื่อเขาระแคะระคายการมีคนใหม่ของจุ๊บแจง ทำให้เขาเกิดความมานะพยายามทำงานให้หนัก เพื่อแสดงให้เธอเห็นว่าพนักงานอย่างเขาก็มีดีพอจะดูแลเธอได้ แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเขาเหมือนเคย พอเริ่มผ่อนรถมือสองได้กว่าครึ่งทางมันก็ดันถูกยึดและถูกดำเนินคดีเมื่อรถคันนั้นกลายเป็นรถที่ขโมยมา เท่านั้นยังไม่พอ บ้านหลังใหญ่ที่พยายามชื้อเพื่อให้คนรักกับตนได้อยู่ร่วมกันดันมาเจอช่วงขาดสภาพคล่องไม่ได้ผ่อนหลายงวดจนถูกขึ้นบัญชีขายทอดตลาด
หลังจากนั้นชีวิตของเขาก็แย่ถึงขีดสุด เมื่อถูกไล่ออกจากงาน เขาหาทางออกด้วยการเดินโพยรับแทงบอล และยังแทงเองด้วย และโชคร้ายยังตามราวีเขาราวจะไม่สิ้นสุดเมื่อทุกอย่างไม่เป็นใจอีก บอลหลายๆคู่ที่น่าชนะกลับพลิกล็อคแพ้หมดทำให้เขาติดหนี้โต๊ะพนันจนถูกบังคับให้ขายยาบ้ามาใช้หนี้
ซึ่งโชคร้ายยังตามมาหลอกหลอนเขาอีก เพราะเป็นยาบ้าเสื่อมความนิยมวัยรุ่นหันไปเสพไอซ์แทนทำให้เขาขายได้ไม่ตามเป้าที่ต้องการ จึงถูกเฮียโต๊ะบอลส่งคนไล่ตามกระทืบต้องหนีเอาชีวิตรอดหัวซุกหัวซุนจนมีสภาพอนาถอย่างที่เป็น และอีกไม่ช้าก็คงจะมีรถตู้มาลากเขาไปเพื่อซ้อมและรีดเอาเงินจากเขา แม้จะไม่มีให้พวกมันก็ไม่สนใจ และจะหาวิธีบีบบังคับให้เขาหามาจนได้ อาจจะเอาเขาไปขายตัวให้เศรษฐีเงินถุงเงินถังที่มีรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกัน
แค่นั้นมันยังโชคร้ายไม่พอ...คนรักก็มาจากลาอย่างไม่มีเยื่อใย แถมยังให้ชายคนใหม่มารรับต่อหน้าราวจะตอกย้ำให้จำใส่กะโหลกว่าไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก
โลกหนอโลก...ทำไมช่างโหดร้ายกับเขาเหลือเกิน
หรือว่า....โลกไม่ได้ต้องการเขา
หรือว่า...โลกไม่อยากให้คนอย่างเขามีชีวิตอยู่อีกแล้ว
จึงบรรจงส่งความโชคร้ายมาให้กับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
เหมือนอยากจะกลั่นแกล้งและคอยซ้ำเติมให้หมดกำลังใจจะมีชีวิตอยู่
"นังผู้หญิงสารเลว นังวันทองโมรากากีหญิงชั่ว ตะก่อนบอกรักอย่างนั้นอย่างนี้ จะอยู่กันจนแก่เฒ่า ลำบากแค่ไหนก็จะไม่ทิ้งกัน สุดท้ายพอมีทางที่ดีกว่า แม่งก็ไปกับชายคนใหม่ไม่หันกลับมามอง!" วรินทร์กัดฟันกรอดๆเมื่อรำลึกถึงความโหดร้ายของชีวิตที่ได้เผชิญมา "ทำไมวะ!? ทำไมชีวิตของเราถึงต้องเจอกับคำว่าสูญเสีย เสียไปหมดทุกอย่าง เสียชื่อเสียงเสียเงินทองข้าวของเสียแม้กระทั่งเมีย เสียกระทั่งเมียอย่างนี้!?" ชายหนุ่มหัวเราะเยาะตัวเอง "ตอนนี้มันไม่ใช่เมียเราแล้วมันเป็นเมียใครที่ไหนก็ไม่รู้ ผู้หญิงที่ไหนวะมันจะโง่ทนอยู่กับคนที่มีแต่ตัวอย่างเอ็งไอ้รินทร์ ไอ้แห้ง ไอ้คนเฮงซวย ไอ้คนขี้แพ้ ไอ้คนที่ชีวิตมีแต่เรื่องโชคร้าย ฮือ ๆ ๆ ๆ ....."
ด้วยความคับแค้นแน่นใจ วรินทร์ยังคงก่นด่าโชคชะตาไม่หยุดปาก "ฟ้าคงสะใจแล้วใช่มั๊ย!?" ชายหนุ่มเงยหน้าตะโกนก้องเสียงดังหวังให้คนข้างบนที่เขาคิดว่ามีได้ยิน "คงพอใจที่ได้เห็นชีวิตของกูระยำบัดซบขนาดนี้ กูก่อทำกรรมอะไรไว้ ถึงทำกันขนาดนี้วะ!?"
วรินทร์เดินเซไปเซมาศีรษะก็เอียงซ้ายเอียงขวาเพราะบังคับร่างกายไม่ได้ และยังก้าวเดินหน้าถอยหลังไปตามซอย ส่วนปากก็บ่นพึมพำตะโกนด่าทอไปเรื่อยเปื่อยเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้สลับไปมาดูคล้ายคนบ้ามากกว่าคนเมา ใครที่เดินผ่านไปธุระหรือจูงมือเด็กๆสวนมาก็พากันหลบหลีกอย่างหวาดกลัวและรังเกียจ
อีกอึดใจต่อมาวรินทร์ ก็เดินอยู่บนทางม้าลายของถนนสายหลัก ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตรันทด โชคร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าที่ตอกย้ำเขาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งอายุปูนนี้ทำให้เขาตัดสินใจว่าจะจบชีวิตเส็งเคร็งของตนลงสักที ชายหนุ่มหยุดเดินและรอให้ไฟสัญญาณสีเขียวหมดลง ปรารถนาความโชคดีไม่เคยได้สักครั้งลองทำอะไรที่ตรงข้ามประชดมันซะเลย
"ดูซิ... ถ้ากูอยากมีโชคร้ายถูกรถชนตายมั่ง กูจะสมปรารถนาไหม!?" วรินทร์รำพึงกับตนเอง "หวังว่ากูคงจะไม่ผิดหวังอีกนะ จะได้ตายๆไปให้มันหมดเวรหมดกรรมสักที!"
ณ เวลานั้นรถบรรทุกพ่วงของคันหนึ่งกำลังวิ่งตรงมา เพราะถนนที่โล่งเป็นพิเศษจึงทำให้คนขับคึกคะนอง ขับด้วยความเร็วสูง รถแล่นมาจนใกล้ทางม้าลายเส้นหนึ่ง แต่ก็ต้องเหยียบเบรกกะทันหันเมื่อเห็นสิ่งหนึ่งหยุดอยู่ตรงหน้า ผู้ชายคนหนึ่ง คิดจะทำอะไรกัน ฆ่าตัวตายอย่างนั้นหรือ คนขับตาเหลือกสบถคำหยาบพยายามเหยียบเบรกอย่างสุดความสามารถแต่ดูเหมือนว่ามันอาจจะช้าเกินไปที่จะหยุดความเร็วของรถไว้ได้...
ชายหนุ่มยืนรอความตายอยู่ตรงนั้นอย่างไม่หวาดหวั่น
" เอาสิ โชคร้ายมาทั้งชีวิตแล้ว จะไม่ขอโชคร้ายอีกต่อไป กูจะต้องสมหวังบ้าง!"
เสียงเบรกกะทันหันจนล้อรถบดถนนดังบาดแก้วหู พร้อมๆเสียงแตรดังสนั่น
เอี้ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ปรี้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
แสงไฟหน้ารถส่องสว่างวาบจนเขาต้องหลับตาปี๋ แต่จิตใจของเขาสงบนิ่งพร้อมรับความตายอย่างเต็มที่
โครมมมมมมมมมมมมมมมม
'เฮ้ย! คนบ้าถูกรถบรรทุกชน!'ทันทีเมื่อร่างถูกกระแทกอย่างแรง วรินทร์รู้สึกว่าร่างถูกผลักอย่างแรงจนลอยคว้างไปกลางอากาศสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น และเหมือนสติสัมปชัญญะหลุดลอยออกจากร่าง ความรู้สึกทุกอย่าดับวูบไปในเวลานั้นทันที
วรินทร์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเป็นพิเศษ
เขาไม่เจ็บปวด ไม่รู้สึกร้อนทุกข์ รู้สึกสบายทั้งกายและใจ
ความรู้สึกแบบนี้มันดีจริงๆ เป็นความรู้สึกที่อยากพานพบมาเนิ่นนาน
ชายหนุ่มยันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเขาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย สถานที่ที่ปกคลุมด้วยหมอกควัน และขาวโพลนไปรอบด้าน ดูไม่ออกเลยว่าตรงไหนเป็นจุดสิ้นสุด หรืออาจจะไม่มีจุดสิ้นสุดกฌตาม มันคืออะไร เขาตายแล้วหรือยัง หรือแค่ฝันไป แล้วที่นี่ที่ไหน สวรรค์ นรก โลกมนุษย์ ทว่าขณะที่กำลังรู้สึกสับสนอยู่นั้น ก็มีแสงสีเหลืองนวลสว่างวาบขึ้นมา สว่างมากและค่อยหรี่ลงจนอยู่ในระดับที่มองเห็นได้ วรินทร์นึกสงสัยว่ามันคืออะไร จึงเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นเป็นแสงสีเหลืองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสิบเมตร ส่องทะลุลงมาจากเพดานขาวโพลนนั้น
ชายหนุ่มต้องรีบถอยร่นออกมาอย่างไม่ไว้วางใจเมื่อแสงนั้นมีเสียงทักทายเขาอย่างคุ้นเคย
"สวัสดี...วรินทร์!" เหมือนแสงจะรับรู้ความเป็นไป จึงบอกต่อว่า "ไม่ต้องกลัว เราไม่ทำอะไรเจ้าหรอก..."
วรินทร์ ลังเล แต่ก็ตัดสินใจถามไป "คุณเป็นใคร อยู่ตรงไหน ละ แล้ว คะ..คุณรู้จักชื่อผมได้อย่างไร..?"
ชายหนุ่มรู้สึกว่าแสงขยับราวจะยิ้มให้ ก่อนเขาจะได้รับคำตอบสั้นๆว่า "เรารู้จักมนุษย์บนโลกทุกคน"
"หมายความว่า..." วรินทร์ขมวดคิ้วหยุดคิดครู่หนึ่ง "คุณคือพระเจ้าใช่มั๊ย!?" จากนั้นเขาก็หันซ้าย-ชวามองไปรอบๆตัว " แสดงว่าผมตายแล้ว ง่า...ที่นี่...ที่ไหน นรก สวรรค์ ผมตายสมใจแล้วใช่มั๊ยครับ?"
ก้อนมวลแสงขยับราวจะยิ้มด้วยความขบขันปนเอ็นดูชายหนุ่มอีกครั้ง พร้อมกับมีเสียงตอบมา "แล้วเจ้าจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้หรือไม่ เจ้าพยายามจะฆ่าตัวตาย แต่ก็..."
วรินทร์ขมวดคิ้วจนแทบเป็นปมเมื่อเสียงนั้นหยุดลง เขาก้มมองสำรวจตัวเองพบว่ายังใส่ชุดซอมซอสกปรกเหมือนเดิม ลูบหน้าตาตนเองพบว่าหนวดเครา เส้นผมยังรกรุงรังเช่นเดิม สภาพไม่ต่างจากตอนเดินไปให้รถชนเพื่อฆ่าตัวตาย เมื่อเห็นว่าสภาพตนไม่ต่างจากเดิมก็แสดงว่า...เขาล้มเหลวอีกครั้ง แต่จริงๆแล้วเขาเองก็ไม่ได้คิดที่จะฆ่าตัวตาย แค่อยากทดสอบว่าชีวิตของเขาจะโชคร้ายได้อีกไหม แต่ถ้าเกิดตอนนั้นตายไปจริงๆ เขาก็ไม่กลัวเลยสักนิด
"เอ่อ...ตกลงผมตายหรือยังครับ!?""จะว่าเจ้าตายแล้วก็ใช่..." วรินทร์จ้องมองมวลแสง รู้สึกถึงรอยยิ้มเอ็นดูพร้อมเสียงพูดดังขึ้นมาอีก "แต่จริงๆแล้วเจ้ายังไม่ตายหรอก แค่จิตของเจ้าหลุดออกมาจากร่างตอนถูกรถชน และล่องลอยมายนังที่นี่เท่านั้น แล้วที่เจ้าถามว่าข้าคือพระเจ้าหรือเปล่า? ข้าไม่ใช่พระเจ้าหรอก ข้าเป็นผู้ดูแลจิตของมนุษย์บนโลกนี้ และที่นี่ไม่ใช่สวรรค์ นรก หรือภพภูมิใดหรอก แต่มันคือห้วงภวังค์ของเจ้า ห้วงภวังค์นี้จะเป็นที่พักจิต ก่อนตัดสินใจได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ เจ้าจะตายแล้วไปสวรรค์ นรก หรือกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง"
คำอธิบายช่วยคลายข้อสงสัยทั้งหลาย แต่มันก็ให้วรินทร์อดสงสัยอีกไม่ได้ "หมายความว่าผมยังไม่ตาย ง่า..ชีวิตของผมนี่มันโชคร้ายจริงๆ ขนาดจะฆ่าตัวตายยังไม่สำเร็จ" เขาบ่นออกมาอย่างผิดหวังและทรุดลงนั่งตรงหน้ากลุ่มมวลแสงอย่างเหนื่อยหน่าย " ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนั้นอีกแล้ว ชีวิตรันทดแบบนั้นผมไม่ต้องการมันแล้ว ผมอยากได้ชีวิตที่ดีกว่านี้ ผมอยากร่ำรวย ผมอยากมีชื่อเสียง ผมอยากอยู่อย่างสุขสบาย ผู้คนยกย่องสรรเสริญ เป็นคนสำคัญที่ใครๆก็อยากพึ่งพาขอความช่วยเหลือ เป็นที่จดจำเป็นตำนาน ไม่ใช่คนไร้ค่าอย่างนี้"
มวลแสงเงียบฟังชายหนุ่มพล่ามขึ้นมาแล้วขยับยิ้มอย่างขบขันอีกครั้งหน้า คำขอของเขาไม่ได้ต่างอะไรไปจากทุกคนที่เคยขอมาเลย "เจ้าต้องการแบบนั้นจริงหรือ เจ้าไม่ต้องการกลับไปยังโลกที่เจ้าอยู่อีกแล้วหรือ?"
"ใครจะอยากกลับไปโลกเน่าๆใบนั้นอีก" ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเล "โลกที่มีแต่ความผิดหวัง โลกที่พบเจอแต่ความสูญเสีย อยู่ไปวันๆอย่างไม่มีจุดหมายอะไร ในเมืองก็มีแต่ตึกสูงใหญ่ แม้ว่าผมจะเกิดและเติบโตในเมืองนั้น แต่ผมไม่เคยมีความหมาย ไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร ผมรู้สึกตัวเองค่อยๆ เล็กลงไปทุกที ผมเป็นเพียงคนตัวเล็กๆที่ชีวิตซึ่งถูกกลืนหายไปในความเป็นเมือง ใช้ชีวิตไปวันๆอย่างไม่มีแก่นสาร พร้อมจะถูกเอาเปรียบและถูกทอดทิ้งเมื่อหมดประโยชน์"
ชายหนุ่มพูดไปแล้วส่ายหน้า นัยน์ตาแห้งแล้งสิ้นหวังไม่อยากจะกลับไปเจอสภาพเดิมๆ
"ข้าขอแนะนำว่า ...เจ้าควรจะกลับไปยังโลกของตนเอง กลับไปใช้ชีวิตให้คุ้มค่าให้เป็นประโยชน์กับตัวเองและคนอื่นเถอะ อย่าได้เอาวิญญาณตัวเองมากักขังไว้ในที่นี่เลย มันมีแต่ความทุกข์ทรมาน ไม่ได้มีความสุขหรือพ้นทุกข์อย่างที่เจ้าหวังไว้หรอก รู้เอาไว้เถอะว่าคนที่ฆ่าตัวตายคือคนโง่ จะไปเกิดใหม่ก็ไม่ได้ พอได้เกิดก็ต้องฆ่าตัวตายถึงห้าร้อยชาติชดใช้กรรมตามหลักศาสนาของเจ้าที่นับถือ มันทรมานซะยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด กลับไปซะ กลับไป....."
"ผมไม่กลับ!!!" วรินทร์ลุกขึ้นตะโกนตอบโต้เสียงจากมวลแสงตรงหน้า นัยน์ตากร้าวแสดงถึงความตั้งใจที่ไม่มีวันเปลี่ยน "ถ้าจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลผมก็จะอยู่ และไม่คิดจะเกิดใหม่อีกแล้ว หรือถ้าได้เกิดใหม่ก็ขอไปเกิดที่โลกอื่น ไปเกิดในโลกที่ผมมีความหมาย มีความสำคัญ เป็นผู้กล้าหาญ ไม่มีโชคร้ายอย่างโลกใบที่ผมจากมา!"
"...?!..." เสียงจากแสงหยุดไปพักใหญ่ มีเพียงเสียงหอบหายใจถี่ๆเพราะกลั้นโทสะและความน้อยเนื้อต่ำใจของวรินทร์ดังขึ้นเท่านั้น
"หากสิ่งที่เจ้าพูดมา เป็นความต้องการแท้จริงของเจ้า ข้าก็พอจะช่วยเหลือได้..."
วรินทร์ขมวดคิ้วจ้องมองมวลแสงเบื้องหน้าอย่างฉงน
"ก็คุณบอกว่าไม่ใช่พระเจ้า เป็นแค่ผู้ดูแลดวงจิต แล้วจะทำยังงั้นได้ยังไงละครับ?"
"ข้าสามารถส่งเจ้าไปเกิดใหม่ได้" เสียงตอบจากมวลแสงดังมาอย่างมั่นใจ "ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ทางเลือก มีสิทธิ์ทุกอย่างในห้วงภวังค์ของทุกคน แค่มีคนขอ ข้าก็สามารถบันดาลให้ได้ แต่เข้าแค่อยากเตือนเจ้าไว้เสียหน่อย จากประสบการณ์ของดวงจิตทุกดวงที่ข้ารับหน้าที่ดูแลนั้น ดวงจิตที่ขอพรเช่นนี้ ไม่มีใครมีความสุขได้จริงๆสักคนหรอก ถึงแม้จะหนีปัญหาจากอีกโลกไปก็ตาม แต่ก็จะเจอปัญหาอีกโลกมาแทน อาจจะหนักหนาสาหัสกว่าที่เจอในโลกเก่าเสียอีก ถึงตอนนั้นจะกลับตัวก็ไม่ได้ มีแต่ต้องไปต่อให้ถึง เจ้าเลือกหนทางเช่นนี้แล้วจะเปลี่ยนใจไม่ได้อีกแล้วนะ เจ้าควรคิดไตร่ตรองก่อนให้ดี"
"อะไรนะ? คุณทำได้จริงๆหรอ?" ชายหนุ่มฟังแล้วไม่อยากเชื่อหูตัวเอง และไม่สนใจคำเตือนใดๆ เพราะเขากำลังคิดว่าถ้ามีชีวิตอีกครั้งในโลกใบใหม่ มันน่าจะดีกว่ากลับไปโลกเน่าๆใบเดิมของเขา มีเรื่องใหม่ๆให้พบเจอ มีสิ่งท้าทายใหม่ๆให้ได้เผชิญ
"ข้าบอกแล้วว่า...ข้าทำได้ทุกอย่าง..." เสียงจากมวลแสงตอบยืนยันมา "แต่เจ้าฟังเงื่อนไขของข้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ว่าเมื่อเจ้าเลือกแล้ว เจ้าจะเปลี่ยนใจไม่ได้อีก"
"ผมยินดีรับทุกเงื่อนไข" ชายหนุ่มตอบห้วนๆอย่างมั่นคง "แล้วจะส่งผมไปเกิดใหม่ที่ไหนครับ"
"มันก็ไม่เชิงเกิดใหม่หรอกนะ แต่ลักษณะการเกิดของเจ้าจะเป็นแบบโอปปาติกะ คือเกิดขึ้นฉับพรัน เป็นตัวตนทันที ข้าจะส่งเจ้าไปเกิดที่มัชฌิมภพ โลกแห่งจินตนาการของมนุษย์ สถานที่เต็มไปด้วยกฤติยามนตร์ มนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ อ็อค โทรลล์ กอปลิน มังกรและสัตว์พิสดารจากเทพนิยายอาศัยอยู่ร่วมกัน มันคงจะเหมาะสมกับคนชอบเพ้อฝันอย่างเจ้าดี เอาละ...เจ้าจงหลับตาลง ทำจิตใจให้สงบ ข้าจะส่งเจ้าไป ณ บัดนี้..."
"ว้าว! ฟังดูแล้วน่าสนใจ ไปเกิดในดินแดนเทพนิยาย ชีวิตคงจะมีความสุขเห็นแต่สิ่งสวยๆงามๆมหัศจรรย์ ไม่แน่เราอาจะไปเกิดเป็นอัศวินหรือจอมเวทย์ ท่าทางคงจะดีกว่าไอ้ชื่อบื้อวรินทร์ในโลกใบเดิม" ชายหนุ่มได้ฟังจุดหมายก็แสนจะตื่นเต้นดีใจ ได้ไปเกิดใหม่ในโลกใบใหม่ ไม่ใช่ชีวิตเดิมๆเขาก็ไม่สนอะไรแล้ว
"เตรียมตัวนะ!!!" เสียงจากมวลแสงดังขึ้น วรินทร์ทำสมาธิหลับตาทันที
แว้บบบบบบ.....
แสงเหลืองนวลสว่างวาบอาบร่างชายหนุ่ม ความอบอุ่นอ่อนโยนทำให้เขารู้สึกดีเป็นพิเศษ และความรู้สึกของเขาราวกำลังถูกกระแสลมเย็นสบายนุ่มนวลหอบพาผ่านความเวิ้งว้างมายังเบื้องล่าง จนกระทั่งรู้สึกว่าอยู่ๆ ร่างของเขาก็ลอยคว้างและหล่นตุ๊บลงสัมผัสพื้นแข็งๆและกลิ้งไปตามพื้นอีกหลายตลบ เกิดอาการมึนงงเจ็บปวดขึ้นหลายแห่ง กระทั่งเขาสามารถลืมตาขึ้นมาได้ก็เห็นแต่ความมืดบนท้องฟ้าสีแดงฉาน พื้นดินแห้งแล้งเต็มไปด้วยรอยแยกแตกระแหง
ชายหนุ่มสปริงตัวลุกขึ้น รู้สึกเจ็บก้นระบมไปทั้งตัวและมึนหัวนิดหน่อย
"ทำไมมันต่างจากคิดเอาไว้วะ ไม่เห็นป่าเขียวขจีมีนกบินกาบินเริงร่าบนท้องฟ้า มีลำธารใสๆไหลเย็น หมู่ปลาแหวกว่ายไปมา และมีสัตว์ป่ายกฝูงออกมาเดินหากินตามประสากัน?"
ชายหนุ่มที่เพิ่งมาเกิดในโลกใหม่ทำสีหน้าผิดหวังเมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ก้มมองสำรวจดูสารรูปของตัวเองก็พบว่ายังมีรูปร่างหน้าเช่นเดิมไม่ได้เปลี่ยนเป็นผู้กล้ารูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลามีกล้ามเป็นมัดๆสวมเกราะอลังการแต่อย่างใด ยังคงสวมเสื้อยืดสีมอมๆ กางเกงยีนต์เก่าๆ รองเท้าแตะหูคีบตราช้างดาว โดนรวมสภาพก็ยังคงเป็นไอ้แห้งขี้ก้างวรินทร์คนเดิม เพิ่มเติมมาคือหลงอยู่ในโลกที่คล้ายดินแดนสนธยา
"หรือว่า...เราคิดผิดที่ตัดสินใจขอมาที่นี่..." วรินทร์พึมพำกับตัวเอง "โชคร้ายของเรามันจะไม่สิ้นสุดเลยหรือไงฟร่ะ?!" เขาอดจะรำพันกับตนเองไม่ได้ "แล้วจะเอายังไงดีละเนี่ย กลับตัวก็ไม่ได้ ไปต่อก็ไม่รู้จะไปไหน?"
คลื่นนนนนนนน.....
เสียงคำรามของท้องฟ้าเบื้องบนทำเอาวรินทร์ชะงักแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าแดงฉาน เขาได้เห็นกลุ่มเมฆฝนที่แผ่ขยายอาณาเขตกินเนื้อที่บนผืนฟ้าออกไปเรื่อยๆ เขาคาดว่ามันคงก่อตัวเป็นพายุใหญ่ในไม่ช้านี้ ในบรรยากาศหน้าร้อนและแล้งจัดอย่างนี้คงหนีไม่พ้นพายุฤดูร้อนที่มีทั้งฝนตกหนักและลมกรรโชกแรง บางทีอาจมีลูกเห็บเม็ดโตๆ ขนาดน้องๆ ลูกเทนนิส ที่ทำความเสียหายให้กับหลังคาบ้านเรือนและพืชผลทางการเกษตร หล่นใส่หัวเด็กๆก็คงจะแตก หรือถ้าหล่นใส่หัวผู้ใหญ่อย่างเขาก็ไม่มีเหลือเช่นกัน
"ฝนบ้าอะไรวะ นึกจะตกก็ตกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย" วรินทร์บ่นกับตัวเอง
ครืนนนนนนน.........
เสียงฟ้าคำรามครืนๆ ย้ำมาทำให้ชายหนุ่มเริ่มมองหาที่ปลอดภัยที่พอจะเข้าไปหลบและรอจนกว่าพายุสงบจึงจะอคิดออกเดินทางไปไหนต่อในดินแดนนิรนามแห่งนี้ และรอบๆตัวในดินแดนที่เขายืนอยู่ดูมันช่างทุรกันดารมีสภาพแห้งแล้งจนไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ในใจก็นึกแช่งชักหักกระดูกเจ้ามวลแสงที่ส่งเขามายังที่นี่ มาอยู่ยังอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่ไร้-ร้างผู้คนและสรรพสัตว์ทุกชนิดเพราะตั้งแต่ถูกส่งลงมา เดินไปเกือบครึ่งกิโลฯ เขายังไม่เห็นบ้านช่องผู้คนสักหลัง ไม่มีแม้กระทั่งศาลาริมทางให้หลบแดดฝน รอบด้านเป็นทุ่งนาร้างกว้างสุดลูกหูลูกตาจนดูเวิ้งว้างวังเวง
แต่แล้วในขณะที่กำลังปลงว่าอาจจะต้องเดินตากฝนก็เหมือนโชคจะเข้าข้างเขาบ้างเล็กน้อย
ชายหนุ่มเห็นต้นไม้ใหญ่โผล่ขึ้นข้างหน้า แต่ต้นไม่สูงส่วนลำต้นนั้นใหญ่ขนาดสองคนโอบและยังแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปโดยรอบกินบริเวณกว้างพอคุ้มฝนได้ วรินทร์รีบวิ่งเหยาะๆฝ่าลมฝนที่พัดฝุ่นผงปลิวคุ้งไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้ แม้ว่ากระแสลมราวกับพายุจะพัดจนต้นไม้ใหญ่เอนลู่จนน่าเสียวไส้ว่าจะมีกิ่งใหญ่หักลงมาทับร่างของเขา แต่มันก็ยังดีกว่าเดินบนที่โล่งเสี่ยงให้ฟ้าผ่ากบาล
เปรี้ยงงงงงงงงงง............
ซู่ซซซซซซซซซซซ............
เสียงฟ้าฟาดเปรี้ยงตามด้วยฝนเม็ดใหญ่ที่เทซู่ลงมาราวกับฟ้ารั่วทำให้ทุกสิ่งที่อยู่นอกรถดูพร่าเลือนในชั่วพริบตา อากาศที่เย็นลงอย่างรวดเร็วทำให้คนหลบฝนใต้ต้นไม้รู้สึกง่วง หนังตาเริ่มหนักและหรี่ปิดลงเรื่อยๆ จนปิดสนิทในที่สุด ชายหนุ่มรู้สึกตัวตื่นเมื่อฝนซาเม็ด มองไปรอบๆกายก็ยังเจอแต่ความมืดเหมือนเดิม
มีแอ่งน้ำขังตรงหน้า ด้วยความกระหายน้ำวรินทร์เดินไปวักขึ้นมาดื่มและล้างหน้าเรียกความสดชื่น แม้ว่าน้ำจะมีสีขุ่นโคลนแต่ก็จำใจต้องใช้
ฝนที่ตกลงมามากทำให้ผืนดินที่แข็งแตกระแหงอ่อนตัวเป็นดินโคลน ชายหนุ่มออกย่ำเดินไปในสภาพดินโคลนลึกถึงครึ่งแข้ง สร้างความลำบากในการเดินแต่ละก้าวเป็นอย่างมาก แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากอดทนย่ำโคลนเดินมุ่งหน้าไปอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ บางทีก็ลื่นหงายท้องหรือหน้าคะมำ ส่วนรองเท้าแตะถูกถอดมาถือไว้เพราะติดดินโคลนทำให้เดินลำบาก เดินเท้าเปล่าทุลักทุเลไม่นานสภาพของวรินทร์ก็เลอะโคลนไปทั้งตัว จนกระทั่งเขาเดินมาเจอคันดินมีลักษณะเป็นถนน เขากัดฟันเดินลุยโคลนขึ้นไปยืนบนไหล่ถนน และเห็นรอยล้อรถสัญจรไปมา ความหวังเล็กๆผุดขึ้นในใจ เขาทรุดลงนั่งอย่างอ่อนล้าและหวังขอความช่วยเหลือจากยวดยายสัญจรอะไรก็ได้ที่จะแล่นผ่านมา
ยืนรอ นั่งรอ นอนรอ รออยู่ร่วมๆชั่วโมงก็ไม่เห็นมีรถสัญจรผ่านมาสักคัน บรรยากาศฟ้าคลึ้มๆไร้แสงเดือนแสงดาวทำให้ไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยาม ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่ความมืดตื๋อไม่มีไฟจากบ้านช่องผู้คนให้เห็นสักหลัง
"สงสัยจะเอาชีวิตใหม่มาทิ้งที่โลกนี้ในอีกไม่กี่อึดใจแน่ๆ หนีเสือปะจระเข้ชัดๆ"
ชายหนุ่มบ่นพึมพำ มือก็ตบยุงที่แห่กันมากัดกินเลือด
"ยุงชุมฉิบ... ลุยโคลนไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า"
ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นยืนและทำท่าจะเดินต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง
กริ้งๆๆๆ
วรินทร์ขมวดคิ้วเพ่งมองไปตามต้นเสียงที่ดังเป็นจังหวะใกล้เข้ามาเรื่อย เขาเห็นดวงไฟสว่างเรืองๆ ปรากฏขึ้นและเคลื่อนใกล้เข้ามาพร้อมเสียงนั้น เขาพยายามหรี่ตาเพ่งมองฝ่าความมืดไปจนกระทั่งเห็นเป็นวัวเทียมเกวียนแบบยุโรปยุคกลางกำลังมุ่งหน้าตรงมาที่เขายืนอยู่
เสียงที่ดังกริ้งๆ นั่นคือกระดิ่งผูกคอวัวที่แกว่งให้เสียงเป็นจังหวะตามการก้าวย่างของมัน ส่วนดวงไฟนั้นก็คือตะเกียงเจ้าพายุที่วางอยู่ข้างตัวชายสูงวัยที่ถือสายบังเหียนบังคับวัว วัวเทียมเกวียนเคลื่อนผ่านหน้าวรินทร์ไปโดยเจ้าของเกวียนไม่สนใจจะหยุดแวะถามไถ่หรือชายตามองดูด้วยซ้ำ ทำราวกับเขาไม่มีตัวตน
วรินทร์จึงต้องรีบวิ่งขึ้นไปดักหน้ากางแขนขวางเอาไว้
"หยุดก่อนครับ หยุดก่อนๆๆ อย่าเพิ่งไปครับ"
วัวถูกดึงบังเหียนบังคับให้หยุด คนที่นั่งอยู่บนเกวียนชูตะเกียงขึ้นสูง
"มีอะไรกันพ่อหนุ่ม พรวดพลาดมาขวางทาง เดี๋ยวก็ถูกวัวเหยียบตายเอาหรอก"
"ผะ..ผมหลงทางมา เอ่อ...ไม่ทราบว่าที่นี่ที่ไหน ลุงพอจะช่วยบอกทางผมไปหมู่บ้านใกล้ๆหน่อยจะได้มั๊ยครับ"
"อ้าว? หลงทางมาหรอกเร้อะ แล้วไปทำอะไรมาสภาพยังกะไปนอนคลุกขี้โคลนยังงั้น" ชายแก่ร่างผอมในชุดชาวนาแบบยุโรป สวมยีนส์มีเอี้ยมขายาวเก่าๆทับด้วยบู้ทยาง บนศีรษะมีหมวกฝางปิดใบหน้าครึ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย
" ผมเดินทางมาหาญาติ แต่ว่าตกรถและเดินวนไปวนมาก็หลงมาโผล่แถวนี้ หาบ้านคนช่วยเหลือไม่มีเลย เดินมาตั้งแต่ฝนยังไม่ตกจนหยุดก็เพิ่งจะเจอลุงขับเกวียนผ่านมานี่แหล่ะครับ" วรินทร์บอกเรื่องเรื่องไม่จริงปนกันหวังขอความช่วยเหลือจากชายแก่เจ้าของเกวียนที่ผ่านมา
ชายแก่ยกปีกหมวกฟางขึ้นแลเห็นดวงตาโหลลึกและอ้าปากหัวเราะจนเห็นฟันหลอๆดำๆในปาก
"อุ๊ต๊ะ! ไอ้หนุ่มเอ้ย เจ้านี่หลงมาได้ยังไงกันนะ ถนนเส้นนี้ดึกๆไม่มีใครกล้าเดินทางผ่านกันหรอก"
"ทำไมหรือครับลุง ทำไมไม่มีใครเดินทางผ่าน" วรินทร์มองรอบๆแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
"ถนนเส้นนี้มันอันตราย มันดักปล้นฆ่าชิงทรัพย์กันประจำ"
"หา! มีพวกดักปล้นดักฆ่าบนถนนเส้นนี้ด้วยหรือครับ?" ชายหนุ่มหน้าซีดพลางอุทานและสอดส่ายสายตามองหัวถนนท้ายถนน ซึ่งโลเกชั่นก็เหมาะแก่การปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์จริงๆอย่างลุงแกว่ามา
"ไม่ต้องตกใจหรอกพ่อหนุ่ม ตรงที่มันชอบปล้นกันมันเลยไปสัก 5-6 กิโลฯข้างหน้า" ชายแก่ทำปากยื่นชี้ไปทางด้านหน้า "แต่แถวบ้านลุงไม่มีหรอกพวกจี้ปล้น แถวๆนี้มีแต่คนดีๆ ทั้งนั้น"
พูดจบก็หัวเราะขึ้นเบาๆ ตามองหนุ่มพลัดถิ่นอย่างมีเลศนัย
"คืนนี้เจ้าคงจะไม่มีที่พักใช่มั๊ย?"
วรินทร์เงยหน้าสบตาชายแก่แล้วขมวดคิ้ว ชายแก่ยิ้มที่มุมปากราวกับอ่านความคิดของเขาได้
"ถ้ายังหาที่พักไม่ได้ คืนนี้ไปพักที่หมู่บ้านลุงก่อนก็ได้ หมู่บ้านเรายินดีต้อนรับ"
"เอิ่ม...มันจะดีหรือครับ เกรงว่าจะรบกวนคุณลุงอ่ะ"
"ถ้าเกรงใจก็ไม่ต้องไป เดินย่ำโคลนไปตามยถากรรมละกัน อย่าหาว่าลุงใจร้ายหล่ะ ชวนแล้วนะ"
พอชายแก่พูดจบก็ลงแส้วัวให้มันเดินต่อไป วรินทร์เอี้ยวตัวหลบให้วัวลากเกวียนผ่านไปแล้วใช้ความคิดชั่วอึดใจ
เขารีบวิ่งไปขวางเกวียนเอาไว้อีกครั้ง
"เอ่อ...ลุงครับ คือว่า ผมก็ไม่รู้จะไปไหน ถ้าลุงไม่รังเกียจ ขอผมไปพักบ้านลุงสักคืนนะครับ"
ชายหนุ่มเอ่ยปากขอร้อง ทำตาละห้อยหน้าเศร้า
"โดดขึ้นเกวียนมาเลย ข้าจะพาไปกินข้าวที่บ้าน"
วรินทร์ทำตามอย่างว่าง่าย เขากระโดดขึ้นท้ายเกวียนที่บรรทุกหญ้าแห้งไว้เต็ม แต่ก็ยังนึกแปลกใจว่าชายแก่ไปเอาหญ้าแห้งมาจากไหนทั้งที่ฝนตกอย่างกับฟ้ารั่วแล้วก็คิดแย้งขึ้นมาเองว่าคงมีที่หลบหญ้าถึงไม่เปียกฝน ชายหนุ่มนอนลงบนกองหญ้าแห้ง ปล่อยตัวเอียงโขยกเขยกโยกเยกไปตามจังหวะก้าวเดินของวัว สองตามองดวงดาวที่พร่างพรายอยู่เต็มท้องฟ้าสีกำมะหยี่ดูสดใส แต่ถ้าหากเขาสังเกตสักนิดจะเห็นว่าวัวผอมโกรกสองตัวที่เทียมเกวียนนั้น มีแต่ตาขาวไม่มีตาดำ ส่วนชายแก่ก็เหลือบมามองด้านหลังพลางแสยะยิ้มเลียริมฝีปากแผล่บๆ
--------------------------------------
"ลุงโทมัสกลับมาแล้วพวกเรา โน่นๆๆกลับมาแล้วเว้ย"
"ใช่ๆๆ ลุงโทมัสกลับมาแล้ว กลับมาแล้วๆๆ"
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังเมื่อเกวียนเล่มนั้นข้ามสะพานปูนทอดผ่านลำธารสายแคบๆตรงเข้าไปยังหมู่บ้านที่เห็นรางๆท่ามกลางความมืด เสียงนั้นตะโกนบอกกันเป็นทอดๆ
วรินทร์นอนเพลินๆพอได้ยินเสียงก็ผงกตัวขึ้นจากกองหญ้าแห้ง แล้วก็ต้องแปลกที่ได้เห็นกลุ่มกระต๊อบฝาขัดแตะหลังคามุงจากมีคบไฟจุดสว่างวับแวบเสียบติดอยู่ข้างประตู เอนหลังลงนอนเพียงชั่วแค่พริบตาเท่านั้น ชายแก่ก็พาเขามาถึงหมู่บ้านแล้วหรือนี่ ทำไมมันถึงได้ไวปานวอกอย่างนี้หนอ วรินทร์คิดในใจ
"หยู๊ดดดดดด......"วัวหยุดยังกลางลานกว้าง"ข้าไม่ได้มาคนเดียวนะเว้ย คืนนี้ข้ามีแขกมาด้วย เหอๆๆ"
เจ้าของเกวียนประกาศลั่น ทำเอาคนมารอตาวาวด้วยความยินดี
"ไหน ๆ ๆ ๆ แขกของลุงโทมัสอยู่ไหน ? อยู่ไหน ?"
หลายเสียงร้องถามอย่างตื่นเต้น คนอื่นๆต่างเบียดเสียดเข้ามาชะเง้อดูวรินทร์
"นอนอยู่บนเกวียนข้านี่ไง"
จังหวะนั้นวรินทร์ดีดตัวขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องตกใจที่มีผู้คนนับสิบวิ่งกรูกันมารุมล้อมมุงดูเขาที่ท้ายเกวียนราวกับเขาเป็นตัวประหลาดที่ไม่เคยพบเคยเห็น แล้วแต่ละคนที่เห็นไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายล้วนแต่ตัวผอมเกร็ง หน้าตอบเบ้าตาลึก ผมเผ้าปล่อยรุงรังเป็นกระเซิง เสื้อผ้าที่ใส่ก็ขาดรุ่งริ่งดูไม่ต่างอะไรกับผ้าขี้ริ้วเลย วรินทร์พยายามหาคำอธิบายด้านดีมาให้ตัวเองสบายใจ คิดว่าคงจะเป็นหมู่บ้านยากจนห่างไกลความเจริญ
"อ้า...สวัสดีชาวบ้านทุกท่าน ผม...เอิ่ม...ผมชื่อวรินทร์ เรียกสั้นๆว่ารินทร์ก็ได้ครับ"
ชายหนุ่มลงจากเกวียนยกมือไหว้สี่ทิศพลางแนะนำชื่อเพื่อฝากเนื้อฝากตัวชาวบ้าน
แต่เสียงที่ตอบกลับมาพร้อมสายตาจ้องเขม็งทำเอาวรินทร์สะดุ้ง
"โอ้...อาหารมาแล้ว...อาหารมาแล้ว..."
"น่ากินจริงๆ เนื้อขาวท่าทางจะหวานกรอบ..."
" !?!..."
วรินทร์ได้ยินเสียงชาวบ้านพูดงึมงำๆกระซิบกระซาบกันก็ชะงักชักใจคอไม่ดี การมาอยู่โลกใหม่เขาเดาไม่ได้เลยว่าจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง ยิ่งเห็นชาวบ้านบางคนเอานิ้วมือลูบปากทำเสียงซู้ดซ้าดๆราวอยากกินของบางอย่าง ทำเอาเขาเกิดอาการระแวงพวกชาวบ้านขึ้นมาตะหงิดๆ
"คราวนี้มีมาคนเดียวเองหรือ ลุงโทมัส?" หนึ่งในกลุ่มชาวบ้านเอ่ยถามขึ้น
"เอาน่า...ยังดีกว่าไม่มีมา อดอยากมาหลายวัน รองท้องกันไปก่อนละกัน"
วรินทร์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อได้ยิน มันชักไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
"เอิ่ม...ที่ว่ารองท้องไปก่อน อะไรรองท้องครับลุง?" หนุ่มหลงโลกหันไปถามชายแก่อย่างข้องใจ
"ข้าหมายถึงให้ไอ้พวกนี้ไปหาอาหารมาให้พ่อหนุ่มกินรองท้องไปก่อน" ชายแก่เจ้าของเกวียนบอกแล้วหัวเราะกลบเกลื่อนพิรุธ สองตาเสไปมองทางอื่น " พวกเอ็งจะมามุงดูพ่อหนุ่มทำไมกัน รีบๆไปจัดแจงข้าวของเตรียมต้อนรับอาคันตุกะเราเร็วๆเข้า จะได้กินๆกันเสียที เอ้ย! จะได้ให้เขาได้กินข้าวกินปลากันสักที ผอมๆอย่างนี้คงต้องขุนสักหน่อย จะได้มีเนื้อมีหนังเพิ่มขึ้นบ้าง"
ชายแก่พาวรินทร์มานั่งข้างกองไฟใหญ่กลางลานที่กำลังลุกโชน ชายหนุ่มหลังจากล้างเนื้อลบ้างตัวเอาคราบโคลนออกก็มานั่งข้างๆและมองพวกชาวบ้านที่สาละวนขนจานชามมากองรวมกัน คล้ายว่าจะมีงานเลี้ยงใหญ่ นึกชื่นชมอัธยาศัยไมตรีชาวบ้านที่มีต่อคนพลัดถิ่นอย่างเขา ระหว่างนั้นก็นั่งคุยกับชายแก่โดยคิดว่าคงจะเอาอาหารมาให้เขากิน เพราะตอนนี้ท้องของเขาก็กำลังร้องโครกครากๆ ราวเสียงประท้วงให้หาอาหารลงไปสยบความหิว
"ถ้าไม่เจอลุง ผมคงจะแย่แน่ๆ นึกแล้วก็เจ็บใจไม่น่าขอมาที่นี่เล้ย...!"
"มาที่นี่ยังดีนะพ่อหนุ่ม ถ้าไปที่อื่นจะหนักกว่านี้ แถวๆนี้ทิศเหนือเป็นถิ่นของพวกอ็อคจอมโหด ถ้าถูกมันจับได้จะทรมานจนต้องร้องขอความตาย ส่วนทิศใต้นู้นเป็นที่อยู่พวกก็อปลิน พวกนี้ชอบถลกหนังคนที่หลงมาทั้งเป็นเอาไปทำหนังกลองหรือเสื้อผ้าเครื่องประดับ ส่วนทางตะวันออกเป็นที่อยู่พวกโทรลล์ พวกนั้นเจอคนหลงจับฉีกกินสดๆเลย"
"อั๊ยยะ! ขนาดนั้นเชียวหรือครับ !?" วรินทร์ตาเบิกว้างอ้าปากค้างเมื่อได้ยิน
"บอกตรงๆ แถวนี้มันเถื่อน ถ้าไม่แน่จริงไม่มีใครอยู่ได้หรอก"
"แสดงว่าหมู่บ้านนี้ก็มีดีพอตัว พวกม่อนโหดๆถึงไม่เข้ามารังควาญกัน"
"แน่นอน! หมู่บ้านลุงมีดีพอจะต่อรองกับพวกม่อนถิ่นอื่นๆได้ มันถึงไม่ข้ามถิ่นมาแถวนี้ ถ้าเราไม่สู้ก็จะถูกเอาเปรียบ แต่ถ้า ยอมได้ก็ยอม พวกเลวๆมันมีเยอะ พวกดีๆมันมีน้อย หลบได้ก็หลบ รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง" คำพูดของชายแก่ทำให้วรินทร์พยักหน้าเห็นด้วย มันสะท้อนถึงวิถีที่เป็นไปในสังคมโลกใบนี้ได้อย่างหมดเปลือก
"แฮ่ๆๆ"
หญิงแก่หลังค่อมผมขาวเป็นกระเซิงสวมใส่เศษผ้าสีกระดำกระด่างเดินกระย่อมกระแย่งเข้ามาหาชายแก่ แต่สองตาชำเลืองมองคนนั่งใกล้อย่างมีความหมาย "ตาโทมัสเอ๊ย กินได้หรือยัง ข้าหิวเต็มทีแล้วนะ"
ชายร่างผอมสูงอีกคนเดินมาหยุดตรงหน้าแล้วเอ่ยบอกเสียงกระด้าง"ไฟก็ก่อติดดีแล้ว ไม้เสียบเตรียมไว้แล้ว!"
"ถ้าพวกเอ็งพร้อมแล้ว ก็ลงมือเชือดได้" ชายแก่แสยะยิ้มพลางตอบเสียงเหี้ยมๆ
"ลงมือเชือดได้ดดดดดด...." เสียงชายร่างผอมสูงตะโกนบอกคนอื่นๆรอบกองไฟ
"เชือดอะไรกันครับ!?"
"เชือดเจ้าเพื่อเป็นอาหารของเราไงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง...เหอๆๆๆ"
หญิงชราประกาศเสียงดังพลางหัวเราะเสียงแหลมบาดแก้วหูจนวรินทร์ทนความโหดของเสียงไม่ไหว ยกสองมือขึ้นปิดหู ส่วนชาวบ้านทั้งชายหญิงก็กรูเข้ามาจับตัวของเขาเอาไว้แล้วมัดด้วยเชือกเส้นเขื่อง เพียงอึดใจร่างของเขาก็ถูกพันธนาการไว้ทั้งมือและเท้าดิ้นกระแด่วๆอยู่กลางลาน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนวรินทร์ไม่มีโอกาสขัดขืนดิ้นรนใดๆทั้งสิ้น เมื่อหมดสิ้นอิสรภาพพวกชาวบ้านก็ยืนล้อมร่างเขาไว้ บางคนเข้ามาลูบคลำร่างกายของเขาแล้วยกหลังมือปาดน้ำลาย กิริยาท่าทางน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
"พวกคุณจะทำอะไรผมเนี่ย!?" วรินทร์ตะโกนถามและดิ้นรนหาอิสรภาพ แต่ทำได้เพียงกลิ้งร่างไปมาบนพื้น พวกชาวบ้านก็เฮโลล้อมไปมา "มาจับผมมัดไว้ทำไม? ปล่อยผมนะ... ปล่อยผมเดี๋ยวนี้!"
"เชือดมันๆๆๆ"
กลุ่มชาวบ้านพูดอยู่คำเดียวเป็นจังหวะกระแทกกระทั้น แล้วก็ช่วยกันยกแบกชายหนุ่มไปยังกองฟางที่สุมสูง
"จะเอาผมไปไหน? ปล่อยผมนะ ปล่อยสิ ลุง..ช่วยผมด้วย ช่วยด้วย"
"ฮ่าๆๆๆ"
นอกจากไม่ช่วยแล้วตาลุงที่พาเขามากลับกลับยืนมองอยู่ยังหัวเราะชอบใจอีก หน้าตาที่ดูเอื้ออารีเปลี่ยนเป็นดุดันกระด้าง แววตาแสดงความกระหายเลือดชัดเจน ชาวบ้านที่เป็นชายฉกรรจ์ 4-5 คน แยกย้ายกันเข้าไปตะกุยกองฟางจนกระจุยกระจาย วรินทร์มองสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้นั้นตาโต เมื่อเห็นแท่นไม้ทรงวกลมตั้งอยู่ มีคราบเลือดแห้งเกรอะกรังติดอยู่ ด้านล่างสุมด้วยกองกระดูกมากมาย และเป็นโครงกระดูกมนุษย์ทั้งสิ้น
"นั่นมันเขียงนี่!?" วรินทร์อุทานในใจ
ขนาดของมันใหญ่พอที่จะจับวัวควายตัวโตๆ มัดแข้งมัดขาเอาลงนอนแล้วใช้มีดปังตอสับลงไป
"มีดปังตอ!" คิดถึงมีดมันก็มาอย่างทันใจ
"ข้าจะบรรจงเชือดมันเอง ไอ้นี่มันผอมไปหน่อย ต้องค่อยๆแล่ถึงจะได้เนื้อ" เสียงคนถือมีดปังตอเอ่ยขึ้น วรินทร์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มองใบมีดปังตอกระทบแสงจากกองไฟวาววับปักอยู่ใกล้ๆอย่างสยองใจ และรู้ได้ทันทีว่าตนเองกำลังจะตกอยู่ในสภาพใดหลังจากนี้ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
"โธ่...ให้ไปเกิดที่ดีๆหน่อยก็ไม่ได้ ทำไมต้องส่งมาเกิดที่นี่ด้วย ยังไม่ทันไรจะตายซะแล้ว" วรินทร์อุทานในใจถึงโชคชะตาที่รันทด นี่กระมัง! ที่ก้อนแสงเตือนมาว่า 'ให้ตัดสินใจดีๆ' ตอนนี้วรินทร์รู้ซึ้งกับประโยคที่ก้อนแสงเตือนนักเตือนหนา 'เลือกแล้วอาจจะเลวร้ายกว่าเก่า กลับตัวก็ไม่ได้ ไปต่อไปก็ไปไม่ถึง' มันเป็นอย่างไร
"อย่าๆๆ อย่าทำกับผมอย่างนี้ อย่าฆ่าผมเลยนะ ขอร้อง!" วรินทร์ตะโกนโหวกเหวกร้องขอชีวิต เมื่อร่างของตนถูกลากมาวางไว้บนเขียง มีคนถือมีดปังตอลับหินเสียงดังแคว่กๆ "ไม่นะๆอย่าทำผม ผมเป็นคนนะ ไม่ใช่วัวควาย จะจับมาเชือดกันอย่างนี้ ไม่ได้นะ ผมทำอะไรผิดถึงต้องฆ่าแกงกันด้วย!"
"ผิดเพราะเอ็งเป็นคน แต่พวกข้าเป็นผีพรายว่ะ เหอๆๆ" ยายแก่หน้าตาเนื้อหนังเหี่ยวย่นหัวเราะเสียงแหลม ในขณะคนอื่นๆก็พากันหัวเราะตามอย่างสุนกสนานดีใจที่จะมีอาหารอันโอชะแบ่งปันกันกิน
ตาลุงที่พาชายหนุ่มมาเดินแหวกกลุ่มภูตผีพรายที่รายล้อมขึ้นมาบนเขียง เขายืนดูเหยื่อหนุ่มด้วยสีหน้าแววตาดุร้ายไม่ผิดจากภูตพรายกระหายเลือดตนอื่นๆ "ที่พวกอ็อค กอปลิน โทรลล์ไม่กล้ามายุ่งหมู่บ้านเรา เพราะพวกเราเป็นผีพราย อสุรกายประจำถิ่นนี้ พวกเรากินเนื้อสิ่งมีชีวิตอื่นๆเป็นอาหาร เผ่าพันธุ์ไหนหลงเข้ามาเราจับเชือดกินเรียบ และที่เราชอบกินที่สุดคือเนื้อมนุษย์อย่างเจ้า ฮ่าๆๆๆ" ตาลุงประกาศและกางมือเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะดังก้อง "นานแล้วที่เรากินแต่เนื้อเหม็นๆของพวกอ็อค กอปลิน หรือโทรลล์ วันนี้ลาภปากจริงๆจะได้ลิ้มรสเนื้อมนุษย์"
ตาลุงสบตาของวรินทร์และตะโกนสั่งเสียงดัง "เชือดได้ดดดด..."
"เชือดได้ดดดดด......"
สมุนผีตะโกนรับขึ้นพร้อมกัน
"อย่าาาาาาาาาา............................"
แต่ทันใดนั้นเอง !?!...
"หยุดนะ!"
เสียงร้องห้ามที่ดังแทรกขึ้น เรียกให้ผีทุกตัวหันไปมองแล้วพากันสะดุ้งไปตามๆ กัน ร่างอรชรร่างหนึ่งกำลังขึ้นสายธนูเล็งมาที่คนกำลังจะใช้มีดปังตอเชือดคอของวรินทร์
"ไม่ต้องสนใจมัน เชือดเลย!!!" ตาลุงหัวหน้าผีพรายตะโกนบอก
วี้ดดดดด
ฉึ่ก!!!!
อ้ากกกกกกกก.....
ร่างของผีพรายที่กำลังเงื้อมีดจะเชือดคอวรินทร์ผงะหงายท้องล้มตึงเมื่อลุกธนูปักเข้ากลางหน้าอกอย่างจัง
"กำจัดพวกผีร้ายพวกนี้ให้หมด อย่าให้พวกมันไปทำร้ายใครได้อีก" เจ้าของร่างอรชรออกคำสั่ง
"พวกเอลฟ์มา!!! หนีเร็วๆพวกเอลฟ์มาอีกแล้ว!!!"
บรรดาพวกผีร้ายร้องอุทานอย่างตื่นกลัว และรอบๆปรากฏร่างอรชรอีกร่วมๆสิบขึ้นสายธนูระดมยิงใส่ฝูงผีร้ายล้มตายลงกับพื้นราวใบไม้ร่วง พวกที่เหลือพากันวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นไปคนละทิศละทางแล้วหายวับไปกับตา กระต๊อบและข้าวของต่างๆ รวมถึงกองไฟที่ลุกโชนก็หายวับตามไปด้วย รวมทั้งเชือกที่พันธนาการร่างของวรินทร์เอาไว้ เมื่อเป็นอิสระเขาก็ลุกขึ้นมองความวุ่นวายรอบๆและแสนดีใจที่รอดตายมาได้ เขาถลาวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปทางกลุ่มมือธนูลึกลับที่เข้ามาช่วยชีวิตตนให้พ้นจากห้วงมรณะอย่างฉิวเฉียด
"พวกคุณคือ...!?!"
วรินทร์อุทานอ้าปากค้าง เมื่อได้เห็นเรือนร่างและใบหน้าของผู้ที่มาช่วยชีวิตตน
เพราะที่เห็นคือผู้หญิงที่มีรูปโฉมและสรีระงดงามที่สุดเท่าที่วรินทร์เคยเห็นมา เรือนร่างเพรียวบาง มีสัดส่วนเว้าโค้งอย่างเหมาะเจาะราวประติมากรรมที่ช่างฝีมือเยี่ยมบรรจงสร้างมา
ใบหน้าเรียวรูปไข่และดวงตาสีเขียวสวยดั่งเม็ดมรกต งดงามประดุจเทพธิดา ผมยาวสลวยสีทองอ่อนยาวจนถึงกลางหลัง ถูกมัดรวบไว้สวมทับด้วยหน้ากากสีทองลายดอกไม้ป่า ส่วนปลายใบหูแหลมและชี้ขึ้นบ่งบอกถึงชาติพันธุ์ชัดเจน ทั้งหมดนี้ประสมประสานรวมกันอยู่ในตัวหญิงสาวตรงหน้า ร่างอรชรสวมชุดเกราะแบบบิกินี่เกาะอก บนบ่ามีเกราะเหล็กสีดำลายทองคล้องสายกระบอกธนูพาดแผ่นหลัง ลาดลงมาเป็นหน้าท้องแบบราบสวมเพียงกางเกงคล้ายกางเกงในตัวเล็กๆประดับลูกไม้และเกราะเหล็กบางๆมีดาบโค้งสะพายไว้เอวด้านขวาติดไว้กับเข็มขัดลวดลายสวยงาม
ที่สำคัญใบหน้าและเรือนร่างของหญิงคนนั้นยังส่องแสงสว่างนวลตาราวแสงนีออน ทำให้พื้นที่มืดสนิทบริเวณนั้นสว่างไสวไปทั่ว ภายนอกดูช่างน่าหลงใหลแต่เนื้อแท้กลับซ่อนความร้ายกาจไว้มากมายจนเกินใครจะหยั่งถึงได้
"อย่าบอกนะว่าที่มาช่วยเราคือ...." วรินทร์ชะงักมองหญิงสาวตรงหน้าใช้ธนูดอกแล้วดอกเล่าสังหารพวกภูตพรายผีร้าย และคนอื่นๆก็มีลักษณะเช่นเดียวกับผู้หญิงตรงหน้า ต่างตรงคนอื่นๆสวมชุดสีเขียวขอบทอง แต่ที่เหมือนกันคือความแม่นยำในการยิงธนู เรียกว่ายกขึ้นเล็งยิงไม่เคยพลาดเป้า ทุกดอกปักเข้าตรงคอหอยพวกผีร้ายอย่างแม่นยำ
"เจ้ามนุษย์ เจ้าปลอดภัยแล้ว!" หญิงสาวหันมามองชายหนุ่มที่ยืนตะลึงสบตาสีเขียวของเธอ
"นังเอลฟ์หูแหลม! พวกมารคอหอย!" เสียงตะโกนด่าอย่างเกี้ยวกราดของตาลุงหัวหน้าผีดังขึ้น "พวกเจ้าชอบโผล่มาขัดจังหวสะของข้าประจำ ข้าไม่ได้ลิ้มรสเนื้อมนุษย์มานานแล้วนะ มาขัดขวางข้าทำไม!?"
"แล้วเจ้าจะไม่ได้ลิ้มรสเนื้อมนุษย์ไปตลอดกาล จงกลับสู่ขุมนรกที่จากมาซะ!" หญิงสาวพูดเสียงเหี้ยมพาดธนูขึ้นสายเล็งไปที่หัวหน้าภูตพรายกระหายเลือด
"เจ้าขัดขวางข้าไม่ได้ทุกครั้งหรอก!" หัวหน้าภูตพรายตะโกนสวนกลับมา "แม้วันนี้ข้าจะอด แต่วันหน้าก็จะมีคนหลงมาให้ข้าจับเชือดแล้วกินอีก ข้าจะรอวันนั้น"
ฉึ่ก!
"อั๊ก..ก.ก.ก..." ตาลุงหัวหน้าภูตผีร้องเสียงหลงที่ลูกธนูปักเข้าที่ลำคอปลายทะลุออกด้านท้ายทอย
"ไม่มีวันนั้นสำหรับวิญญาณชั่วร้ายของเจ้า นี่คือธนูสำหรับฆ่าภูตผีร้ายอย่างเจ้า...."
สิ้นเสียงหวานๆไพเราะ ร่างของหัวหน้าผีร้ายก็ลุกไหม้ด้วยไฟสีม่วง มันส่งเสียงร้องโหยหวนและล้มลงดิ้นไปกับพื้นอย่างทรมาน ในขณะภูตผีร้ายตนอื่นๆพากกันแตกกระเจิงหนีไปคนละทิศทาง ที่หนีรอดไปก็แตกฉานซ่านเซ็นไปหาที่หลบซ่อน ส่วนที่หนีไมทันก็กลายเป็นเป้าธนูสังหารล้มลงด่าวดิ้นด้วยไฟสีม่วง เพียงอึดใจความโกลาหลวุ่นวายก็สงบลงเหลือเพียงกลุ่มนักรบสาวจำนวนสิบกว่าคนและวรินทร์ที่ยังอยู่ในบริเวณนั้น
วรินทร์มองดูต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาที่เขาใช้หลบฝนก่อนหน้า และที่สำคัญรอบๆนั้นยังคงเป็นผืนดินที่แห้งแตกระแหงไม่ได้เป็นบ่อโคลนเพราะฝนตกหนักอย่างก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
"เอิ่ม...ทำไมสภาพรอบๆถึงเป็นแบบนี้" วรินทร์เดินย่ำเท้าไปๆมาๆบนพื้นและกระทืบเท้าทดสอบด้วยความประหลาดใจ "ทำไมผมถึงกลับมาอยู่ที่นี่ได้ พวกคุณใช้เวทย์มนตร์พาผมกลับมาใช่มั๊ยครับ?"
"เจ้าไม่ได้ไปไหนมาทั้งนั้น สิ่งที่เจ้าพบเจอทั้งหมดคือภาพลวงตาที่พวกผีร้ายมันสร้างขึ้นทั้งสิ้น"
หลังจากเคลียร์พื้นที่เสร็จ สาวนักรบคนหนึ่งก็เดินเข้ามารายงานหญิงสาวที่คุยกับเขา "พวกผีร้ายส่วนใหญ่ถูกพวกเราสังหารได้ พวกที่เหลือคงจะไม่กล้ากลับมารวมตัวสร้างความเดือดร้อนให้แห่คนเดินทางอีกแล้ว"
"พวกมันต้องกลับมารวมตัวกันอีกแน่ๆ ข้าปราบพวกมันไปหลายครั้งแล้ว"
"คะ..คือว่า พะ พวกคุณคือ ...เอิ่ม..." วรินทร์ที่ยืนข้างๆเอ่ยเสียงถามติดอ่างเพราความตื่นเต้น
"พวกเราคือเอลฟ์จากอาณาจักรแชงกีร่า ข้ามีนามว่าเดียโดร่า เป็นนายกองลาดตะเวนฝั่งตะวันออก"
พอได้ฟังคำตอบของหญิงสาว วรินทร์ถึงอ้าปากค้างและหยิกตัวเองหลายๆที เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองจะได้มาพบเจอเอลฟ์หญิงที่งดงามเช่นนี้กับตาตนเอง หลงลืมเรื่องจะถูกพวกผีร้ายจับกินไปเสียสิ้น ความงดงามของเอลฟ์หญิงเข้ากับวลี 'สิบปากว่าไม่เท่าสองตาเห็น' ยิ่งนัก และความงดงามตรงหน้าทำให้เขาอดคิดถึงวลีต่อมาไม่ได้ 'สิบตาดูไม่เท่ากับสองมือได้คลำ' อยากจะคลำพิสูจน์จริงๆ ว่าเนื้อนวลของสาวเอลฟ์จะนิ่มไม้นิ่มมือขนาดไหน แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหรือเปล่าเท่านั้นเอง
"โอ้...ราวกับฝันไปเลย พวกคุณคือเอลฟ์!..." วรินทร์อุทานเสียงแหบ "เอลฟ์ตัวจริงเสียงจริง ตัวเป็นๆเลย"
"เจ้าเป็นใครมาจากไหน?" สาวเอลฟ์ผู้งดงามและแข็งแกร่งเอ่ยถามชื่อและที่มาที่ไปของเขาหลังจากแนะนำตัว
"ผมชื่อวรินทร์ครับ เรียกสั้นๆว่ารินทร์ก็ได้..." ชายหนุ่มแนะนำชื่อตัวเอง "เอิ่ม...ผมมาจากทางโน้น!" วรินทร์ชี้นิ้วไปทางทิศใต้ "เอ..ไม่ใช่ๆทางโน้นต่างหาก เอ...หรือทางโน้นวะ?"
"ตกลงเจ้ามาจากไหนกันแน่ หรือเสียสติตอนจะถูกจังเชือดเลยจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร?" สาวเอลฟ์คนแกร่งเอ่ยถามขณะเดินเก็บลูกธนูของตนจากพื้นมาใส่กระบอกด้านหลัง
"เอิ่ม..." วรินทร์เองก็บอกไม่ถูกว่าตัวเองมาจากไหน เพราะตอนถูกส่งมาก็ไม่รู้ว่ามาโผล่ที่ตรงไหน เห็นแต่ผืนดินแตกระแหงและต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าเท่านั้น
"เอาเป็นว่า...เจ้านึกออกค่อยบอกข้าก็แล้วกัน" เอลฟ์สาวเอ่ยตัดบทอย่างไม่สนใจและหันไปสั่งพรรคพวกด้วยภาษาเอลฟ์ที่วรินทร์ไม่เข้าใจความหมาย จากนั้นก็หันมาคุยกับเขาต่อ "ดูท่าเจ้าคงจะเป็นชาวบ้านทั่วๆไป ลักษณะปกป้องตัวเองไม่ได้อย่างนี้ ปล่อยไปก็คงถูกพวกอ็อค กอปลิน หรือโทรลล์จับย่างกินอีกแน่ๆ แถวนี้ถิ่นของมันซะด้วย ข้าเองยังมีธุระแถวนี้ ถ้าเจ้าจะอยู่พักโดยมีพวกข้าให้ความคุ้มครองก็ได้นะ"
"อื้อ...ก็ดีนะ ขืนเดินดุ่มๆไปอาจจะเจออะไรร้ายแรงกว่าพวกผีตะกี้ อยู่ที่นี่ทีเอลฟ์สาวๆคอยอารักขา ปลอดภัยสบายใจสบายตาอีกต่างหาก" วรินทร์คิดในใจแล้วรีบผงกหน้ารับความปรารถนาดีนั้น "ขอบคุณมากๆครับ ตะกี้ผมตกใจเลยลืมขอบคุณที่คุณและเพื่อนๆช่วยชีวิตผมไว้ ยังไงๆก็รบกวนพักหลบภัยด้วยนะครับ ผมเองพลัดถิ่นฐานบ้านเรือนมา กระเซอะกระเซิงไม่มีจุดหมาย ยังไม่รู้เลยจะไปไหนต่อ"
"ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เจ้ามีอาชีพอะไร ชาวนาก็ไม่น่าจะใช่ เพราะดูบอบบางไม่สมบุกสมบันเลย"
"เอ่อ...ผมเคยมีอาชีพขายประกันครับ" วรินทร์ตอบไปตามความเป็นจริง สาวเอลฟ์ฟังแล้วใบหน้าสวยเรืองแสงนวลมีแววฉงนขึ้นมาทันที ก่อนจะพยักหน้าทำท่าเข้าใจในอีกอึดใจต่อมา
"อ่อ...เจ้ามีอาชีพพ่อค้านี่เอง แต่ดูไม่มีแววเจ้าเล่ห์เลย สงสัยจะเป็นพวกพ่อค้าซื่อๆ"
"คะ...ครับ" วรินทร์ตอบแล้วเกาท้ายทอยยิ้มแหะๆ
สาวเอลฟ์หยุดสนทนากับชายหนุ่ม หันไปสั่งพรรคพวกของตนเองเคลียร์ใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อกองไฟและกำหนดอาณาเขตรอบๆเป็นที่พักชั่วคราว โดยมีการผลัดกันยืนยามรักษาความปลอดภัยอย่างแข็งขัน เพราะรัศมีโดยรอบอยู่ใกล้ที่พำนักอาศัยของเหล่ามอนสเตอร์ร้ายกาจที่พร้อมจะเข้ามาโจมตีทุกขณะ หากประมาทอาจจะหมายถึงชีวิตได้
ไฟกองใหญ่แสงสว่างและความอบอุ่นขับไล่อากาศที่หนาวเย็นลงเรื่อยๆ วรินทร์มองกองไฟตรงหน้าที่ลุกโชนเผาผลาญฟืนที่เอลฟ์สาวนั่งใส่อยู่ก่อนจะสะบัดหัวอย่างมึนงง โลกใหม่ที่เขาถูกส่งมาบอกไม่ถูกว่ามันดีหรือร้าย มาไม่ทันไรจะถูกพวกผีจับกินแต่ก็โชคดีที่ทีเอลฟ์สวยๆใจดีมาช่วยไว เรียกว่าโชคดีในโชคร้ายก็ไม่ผิด
เรือนร่างอรชรเคลื่อนไหวนิ่มนวล น้ำสียงไพเราะทำเอาชายหนุ่มหลงใหลได้ไม่ยาก แต่เขาต้องรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว เมื่อคิดถึงผู้หญิงที่ทิ้งเขาไปและเป็นสาเหตุใหญ่ให้เขาคิดสั้นฆ่าตัวตาย 'ผู้หญิงก็เหมือนงูพิษ ไว้ใจไม่ได้ต่อให้สวยแสนดีเพียงไร สักวันก็ต้องออกลายทิ้งเราไปอยู่ดี' แต่แล้วอีกความคิดก็ผุดขึ้นในสมอง 'ผู้หญิงก็มีทั้งดีและไม่ดีปะปน มันคนละคน คนละเผ่าพันธุ์กัน พวกเอลฟ์คงไม่ใจร้ายอย่างนั้น...'
"นี่ตูคิดอะไรอยู่ฟร่ะ มันใช่เวลาหรอ...?" ระหว่างที่ความคิดตีกันอยุ่ในหัววุ่นวาย ร่างอวบอิ่มของเอลฟ์สาวก็เดินมานั่งข้างๆเขา เนื้อตัวหอมกรุ่มของเธอทำเอาจิตใจของวรินทร์ไม่ปรกติ
ดวงตาสีเขียวแวววาวยามมรกตกระทบแสงไฟสบตาของเขา ทำเอาชายหนุ่มใจเต้นตึกตักเลือดลมหนุ่มสูบฉีด ยิ่งชุดที่เธอใส่มันเน้นส่วนสัดอวดโนนเนื้อยั่วความกระสันจนเขาเกิดอาการตื่นตัว นั่งห่างกันแค่คืบเท่านี้อยากจะกระชากตัวมากอดแล้วฟัดสัมผัสความนุ่มนิ่มของนวลเนื้อนางเสียจริง แต่พอนึกถึงตอนที่สาวเอลฟ์ขึ้นสายธนูสังหารพวกผีร้าย ทำเอาวรินทร์ต้องสะกดใจขืนปล่อยให้ตัณหาบังตามีหวังถูกพวกเอลฟ์สาวเหล่านี้รุมยิงพรุนเป็นตัวแม่นแน่ๆ
"ดูท่าเจ้าคงจะหิว นี่ค่อขนมปังเล็มบัส อาหารสำหรับพวกเอลฟ์ใช้กินเวลาเดินทาง กัดแค่คำเล็กๆเจ้าจะอิ่มท้อง อย่าเผลอกินเข้าไปมากหล่ะ เดี๋ยวจะท้องอืดเข้า" มือเรียวสวยยื่นขนมปังแผ่นหนึ่งส่งมาให้เขา
วรินทร์รับขนมปังแผ่นนั้นมาแล้วกัดคำเล็กๆตามที่เอลฟ์สาวแนะนำ แล้วลิ้นของเขาก็ได้สัมผัสในรสชาติอันหวานมันและพร้อมกันนั้นก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดกับตัวเขา ทันทีที่ขนมปังผ่านลำคอลงสู่กระเพาะ เขารู้สึกถึงความอิ่มเอมดับความโหยหิวและรู้สึกสดชื่นมีพลังขึ้นมาอย่างประหลาด ทำเอาเขามองแผ่นขนมปังในมืออย่างทึ่งและมองใบหน้าเรียวสวยของสาวเอลฟ์ด้วยแววตาชื่นชม มันเป็นการกินขนมปังที่อร่อยและอิ่มเอมที่สุดตั้งแต่เคยจับยัดใส่ปากมา
"ดื่มน้ำตามเข้าไป มันจะช่วยเพิ่มพลังและความสดชื่นให้เจ้าอีก นี่แหล่ะ ขนมปังเอลฟ์!" นายกองเอลฟ์คนสวยเอ่ยบอกเขาพร้อมส่งกระติกน้ำให้
"คุณเดียโดร่าใจดีจริงๆ ใจดีเหมือนหน้าตาเลย..." วรินทร์รับน้ำมาดื่ม ในขณะสาวเอลฟ์หัวเราะคิกคักขำในคำพูดของเขา ยามนั้นวรินทร์รู้สึกว่าโลกช่างสว่างไสว บรรยากาศรอบๆกายสดชื่นขึ้นมาทันที
"เรียกข้าว่า 'เดียร่า'ก็ได้..." สาวเอลฟ์พูดอย่างเป็นกันเอง "ว่าแต่เจ้าจะไปไหนต่อหล่ะ?"
เจอคำถามของสาวเอลฟ์เข้า ทำเอาวรินทร์ขมวดคิ้วนิ่วหน้า เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อและยังจับต้นชนปลายโลกนี้ไม่ถูก อีกทั้งยังไม่รู้เลยว่าจะดำเนินชีวิตเพื่อเอาตัวรอดอย่างไรในโลกนี้ เห็นได้ชัดเจนว่ารอบตัวมีแต่อันตรายทั้งจากภูตผี มอนสเตอร์และเวทมนตร์ เขาคงจะไม่โชคดีมีคนมาช่วยอย่างครั้งนี้ตลอดไปแน่ๆ
"ถ้าเจ้ายังไม่รู้จะไปไหน ก็ไปกับพวกเราก่อนก็ได้" เอลฟ์สาวเห็นวรินทร์นิ่งไปนาน เข้าใจว่าเขาคงไม่มีที่ไปจึงเอ่ยปากชวน " ที่แชงกีร่าของเรามีพวกมนุษย์อย่างเจ้ามารับจ้างทำงานเหมืองเจอรานต์ (Gerrant) เยอะอยู่ แต่ถ้าเจ้าไม่อยากทำงานในเหมือง มีทักษะค้าขายก็ลองหาที่เปิดร้านชื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ข้าจะช่วยหาทำเลดีๆให้เอง"
"เอิ่ม...แล้วเมืองของเอลฟ์ ยอมให้มนุษย์ไปอยู่ด้วยหรือครับ?"
"เอลฟ์แบ่งออกเป็นหลายชั้น มีทั้งเอลฟ์ชั้นเจ้าที่สืบสายมาเทพเจ้าวาร่าห์ เอลฟ์ชั้นสูงกลุ่มนี้จะอาศัยอยุ่ในดินแดนลึกลับที่เป็นตำนาน เอลฟ์ป่าที่รักสันโดษจับกลุ่มอาศัยอยู่กับธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะอาศัยออยู่บนต้นไม้ในป่าลึกตัดขาดไม่สุงสิงกับคนอื่นๆยกเว้นพวกรักการผจญภัยจะแยกออกจากกลุ่ม และเอลฟ์อย่างพวกเราที่ถูกเรียกประชดว่าเอลฟ์ชอบสังคม พวกเราสืบเชื้อสายจากเอลฟ์ชั้นเจ้าแต่มาอยู่รวมกับพวกมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่นๆในมัชฌิมโลก เพราะเผ่าพันธุ์ของพวกเรามีจำนวนน้อยกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ จึงต้องเข้าสังคมกับเผ่าอื่นๆ"
วรินทร์นั่งฟังเอลฟ์สาวพูดแล้วเคลิ้มไปกับเสียงหวานๆท่วงท่าอันนิ่มนวล ดวงตาของเดียโดร่าแววาวเรืองสีมรกตอย่างน่าหลงใหลในความมืด มีความงดงามทางรูปกายอย่างไร้ที่ติ เท่าที่วรินทร์รู้มา เอลฟ์มีคุณลักษณะที่มีอายุยืน เขาจึงไม่อาจคาดเดาอายุที่แท้จริงของสาวสวยชาวเอลฟ์ และไม่กล้าถามอายุเพราะการถามอายุของผู้หญิงในสังคมโลกมนุษย์นั้นถือเป็นเรื่องหยาบคาย แค่สบดวงตาสีมรดตของเธอเปล่งประกายต้องใจความสงสัยทั้งหลายก็ถูกวางลง 'ช่างเรื่องอายุของเธอ' และคะเนจากรูปลักษณ์ของเอลฟ์สาวคนนี้นั้น น่าจะอยู่ในช่วงเด็กวัยรุ่น อายุประมาณ 18-19 เห็นจะได้
"อื่อ..น่าสนใจนะ ผมเองก็ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน ขอติดตามพวกคุณไปด้วยละกัน" วรินทร์รีบเอ่ยปากฝากเนื้อฝากตัวกับสาวเอลฟ์ อย่างน้อยก็ยังมีชุมชนให้พักอาศัยอุ่นใจมีงานให้ทำ ไม่ต้องซัดเซพเนจรหัวเดียวกระเทียมลีบ "ถ้าไปถึงเมืองของคุณ มีงานอะไรให้ทำ ผมก็พร้อมทำไม่เกี่ยงครับ"
"ได้ๆ แต่ต้องหลังจากเราพบผู้กล้าก่อนนะ" เอลฟ์สาวรับปากแต่ยังมีเงื่อนไข
"ผู้กล้า...?"
"ใช่!" สาวเอลฟ์เอ่ยตอบน้ำเสียงจริงจัง " เรามารอพบผู้กล้าตามคำทำนายที่ต้นเวนทูร่านี้" วรินทร์หันไปมองต้นไม้ใหญ่ที่หญิงสาวชาวเอลฟ์ชี้ให้ดู "คำทำนายบอกเราว่า...ท่านผู้กล้าที่จะมาช่วยเหลือเมืองของเรา จะปรากฏตัวที่นี่ พวกเราจึงมารอรับและพบเจ้าอย่างไรเล่า?" หญิงสาวอธิบายให้ฟัง "ถ้าเราไม่มารอรับผู้กล้า คงไม่มาเจอเจ้า และเจ้าคงจะถูกพวกผีร้ายจับกินไปแล้ว คริๆ นับว่าเป็นโชคดีของเจ้าจริงๆ"
"โชคดีจริงๆ ต้องขอบคุณบารมีท่านผู้กล้า..." วรินทร์ฟังเสียงหัวเราะอันสดใสเลยพลอยอารมร์ดีไปด้วยและหัวเราะตาม " เอ...แล้วท่านผู้กล้าที่คุณว่านี่ จะมาถึงเมื่อไหร่ รูปร่างหน้าตาเป็นยังไงกันครับ"
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะมันเป็นคำทำนายหลายร้อยปีแล้ว ว่ากันว่าท่านจะปรากฏที่ใต้ต้นเวนทูร่าในคืนที่แสงสีเหลืองพาดผ่านท้องฟ้า ซึ่งคือคืนนี้ แสงนั้นมองเห็นไปถึงเมืองแชงกีร่า และเจ้าหญิงทรงมีรับสั่งให้ข้ามารับ"
"..!?.." วรินทร์ฟังแล้วพลอยมึนงงสงสัยไปด้วย
"เราคงต้องรอจนกว่าท่านผู้กล้าจะมา ถ้าเจ้าง่วงจะนอนก่อนก็ได้ ข้ากับพรรคพวกจะรอท่านผู้กล้า ถ้ามาถึงแล้วสามารถชักชวนให้ท่านผู้กล้าไปช่วยเหลือสำเร็จ ข้าจะปลุกเจ้ารับรองว่าไม่ทิ้งไว้ที่นี่หรอก"
"ชักชวนท่านผู้กล้าให้ไปช่วย?" วรินทร์ทวนประโยคนั้น "ช่วยเรื่องอะไรหรือครับ?"
"อย่างที่ข้าบอกเจ้าตอนแรกนั่นแหล่ะ พวกเราเป็นเอลฟ์ชั้นเจ้าก็จริง แต่มีจำนวนน้อยมาก และอยู่กันกระจัดกระจาย แม้จะไปมาหาสู่กันบ้างแต่ก็ไม่สนิทเท่าไหร่ เรียกง่ายๆคบหากันระหว่างเมืองก็ด้วยผลประโยชน์ทั้งสิ้น และเมืองแชงกีร่านั้นมั่งคั่งไปด้วยเพชรพลอย เนื่องจากพวกค้นพบเหมืองในภูเขาห่างจากตัวเมืองราว 5 ไมล์ รวมทั้งเมืองเรามีช่างเจียระไนฝีมือเยี่ยมที่สุดในมัชฌิมโลก ชื่อเสียงเพชรพลอยที่เจียระไนจากเมืองเราจึงเลื่องลือ และเป็นที่นิยม นับเป็นสินค้าสร้างรายได้ให้อาณาจักรของเราอย่างมหาศาล แต่ความร่ำรวยและมั่งคั่งก็นำมาซึ่งมหันตภัย
กระทั่งวันหนึ่ง...มีกองทัพอ็อคจากทางเหนือบุกเข้าโจมตีเมืองแชงกีร่าอันสงบสุขของเรา พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์อ็อคที่ดุร้ายกระหายสงคราม ปล้นสะดมทำลายเผาทุกอย่างมอดไหม้ราบคาบในทุกหนแห่งที่พวกมันไป และแชงกีร่าคือเป้าหมายของมัน ความมั่งคั่งร่ำรวยคือสิ่งชักจูงพวกมันยกทัพใหญ่มาโจมตี พวกเราพยายามต่อสู้รักษาเมืองอย่างสุดความสามารถ พันธมิตรจากที่ต่างๆของเรายกมาช่วยเหลือแต่ไม่อาจต้านทานพลานุภาพกองทัพอันยิ่งใหญ่โหดร้ายของมันได้ พวกมันต่างจากอ็อคเผ่าพันธุ์อื่นๆตัวโต สวมเกราะหนาเต๊อะ ถือดาบใหญ่ ดุร้าย ไร้ความปราณี
หลังจากรบกันยาวนานหลายสิบปี พันธมิตรต่างๆประสบความสูญเสียต่างถอนตัวกลับไปจนกระทั่งเหลือเพียงกองทัพกระจ้อยร่อยของเมืองแชงกีร่าที่ต้องรับศึกอย่างโดดเดี่ยว กองทัพอ็อคล้อมเมืองเราไว้แน่นหนาและภายในเมืองเกิดโรคระบาดขาดเสบียง ประชาชนทุกข์ยากอดยากและล้มตายด้วยโรคภัย กษัตริย์ของเราจึงเจรจาสงบศึก พวกอ็อคนำโดยราชินีอุมมาร์ผู้วิปริตก็รับข้อเสนอยุติสงครามแต่มีเงื่อนไขโหดร้าย นางขอรายได้ทั้งหมดของเหมืองเวนทูร่า ต้องส่งเสบียงอาหารและกองทัพไปร่วมยามพวกอ็อคไปทำสงครามที่ใดก็ตาม นอกจากส่งส่วยตามที่พวกมันเรียกร้องแล้วยังต้องส่งเอลฟ์สาวๆไปบำเรอกามในกองทัพหรือรับใช้พวกแม่ทัพนายกอง ซ้ำยังทิ้งพวกอ็อคประมาณ 3 พันตนไว้ควบคุมบริหารเมืองแชงกีร่าอีกด้วย
เป็นเวลาที่ยี่สิบปีหลังจากที่กองทัพอ็อคเข้ายึดครองแชงกีร่าไว้ พวกมันเข้าครอบครองด้วยกำลังอันเหนือกว่า และปกครองเหมือนกับว่าเราไม่แตกต่างจากพืชพันธุ์ไม้บนดินและสัตว์เลี้ยง ความหยาบช้ามีถึงเพียงนี้พวกเราก็ต้องอดทนจนกระทั่งมีคำทำนายว่าจะมีผู้มาช่วยปลดแอกแชงกีร่า เป็นผู้กล้าที่ปรีชากล้าหาญ เขาจะปรากฏตัวเมื่อลำแสงสีเหลืองพาดผ่านท้อง ณ ต้นเวนตูน่าต้นนี้ พวกเราเฝ้ารอจนกระทั่งปรากฏการณ์นั้นอุบัติขึ้นในคืนนี้ เขาคือความหวังของเรา..."
ฟังแล้ววรินทร์รู้สึกเห็นใจพวกเอลฟ์ขึ้นมาครามครัน แต่อดสงสัยไม่ได้ "พวกคุณก็มีฝีมือรบนี่ ทำไมถึงยอมให้พวกอ็อคกดขี่ข่มเหงตามอำเภอใจอย่างนั้น"
"พวกเรามีน้อยกว่า และพันธมิตรก็ล้วนตีจากเรา แม้แต่เอลฟ์ทางเหนือก็ยังหันหลังให้เรา"
"แล้วผู้กล้าที่คุณเอ่ยถึง เขาจะช่วยคุณได้หรือ?"
"คำทำนายของเทพธิดาการาเดี้ยนแม่นยำที่สุด เราไปขอคำทำนายจากนางถึงริเวนเดล...และเราเฝ้ารอคำนายนั้นให้เป็นจริงมาเนิ่นนาน และคืนนี้ผู้กล้าของเรากำลังจะมาถึงแล้ว ข้าหวังถึงวันปลดแอกจากพวกอ็อคชั่วร้าย ข้าจะออกรบร่วมกับผู้กล้าอย่างไม่กลัวตายเสียดายชีวิต ขับไล่พวกมันออกไปจากแผ่นดินของบรรพบุรุษข้า คืนความเป็นไทและล้างแค้นให้เผ่าพันธุ์ของข้าที่ถูกมันเข่นฆ่า ปล้นชิง ข่มเหงมาเนิ่นนาน!"
"ผมขอให้คุณพบผู้กล้าสมความตั้งใจ..." วรินทร์ฟังเรื่องราวอันรันทดของสาวชาวเอลฟ์แล้วรุ้สึกเห็นใจและอวยพรให้เธอสมความตั้งใจ "และขอให้เขาสามารถช่วยเหลือพวกคุณขับไล่พวกอ็อคออกไปจากเมืองของพวกคุณ ผมเองก็อยากช่วยเหลือคุณบ้าง แต่..."
"อย่าตำหนิตัวเองเลย ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก ในสงครามครั้งนี้มีแค่ผู้ที่ถูกฝึกมา ทหารรับจ้าง นักผจญภัย หรืออัศวินเท่านั้นที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ได้! การที่ต้องมาสู้กับกองทัพอ็อคนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย" วรินทร์รู้สึกว่าเอลฟ์สาวนั้นพูดคุยกับเขาอย่างสนิทสนมราวสหายสนิท ไม่ปิดบังเรื่องราวอันใดแถมยิ้มแย้มเป็นมิตรเวลาพูดเรื่องทั่วๆไป แต่จะเคร่งเครียดหากพูดถึงเรื่องผู้กล้าและพวกอ็อค
"อื่อ..แล้วเมืองแชงกีร่านี่เป็นแบบไหนหรอ? ผมหมายถึงก่อนถูกพวกอ็อคเข้ายึดน่ะครับ"
"เมืองของเราก็สุขสงบ ผู้คนเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส ตัวเมืองวของเราตั้งอยู่ในทำเลดีอยู่ไกลออกไปทางตะวันตกของป่าเอ๊นท์ นอกจากพวกเอลฟ์แล้วก็มีคนแคระจากทางตอนใต้เข้ามาปลูกบ้านอาศัยอยู่แถบชานเมือง พวกนี้นำความรู้เรื่องเจียระไนเพชร พลอย อัญมณีต่างๆมาเผยแพร่ แล้วตอนที่พวกเรารวมกำลังต่อสู้กับพวกอ็อค พวกคนแคระก็เข้าร่วมต่อสู้อย่างยอมตายถวายชีวิตเช่นกัน และเป็นกลุ่มสุดท้ายที่อพยพออกไป หลังเห็นว่าเราไม่มีทางสู้พวกอ็อคได้"
"แล้วที่คุณบอกว่ายังมีพวกมนุษย์อาศัยอยู่ในเมืองคุณ พวกเขาช่วยสู้รบหรือเปล่า?"
"พวกมนุษย์เข้ามาหลังจากพวกอ็อคยึดครองเมืองของเราแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นนักผจญภัย พ่อค้า และทหารรับจ้าง พวกพ่อค้าจะมารับชื้อทาสชาวเอลฟ์ ถ้าเป็นผู้ชายจะเอาไปใช้งานหนัก ส่วนผู้หญิงจะถูกฝึกเอาไปขายเป็นทาส เพราะทาสสาวชาวเอลฟ์จะราคาดี พวกนักผจญภัยจะมารับจ้างออกสำรวจพื้นที่ของอาณาจักร ค้นหาแหล่งทรัพยากรใหม่ๆ ส่วนทหารรับจ้างจะรับงานควบคุมดูพวกเอลฟ์และจัดการพวกกระด้างกระเดื่อง ระยะหลังๆพวกมนุษย์เริ่มอพยพออกไปเหลือไม่ถึงร้อยคนเพราะพวกอ็อคเริ่มไม่ไว้ใจ เนื่องจากพวกมนุษย์ชอบตีสองหน้า ต่อหน้าก็รับใช้พวกอ็อค ลับหลังยุยงพวกเอลฟ์ให้ต่อต้านพวกอ็อค อย่างคนรักของ 'ลีย่า' ก็ถูกพวกอ็อคฆ่าตายเพราะหลงไว้ใจมนุษย์"
การสนทนามาถึงตรงนี้ทำให้พวกเอลฟ์สาวคนอื่นๆหันมามองชายหนุ่มด้วยสายตาขุ่นเคือง
วรินทร์พอฟังถึงวีรกรรมของพวกมนุษย์ชักใจคอไม่ค่อยดี ท่าทางจะแสบไม่เบา
"เอิ่ม...ที่ไหนๆก็มีคนดีคนเลว อย่าเหมารวมนะครับ" วรินทร์พูดขณะเริ่มระแวดระวังรอบๆตัว
บรรดาสาวเอลฟ์คนอื่นๆเริ่มหันมามองวรินทร์ สายตาดูจะไม่เป็นมิตรเท่าไหร่
"เอิ่ม...ผมเริ่มรู้สึกว่าง่วงแล้ว ง่า..ขอตัวนอนก่อนนะครับ"
"!?...." นายกองหญิงเอลฟ์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่คนอื่นๆกลับมองอย่างไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
"ท่านนายกองดูจะให้ความสนิทเจ้ามนุษย์เดนตายคนนี้มากไปแล้ว เล่าหลายเรื่องให้มันฟัง มันอาจจะเป็นสายลับของพวกอ็อคก็ได้ ข้าเห็นว่าเราไม่ควรไว้ใจมัน เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมสมควรฆ่ามันทิ้งดีกว่า!"
"ฆ่า!..." วรินทร์ที่แสร้งนอนขดตัวเอาศีรษะหนุนก้อนหินสะดุ้งเฮือกใจหายวาบ
"ช้าก่อนลีย่า!" นายกองหญิงรีบเอ่ยห้ามเอาไว้ " ข้ามีมนตร์อ่านใจของเอลฟ์ แม้ว่าจะไม่กล้าแข็งแต่ก็พออ่านใจของเขาได้... ชายคนนี้ไม่มีกลิ่นอายความชั่วร้ายและความอำมหิตของฆาตกรเลย และข้ารู้สึกว่าเขาน่าจะมีความสามารถพิเศษบางอย่างซ่อนอยู่ในตัว ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเราในวันข้างหน้าแน่ๆ แต่ถ้าชายคนนี้เป็นสายลับจริงอย่างเจ้าว่าจริง คงจะเป็นสายลับที่ซื่อและเซ่อที่สุดเท่าที่พวกอ็อคส่งมา!"
ฟังนายกองหญิงพูดแล้วทำให้คนแกล้งนอนหลับสบายขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่เต็มร้อยเพราะเกรงจะโดนจับมัดแล้วเชือดอีกรอบ นอกจากนายกองหญิงแล้ว บรรดาเอลฟ์สาวๆคนอื่นๆดูท่าจะมีความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับพวกมนุษย์ทั้งนั้น
"ถ้านายกองเห็นว่าเขายังวางใจได้ ข้าจะปล่อยไปก่อน แต่ถ้ามันทรยศเมื่อไหร่ ข้าขอเป็นคนเชือดมันเอง!!!"
เอลฟ์นักรบหญิงพูดเหี้ยมๆจนวรินทร์ที่นอนอยู่สะดุ้งเดินไปประจำหน้าที่ของตนเอง
เวลาล่วงผ่านไปเรื่อยๆ การรอคอยผู้กล้าของเหล่าเอลฟ์สาวดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด วรินทร์เองก็นอนไม่หลับสะดุ้งขึ้นนั่งเป็นระยะๆเวลามีเสียงประหลาด ความมืดให้ความรู้สึกน่าขนลุก กระแสของลมเปลี่ยน เสียงของกิ่งไม้ไหวเอนยามต้องลมแรงก็ชวนให้ขวัญผวา เสียงหวีดหวิวบาดหูราวเสียงวิญญาณกรีดร้องมาตามสายลม และทางด้านเอลฟ์สาวที่ยืนเฝ้าตรวจตราความปลอดภัยด้านหนึ่งหยุดเดินเมื่อเห็นเงาตะคุ่มๆบางอย่างห่างออกไป
"มีอะไรหรือ มาเรียน่า?" เอลฟ์นักรบหญิงที่เดินผ่านมาเอ่ยถามเพื่อน
"ทางนั้น! ข้าเห็นเงาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มันไม่ใช่ลมพัดฝุ่นคุ้งปลิวขึ้น"
ว่ากันว่า สายตาของเอลฟ์สามารถมองได้กว้างไกลกว่าคนธรรมดา สามารถมองเห็นชัดเจนในความมืดแม้จะมีระยะไกล จึงเหมาะกับอาวุธที่ต้องใช้สายตาเล็งอย่างธนู
"เตือนทุกคนให้ระวังตัวเร็วๆเข้า เรามีปัญหาใหญ่แล้ว!"
"พวกเราเตรียมต่อสู้ มีศัตรูไม่ทราบจำนวนกำลังมุ่งมาทางที่พวกเราอยู่"เสียงเตือนภัยบอกต่อๆกันไปในกลุ่มของพวกเอลฟ์สาว ส่วนวรินทร์ที่นอนกระสับกระส่ายอยู่สะดุ้งลุกขึ้นเมื่อได้ยินคำเตือน เขาผุดลุกขึ้นยืนเห็นพวกเอลฟ์สาวมีสีกังวลและเตรียมคันธนูคู่ใจสำหรับใช้ต่อสู้ ด้านนายกองเอลฟ์ก็กำลังพูดคุยกับอีกคนอย่างเคร่งเครียด 'สถานการร์น่าจะไม่ธรรมดา' วรินทร์สัมผัสได้จากสีหน้าแววตาขณะพูดคุย
"ถ้าเจ้าจะหนี ก็ควรรีบหนีไปในเวลานี้!" นายกองหญิงเดินมาบอกชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเข้มๆ
กึกๆๆ...เสียงย่ำเท้าหนักๆของสัตว์สี่เท้าดังมาไกลๆ วรินทร์พยายามเพ่งมองไปในความมืดเบื้องหน้าเพื่อหาที่มาของเสียงนั้น ท่าทางของพวกเอลฟ์สาวนักสู้ดูจะกดดันด้วยความตื่นเต้น ตามรูปการณ์แล้วน่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงไม่น้อยเพราะแม้แต่นายกองที่ดูสุขุมอย่างเดียโดร่ายังมีร่องรอยความกังวลบนใบหน้าปรากฏออกมาชัดเจน ภาพของเงาตะคุ่มๆใกล้เข้ามาพร้อมเสียงคำรามดุร้ายของสัตว์กระหายเลือด ลมหนาวเย็นพัดกรรโชกมาต้องผิวกายของวรินทร์เมื่อเปลวไฟที่เคยจุดไว้ดับวูบลงเพราะถูกดับเพื่อไม่ให้ศัตรูจับตำแหน่งได้
บรรดาสาวนักรบเอลฟ์เข้าแถวหน้ากระดานขึ้นสายธนูเล็งฝ่าความมืดไปยังเงาตะคุ่มๆกลุ่มนั้นที่ใกล้เข้ามา วรินทร์ใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นตะหนกและคิดในใจว่า 'สิ่งที่กำลังตรงมาคืออะไร แต่ที่แน่ๆท่ามกลางความกดดันหนักหน่วงนี้ ย่อมมีอันตรายร้ายแรงต่อชีวิตของทุกคน' และวินาทีนั่นเอง!
ฉึ่ก!!!
ตุ๊บ!
ร่างของนักรบสาวเอลฟ์คนหนึ่งล้มตึงลงโดยไม่ทันร้องสักแอะ นายกองหญิงผวาเข้าไปคว้าร่างนั้นขึ้นมาแต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเพราะที่ลำคอมีธนูสีดำดอกปักทะลุลำคอขาวผ่อง ใบหน้าสวยของนักรบหญิงเอลฟ์ผู้นั้นดวงตาเหลือกอ้าปากค้างมีเลือดไหลที่มุมปาก สภาพบ่งบอกว่าสิ้นใจทันที นายกองหญิงกัดฟันกรอดด้วยความแค้นใจและเอาฝ่ามือบางปิดตาของนักรบสาวผู้เคราะห์ร้าย แม้จะเสียใจทว่าตอนนี้คงไม่มีเวลามานั่งรำพึงรำพันใดๆ เพราะว่าสถานการณ์ตรงหน้าที่พวกเธอกำลังเผชิญร้ายกาจกว่าเป็นไหนๆ
"บัลร็อค!!!"
ดวงตาสีมรกตของนายหญิงฉายแววคลั่งแค้น และลุกขึ้นขึ้นสายธนูเล็งไปตรงหน้า ในขณะที่วรินทร์ขยับตัวมายืนดูเอลฟ์สาวที่เพิ่งเสียชีวิตไปด้วยอาการหน้าซีดตัวสั่น เขาเคยเห็นคนตายมาบ้างแต่ก็ไม่ได้เห็นจะการตายจะๆแบบนี้
ฟุ๊บ! ฟุ๊บ! ฟุ๊บ!
เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังมาอย่างรวดเร็ว และพวกนักรบหญิงต่างเอี้ยวกายหลบพัลวัน ลูกธนูสีดำปักลงพื้นจำนวนนับสิบๆดอกแต่ไม่โดนใคร และมันยังเผื่อแผ่มาถึงวรินทร์ที่อยู่หลังแถวของนักรบเอลฟ์หญิง ทำให้เขาต้องขยับหลบให้พ้นรัศมีสังหารไปอย่างจวนเจียน
"ตอบโต้มัน! ล้างแค้นให้ลีย่า อย่าให้มันรอดกลับไปแม้แต่ตนเดียว" เสียงของนายหองเอลฟ์สาวตะโกนสั่งขึ้น และธนูนับสิบก็ถูกยิงสวนกลับไปในความมืด แว่วเสียงลูกธนูปะทะบางอย่างในความมืดพร้อมๆเสียงร้องและเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นดังลอยมาตามสายลม วรินทร์พยายามบังคับอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้นและเพ่งมองฝ่าความมืดไปด้วยความอยากรุ้อยากเห็นว่าพวกนักรบสาวชาวเอลฟ์ กำลังต่อสู้กับอะไร
ฉึ่กๆๆๆ
กรี๊ดดดดดดดดดด
ห่าธนูสีดำถูกยิงสวนกลับมาอีกระลอก คราวนี้นักรบหญิงชาวเอลฟ์หลายคนถูกลูกธนูปักเข้าที่จุดสำคัญล้มลงหลายคน บางส่วนโดนเข้าที่ไหล่ โคนขา หน้าท้อง แถวหน้ากระดานเหลือคนยืนเพียง 4-5 คน และคนที่ไม่ถูกลุกธนูพยายามจะเข้าไปช่วยคนเจ็บ แต่ทว่าห่าธนูอีกระลอกก็ถูกกระหน่ำมาปักร่างของคนหวังดีจะช่วยประคองเพื่อน ร่างนั้นผงะพร้อมๆร่างที่ประคองล้มตึงลงกับพื้นมีลูกธนูปักร่างไม่ต่ำกว่าสิบดอก
วรินทร์อ้าปากค้าง แม้ว่าจะเคยเห็นฉากฆ่ากันตายในหนังสงครามหรือหนังสยองมาหลาบสิบเรื่อง แต่ว่าความรู้สึกมันเทียบไม่ได้กับภาพตรงหน้าที่ได้เห็น เพราะการตายตรงหน้ามันคือการเล่นจริง เจ็บจริง ไม่มีสลิง ไม่มีสตั้น
นายกองหญิงพยายามช่วยกันลากเพื่อนนักรบที่บาดเจ็บหนีห่าธนูอีกระลอกไปหลังต้นไม้ใหญ่ ส่วนคนอื่นๆที่ยังเหลือรอดก็พากันวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ หวังใช้เป็นเกราะกำบังป้องกันรักษาชีวิต
วรินทร์เองก็วิ่งมาช่วยประคองนักรบสาวที่บาดเจ็บ หิ้วปีกคนละข้างกับนายกองหญิงพยายามลากตัวหลบห่าธนูที่ระดมยิงมา จนกระทั่งมาหลบหลังต้นไม้สำเร็จ แต่ทว่าร่างที่ลากมาตาเหลือกค้างสิ้นลมหายใจไปเสียแล้ว
"บัดซบเอ้ย!!!" นายกองสาวตะโกนขึ้นมาอย่างแสนแค้นแน่นใจที่เห็นลุกน้องในสังกัดสิ้นใจตายไปต่อหน้า และทอดร่างนอนตายอีกหลายคนเกลื่อนพื้นรอบๆต้นไม้ใหญ่ เหลือรอดอยู่เพียง 4-5 คนเท่านั้น
"พวกมันมากันเป็นร้อย เรามีเพียงสิบกว่าคนไม่พอรับมือมันหรอกนายกอง!" นักรบสาวคนหนึ่งเอ่ยบอกนายกองหญิงของตน ดวงตาสีมรกตมีแววเคืองขุ่นด้วยความแค้นใหญ่หลวง พยายามขะโงกหน้าออกไปมองยังจุดที่เสียงฝีเท้าสับสนใกล้เข้ามาทุกที วรินทร์รู้สึกถึงความสะเทือนของพื้นดินแห้ง กลิ่นสาปสางของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้อาบน้ำมาแรมเดือนโชยมาเข้าจมูกฉุนกึก เสียงตะโกนโหวกเหวกด้วยอารมณ์ขึ้งโกรธดังสับสน
"พวกที่โจมตีเรา...เอิ่ม...มันคือพวกไหนครับ"
"พวกอ็อค!" เสียงของนายกองหญิงตอบด้วยความเข่นเขี้ยว ทำเอาวรินทร์ขมวดคิ้ว
'กรรรร....' เสียงคำรามของสัตว์ดุร้ายดังขึ้นพร้อมๆกับร่างสี่ขาขนหยาบหนาก้าวออกมาจากความมืด มันคือสัตว์ร้ายรูปร่างคล้ายสุนัขแต่ตัวใหญ่ราวม้าเทศ ปากยื่นยาวของมันเต็มไปด้วยเขี้ยวคมวาบวับ นัยน์ตาสีแดงก่ำ ยามมันคำรามน้ำลายเหนียวไหลเยิ้มปากดูน่าขยะแขยง บนหลังของมันมีร่างสูงใหญ่ของอสุรกายรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่หัวโล้นเลี่ยน ใบหน้ายาวหัวหลิ่มผิดรูป ดวงตาเล็กหรี่ จมูกแบนใหญ่ ปากแสยะกว้างมีเขี้ยวยาว มันนุ่งห่มเพียงผ้าเตี่ยวปิดบังอวัยวะเพศ ผิวกายสีเขียวเข้มมีกล้ามเป็นมัดๆปรากฏรอยเส้นเลือดปูดโปนราวจะปริแตกออกมา ตามหน้าอก ท่อนแขนท่อนขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ในมือถือหน้าอันใหญ่สะพายกระบอกลูกหน้าไม้และดาบโค้งยาวไว้ด้านหลัง
เมื่อเจ้าอมนุษย์ตนแรกขี่หลังสัตว์ร้ายปรากฏตัวจากเงามืดก็มีตัวอื่นๆเดินเรียงแถวตามออกมานับสิบ สภาพของอมนุษย์ตนอื่นๆก็ดูสยดสยองไม่ต่างกัน บ้างผมยาวเป็นกระเซิง บ้างใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูปจากการถูกอาวุธทิ้งความพิกลพิการและรอยแผลไว้บนใบหน้า พวกมันบางตัวสวมชุดเกราะผุๆขึ้นสนิม บางตัวห่มหนังสัตว์ที่ล่ามาได้ บางตัวก็สวมชุดหนังเกราะอ่อนที่ยึดมาจากศัตรูที่ถูกมันฆ่าในการต่อสู้
กึกๆๆๆ
กรรรร.....
"เดียร่า! เจ้ากับพรรคพวกมาทำอะไรที่นี่?" เสียงแหบต่ำของอสุรกายที่เรียกว่าอ็อคเอ่ยถามขึ้น มันบังคับสัตว์สยองพาหนะของตนเองก้าวผ่านร่างของเอลฟ์ที่ถูกลูกธนูปักร่างเสียงชีวิตเข้ามาใกล้ๆต้นไม้ ส่วนพวกอสุรกายแถวหลังบังคับพาหนะที่เหมือนหมาป่าตัวใหญ่ดุร้ายตามเข้ามาห่างๆแต่แสดงพฤติกรรมน่าสยดสยอง พวกสัตว์ร้ายพากกันแย่งกัดทึ้งซากศพของนักรบสาวฉีกชากเป็นชิ้นๆและกลืนลงท้องท่ามเสียงหัวเราะชอบออกชอบใจของพวกอมยุษย์บนหลัง กลิ่นคาวเลือดคุ้งทำเอาวรินทร์รู้สึกสะอิดสะเอียนจนแทบจะอ้วก นายกองหญิงเอลฟ์และพวกที่เหลือยืนมองอย่างเคืองแค้น แต่ดูเหมือนพวกเธอจะทำอะไรไม่ได้ นอกจากกัดฟันยืนมองด้วยความเจ็บใจ
"เจ้าก็รู้ว่าการฝ่าฝืนคำสั่งออกจากเมืองแชงกีร่าในยามวิกาล โทษคือตาย!" เจ้าอมนุษย์ตนนั้นไม่ได้สนใจมองความสยองด้านหลัง แต่กลับจ้องสบตาสีมรกตของเอลฟ์สาวที่ฉายนแววอาฆาตราวจะกินเลือดกินเนื้อของมัน
"แต่จะว่าไป...ถึงเจ้าจะทำผิดร้ายแรง แต่ข้าก็ตัดใจฆ่าเจ้าไม่ได้ เพราะว่าข้าติดใจหลงใหลในเรือนร่างของเจ้า ถ้าหากจะให้ข้ายกโทษให้ เจ้าคงรู้นะ...ว่าต้องทำอย่างไร เหอๆๆ"อมนุษย์ที่เรียกขานว่า ออร์ค มันคือสิ่งมีชีวิตแสนชั่วร้ายที่มากด้วยตัณหา ออร์ค ทั่วๆไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดแต่ว่ามันก็ไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดีนัก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงเอาแต่นุ่งหนังผ้าสั้นๆ ปิดเเค่อวัยวะ และชอบถือตะบองไม้ไล่ทุบชาวบ้าน ไม่ก็ชอบจับเด็กสาวมารุมโทรมจนตาย แต่ อ็อค จากทางเหนือเผ่านี้ฉลาดกว่าออร์คเผ่าอื่นๆ เพราะมีสมองแบบมนุษย์ แต่สันดานกระหายเลือดแบบสัตว์ป่ายังเหมือนเดิม
"อ็อคชั่วช้า!" นายกองหญิงสบถใส่พลางถ่มน้ำลาย "ข้ายอมตายเสียดีกว่าจะสมสู่กับอมนุษย์โสโครกอย่างเจ้า แม้ว่าข้าจะจนตรอก แต่อย่าหวังว่าจะยอมเป็นเชลยและทอดกายเป็นสมบัติของเจ้า!" นายกองสาวประกาศเสียงดังฟังชัด แววตาสีมรกตคู่นั้นเป็นประกายด้วยความชิงชัง
"น่าเสียดายจริงๆนะท่านบัลล็อค ที่นังเอลฟ์นี่เลือดทางตาย นางเป็นเอลฟ์สาวที่สวยจริงๆ ใบหน้านั้นเรียวงดงามราวกับปั้น เส้นผมสีทองเงายาวสลวย ผิวพรรณที่ขาวเนียนราวกับไข่มุก และหน้าอกหน้าใจที่ใหญ่โต ถ้าจับมากระแทกๆคงจะสะใจน่าดู ฮ่าๆๆ" อ็อคร่างย่อมกว่าตัวหัวหน้าเอ่ยบอกและบังคับหมาป่าที่กำลังเคี้ยวชิ้นส่วนซากเอลฟ์ให้เดินมาตีคู่
"หื่อ...กลิ่นอะไร?...กลิ่นอะไร?..." อ็อคตัวหัวหน้าทำจมูกฟุดฟิดๆดมกลิ่น เนื่องจากมีกลิ่มแปลกปลอมที่มันไม่คุ้นปะปนอยู่ในกลุ่มสาวเอลฟ์
"กลิ่นเนื้อมนุษย์นี่!..." เจ้าอ็อคตัวที่เข้ามาสอพลอสูดกลิ่นฟุตฟิตๆและอุทานออกมา ใบหน้ายาวบิดเบี้ยวมีเส้นผมกระหย่อมกลางกบาลจ้องดวงตาโหลลึกมองมาด้านหลังของบรรดาสาวเอลฟ์ 4-5 คนที่รอดชีวิต มันเห็นร่างผอมแห้งของวรินทร์ยืนตัวสั่นอยู่ "นั่นไง...มีมนุษย์อยู่ข้างหลังนังเอลฟ์พวกนี้ด้วยหัวหน้า"
"มนุษย์!?..."
"มีมนุษย์มาอยู่กับนังเอลฟ์ได้อย่างไง!?" เสียงของหัวหน้าอ็อคจอมกักขฬะเอ่ยขึ้น
"หรือมันนัดแนะกันออกมาวางแผนกระด้างกระเดื่องกับพวกเรา เดี๋ยวนี้เจ้าพวกมนุษย์มันไว้ใจไม่ได้ซะด้วย ตะก่อนทำงานรับเงินเราแล้วยังแอบไปยุยงพวกเอลฟ์ให้ต่อต้านเรา เผ่าพันธุ์มนุษย์เจ้าเล่ห์ไว้ใจไม่ได้ ไว้ใจไม่ได้..."
"แล้วหัวหน้าจะเอายังไงกับพวกมัน พวกมันฆ่าพวกเราตายไป 17 วาร์กตายไป 6 ตัว"
"ฆ่าไอ้มนุษย์นั่น แล้วเอาเนื้อมันมาแบ่งให้พวกเรากิน ส่วนนังพวกเอลฟ์ที่เหลือจับเป็น คนอื่นๆพวกเจ้าเอาไปแบ่งกันสนุกสนาน ส่วนเดียโดร่าเอามาให้ข้า!" คำสั่งของหัวอ็อคทำเอาสาวๆเอลฟ์พากันมีสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนวรินทร์ฟังแล้วใจตกวูบ เมื่อได้รู้ว่าพวกอ็อคไม่คิดเอาตนไว้ แถมยังจะเอาเนื้อตนไปแบ่งกันเหมือนพวกผีพรายก่อนอีก
"ยังไงข้าก็ไม่ยอมเป็นเครื่องบำเรอพวกอ็อค พวกเราเตรียมตัวสู้ตาย!" นายกองสาวชาวเอลฟ์ประกาศเสียงเด็ดขาด บรรสาวเอลฟ์ขึ้นสายธนูเตรียมยิง และเธอหันมาทางวรินทร์พลางโยนดาบเล่มหนึ่งให้ "ข้าบอกให้เจ้าหนีไปแต่แรก เจ้าก็ไม่ยอมไป คราวนี้เจ้าต้องปกป้องตัวเองแล้ว ขอให้เจ้าโชคดี"
"อะ...ง่า ...คือว่า..." วรินทร์รับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ด้วยสองมือท่าทางเก้ๆกังๆ เพราะในชีวิตของเขาไม่เคยใช้ดาบมาก่อน นอกจากไม่เคยใช้ดาบก็ไม่เคยมีเรื่องราวทะเลาะวิวาทกับใครสักครั้งในชีวิตอีกด้วย
"พวกเราสู้กับมันไม่ได้แน่ๆ ทางเดียวคือต้องฝ่าวงล้อมพวกมันหนีเอาตัวรอดไป อ็อคพวกนี้มันตัวใหญ่ อืดอาดเชื่องช้า พวกเราว่องไวกว่า คล่องตัวกว่า ถ้าสู้ไป หนีไป เราได้เปรียบ" นายกองสาวอธิบายให้บรรดาลูกน้องฟังถึงทางรอด
"เอิ่ม..." วรินทร์ถือสองมือขาสั่นพั่บๆขยับมาอยู่ด้านหลังของบรรดาสาวๆเอลฟ์ มองพวกอ็อคอย่างหวาดกลัว
"เล็งไปที่พวกวาร์ก ทำให้พวกวาร์กตกใจแตกตื่น จังหวะนั้นพวกเจ้าฉวยโอกาสหนีไปเลยนะ!" นายกองสาวชาวเอลฟ์เอ่ยบอกพลพรรคที่เหลือ สิ้นคำสั่งธนูทุกดอกก็ถูกเล็งยิงไปที่ใบหน้าของพวกหมาป่าวาร์กที่พวกอ็อคขี่อยู่
ฉึ่กๆๆ
โฮ้กกกกกกก.....พวกหมาป่าวาร์กแถวหน้าถูกธนูปักเข้าที่นัยน์ตา ปาก และบริเวณใบหน้าส่งเสียงร้องคำรามและสะบัดตัวด้วยความเจ็บปวด ทำเอาผู้อยู่บนหลังถูกสะบัดร่วงลงมาระเนระนาด และยังวิ่งไปชนตัวอื่นๆจนแตกตื่นโกลาหล สมดั่งที่นายกองสาวชาวเอลฟ์คาดการณ์ไว้
"หนี!" เสียงนายกองสาวชาวเอลฟ์ตะโกนบอก พวกเอลฟ์สาวที่เหลือพากกันวิ่งฝ่าวงล้อมออกมาโดยมีนายกองคอยยิงธนูเปิดทางให้
"อย่าให้พวกมันหนีรอดไปได้ ไอ้พวกโง่เง่ารีบๆขัดขวางมันไว้ แล้วจับตัวพวกมันให้ได้!" หัวหน้าอ็อคที่ควบคุมวาร์กได้ตะโกนบอกอย่างฉุนเฉียว หากแต่ความโกลาหลยังคงไม่หยุดลงง่ายๆ พวกเอลฟ์สาววิ่งฝ่าวงล้อมออกไปได้
"มัวยืนงงอะไรอยู่หล่ะ รีบๆหนีไปเร็วๆ!" นายกองสาวฉุดแขนของวรินทร์ที่ยังยืนขาสั่นจนไม่มีแรงวิ่งหนีให้วิ่งตามมาและฝ่าคมหอกคมดาบ ห่าธนู รวมทั้งเขี้ยวคมของหมาป่าวาร์กตามหลังพวกสาวเอลฟ์ไป บางครั้งก็ล้มลุกคลุกคลานแต่นายกองสาวงเอลฟ์ก็ไม่ทิ้งเขา พยายามฉุดกระชากลากถูให้เขาลุกขึ้นและวิ่งตามไป
เมื่อพวกอ็อคสามารถควบคุมแถวและหมาป่าวาร์กให้อยุ่ในความสงบได้ หัวหน้าของมันก็สั่งให้ตามไล่ล่าเหยื่อของมันทันที เสียงตะโกนด่าทอ สบถคำหยาบอย่างเกี้ยวกราดดังไล่หลังมาตลอดเวลา ห่าธนูจากหน้าไม้ถูกยิงสกัดตามหลังมาไม่เว้นว่าง ไม่มีเวลาให้พักหายใจ วรินทร์เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่ความกลัวตายทำให้เขากัดฟันฝืนวิ่งตามไป
"น่าตลกจริงๆ" วรินทร์คิดในใจ ก่อนหน้าเขาเพิ่งคิดฆ่าตัวตายมา แต่พอมาอยู่ในโลกนี้เขากลับวิ่งหนีพวกอมนุษย์เพื่อรักษาชีวิต และวิ่งหนีจนตอนนี้หายใจทางจมูกไม่ทันต้องอ้าปากช่วยหายใจ และยังไม่รู้การไล่ล่าจะจบลงอย่างไร
"กรี๊ด...!!!" ร่างของเอลฟ์สาวคนหนึ่งถูกธนูหลายดกอปักกลางหลัง เธอล้มคว่ำหน้าลงและพยายาจะตะเกียกจะกายหนีต่อ แต่ว่าฝูงหมาป่าวาร์กที่ตามมาไม่ให้โอกาส พวกมันตรงเข้าขย้ำร่างบอบบางของเธอและกัดกระชากด้วยคมเขี้ยววาววับขาดเป็นชิ้นๆแย่งกันกินลงท้องท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของเหยื่อมันที่ถูกฉีกกินทั้งเป็น
"โธ่! ฟีน่า..." เสียงของสาวชาวเอลฟ์อุทานขึ้นอย่างเสียใจที่เห็นเพื่อนดับดิ้นอย่างอนาถไปต่อหน้าต่อตาโดยช่วยเหลืออะไรไม่ได้ และตัวเธอเองก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อหัวหน้าอ็อคพุ่งหอกยาวเข้าใส่ที่หน้าท้องของเธอย่างแม่นยำ ปลายทะลุออกหลังพร้อมเลือดสดๆสีแดงทะลัก
"ฟีน่ากับเฮเลน่าเสียท่าพวกมันไปแล้ว!" เสียงตะโกนอย่างขวัญเสียของเอลฟ์สาวคนสุดท้ายตะโกนบอก ในขณะเห็นเพื่อนอีกคนถูกฝูงหมาป่ารุมกัดทิ้งทั้งเป็นส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน "มิรินด้าอีกคน โอ้...เทพวาร่าห์ นี่มันอะไรกัน"
"เราช่วยไม่ได้แล้ว รีบหนีเอาตัวรอด!" นายกองสาวชาวเอลฟ์ตะโกนเตือน แต่ก็ช้าไป!
"หัวหน้า ช่วยข้าด้วย กรี๊ดดดดดด...." เสียงของเอลฟ์สาวกรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อร่างของเธอถูกคมดาบจากนักรบอ็อคบนหลังหมาป่าวาร์กตนหนึ่งฟันจนเหวอะหวะ เธอล้มลงแต่ยังไม่สิ้นใจพยายามคลานหนีเอาชีวิตรอดแต่หัวหน้าอ็อกก็เอาหอกแทงเข้ากลางหลังทะลุหน้าอก เลือดสดๆไหลทะลักจากบาดแผลและปากบาง มันใช้เพียงมือเดียวยกหอกที่มีร่างสาวเอลฟ์ถูกเสียบอกหายใจระรวยรินชูขึ้นมากลางอากาศพร้อมหัวเราะชอบใจก่อนจะโยนไปกลางวงล้อมหมาป่าวาร์ก ร่างบอบบางถูกกัดทึ้งแย่งชิงชิ้นส่วนร่างกายส่วนต่างๆเป็นอาหารของมันอย่างสยดสยองอีกราย
"โธ่...ลาเฟีย...."
ยังกับอ่าน lord of the ring เลยครับ...ท่านนีโอนี่เขียนสั้นๆไม่เป็นจริงๆ ::Thankyou:: ::Orz::
รู้เขารู้เรา ร้อยรบมิพ่าย รู้ว่าตนเป็นเช่นไร เริ่มจะเก่งแล้วสินะพระเอกของเรา ติดตามเรื่องของท่านทุกเรื่องครับ ขอบคุณมากครับ
ธรรมดาขนาดทำงานยังไม่พอใช้ แล้วไปเกี่ยวข้องกับอบายมุขก็จบสิครับ โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
ผลงานใหม่ท่านนีโอมาแล้วววววว เป็นกำลังใจให้ท่านนีโอ แล้วจะรอติดตามผลงานใหม่ๆอีกน่ะครับ
ท่านนีโอฝีมือเชื่อขนมกินได้จริงๆ ครับ แนวนี้อย่างชอบเลยครับ เหมือนได้อ่านงานเขียนแฟนตาซีตะงันตกผสมโนเวลแฟนตาซีแบบญี่ปุ่น
ต่อให้ไม่มีฉากอย่างว่าก็สนุกครับ เหมือนเล่นเกม เหมือนอ่านนิยายแปลเลย
สนุกจนอยากอ่านตอนต่อไปไม่วางครับ ขอบคุณมากครับท่านนีโอ
เปิดตัวได้อลังการมากกก เอลฟ์สาว เล็มบัส อ๊อคหื่น นี่มัน LOTR ไทยแลนด์ ใช่มั๊ยยยย ::Glad::
ยอดเยื่ยมสมยี่ห้อนีโอจริงๆครับ อดใจรอตอนสองแทบไม่ไหวแล้ว เอลฟ์หนีตายกับชายโง่บรมมม
เนื้อเรื่องน่าติดตามดีครับ เหมือนพระเอกกาก ๆ เลยต้องสะสมเลเวลอัปสกิลไปเรื่อย ๆ
ขอบคุณครับ ความซวยไม่ได้เริ่มต้นตั้งแต่ตอนพ่อตาย แต่เริ่มที่คิดแทงบอลมากกว่า
ปล.ยังอ่านไม่จบครับ เดี๋ยวมาคอมเมนท์เรื่อยๆ ครับ
จากที่อ่านนะครับ รู้สึกไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวละคร อย่างเอฟล์ที่มาช่วยรบแล้วเลิกไป คิดยังไงถึงมา แล้วต่อมาทำไมถึงเลิก หรือเดียร์ร่า (ถ้าจำชื่อไม่ผิด) ทำไมถูกชะตา ตั้มๆๆๆ กับพ่อกากของเรา น่าจะมีเฉลยตอนต่อไปหรือเปล่า รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะครับ ^_^
ชีวิตของวรินทร์ช่างโหดร้ายจริงๆ พอมายุ่งเกี่ยวกับการพนันและยาเสพติด ชีวิตยิ่งดิ่งลงเหวลงไปอีก
นี่กำลังอ่าน แฮรี่พอร์ตเตอร์หรือปล่าว มันมากๆน่าติดตามอีกเรื่องหนึ่ง ขอบคุณที่นำมาลงให้อ่านครับ
โดยส่วนตัวแล้วชอบแนวต่างโลกเป็นทุนเดิมอยู่แล้วครับยิ่งมาได้อ่านแบบสยิวๆหน่อยนี่ ชอบมากเลย
จะติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆนะครับผม
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ ท่านนีโอมากๆครับ ที่นำเรื่องใหม่ มาให้อ่านกัน ขอเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์ ผลงานมาให้อ่านกันอย่างต่อเนื่องครับ
ดีใจที่ได้อ่านผลงานของคุณนีโออีกครั้ง ทุกเรื่องที่อ่านมาเนื้อหาเทพมากๆ ขอบคุณมากครับที่แบ่งปัน ::Orz::
อ่านตอนต้นนึกว่าแนวลูกทุ่งตามความถนัดของท่านนีโอ กลายเป็นเอลฟ์มาแจมเหมือนลอร์ดออฟเดอะริงซะงั้น มั่วแบบแฟนตาซีไม่ว่ากันครับ
แค่ตอนแรกก็ชวนให้ติดตามเสียแล้ว แนวเรื่องเหมือนนิยายชื่อดัง แต่มีบทพิศวาสกับเอลฟ์สาวเพิ่มเข้ามา คงต้องติดตามว่าตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร
นี่แหละครับที่กำลังตามหาอ่านอยู่เลย นิยายเกม online ทะลุมิติ แถมมีเรื่องเสียวอีกด้วย เป็นกำลังใจให้เขียนหลายตอน จะติดตามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเขียนจบเลยครับ
เป็นแนวที่ชอบมาก แต่น่าจะใส่รูป เอลฟ์ ประกอบหน่อยครับ นึกภาพตามไม่ค่อยออก
พระเอกขนานแท้เลย กว่าจะเก่งคงดำเนินเรื่องไปหลายตอนละ ติดตามเลยละกัน เอาใจช่วยท่านผู้กล้าของเราหน่อยน้าา ::DookDig:: ::DookDig::
ชอบพระเอกแนวนี้ครับ ขอเป็นกำลังใจเขียนต่อนะครับ ยังรอมนต์หมอผี origin เล่ม2อยู่นะพี่
นี่มันเกิดใน Lord of Thailand 4.0 เลยนะเนี้ยสนุกมากเขียนได้แจ่มแจ๋วมาก ::Shy::
จินตนาการลึกล้ำจริง ๆ กว่าจะโยงเป็นเรื่องออกมายาวขนาดนี้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ขอบคุณที่สร้างสรรผลงานให้ได้สัมผัสกัน
ในช่วงต้นเรื่อง บรรยายได้เข้าถึงความรู้สึกของคำว่าชีวิตบัดซบจริงๆเลยครับ แย่จนไม่รู้จะแย่ได้มากกว่านี้อีกไหม ส่วนอีกตอนช่วงที่วรินทร์สลบหลังจากรอดมาจากน้ำตกได้ ช่วงนั้นก็บรรยายได้ดี ทำให้นึกถึงหนังฮอลลิวูดที่พระเอกสับสนสลับไปมาระหว่างเรื่องจริงเรื่องมโน(นึกถึงเรื่องไฟท์คลับเลยครับ)ถึงจะรอดตายมาแต่เนื้อเรื่องก็ยังแฝงไปด้วยความหื่นนิดๆ(ไม่นิดแระ..น่าจะเยอะมากกว่านะ 555) เนื้อเรื่องมีการปูทางมาได้ดีมากครับ สามารถแต่งต่อไปได้อีกหลายตอนเลย(น้องๆLOSOเลย) แต่บางช่วงเหมือนจะอธิบายจนยืดยาวเกินไปจนอาจไม่จบแบบสั้นๆตามที่ท่านนีโอตั้งใจไว้ก็ได้นะครับ
ปล.ไม่รู้เนื้อเรื่องตอนนี้ ท่านแต่งตอนเจอมรสุมรึเปล่านะ เพราะอ่านแล้วบางช่วงตอนมีความรู้สึกคล้อยตามจนน่าเห็นใจมากจริงๆ(จนเผลอคิด ก็เพราะท่านจั่วหัวมาแบบนั้นนี่นา)
จิตนาการล้ำมาก แต่พระเอกก้อกากได้ใจจริง แต่เดวสักพักคงเทพ จ้องติดตามกันต่อไปยาว
น่าจะอีกนานกว่าพระเอกจะเก่ง แต่ตอนแรกก็จัดเต็มแล้ว อยากให้พระเอกเก็บเลเวลได้ไวๆจังครับ
เยี่ยมมากเลยคร้ับ อ่านสนุก ช่วนติดตามจริงๆ ถ้าทำเป็นรวมเล่นใหญ่ๆนี้ ไม่พลาดซื้อสะสมแน่นอนครับ
พระเอกของเรากากจิงไรจิง ยังกะหนังจีนกำลังภายใน เริ่มแรกกากต่อมาได้อาจารย์ดีกลายเป็นโคตรเทพ
::Bloody::สุดยอดสมชื่อ นีโอจริงๆครับตัวผมค่อนข้างชอบเรื่องที่พระเอกตกต่ำแล้วค่อยกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อยู่แล้ว จะรอติดตามการเติบโตนะครับ
::Horror:: บางทีชีวิตคนเราก็โชคร้ายซ้ำ โชคร้ายซ้อน จนเกินที่คนจะคิดได้ว่า ทำไมมันซวยซ้ำซากอย่างนี้