“อ๊ากกกกกกกกกกก ..... อ๊ากกกกกกกกกกก ..... อ๊ากกกกกกกกกกก”
เสียงร้องลั่นโหยหวนของเจ้าแวมไพร์ร่างยักษ์ดังก้องไปทั่วอีกครั้ง ก่อนที่มันจะสำรอกเอาของเหลว ที่ผสมปนเปกับเลือด ออกมาจากปากอีกกองใหญ่ แสดงให้เห็นว่าหมัดลุ้นๆของนายอาร์ตเมื่อครู่ ส่งผลกระทบไปถึงอวัยวะภายในของมัน จนบอบช้ำแทบแหลกเหลว นี่ถ้ามันเป็นแวมไพร์ชั้นปลายแถวทั่วไป ป่านนี้มันคงจะสิ้นชื่อไปนานแล้ว แต่กระนั้นสภาพมันตอนนี้ก็ไม่ได้ดีกว่านั้นไปเท่าไหร่เลย เพราะแค่มันพยามจะพยุงตัวขึ้น ความเจ็บปวดก็เล่นงาน จนมันต้องล้มกระแทกพื้นไปอย่างสิ้นท่า
“มึ ............ ง !!” ความเจ็บปวดยังตามเล่นงานเบลลิคไม่หยุด ขนาดแค่มันพยามจะพูดความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านจนมันไม่อาจจะเอ่ยออกมาเป็นคำได้เลย ครั้นมันจับจ้องไปยังมนุษย์ตัวน้อยที่เป็นผู้สร้างความบอบช้ำ ความเกี้ยวกราดที่มีอยู่ในตอนแรกก็แทบมลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้แค่เพียงความหวาดผวาเท่านั้น ก็เพราะสายตาที่คู่นั้นที่จับจ้องมาที่มัน มันช่างดูเหี้ยมเกรียม โหดร้าย และน่าหวาดหวั่นอย่างที่มันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ไม่ทันที่มันจะคิดอะไรต่อ ร่างตรงหน้าพุ่งทะยานเข้ามาจู่โจมมันแล้ว !!
ตูมมมมมมมมมมมมม !! เสียงกระแทกจากการโจมตีของชายหนุ่มดังกึกก้องราวกับเสียงระเบิดยังไงยังงั้น ทั้งๆที่การโจมตีเมื่อครู่ก็แค่เพียงการกระโกดถีบเท้าเท่านั้นเอง ส่วนผลของการจู่โจมนั้น ก็ก่อให้เกิดหลุมลึกขนาดใหญ่ใต้เท้านายอาร์ต และตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือนขนาดแผ่นดินไหวย่อมๆ เล่นเจ้าแวมไพร์มาโฮนหน้าตาตื่นเพราะเขตอาคมที่มันกางไว้ทานแรงไม่ไหวจนแทบจะปริแตก จนมันถึงกับต้องอุทาน “แค่โจมตีธรรมดาเท่านั้นน่ะ.......”
แต่เจ้าแวมไพร์เบลลิคก็ยังไวพอ เสี้ยววินาทีก่อนที่การโจมตีนั้นจะมาถึงตัว มันก็กลิ้งหลบไปได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นมันก็รวมพลังอีกเฮือก ก่อนจะรีบคลานไปหาแวมไพร์ทั้งสองตนที่อยู่ด้าน พร้อมกับร่ำร้องอย่างตื่นตระหนก “พวกเจ้าทำอะไรสักอย่างสิโว้ยยยยยยยยย !!”
“ผลึกเกล็ดน้ำแข็ง !!” ก่อนจะมีใครจะขยับตัว เวโรนิก้าก็พุ่งทะยานมาด้านหลังนายอาร์ต พร้อมกับร่ายเวทย์ดังลั่น ไอเย็นจัดของเวทย์น้ำแข็งเลเวล 6 ถูกปล่อยออกจากมือทั้งสองข้างของเธอทันที แค่พริบตาเดียว ไอเย็นเหล่าก็เกาะกุมไปร่างของนายอาร์ตแล้วเปลี่ยนเป็นผลึกน้ำแข็ง คลุมทั้งร่างของเขาไว้จนเหมือนรูปสลักน้ำแข็งก็ไม่ปาน “หยุดมือก่อนเถอะค่ะท่านอาลูคาร์ด”
“ฮ่าๆๆ ทำได้เจ๋งมากเวโรนิก้า” เจ้าเบลลิคหัวเราะร่าอย่างสะใจ ที่เห็นร่างผู้ที่ไล่ต้อนมันเมื่อสักครู่สิ้นท่าอยู่ภายใต้ผลึกน้ำแข็ง และมันก็ไม่ปล่อยช่วงเวลานี้ไปเฉยๆแน่ ว่าแล้วมันก็จัดการเอาคืนทันที “ทีกูละมึงงงงงงงงง !! ประกายแสงสายฟ้าฟาด”
พลังธาตุสายฟ้าในอากาศถูกดึงดูดมารวมไว้ที่อุ้งมือของเจ้าแวมไพร์ยักษ์ ก่อนจะรวมผสานเข้ากับพลังมาน่าในร่างของมัน เพื่อรวมเป็นมนต์ทำลายของธาตุสายฟ้าในระดับเลเวล 6 ชั่วพริบตาที่การผสานเสร็จสมบูรณ์ เจ้าเบลลิคก็ซัดพลังสายฟ้าที่รุนแรงนั้นเข้าในร่างน้ำแข็งตรงหน้าทันที
“เจ้าโง่ ………. !!”เวโรนิก้าตวาดดังลั่น ที่เธอเลือกใช้เวทย์น้ำแข็งก็เพื่อเพียงจะหยุดการเคลื่อนไหวของร่างนายอาร์ตโดนให้เกิดการบาดเจ็บน้อยที่สุดเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่า เจ้าแวมไพร์หน้าโง่ตรงหน้ากับอาศัยโอกาสนี้ ใช้เวทย์ของเธอไปเสริมกับเวทย์สายฟ้าของมันแทน โดยที่แม้แต่ตัวเธอก็ไม่อาจหยุดยั้งการโจมตีนั้นได้ เนื่องจากตัวเธออยู่ในระหว่างใช้เวทย์ระดับสูงอยู่นั่นเอง ตัวเธอในตอนนี้ทำได้แค่เพียงมองดูกระแสไฟฟ้าแรงสูง พุ่งเข้าใส่ร่างชายหนุ่มตรงหน้าเท่านั้น
.
.
“โล่พิทักษ์ธาตุลม”
.
.
แต่ชั่วพริบตานั้นเอง ............. โล่พิทักษ์ธาตุลมสีขาวก็ถูกกางขึ้นหน้าร่างชายหนุ่ม โล่นั้นดูดกลืนพลังเวทย์อีกสายที่แพ้ทางเข้าไปจนหมด ก่อนจะสะท้อนเวทย์สายฟ้านั้นกลับไปยังผู้ร่าย จนเจ้าเบลลิคถึงกับล้มทั้งยืน ไม่แค่นั้น ผลึกน้ำแข็งที่เกาะกุมทั่วร่างของชายหนุ่มนั้นก็ระเบิดออกกระจัดกระจายไปทั่ว เศษน้ำแข็งก้อนหนึ่งก็พุ่งใส่ร่างเวโรนิก้า จนตัวเธอต้องเซถลาไปตามแรง ได้รับบาดเจ็บไปเช่นกัน
“ร่ายเวทย์โล่ห์พิทักษ์ได้ ทั้งๆที่โดนผนึก พร้อมกับใช้เวทย์ธรรมดาสะลัดผลึกน้ำแข็งจากภายใน ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ .... ระดับของท่านอาลูคาร์ด ต่างจากพวกเราจนเกินไป” เจ้าแวมไพร์มาโฮนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเลยสามารถเข้าใจได้ในทันที “จัดการแวมไพร์ระดับแม่ทัพได้ 2 ตัวในชั่วพริบตา แล้วแบบนี้เราจะทำไงดีว่ะ”
แต่ชายหนุ่มตรงหน้า นอกจากจะไม่ยินดียินร้ายในผลงานของตัวเองแล้ว ตรงกันข้าม ดูท่าเขาจะไม่สบอารมณ์อีกด้วย “การผสานร่างยังไม่สมบูรณ์ พลังของข้าโดนลดทอนไปมากขนาดนี้เลยรึ เจ้านั่นโดนข้าโจมตีไปถึง 3 ครั้ง แต่มันก็ยังรอดมาได้ แถมเวทย์ของนางแวมไพร์นั่น ข้าก็ป้องกันไม่ทัน ฮึ ! ท่าทางข้าจะยังควบคุมร่างนี้ไม่ได้ดั่งใจง่ายๆแน่”
เขาค่อยๆเดินเข้าไปช้าๆ เป้าหมายก็คือแวมไพร์ร่างยักษ์ตรงหน้าที่พึ่งโดนเวทย์สายฟ้าสะท้อนเข้าไปจังๆ นับว่าเจ้าเบลลิคนี่อึดไม่น้อยเลย โดนเข้าไปขนาดนี้แต่ก็ยังทนอยู่ได้ แต่สภาพของมันก็ร่อแร่เกินทน ชายหนุ่มไม่รีบร้อนเข้าไปจู่โจมนัก เพราะเขามีบททดสอบอย่างอื่นที่อยากทดสอบมากกว่า
“ขอยืนเจ้าเป็นเป้าทดสอบพลังเวทย์ของข้าหน่อยน่ะ” เขาเอ่ยเบาๆแต่แผงไว้ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม มวลพลังธาตุมหาศาลในอากาศ โดนดึงดูดเข้ามาร่ายล้อมรอบตัวเขา ก่อนที่เขาจะใช้พลังมาน่าระดับแวมไพร์ใน ตำนานหน่วงพลังธาตุเหล่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นให้กลายเป็นลูกไฟทรงกลมขนาดใหญ่ราวกับพระอาทิตย์ก็ไม่ปาน “เริ่มจากเวทย์ธาตุไฟเลเวล 9 นี่แหละ ........... จักรพรรดิแดง !”
ลูกไฟขนาดใหญ่ที่เกิดจากเวทย์มนต์ระดับเลเวล 9 สาดแสงส่องประกายไปทั่วบริเวณ เปลี่ยนเอาท้องฟ้าที่มืดมิดของยามค่ำสว่างไสวราวกับเวลาเที่ยงวัน บ่งบอกถึงอานุภาพของมันได้เป็นอย่างดี และก็บ่งบอกได้ถึงชะตาของเป้าหมาย ว่าไม่มีทางที่จะหลุดพ้นลูกไฟดวงนี้ไปได้เลย เจ้าเบลลิคได้แต่สั่นเป็นเจ้าเข้าอย่างตื่นกลัว ของเสียในร่างกายไหลทะลักราวกับเขื่อนแตก ครั้นจะใช้สมองหาทางรอด ปัญญาของมันก็ด้อยเกินกว่าจะคิดอะไรได้ทัน สุดท้ายมันก็ทำได้แต่เพียงนั่งรอความตายที่กำลังคลืบคลานมาตรงหน้าเท่านั้นเอง
.
.
บรึมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม !!
.
.
แต่ชั่วพริบตานั้นเอง ลูกไฟขนาดใหญ่ราวกับพระอาทิตย์ดวงน้อยนั้นก็ระเบิดสั่นกลางอากาศ ท่ามกลางความตื่นตกใจของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่เว้นแม้แต่ราชาแวมไพร์อาลูคาร์ดที่อยู่ในร่างชายหนุ่ม เพราะอะไรกัน ทำไมอยู่ๆดวงไฟเวทย์ของเขาจึงระเบิดไปก่อน เพราะมาน่าของเขาไม่พอจะหน่วงพลังธาตุของดวงไฟงั้นเหรอ ไม่ใช่ มันเกิดมาจากที่เขายังไม่สามารถควบคุมร่างนี้ได้เต็มที่ พลังมาน่าก็เช่นกัน เขาไม่อาจะหน่วงรั้งพลังไว้ได้ตลอด เมื่อเขาทดลองใช้พลังเวทย์ชั้นสูง มันจึงระเบิดไปก่อนนั่นเอง แต่ไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไรต่อ แรงระเบิดจากดวงไฟก็กระแทกร่างเขาลอยกระเด็นออกไปทันที
“แฮ่ก ๆๆๆๆๆ” ชายหนุ่มหอบหายใจอย่างแรงตัวโยน เหงื่อกาฬของเขาผุดขึ้นเต็มร่าง จนเสื้อผ้าของเขาเปียกโชกไปหมด เล่นเอาเขาสิ้นเรี่ยวแรงแม้แต่จะเอ่ยคำใดๆออกมาเลยทีเดียว แต่ดูท่าผลกระทบจะไม่ได้มีแค่นั้น เพราะวิญญาณอาลูคาร์ดในร่างของเขาไม่อาจทนกระแสพลังที่ปั่นป่วนในตัวได้ สุดท้ายก็หลุดออกจากร่างเข้ากลับไปสู่โลกของจิตใต้สำนึกอีกครั้ง และเป็นวิญญาณของนายอาร์ตที่กลับเข้ามาครองร่างใหม่ เท่ากับว่า ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนดังเดิม
แต่ดูท่างานนี้ คนที่ดีใจที่สุดก็คงไม่พ้นเจ้าแวมไพร์ยักษ์เบลลิคนี่แหละ เมื่อครู่นี้มันเกือบจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปอยู่แล้ว แต่เพราะเหตุใดมันก็ไม่รู้ อยู่ๆเจ้าดวงไฟนั่นก็ระเบิดไปก่อน แถมพลังมาน่าของเจ้ามนุษย์ที่ไล่ต้อนมันเมื่อครู่ก็กำลังลดระดับลงจนไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ความคิดชั่วร้ายบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว มันค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะเดินโซเซไปที่ร่างของนายอาร์ต มือข้างหนึ่งของมันดูดเอาพลังธาตุมารวมกันจนเกิดประกายแสงออกมา พร้อมกับคำรามอย่างกราดเกรี้ยว “เมื่อกี้ทำกูแสบนักน่ะมึง กูขอเอาคืนหน่อยเถอะว่ะ ..... ทุบหินผา !”
หมัดที่รวบรวมพลังธาตุของเจ้าเบลลิคถูกปล่อยเข้าใส่ทันที พร้อมกับเสียงร้องลั่นอย่างเจ็บปวด
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก”
แต่เสียงร้อง กับเป็นเสียงของเจ้าเบลลิคซะเอง เพราะทันทีที่มันปล่อยหมัดออกไปนั้นก็มีร่างบางร่างหนึ่งมาขวางกลางพร้อมกับร่ายเวทย์ โล่พิทักษ์ธาตุไฟ ขึ้นมาขวาง และทันทีที่หมัดธาตุดินปะทะเข้ากับโล่ธาตุไฟ เจ้าแวมไพร์ยักษ์ก็ต้องร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“ทำอะไรของเจ้าว่ะ เวโรนิก้า !” มันร้องถามแวมไพร์สาวตรงหน้าอย่างเดือดดาด
“ข้าต่างหากที่ต้องถาม เจ้าคิดจะทำอะไรเบลลิค เจ้าจะทำร้ายท่านอาลูคาร์ดหรือไง” แวมไพร์สาวเอ่ยตอบเสียงเรียบ แต่คำถามของเธอก็เล่นเอาเจ้าแวมไพร์ยักษ์ถึงกับสะอึก แต่ไม่ทันที่มันจะพูดอะไรตอบ แวมไพร์คู่หูของมันก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
“ก็ทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างไงล่ะเวโรนิก้า” เจ้าแวมไพร์มาโฮนเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะทะยานเข้ามาร่วมวง “เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ เมื่อครู่ท่านอาลูคาร์ดคลุ้มคลั่งไม่สามารถควบคุมพลังของตนเองได้ ถ้าส่งท่านไปทั้งอย่างนี้ ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อท่านลินคอร์นหรือท่านเลอเซอโร่ก็ได้ ยังไงเราก็หาทางควบคุมท่านอาลูคาร์ดก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
“แค่หักแขนหักขาสักหน่อยไม่เป็นอะไรหรอกน่าเวโรนิก้า ถึงยังไงเดี๋ยวเราก็ใช้เวทย์รักษาทีหลังได้ไม่ใช่เหรอ” เจ้าเบลลิคพูดจบก็เค้นเสียงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย แวมไพร์สาวก็ได้ขบกรามกรอดอย่างเจ็บใจ เธอรู้ดีว่าไอ้เหตุผลที่พวกมันยกมาเมื่อครู่นี้น่ะก็แค่ข้ออ้างชัดๆ พวกมันแค่อยากเอาคืนท่านอาลูคาร์ดเท่านั้น แต่ในเมื่อเธอไม่สามารถหาเหตุผลใดมาหักล้างพวกมันได้ เธอก็ไม่อาจขวางมันได้อีกแล้ว
เจ้าแวมไพร์เบลลิคขยับเข้าไปหาชายหนุ่มช้าๆไม่รีบร้อน ก่อนจะตวัดเท้าเข้ากลางลำตัวนายอาร์ตอย่างแรง จนร่างของเขาถึงกับลอยกระเด็นไปตามแรงช้างสารของเจ้าแวมไพร์ พร้อมกับกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ท่านกลางเสียงหัวเราะอย่าสะใจของเจ้าแวมไพร์ตรงหน้า ไม่พอแค่นั้นมันยังตามมาที่ร่างของชายหนุ่มก่อนเหยียบขยี้ไปบนข้อเท้าของเขา “ฮ่าๆๆๆ ไงล่ะมึง หมดท่าแล้วเหรอว่ะ ถ้างั้นกูขอข้อเท้าขวามึงก่อนล่ะน่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“อ๊า .............................” ชายหนุ่มร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด เขาพยามดิ้นรนอย่างเต็มที่ แต่ว่าเพราะเรี่ยวแรงที่เหือดหายบวกกับความเจ็บปวดที่ยิ่งทวีคูณ ทำให้เขาไม่อาจจะดิ้นหลุดได้เลย ......
“อาร์ต ............” วิเวียนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่ห่างเอ่ยออกมาช้าๆ ภาพที่เห็นชายคนรักโดนทำร้ายตรงหน้าทำให้เธอเรียกแรงฮึดออกมาได้อีกครั้ง เพราะคนที่จะช่วยเขาได้ในตอนนี้ก็มีแค่เธอคนเดียว แต่จะทำอย่างไรล่ะ เพราะแม้ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเธอจะทุเลาไปมากแต่ด้วยเวทย์ธาตุลมแค่เลเวล 4 ก็ไม่เพียงพอที่ช่วยเขาได้แน่
.
.
ถ้าจะช่วยเขาก็ต้องใช้เวทย์มนต์ที่ระดับสูงกว่านั้น !!
.
.
แต่ ........... มนต์ระดับสูงที่ว่าของเธอ โดนสั่งห้ามโดยตรงจากสาธุคุณรอส เพราะถ้าขืนใช้มันโดยพลการก็จะส่งผลกระทบถึงเหล่าพรีสและมนุษย์ทุกคน แต่ถ้าไม่ใช้ เธอก็ไม่อาจช่วยชายคนรักของเธอได้อีกแล้ว ..... เธอควรจะทำอย่างไรดี
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของชายคนรักดังกระทบโสตประสาทของเธออีกครั้ง และคราวนี้ดูเหมือนมันจะทำให้เธอ ตัดสินใจได้สักที
“ขอโทษนะคะ ท่านพ่อ วิเวียนตัดสินใจแล้ว” หญิงสาวพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะยันกายยืนขึ้น พร้อมกับสูดหายใจช้าๆ จากนั้นก็เร่งเร้าพลังมาน่าในร่างจนถึงขีดสุด ก่อนจะใช้มันดึงรั้งเอามวลกระแสธาตุเข้ามารายสู่ร่างกาย ก่อนจะแปรสภาพพลังธาตุธรรมชาติเหล่านั้น ให้กลายเป็นพลังเวทย์อันทรงพลังในระดับเลเวล 6
“นังพรีสนั่น ยังลุกไหวด้วยอีกเหรอ” เวโรนิก้าเอ่ยเบาๆ ก่อนที่เธอจะสังเกตุบรรยากาศรอบข้าง “กระแสพลังธาตุไหลเวียนแบบนี้ นี่เจ้าใช้เวทย์ระดับเลเวล 6 ได้ด้วย !”
“หึ .... สรุปว่าที่ผ่านมานางใช้แต่เวทย์ธาตุรองงั้นสิ งั้นธาตุที่แท้จริงของนางคงไม่ใช่ธาตุลมสิน่ะ นี่คงคิดเก็บเวทย์ธาตุหลักไว้ใช้ทีหลังงั้นสิ” เจ้าแวมไพร์มาโฮนกล่าวเสริม
“สุดท้ายมันก็เหมือนเดิม กะอีแค่พลังเวทย์เลเวล 6 มันจะทำอะไรได้ว่ะ” เจ้าเบลลิคกล่าวเย้ยหยัน ก่อนที่มันจะล่ะความสนใจจากร่างชายหนุ่มใต้ฝ่าเท้า มาเป็นหญิงสาวที่กำลังร่ายเวทย์ตรงหน้า “หึ ! ลุกขึ้นมาก็ดีแล้วอีดอก เมื่อกี้กูยังเย็ดไม่สะใจเลย”
“เจ้าโง่ ถอยออกมา เรายังไม่รู้ว่านางใช้เวทย์ธาตุอะไร” แวมไพร์สาวร้องบอกเมื่อเห็นเจ้าแวมไพร์ร่างยักษ์เดินย่างกรายเข้าไปหา เพราะตอนนี้ร่างของพรีสสาวตรงหน้ามีแสงสีขาวเรืองรองออกจากร่าง ดูท่านางคงร่ายเวทย์เสร็จแล้ว
“กลัวอะไรว่ะเวโรนิก้า ดูท่าก็รู้ว่าธาตุที่นางใช้ไม่ใช่ธาตุไฟ ถ้าไม่ใช่ธาตุที่ข้าแพ้ทางมันก็ทำอะไรเวทย์ปรานคุ้มกายของข้าได้หรอก” ว่าแล้วเจ้าเบลลิคก็ร่ายเวทยปรานคุ้มกายธาตุดินระดับเลเวล 6 ทันที พร้อมกับกล่าวเย้ยพรีสสาวตรงหน้า “กูจะให้มึงซัดมาก่อนสักทีก็ได้ มึงจะได้สำนึกไงว่าไอ้ไม้ตายก้นหีบของมึงมันไม่ได้ผลหรอก โว้ย !”
“ลำแสงสะเก็ดดาว ............ จงก่อร่างเป็นหอก” ทันที่ที่หญิงสาวเอ่ยจบ ประกายแสงเรืองรองเหล่านั้นก็ไหลมารวมกันที่ฝ่ามือ ก่อนมันจะรวมร่างจนมีลักษณะคล้ายหอกใบใหญ่ และเสี้ยววินาทีนั้นเอง หญิงสาวก็ซัดหอกลำแสงพุ่งเข้าใส่เป้าหมายตรงหน้าทันที หอกลำแสงที่พุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงแค่ชั่วพริบตาก็เสียบเข้ากลางอกเจ้าแวมไพร์ยักษ์อย่างจัง
เจ้าแวมไพร์ยักษ์มองภาพหอกที่เสียบกลางอกตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ยังไม่ทันที่มันจะส่งเสียงอะไรออกจากลำคอร่างของมันก็กระตุกวาบ 1 ครั้ง พร้อมกับมีสำแสงสีขาวที่ส่องแสงออกมาจากภายใน ก่อนที่ร่างของมันจะ สลายกลายเป็นผงธุลีไปในทันที ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของแวมไพร์ร่วมศึกของมันทั้งสอง
“พลังแบบนี้ นี่มัน ....... ธาตุแสง !! เวทย์ธาตุแสงสว่าง !!” เวโรนิก้าเอ่ยออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็น แต่หลายๆอย่างก็ตรงตามที่บันทึกเก่าแก่เคยกล่าวไว้ ถึงธาตุในตำนาน 2 สายที่อยู่นอกสาระบบ 5 จักรวาล
“ธาตุนั่นมันมีแต่ในตำนานไม่ใช่เรอะ” แวมไพร์มาโฮนกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ แม้ภาพที่เห็นมันจะฟ้องความจริงที่อยู่เบื้องหน้า
“เจ้าก็รู้จักผู้ที่ใช้ธาตุความมืดไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมจะมีธาตุแสงสว่างไม่ได้” แต่ไม่ทันที่เวโรนิก้าจะกล่าวอะไรต่อ หอกลำแสงด้ามที่สองก็ซัดออกมาแล้ว บีบให้เจ้าแวมไพร์ทั้งสองต้องถอยฉากออกจากร่างชายหนุ่ม
“ถอยก่อน เวโรนิก้า” เจ้ามาโฮนพอเห้นท่าไม่ดีก็จึงร้องตะโกนก่อนสะบัดร่างเปลี่ยนเป็นฝูงนกจำนวนมากบินหายไปทันที ทิ้งให้เวโรนิก้าต้องมองตามอย่างเจ็บใจ ก่อนที่เธอจะจำใจล่าถอยกลับไปอีกคน
“อาร์ตไหวไหม” วิเวียนวิ่งเข้าไปดูอาการชายคนรักทันที โชคดีที่เขาบาดเจ็บไม่มาก ข้อเท้าก็แค่ช้ำนิดหน่อยยังไม่ถึงกับหัก เธอจึงค่อยๆพยุงร่างเขาขึ้นก่อนมองหาพาหนะ “ไปที่รถเถอะ”
โชคดีที่รถยุโรปคันใหญ่ของไอ้ตุ๋นยังเสียบกุญแจคาไว้ วิเวียนจึงประครองร่างนายอาร์ตไปนั่งข้างคนขับ ก่อนที่เธอจะขับทะยานมันออกไปทันที จุดหมายก็คือรีบกลับไปยังบ้านที่พักให้เร็วที่สุด แต่ขับออกมาได้ไม่นาน หญิงสาวก็พบความผิดปกติในร่างกาย มีพลังบางอย่างไหลเวียนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
แถมยังอัดแน่นไปหมดราวกับไม่สามารถระบายออกได้ เล่นเอาหญิงสาวรู้สึกทรมานจนหายใจไม่ออก จนในที่สุดเธอก็ต้องหักรถลงข้างทาง
“วิเวียนคุณเป็นอะไร” นายอาร์ตร้องเสียงหลงเมื่อเห็นอาการหญิงสาวตรงหน้า แต่เธอก็ไม่อาจจะอธิบายได้ ว่านี่มันเกิดจากการที่เธอฝืนใช้เวทย์มนต์ระดับสูงกะทันหันจนเกินไป ร่างกายที่ยังไม่ได้ปรับสภาพมาก่อนจึงปรับตัวไม่ทัน กระแสพลังมาน่าในร่างจึงไหลเวียนปั่นป่วนไปเช่นนี้
‘วิธีแก้ก็คือต้องระบายมันออก’ วิเวียนสูดลมหายใจช้าๆเพื่อจะปรับพลังมาน่าในร่างให้หยุดปั่นป่วนชั่วคราว ก่อนที่สายตาเธอจะจับจ้องไปยังเป้าหมายเบื้องหน้า นั่นก็คือเจ้าท่อนเอ็นขนาด 8 นิ้ว ที่ซ่อนอยู่ภายใต้กางเกงของชายข้างกายเธอนั่นเอง
“วิเวียน เดี๋ยวก่อน วิเวียนนนน” นายอาร์ตเอ่ยอย่างตกใจที่หญิงสาวคนรักของเขาเมื่อครู่ยังแสดงท่าทางบาดเจ็บอยู่เลย แต่ตอนนี้เธอกลับกระโจนเข้าใส่เขา ก่อนจะปลุกปล้ำจนกางเกงเขาหลุดหายไปอย่างรวดเร็ว และทันทีที่เจ้าท่อนเอ็นนั้นเป็นอิสระ หญิงสาวก็ไม่รอช้า จับมันดูดเข้าปากอย่างรุนแรง
“อุยยยยย วิเวียน ซี๊ดดดดด” ชายหนุ่มเผลอร้องออกมาอย่างสุดกลั้น ริมฝีปากที่สวยงามได้รูปของเธอทำหน้าที่ได้ดีเสมอ โดยเฉพาะครั้งนี้ มันรูดขึ้นสุดลงสุดอย่างรุนแรง กลับกับที่เธอใช้ลิ้นโลมเล้าไปทั่วบริเวนหัว แค่นี้ไม่นานเจ้าท่อนเอ็นก็ถูกปลุกให้ขนาดขยายใหญ่เต็มที่ แต่ริมฝีปากคู่นั้นก็ยังทำหน้าที่ไม่หยุดเธอยังโม๊คให้เขาอย่างรุนแรงเช่นเดิม และในเมื่อท่อนเอ็นมันขยายขึ้นเช่นนี้ ก็แปลว่ามันต้องเข้าไปลึกมากกว่าเดิม บางจังหวะมันแทงลึกเข้าไปถึงในคอหอยเธอเลยทีเดียว
“โอ๊ะ .....” นายอาร์ตร้องอย่างตกใจเล็กน้อย เพราะเนื่องจากว่า อยู่ๆหญิงสาวก็ปรับเบาะเขาให้เอนลงโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อ เธอก็พลิกกายขึ้นค่อมเขาแล้ว สถาพเธอในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเขาเลย ท่อนล่างที่เปลือยเปล่า เนินสวาทที่เปียกเยิ้ม กำลังเคลื่อนกายลงมาช้าๆ ก่อนที่จะค่อยๆกลืนท่อนเอ็นขนาด 8 นิ้วนั้นเข้าไป
“ซิ๊ดดดดดดดด” เธอสูดปากอย่างเร่าร้อน เนื่องจากพลังมาน่าที่ปั่นป่วนในร่างกาย มันก็ส่งผลกระทบให้ช่องคลอดของเธอบีบรัดรุนแรงขึ้นเป็นพิเศษ ทำให้ทุกครั้งที่เธอขยับสะโพกเข้าใส่ หัวหยักก็จะยิ่งครูดไปมากับช่องคลอด นั่นก็ยิ่งทำให้เธอเสียวซ่านขึ้นเป็นทวี จนเธอต้องยิ่งกระแทกสะโพกหนักเข้าไปอีก ถึงตอนนี้ ภายในรถตอนนี้มีเพียงเสียงเนื้อกระแทกกันป๊าบๆ สลับกับเสียงครวญครางอย่างเร่าร้อนที่ดังระงม
“อาร์ตตตตตต อาร์ตตตตตต ........ อ๊า ..........อ๊า” วิเวียนร้องครางอย่างสุขสม มือที่ว่างอยู่ของเธอเอื้อมลงมาถลกเสื้อของเขาทิ้งไปอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้สภาพของเขาเปลือยเปล่าปราศจากอาภรใดๆ สภาพแบบนี้แหละที่เธอรู้สึกเร้ารวญใจเป็นที่สุด แต่ไม่ทันที่เธอจะทำอะไรต่อชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปจับสะโพกกลมสวยของเธอ ก่อนจะกระเด้าเอวสวนเข้าไปอย่างรุนแรง เล่นเอาหญิงสาวต้องผวาลงไปกอดร่างเปลือยเปล่าของเขาอย่างสุดเสียว
“อย่าหยุดน่ะ อย่าหยุดน่ะ” เธอพร่ำร้องอยู่ข้างหูเขาอย่างแผ่วเบา ตอนนี้ตัวเธอเดินทางมาถึงปลายทางแล้ว หญิงสาวยิ่งผวากอดชายคนรักตรงหน้าแน่นไปอีกพร้อมกับเด้งสะโพกสวนเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างเร่าร้อน ริมฝีปากของเธอวางประกบกับปากของเขา ช่องคลอดของเธอก็บีบรัดเข้าไปอีกอย่างรุนแรง และใส่ที่สุด
“อ๊ายยยยยยยยยยยย” เธอหวีดร้องออกมาเสียงดังลั่น ตอนนี้เธอถึงจุดหมายที่ต้องการแล้ว พลังต่างๆที่อัดแน่นอยู่ในร่างกายถูกปล่อยออก พร้อมๆกับความเสียวซ่านที่ได้ระบายออกมา
“โอ๊ะ” ส่วนชายหนุ่มก็ตกใจไม่แพ้กัน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงพลังที่ไหลออกมาจากตัวผู้อื่น พลังเหล่านั้นไหลผ่านเข้ามาสู่ร่างเขา ผ่านทางท่อนเอ็น แล้วไปสู่ทั่วร่างกาย แต่เมื่อมันแล่นเข้ามาสู่หัวเขานี่สิ ภาพบางอย่างก็ผุดขึ้นมาทันที
.
.
.
.
.
นครศักดิ์สิทธิ์ แซงจูรี่ย์
นครแห่งนี้แม้เนื้อที่บริเวนจะไม่ได้กินเนื้อที่มากมายเชกเช่นนครใหญ่อื่นๆ แต่ความสำคัญนั้นกลับยิ่งใหญ่สำคัญกว่านครมนุษย์ไหนๆใน wonderland เสียอีก เนื่องจากนครแห่งนี้ เป็นศูนย์กลางของศิลปวัฒนธรรมต่างๆทั่วโลก ซึ่งเห็นได้จากสถาปัตยากรรมต่างๆที่ขึ้นเรียงรายโดยล้อมนั้นมีความสวยงามตระการตายิ่งกว่าสถานที่ไหนๆ ขนาดเวลาล่วงเลยผ่านพ้นมาหลายพันปี นครแห่งนี้กลับดูไม่เสื่อมโทรมลงเลย
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้นครแห่งนี้ถูกขนานนามว่านครศักดิ์สิทธิ์ ก็เนื่องจากว่าที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของโบสถ์คาดินัลล์ โบสถ์ศักดิ์สิทธ์ที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดราวกับราชวังก็ไม่ปาน โบสถ์ที่เป็นสถานที่พำนักของสังฆราชสูงสุดผู้ที่เป็นผู้นำของเหล่าพรีส ไม่แค่นั้น ภายในโบสถ์แห่งนี้ยังประกอบไปด้วยสถานที่ฝึกวิชาหลายแขนงที่ช่วยสรรสร้างพรีสรุ่นใหม่ออกมามากมาย เปรียบแล้วก็เท่ากับว่า นครแห่งนี้ก็คือนครหลวงของเหล่าพรีสนั่นเอง ทำให้ผู้คนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นพรีสเดินทางมาที่นครแห่งนี้ไม่ขาดสาย นครแห่งนี้จึงไม่เคยหลับใหลไม่ว่าจะทั้งกลางวันหรือกลางคืน
“แม่จ๋า แม่จ๋า” เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยร้องเสียงใสพร้อมกับกระตุกแขนมารดาของเธอเบาๆพร้อมกับชี้ให้ดูภาพเบื้องหน้า ภาพเบื้องหน้าที่เป็นร้านขายไอครีมเลื่องชื่อของที่นี่ สิ่งที่ทำให้ร้านแห่งนี้พิเศษกว่าร้านอื่นก็คือรสชาติที่หอมหวาน แถมเจ้าของร้านยังสามารถตกแต่งตัวไอครีมจากไอครีมธรรมดาเป็นรูปทรงอะไรก็ได้ ทำให้ร้านนี้มีไอครีมที่ปั้นเป็นรูปสิงสาราสัตว์อยู่เต็มไปหมด
“ขอถ้วยหนึ่งจ๊ะ” หญิงผู้เป็นแม่ทนเสียงรบเร้าจากลูกสาวไม่ไหวจึงตัดสินใจซื้อให้เธอถ้วยหนึ่ง เป็นไอครีมก้อนที่ปั้นแต่งเป็นกระต่ายน้อยน่ารัก 3 ตัว ลูกสาวตัวน้อยของเธอร้องขึ้นอย่างดีใจก่อนจะตักไอครีมแสนหวานนี้เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย มารดาของเธอต้องเผลอยิ้มแย้มอย่างมีความสุขตามไปด้วย แต่ชั่วขณะเดียวหญิงสาวก็ต้องหุบยิ้มลง เมื่อชายที่อยู่ด้านข้างขยับเข้าหาเธอพร้อมกับจ้องมาที่เธอเขม็ง แม้เขาจะไม่พุดอะไรแต่เธอก็เข้าใจความหมายนั้นดี
“ไปต่อเถอะลูก เดี๋ยวท่านจะรอ”
สองแม่ลูกเดินตามทางช้าๆโดยมีจุดหมายก็คือโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์คาดินัลล์ที่ตั้งอยู่กลางใจเหมือง โดยรอบข้างของเธอมีพรีสกลุ่มหนึ่งคอยอารักขาไม่ห่าง แต่ยิ่งเธอขยับเข้าใกล้โบสถ์มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งใจหายเพราะเท่ากับว่าเธอใกล้จะต้องแยกจากกับลูกสาวผู้เป็นที่รักของเธอ
“ลูกอยู่นี่ต้องขยันตั้งใจเรียนนะ” เธอบีบมือลูกสาวก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ค่ะแม่ .... หนูจะตั้งใจเรียนจะได้เป็นพรีสเร็วๆ แล้วจะได้กลับมาที่หมู่บ้าน ปกป้องแม่ ลุงอาโนลด์ ป้ามิเชล แล้วก็ทุกๆเลยด้วย” เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยตอบเสียงใส ทำเอามารดาของเธอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ต้องอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมากอดไว้แนบอก เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เธอก็ต้องจากลูกสาวไปนาแสนนาน
“ถึงแล้ว” เสียงพรีสที่ติดตามมากับเธอเอ่ยขึ้นช่วยลุกเธอให้หลุดจากภวังค์ และเมื่อเธอมองตามออกไปก็จะพบโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าที่เธอจิตนการไว้เสียอีก โดยเฉพาะประตูหน้าของโบสถ์ที่ใหญ่โตจยิ่งกว่าประตูไหนๆ ราวกับเป็นประตูที่กั้นระหว่างโลกข้างนอกกับภายในยังไงยังงั้น แต่เธอก็ตื่นตะลึงกับตัวโบสถ์ได้ไม่นาน เธอก็ต้องพบสิ่งที่น่าตื่นตกใจยิ่งกว่า เมื่อมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก้าวออกจากประตู
“ทะ ..... ท่านสาธุคุณรอส” เหล่าพรีสที่ติดตามสองแม่ลูกเอ่ยขึ้นอย่างตกใจก่อนจะรีบก้มลงทำความเคารพแทบไม่ทัน โดยที่สังฆราชสูงสุดผู้นี้ไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้เขากำลังจับจ้องไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่ภายในอ้อมกอดของมารดา ชายชราเปรยตาไปพรีสรับใช้คู่กายเล็กน้อย ซึ่งพรีสผู้นั้นก็เข้าใจคำสั่งทันที เดินไปอุ้มเด็กหญิงคนนั้นออกจากมารดาทันที พร้อมกับปลดฮูดที่คลุมศีรษะออก เผยให้เห็นผมยาวสลวยสีเงินแวววาวของเด็กน้อย
“วิเศษๆ” ชายชราผู้อยู่เหนือพรีสทั้งมวลเอ่ยร้องอย่างยินดี ก่อน จะเอื้อมมือไปลูบไล้เรือนผมของเด็กหญิงตัวน้อย “ตรงตามตำราว่าไว้ทุกอย่าง ไม่ผิดจริงๆ หนูน้อยคนนี้แหละคือผู้ใช้ธาตุแสงสว่าง ทีนี้แหละชัยชนะก็เป็นของข้าแล้ว ฮ่าๆๆ”
“พานางออกไปได้แล้ว” พรีสรับใช้ของสาธุคุณรอสเอ่ยดังลั่น พรีสเหล่านั้นคำนับรับคำสั่งไปหนึ่งที ก่อนจะกันหญิงสาวออกห่างออกไป ซึ่งเธอในตอนนี้ทำใจไม่ได้เสียแล้วกับการต้องจากลูกสาว น้ำตาของผู้เป็นแม่หลั่งไหลออกมาดังลั่นไม่สนใจใคร
“แม่จ๋าๆๆ” เด็กหญิงร้องไฟ้ลั่นเมื่อเห็นแม่เดินห่างออกไป ครั้นเด็กหญิงจะวิ่งตามก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมือของเธอ โดนเกาะกุมโดยชายชราที่อยู่ด้านข้าง เด็กน้อยในตอนนี้ก็จึงทำได้แค่เพียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเท่านั้น
“โอ๋ ...... ไม่ต้องร้องน่ะหนูน้อย หนูชื่ออะไรหืม ?” สาธุคุณรอสเอ่ยปลอบประโลมเด็กหญิงพร้อมกับปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม
“วิเวียนค่ะ” เด็กหญิงตอบ
“ไม่ต้องเสียใจ อีกไม่นานหนูก็จะได้เจอแม่ของหนูอีกครั้งแล้ว ตอนนี้หนูก็อยู่กับลุงไปก่อนน่ะ มาลุงจะเป็นพ่อให้หนูเอง ไหนลองเรียกคุณพ่อสิ”
“คะ คุณพ่อ”
.
.
.
.
.
“อาร์ตๆ” เสียงหญิงสาวที่เอ่ยขึ้นเบาๆที่ข้างหูทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตอนนี้เขายังอยู่ในรถเหมือนเดิม อยู่สภาพเดิมก็คือนอนเปลือยเปล่าโดยมีหญิงสาวผมสีเงินแสนสวยนอนเปลือยท่อนล่างอยู่บนตัวเขา หญิงสาวเมื่อเห็นดังนั้นก็เริ่มขยับสะโพกไปมาเข้าใส่ท่อนเอ็นที่แข็งค้างอยู่ในช่องคลอดอีกครั้ง
“อีกรอบนะคะอาร์ต” หญิงสาวเอ่ยเสียงหวานก่อนจะยันกายขึ้นช้าๆพร้อมกับเริ่มควบใส่ท่อนควยอีกครั้ง แต่เนื่องจากเธอพึ่งผ่านการต่อสู้มาไม่นานบวกกับพึ่งเสร็จไปแล้ว 1 ครั้ง เรี่ยวแรงที่มีก็เลยหายไปเกือบหมด
“เปลี่ยนกันเถอะครับ เดี๋ยวผมทำเอง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะพลิกเธอลงมาด้านล่าง แม้จะทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะในรถมันไม่ค่อยถนัด แต่สุดท้ายก็สำเร็จ เมื่อจัดที่เข้าทางแล้ว ชายหนุ่มก็เลยซอยใส่ร่างบางตรงหน้าทันที
“อ๊า .......อาร์ตค๊า ........ อาร์ต .......” หญิงสาวหวีดร้องครวญครางอีกครั้ง พร้อมกับสาวรู้สึกเสียวซ่านที่แผ่ขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่มีท่อนควยแข็งๆครูดไปมาในช่องคลอดมันทำให้เธอเสียวกระสันได้ทุกครั้ง จนเธอทนไม่ไหวต้องกัดฟันเด้งสวนแม้ในตอนนี้เธอจะอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงก็ตาม
“แรงๆ แรงๆ” หญิงสาวเอ่ยร้องก่อนจะลากมือของชายคนรักมาเกาะกุมที่เต้างามคู่สวย เป็นสัญญาณว่าเธอต้องการให้เขาบีบเต้างามคู่นี้ ซึ่งเขาก็ตอบสนองเธออย่างดี โดยการบีบเค้นไปยังเต้างามคู่สวยของเธออย่างรุนแรง จนหญิงสาวต้องเผลอร้องออกมาย่างเจ็บปวด แต่ถึงจะเจ็บอย่างไรเธอก็ไม่ยอมแพ้ กลับยิ่งกดมือชายคนรักเธอหนักขึ้นไปอีก เพราะความเจ็บปวดแบบนี้นี่แหละ ที่กระตุมต่อมกระสันของเธอได้ชะงัด
“อาร์ตตตตตตต” วิเวียนร้องลั่นอีกครั้งก่อนที่จะผวากอดชายหนุ่มแน่น ตอนนี้ทั้งร่างของเธอเกร็งแน่นไปหมด สะโพกของเธอที่เด้งรับเมื่อครู่หยุดลง และเปลี่ยนเป็นแอ่นขึ้นเพื่อให้ชายตรงหน้ากระแทกใส่เน้นๆแทน ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณว่าหญิงสาวใกล้จะถึงจุดหมายอีกเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งชายหนุ่มคนรักของเธอก็รู้ดี เขาขยับสะโพกเข้าใส่อย่างรุนแรงเพิ่มยิ่งขึ้น จนในที่สุด
“อ๊า ................” วิเวียนหวีดร้องอย่างสุขสม เธอเสร็จอีกเป็นครั้งที่สอง พลังมาน่าที่ยังอัดแน่นในร่างได้ระบายออกอีกครั้ง พร้อมๆกับความทรงจำที่ผ่านมาเข้าไปยังร่างชายหนุ่มคนรักของเธอ
.
.
.
.
.
“ย๊ากกกกกกก” เด็กสาวตัวน้อยร้องลั่นก่อนจะตั้งค่าเตรียมพร้อม แม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเด็กหนุ่มอายุมากกว่าเธอหลายปีถึง 3 คน แต่เธอก็ไม่หวั่น กลับเป็นเจ้า 3 คนนั่นเสียอีกที่สีหน้าหวาดหวั่น เพราะถ้าที่เธอตั้งมันชั่งดูรัดกุมปราศจากช่องโหว่ใดๆ ว่าแล้วมันทั้ง 3 จึงตกลงแยกไปคนละด้านพร้อมกับเตรียมจู่โจมใส่เธอ 3 ด้านพร้อมกัน !
แต่ไม่ทันที่เจ้าเด็กหนุ่มทั้งสามจะถึงตัวเธอ วิเวียนก็พุ่งเข้าชิงจังหวะได้ก่อน เธอกระโดดถีบเท้าเข้ายอดอกของเจ้าคนหน้า ก่อนจะใช้แรงส่งเหวี่ยงเธอเข้าหาเจ้าคนซ้ายพร้อมกับเตะตวัดเข้าที่ก้านคออย่างแรง ก่อนจะใช้ร่างของเจ้าเด็กหนุ่มนั่นดีดตัวเข้าใส่เจ้าคนขวาก่อนที่จะหมุนตัวเตะเข้าปลายคางจนมันล้มลง และชั่วขณะที่เธอจัดการเด็กหนุ่มไปได้ 2 คนแล้วนั่นเอง เจ้าเด็กหนุ่มคนแรกที่โดนเธอเหยียบอกพุ่งหมัดเข้าใส่เธอทันที แต่เด็กหญิงก็ไวพอ เธอเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยก็หลบวิธีหมัดนั้นพ้น เสร็จแล้วเธอก็จับเจ้าเด็กหนุ่มนั่นเหวี่ยงฟาดลงกับพื้นทันที
“ยอดมากๆ มีมือของเจ้าพัฒนาขึ้นเร็วมาก จนข้าแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าฝึกฝนการต่อสู้แค่ 5 ปีเ