เวโรนิก้าหยุดยืนหน้ากระจกเพื่อสำรวจร่างกายตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้แวมไพร์สาวอยู่ในชุดหนังสีดำสนิททั้งชุด ประกอบไปด้วยชุดเกาะอกที่รัดจนเห็นสองเต้าของเธอเป็นขึ้นมาลูกๆ กางเกงเข้ารูปที่ช่วยเสริมให้สะโพกของเธอให้ดูโค้งมนน่าเย้ายวน ปิดท้ายด้วยรองเท้าบูทหนังอย่างดีและถุงมือหนังที่ยาวถึงข้อศอกสีดำสนิทเช่นกัน ด้วยเครื่องแต่งกายสีดำสนิทเช่นนี้ จึงยิ่งทำให้ผิวของเธอที่ขาวใสอยู่แล้ว ถูกขับให้ขาวขึ้นมาอีก
เมื่อเครื่องแต่งกายเรียบร้อยดีแล้ว แวมไพร์สวยจึงละสายตาออกจากกระจกก่อนจะหันมองไปรอบๆห้องที่พักมาตลอด 3 วัน ห้องนี้เดิมทีถูกจัดเตรียมไว้เพื่อรับรองขุนพลลินคอร์นโดยเฉพาะ มันจึงดูหรูหราสะดวกสบายสมกับฐานะอาจารย์ของเจ้าชายทีโอดอร์อย่างเขา ดังนั้นเมื่อลินคอร์นสิ้นชีพไปแล้ว ห้องนี้ทีโอดอร์จึงยกให้เธอได้ใช้อาศัย แต่นี่ก็ไม่ใช้ครั้งแรกที่เธอได้พักในห้องนี้ เพราะในครั้งก่อนๆที่เธอติดตามลินคอร์นมา เธอก็ได้พักอาศัยในห้องนี้กับเขาด้วยเช่นกัน ห้องนี้จึงเหมือนเป็นห้องที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเธอและขุนพลลินคอร์น
อย่างโต๊ะอาหารที่ทำจากหินอ่อนนี้ก็เช่นกัน เธอเองก็มีโอกาสเคยได้ใช้มันร่วมดื่มเลือดกับลินคอร์นมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นโต๊ะที่เธอและเขาเคยใช้สนทนาต่างๆกันมามากมาย หนึ่งในนั้นที่เธอจำได้ดี ขุนพลลินคอร์นเคยถามเธอขึ้นมาว่า
“ถ้าข้าตาย เจ้าจะแก้แค้นให้ข้าไหม เวโรนิก้า”
“ใครก็ตามที่ทำท่านลินคอร์น ข้าจะสังหารมันให้ได้ !!” เธอตอบไปเช่นนั้น
“เวโรนิก้า .... เจ้าว่าอะไรคือเกียรติสูงสุดของนักรบ” เขาเอ่ยถามเธออีกหนึ่งคำถาม แต่คำถามนี้ ตัวเธอกลับตอบไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ลินคอร์นจึงเอ่ยคำตอบออกมา “การได้ตายในสนามรบยังไงล่ะ”
“เพราะนักรบอย่างเรา มีชีวิตอยู่ก็เพื่ออุทิศตัวให้กับมิดแลนด์ การได้สู้รบเพื่อมิดแลนด์มันจึงเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ แม้ในที่สุดเราจะต้องตาย เราก็ยังได้ชื่อทำเพื่อมิดแลนด์จนวาระสุดท้ายของชีวิต ...... ดังนั้นเวโรนิก้า ถ้าต่อจากนี้ข้าต้องตาย เจ้าจะต้องภูมิใจในตัวข้า อย่าคิดแก้แค้นให้ข้า เพราะนั่นมันจะทำให้เกียรติของข้าหม่นหมอง”
“ชีวิตของเจ้า มีแต่ความแค้นมากเกินพอแล้ว”
.
.
กึ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!
.
.
เสียงนาฬิกาที่ดังขึ้นปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ เมื่อเธอหันไปมองก็พบว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงเดินไปหยิบดาบซามูไรเล่มหนึ่ง ก่อนจะออกจากห้องรับรองไป โดยมีจุดหมาย เป็นลานกว้างบริเวณหน้าปราสาท แวมไพร์สาวใช้เวลาเดินทางไม่กี่อึดใจก็ไปถึง ก่อนที่เธอจะก้าวขึ้นไปนั่งในที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เธอ โดยที่ตรงนั้นเป็นที่ที่สงวนไว้เฉพาะนางสนมที่เจ้าชายทีโอดอร์โปรดปรานเท่านั้น เมื่อเธอก้าวไปนั่ง เธอจึงกลายเป็นเป้าสายตาของแวมไพร์แท้ตนอื่นที่มองเธอมาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะคนที่เลือกให้เธอนั่งในจุดนั้น ก็คือตัวเจ้าชายทีโอดอร์นั่นเอง
หลังจากนั้น เจ้าชายทีโอดอร์ ก็ก้าวไปยังเบื้องหน้าทหารหาญของเขา พร้อมกับกล่าวปลุกขวัญเหล่าทหารให้ฮึกเหิม ซึ่งก็ได้ผล เหล่าทหารต่างกระโกนร้องอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่เจ้าชายจะปิดท้ายด้วยการส่งให้เหล่าทหารแยกย้ายจัดกำลังรบตามแผนทางที่วางไว้ ซึ่งแผนนั้นก็ได้แก่การแบ่งกำลังทหารเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกนำโดยแวมไพร์สาวชอลลี่ โดนกลุ่มนี้คัดเลือกจากแวมไพร์ที่ถนัดเวทย์บทใหญ่ที่มีพลังทำลายสูง เมื่อถูกส่งลงไปแล้ว แวมไพร์กลุ่มนี้จะมีหน้าที่ใช้เวทย์สร้างความเสียหายให้กับแซงจูรี่ย์มาที่สุด โดยเฉพาะบริเวณหน้าโบถส์คาดินัลล์ จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างความแตกตื่น และล่อเหล่าพรีสที่อยู่ในเมืองให้ออกมามากที่สุด แล้วหลังจากนั้น กลุ่มที่สองที่นำโดยวิคตอเรียจะถูกส่งลงมาสมทบ พร้อมกับปล่อยอนุภาคลูบินนอฟออกมา ทำให้ในตอนนั้นเวทย์มนต์จะไม่สามารถใช้ได้ แวมไพร์ในกลุ่มที่สอง จึงต้องคัดเลือกจากแวมไพร์ ที่มีทักษะการต่อสู้ด้วยอาวุธและมือเปล่าอยู่ในระดับสูง
“เจ้าชาย ตอนนี้เราลอยอยู่เหนือเมืองแซงจูรี่ย์ในระดับ 10000 เมตรแล้วพะย่ะคะ” หนึ่งในวิศวกรที่ควบคุมการบินติดต่อเข้ามา
“เยี่ยม ไม่มีสัญญาณเตือนของพวกพรีสจริงๆ” เจ้าชายทีโอดอร์ยิ้มขึ้นอย่างยินดี ก่อนเอ่ยสั่งการตอบกลับไป “นับถอยหลังสู้การทิ้งดิ่งได้”
การทิ้งดิ่ง จะเริ่มจากการที่ไอพ่นด้านใต้ปราสาทจะถูกปิดการทำงาน ทำให้ปราสาทยักษ์ ตกลงสู้พื้นเบื้องล่างด้วยความรวดเร็ว ไม่แค่นั้น ไอพ่นเล็กๆรอบปราสาทจะเริ่มทำงาน ไอพ่นนี้ทำมุมตรงข้ามกับไอพ่นใต้ปราสาท ทำให้ปราสาทจะยิ่งตกลงเร็วขึ้น ด้วยวิธีนี้จะทำให้ปราสาทสามารถเคลื่อนลงในแนวตั้งด้วยความเร็วสูง ขนาดที่ว่าในระยะ 10000 เมตรเช่นนี้ สามารถทำเวลาได้ภาย 10 วินาทีเท่านั้น แต่ว่าคนในปราสาทเองก็ต้องพร้อมรับมือกลับแรงอัดมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิงเวโรนิก้า ที่ต้องเผชิญกับแรงอัดนี้เป็นครั้งแรก ก็เล่นเอาเธอทรมานจนแทบอยากจะอาเจียนเลยทีเดียว
แต่ชั่วเสี้ยวขณะที่ปราสาทจะกระแทกลงสู้พื้น ไอพ่นใต้ปราสาทก็จะทำงานทันที ส่งผลให้ปราสาทกลับมาลอยได้อีกครั้ง แถมยังส่งแรงอัดอากาศลงไปกระแทกพื้นเบื้องล่าง จนเบื้องล่างเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ที่สามารถสั่นได้ทั้งเมือง
และเมื่อปราสาทลอยเหนือน่านฟ้าได้เรียบร้อย สัญญาณก็เริ่มทันที เสียงกลองรบดังสนั่นหวันไหวไปทั่ว เหล่าแวมไพร์ที่ถูกจัดในกลุ่มแรก ก็พากันทะยานลงจากปราสาท นำโดยชอลลี่และเหล่าแวมไพร์ที่สามารถใช้ธาตุลม ในขณะที่แวมไพร์อีกหลายส่วนที่ใช้ธาตุลมไม่ได้ ก็ทะยานลงจากปราสาทเช่นกันโดยผ่านทางกระสวยที่เตรียมไว้
“ร่างจำแลงเทพโคงคา”
แต่ก่อนที่ชอลลี่จะถึงพื้น เธอก็ร่ายเวทย์ประจำตัวทันที ร่างเนื้อของเธอกลายเป็นร่างน้ำขนาดยักษ์กลางอากาศ ก่อนจะตกลงมายังพื้นเบื้องล่าง จนบังเกิดเสียงดังสนั่น บ้านเรือนที่อยู่แถบนั้นถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี แวมไพร์สาวธาตน้ำหัวเราะร่างอย่างสะใจ ก่อนที่เธอจะวาดซ้ายป้ายขวา ทำลายอาคารบ้านเรือนที่อยู่รอบตัวให้รอบเป็นหน้ากอง จากนั้นเธอก็เดินย่ำบ้านเรือนเหล่านั้น โดยมีจุดหมายก็คือโบสถ์คาดินัลล์นั่นเอง
“แวมไพร์บุกๆๆๆ” เหล่าพรีสที่อยู่ในบริเวณนั้นร้องขึ้นอย่างตกตะลึง ยิ่งเมื่อเห็นร่างน้ำขนาดยักษ์กำลังตรงเข้ามา พวกพรีสเหล่านั้นก็ยิ่งแตกตื่นหวาดกลัว แต่ยังดีที่มีบางคนตั้งสติได้ ร่ายเวทย์เข้าใส่ร่างยักษ์ตรงหน้าทันที
“มากันแล้วเหรอพวกพรีส” ชอลลี่ยิ้มเหี้ยมอย่างสะใจ ที่เวทย์มนต์เหล่านั้นไม่อาจะสร้างความเสียหายให้กับร่างน้ำขนาดยักษ์นี่ได้เลย เธอจึงเริ่มโต้กลับ ด้วยการกระทืบเท้าอย่างแรง จนมันกลายเป็นคลื่นสึนามิขนาดยักษ์พัดเข้าใส่พรีสกลุ่มนั้นจนกลืนหายไปกลับสายน้ำ
แต่ก่อนที่ชอลลี่จะเข้าใกล้โบสถ์ได้ สายฟ้าสายหนึ่งก็ฟาดใส่ร่างเธอทันที แม้สายฟ้าสายนี้จะไม่รุนแรงพอที่จะสังหารเธอ แต่ด้วยเวทย์ที่แพ้ทางกัน ก็เพียงพอที่จะให้เธอต้องถอยหลังกลับไปได้
“ต้านมันไว้ อย่าให้มันเข้าใกล้โบสถ์ได้” พรีสผู้หนึ่งที่เป็นเจ้าของสายฟ้าเมื่อครู่ตะโกนสั่ง ดูจากการแต่งกายและยศที่ประดับของเขาบ่งบอกว่าเขาเป็นพรีสระดับสูง พรีสคนอื่นๆจึงรับคำเขาทันที เหล่าพรีสทั้งหมดจึงเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังชอลลี่ ก่อนจะระดมร่ายเวทย์เพื่อหวังจัดการเธอให้ได้
“ไอ้พวกสวะ !!” ชอลลี่ร้องลั่นอย่างเดือดดาด ก่อนจะที่จะเอื้อมมือไปฟาดเอาอาคารบ้านเรือนที่อยู่บริเวณนั้น จนเศษอิฐเศษปูนปลิวกระเด็นเข้ากระแทกเหล่าพรีสเป็นการตอบโต้ มิหนำซ้ำเธอยังสร้างคลื่นสึนามิซัดเข้าใส่อีก เพียงเท่านี้ เหล่าพรีสก็แตกขบวนไม่เป็นท่า นี่ขนาดต้องรับมือแวมไพร์แค่ตนเดียว เหล่าพรีสยังย่ำแย่ขนาดนี้ ดังนั้นเมื่อเหล่าแวมไพร์ที่ทะยานตามลงมาเข้ามาสมทบ สถานการณ์หน้าโบสถ์จึงย้ำแย่ขึ้นเป็นทวีคูณ
.
.
.
แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนของเหล่าแวมไพร์ซะหมด เพราะในหมู่กระสวยที่ทะยานลงมาก็มีไม่น้อยที่พลาดเป้าไปไกล ดังเช่นลูกหนึ่งที่พลาดเป้าจากบริเวณหน้าโบสถ์ ไปตกลงที่เขตเมืองชั้นนอกของแซงจูรี่ย์ แต่ก็เหมือนโชคดีในโชคร้าย เพราะการพลาดเป้าของมัน ทำให้มันได้พบเป้าหมายโดยบังเอิญ
“อาลูคาร์ดดดดดดด” มันเอ่ยขึ้นก่อนจะแยกเขี้ยวอย่างดุร้าย ใช่แล้ว เจ้านี่ก็คือแวมไพร์ที่ปรากฏต่อหน้าวิเวียนนั่นเอง
“หัตถ์อสูรลมสะปั้น !!!” แต่ก่อนที่จะมีใครทำอะไร คนแรกที่ขยับตัวก็คือโบน เข้าจัดการร่ายเวทย์ไม้ตายเข้าใส่เจ้าแวมไพร์ตรงหน้าในทันที แม้เจ้าแวมไพร์ตนนี้จะมีลำดับขั้นถึงชั้นแวมไพร์ขุนพล เมื่อเจอเวทย์ที่ร้ายการเช่นนี้เข้าไป มันก็ทำได้แค่ร้องออกมาหนึ่งคำก่อนจะสูญสลายไป
“อั๊กกกกกกกกกก” แต่ชั่วเสี้ยววินาทีที่เขาจัดการเจ้าแวมไพร์ได้ โบนก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ก่อนจะล้มลง “วันนี้.....ใช้เวทย์นี้ไป.....แค่ 3 ครั้งเอง แค่นี้.....ก็ถึงกลับกระอักเลือด.....แล้วเหรอ เกลียด.....ไอ้โรคบ้านี่จัง”
แต่ก่อนที่โบนจะล้มลงหัวฟาดพื้นนายอาร์ตก็เข้าประครองไว้ได้ทัน แต่แม้เขาจะป้องกันการล้มได้ แต่โรคที่พรีสเฒ่าเป็นก็ยังกำเริบไม่หยุด จนนายอาร์ตต้องตระโกนถาม
“วิเวียน รีบใช้เวทย์รักษาเขาสิ !!”
“โรคของคุณโบน เวทย์มนต์รักษาไม่ได้หรอก มีทางเดียวก็คือต้องพาไปรักษาตัวที่โบสถ์คาดินัลล์” วิเวียนเอ่ยขึ้นก่อนจะหันหน้าไปทางมาร์กาเร็ต “คุณมาร์กาเร็ตหนีไปยังหลุมหลบภัยก่อนดีกว่า ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของวิเวียนเอง”
แม้มาร์กาเร็ตจะยังตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ยังพอมีสติรับฟังคำจากวิเวียนได้ เธอจึงรีบถอยกลับไปบอกคนในร้าน ให้รีบไปรวมตัวยังหลุมหลบภัยที่สร้างขึ้น เมื่อวิเวียนเห็นผู้คนเริ่มทยอยหนีไปที่ปลอดภัยแล้ว เธอก็เบาใจไปได้เรื่องหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขอแรงนายอาร์ตเพื่อให้ช่วยพยุงตัวโบนไปที่รถ
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึง ก่อนจะประครองพรีสเฒ่าไปนั่งเบาะหลัง โดยมีนายอาร์ตนั่งประกบด้านข้าง ส่วนวิเวียนเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เธอก็เดินเครื่องก่อนจะพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูง แต่นับว่ามีเรื่องโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง เพราะพวกแวมไพร์ถูกเรียกไปรวมตัวหน้าโบสถ์คาดินัลล์กันหมดแล้ว จึงไม่มีแวมไพร์ตนใดเข้ามาขวางทาง
“วิเวียนเลี้ยวขวา” โบนที่อาการพอจะทุเลาลงแล้วเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“แต่ทางนั้นมันคนละทางกลับทางไปโบสถ์นะคะ” พรีสสาวเอ่ยแย้ง
“เข้าโบสถ์ตรงๆ.....ได้เจอพวกแวมไพร์แน่” โบนเอ่ยช้าๆก่อนจะพักหายใจชั่วครู่ “ต้องเข้าทางลับ.....ตามที่ข้าบอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพรีสสาวก็หมดคำถามอีกต่อไป เธอหักรถตามคำสั่งทันที รถเหาะแล่นไปตามทางก่อนจะวกเข้าซอยเล็กๆที่คดเคี้ยวมากมาย จนสุดท้าย เส้นทางเหล่านั้นก็พารถของเธอเข้าไปเจอกับอาคารเก่าหลังหนึ่ง ที่แท้อาคารเก่าหลังนี้ไม่ใช่อาคารธรรมดา เพราะภายในอาคารมีทางลาดลงไปยังถนนใต้ดิน ซึ่งถนนนี้เชื่อต่อไปยังชั้นใต้ดินของโบสถ์แซงจูรี่ย์ได้เลยทีเดียว ซึ่งความลับของอาคารหลังนี้ ผู้ที่ทราบมีเพียงพรีสระดับสูงบางคนเท่านั้น
ด้วยเส้นทางนี้ เธอจึงสามารถเดินทางไปถึงโบสถ์ได้อย่างง่ายดาย และจากการที่เธอวิทยุติดต่อไปยังศูนย์ ทำให้มีทีมแพทย์มารอรับ โบนที่อาการเกิดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งจึงถึงมือหมออย่างทันท่วงที
“อาร์ตค่ะ ฝากดูแลคุณโบนด้วยนะคะ” วิเวียนเอ่ยฝากฝังอาจารย์ของเธอกลับชายคนรัก และเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองด้วย
“แล้ววิเวียนล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“วิเวียนจะไปช่วยคนอื่นๆ” เธอหันมาตอบ อันที่จริงเขาก็พอจะเดาคำตอบนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว แม้ใจเขาจะห่วงว่าเธอจะมีอันตราย แต่เขาก็รู้ดีว่าคงห้ามเธอไม่ได้แน่ ทำได้แค่อวยพรให้เธอโชคดีเท่านั้น
เมื่อหญิงสาวพุ่งจากไปแล้ว นายอาร์ตก็หันมาหาโบนที่กำลังนอนสลบบนเตียงไปแล้ว ก่อนจะวิ่งตามทีมแพทย์ที่กำลังนำเขาไปห้องพยาบาล แต่เขาก็วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“คุณอาร์ตหยุดก่อน แล้วมากับพวกเราดีกว่า” ผู้ที่พูดเป็นพรีสสาวหน้าตาสะสวยที่แม้จะมีวัยล่วงเข้าไปกว่า 40 ปีแล้ว แม้เขาจะเคยเห็นเธอแค่ครั้งเดียวตอนเข้าเมืองมาช่วงแรกๆ แต่เขาก็เชื่อเขาจำไม่ผิดแน่ พรีสคนนี้เป็นพรีสระดับรองสังฆราชสูงสุดฝ่ายซ้าย ‘แองเจลล่า’
“แต่คุณโบน” นายอาร์ตเอ่ยขึ้นอย่างลังเลใจ
“คุณโบนได้ถึงมือแพทย์ ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว” แองเจลล่าเอ่ยตอบเสียงเย็ยเฉียบ “แต่ตัวคุณต่างหากที่น่าเป็นห่วง คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอที่พวกแวมไพร์มันแห่กันมาเพราะอะไร มากับเราดีกว่า เราจะพาคุณไปที่ปลอดภัยที่สุด”
ทันทีที่แองเจลล่าพูดจบ เหล่าพรีสหนุ่มที่ยืนแวดล้อมเธอก็เข้ามาประกบเขาทันที ทำให้เขาในตอนนี้ไม่เหลือทางเลือกใดๆได้อีก นอกจากจะยอมตามพวกเขาไป ซึ่งเมื่อเห็นชายหนุ่มยอมเดินตามไปแต่โดยดีแล้ว แองเจลล่าจึงละสายตาไปยังทางที่วิเวียนพึ่งจากไป
“นังเด็กเหลือขอ ชักศึกเข้าบ้าน” แองเจลล่าเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างกราดเกรี้ยว ก่อนจะหันไปสั่งพรีสหนุ่มข้างกาย “หาจังหวะเหมาะๆ แล้วสังหารร่างอวตารของอาลูคาร์ดซะ !!”
.
.
.
“มันเป็นแวมไพร์ธาตุน้ำ ให้พรีสทุกคนที่ใช้เวทย์สายฟ้าระดมยิงใส่มันซะ” พรีสชั้นสูงที่บัญชาการรบหน้าโบสถ์เอ่ยเสียงดังลั่น เหล่าพรีสแถมนั้นขานรับคำในทันที ก่อนที่จะแยกย้ายเข้าโจมตี ด้วยเวทย์สายฟ้าที่ตนถนัด เข้าใส่ร่างน้ำขนาดยักษ์ของแวมไพร์สาวชอลลี่
“ทำได้แค่นี้เหรอไอ้พวกกระจอก !! งั้นเจอนี่หน่อย” ชอลลี่คำรามลั่น แม้เวทย์ของเธอจะแพ้ทางสายฟ้า แต่เพราะร่างน้ำมีขนาดใหญ่โตมหาศาล เวทย์สายฟ้าปกติจึงทำให้เธอแค่สั่นสะเทือนเล็กๆเท่านั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ชอลลี่จึงโต้กลับด้วยเวทย์อีกแขนง
“ทัณฑ์พิฆาตอัสนีบาต !!”
ทันทีที่เธอร่ายเวทย์จบ ท้องฟ้าตรงจุดเหนือเธอขึ้นไปก็ร้องคำราม ก่อนที่สายฟ้าหลายสายจะฟาดลงมา แต่เวทย์นี้พิเศษตรงที่สายฟ้าที่ฟาดลงมานั้น จะฟาดลงมาที่จุดเดียว ทำให้แค่พริบตาเดียว มีสายฟ้าฟาดถึง 1,000 ครั้ง นับว่าน่าแปลกไม้น้อย ที่แวมไพร์ธาตุน้ำอย่างเธอเลือกใช้เวทย์สายฟ้า แต่ที่น่าแปลกยิ่งก็กว่าก็คือจุดที่เธอส่งให้ผ่าลงมานั้น ก็คือร่างน้ำยักษ์ของตัวเธอเอง
“ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
พริบตาที่สายฟ้าฟาดใส่เธอจบลง ร่างน้ำของเธอก็เต็มไปด้วยประจุไฟฟ้าขนาดมหาศาล จนร่างของเธอสว่างสไวไปด้วยประกายแสง และหลังจากนั้นเธอก็ฟาดมือกระแทกพื้น เกิดเป็นคลื่นยักษ์มโหฬารยิ่งกว่าในคราแรก มิหนำซ้ำ ประจุไฟฟ้าที่เปี่ยมล้นบนตัวเมื่อเมื่อครู่ ถูกถ่ายเทมาบนคลื่นนี้เสียหมด ดังนั้นเมื่อคลื่นนี้ถูกซัดเข้าใส่เหล่าพรีส ถ้าไม่มีใครตายเพราะโดนคลื่นกระแทก ก็ต้องตายเพราะโดนไฟซ็อตอยู่ดี
“ฮ่าๆๆๆๆ” ชอลลี่หัวเราะสะใจที่สามารถสังหารพรีสไปเป็นจำนวนมาก เหตุที่เธอสามารถใช้เวทย์คอมโบชุดนี้ได้ก็มาจาก ‘ร่างจำแลงเทพโคงคา’ ของเธอสามารถทนเวทย์สายฟ้าระดับเลเวล 9 ได้นานถึง 30 วินาที อีกทั้งยังถ่ายเทกระแสไฟฟ้าได้อีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ชอลลี่จึงนำมันมาปรับใช้ จนเกิดเป็นเวทย์ประสานที่มีพลังในการสังหารอยู่ในระดับสูง
เหล่าแวมไพร์ต่างโห่ร้องด้วยความสะใจ การที่พวกมันมีชอลลี่เป็นแนวหน้า พวกมันจึงเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบของศึกนี้อย่างเห็นได้ชัด เหล่าแวมไพร์เปิดเกมส์รุกหนักขึ้นไปอีกด้วยการใช้เวทย์โจมตีขนาบไปทั้งสองด้าน เพื่อหวังจะไล่ต้อนเหล่าพรีสให้ถอยไปกระจุกตัวรวมกัน
“ทัณฑ์พิฆาตอัสนีบาต” และเมื่อชอลลี่เห็นว่าเหล่าพรีสโดนไล่ต้อนจนพอใจแล้ว เธอจึงร่ายเวทย์สายฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะยกเท้าขึ้น เป้าหมายก็คือกลุ่มพรีสที่อยู่เบื้องล่าง แวมไพร์สาวแสยะยิ้มอย่างสะใจ ก่อนจะกระทืบเท้าเข้าใส่อย่างรุนแรง
.
.
“กระจกเงาหมื่นดารา”
.
.
แต่ก่อนที่ฝ่าเท้าจะกระแทกลง ก็มีกระจกเงาบานใหญ่ขึ้นมาขวางกั้น เท้าของชอลลี่จึงกระทืบใส่กระจกบานนั้นอย่างรุนแรง พร้อมๆกับพลังทั้งหมดที่เธอโจมตีไป ได้ถูกสะท้อนกลับมายังร่างตัวเอง ทำให้เกิดระเบิดดังขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนแรงระเบิดทั้งหมด จะกระแทกเอาร่างน้ำกระเด็นลอยขึ้นไปเหนือพื้น และตกลงมายังจุดที่เหล่าแวมไพร์ปักหลักอยู่ จนเกิดเป็นคลื่นยักษ์ตีวงกว้างเข้าใส่เหล่าแวมไพร์ ทำให้คราวนี้เป็นฝ่ายแวมไพร์บ้าง ที่โดนล้างบางด้วยเวทย์ของพวกเดียวกัน
“โจมตีเข้าไปอย่าไปหยุด” แวมไพร์ตนหนึ่งตะโกนดังลั่น เพื่อเตือนสติพวกเดียวกันให้หันกลับมาเล่นงานเหล่าพรีสต่อ ซึ่งก็ได้ผล แวมไพร์เหล่านั้นระดมซัดเวทย์เข้าโจมตีทันที แต่พรีสสาวผมสีเงินวาววับนั่นรอท่าอยู่แล้ว เธอจึงหลับตาลงก่อนจะร่ายเวทย์รับมือทันที
“กระจกเงาหมื่นดารา ... ต่อเนื่อง”
ทันทีที่เธอร่ายเวทย์มนต์จบ กระจกเงาจำนวนมากนับร้อยบานก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่แต่ละบาน จะตรงเข้ารับเหล่าพลังเวทย์ที่ฝ่ายแวมไพร์โจมตีมา และแทบจะในพริบตาเดียวกัน ทุกบานก็สะท้อนเวทย์เหล่านั้นให้ย้อนศรกลับไปเล่นงานผู้ร่ายในทันที ทำให้การโจมตีในชุดนี้ เหล่าแวมไพร์เป็นฝ่ายโดนสังหารไปเป็นจำนวนมาก
เหล่าพรีสร้องลั่นอย่างสะใจ การปรากฏตัวของวิเวียนส่งผลอย่างมากต่อการต่อสู้ เพราะรูปเกมส์โดนพลิกลับมาเป็นของฝ่ายพรีสเสียแล้ว เหล่าพรีสต่างซัดเวทย์ของตนเข้าใส่เหล่าแวมไพร์อย่างต่อเนื่อง โดยที่ฝ่ายแวมไพร์ทำได้เพียงตั้งรับเป็นพัลวัน แค่พริบตาเดียว ฝ่ายแวมไพร์เริ่มถูกล้มตายเป็นใบ้ไม้ร่วง
“แก ...... นังแพศยา !!” เวทย์ ‘ร่างจำแลงเทพโคงคา’ ได้สร้างปาฏิหาริย์ขั้นมาอีกครั้ง ร่างของชอลลี่ที่โดนพลังตัวเองเล่นงานย้อนศรไปเมื่อครู่ พริบตาเดียวก็พื้นตัวขึ้นมาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แถมตัวชอลลี่เองก็ยิ่งเดือดดาด ร่างน้ำยักษ์ที่ขนาดใหญ่โตอยู่แล้ว จึงยิ่งใหญ่โตขึ้นไปอีก
“ชอลลี่ อย่าเข้าไปปะทะ ให้ล่อพรีสธาตุแสงออกมาจากตรงนั้น” แต่ก่อนที่ชอลลี่จะทำอะไร เสียงของเจ้าชายทีโอดอร์ที่มองดูการต่อสู้จากบนแอสการ์ดก็ดังขึ้น ด้วยคำสั่งที่ส่งผ่านโทรจิตมาโดยตรงเช่นนี้ ทำให้ชอลลี่ร้องลั่นอย่างเจ็บใจ ก่อนที่จะล่าถอยจากตำแหน่งทันที
“มันหนีไปแล้ว พวกเราลุยเลย” พรีสชั้นสูงที่บัญชาการรบเอ่ยร้องอย่างลำพองใจ แต่ว่าพรีสสาวกลับไม่เห็นเช่น เพราะทิศทางที่เจ้าแวมไพร์มุ่งไปนั้นนั้น ....
“คุณมาร์กาเร็ต !!” วิเวียนร้องอย่างตกใจ ถูกต้องแล้วเพราะทิศทางที่ชอลลี่มุ่งไปนั้นเป็นหลุมหลบภัยที่ชาวเมืองหนีไปหลบซ่อน แม้ชอลลี่จะไม่ร่วงรู้ถึงข้อนี้ แต่ก็นับว่าเธอโชคดีไม่น้อยที่เลือกเส้นทางถูก ในขณะที่พรีสสาวไม่รอช้า เธอร่ายเวทย์ธาตุลม เพื่อเตรียมจะพุ่งทะยานตามไปทันที
“เจ้าจะไปไหนวิเวียน !!!” พรีสระดับสูงคนนั้นร้องสียงหลงเมื่อเห็นวิเวียนกำลังจะตามไป
“เจ้านั่น มันกำลังมุงไปตรงจุดหลุมหลบภัยของชาวเมือง” วิเวียนเอ่ยตอบ
“ช่างมัน !! ชีวิตพวกเราสำคัญกว่า !! นาทีนี้พวกเราต้องปักหลักที่จุดนี้ ไม่ให้พวกมัน ......”
.
.
วิเวียนตกตะลึงแถบไม่อยากเชื่อกับหูตัวเองเลยว่า ว่าคำเหล่านี้จะมีพรีสคนไหนกล้าพูดออกมาได้ “เมื่อกี้ท่านว่าอะไรน่ะ” วิเวียนถามกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะสืบเท้าเข้ามาใกล้ๆ
“อะไร !! ..... แค่นี้เจ้าไม่เข้าใจเหรอ ข้าสั่งให้เจ้าอยู่ตรงนี้ คอยช่วยพวกข้า ไม่ต้องไปสนใจพวกชาวบ้าน เพราะยังไง ชีวิตพวกมันก็ไม่มีค่าเท่า ....” วิเวียนไม่อาจทนฟังจนจบประโยคได้อีกแล้ว เธอกำหมัดในมือแน่น ก่อนจะซัดมันเข้าเต็มใบหน้าของพรีสคนนั้น จนมันถึงกับหงายท้องล้มทั้งยืน เสร็จแล้วเธอก็หันหลัง ร่ายเวทย์ธาตุลม พร้อมกับพุ่งทะยานตามร่างน้ำยักษ์ตรงหน้าไปทันที
แม้ร่างน้ำยักษ์ของชอลลี่จะสูงใหญ่เสียดฟ้า หนึ่งก้าวของมันจะก้าวได้ไกลเป็นร้อยเมตร แต่เมื่อเทียบในแง่ความเร็วแล้ว ร่างน้ำนี้ก็ยังเป็นรองเวทย์ธาตุลมอยู่ดี ทำให้ชั่วระยะเวลาไม่นาน วิเวียนก็สามารถบินไปดักหน้านางแวมไพร์ได้ทัน
“กระจกเงาหมื่นดารา” และถัดจากนั้น วิเวียนก็ร่ายเวทย์เฉพาะตนอีกครั้ง กระจกเงาบานยักษ์ถูกกางออกดักหน้าชอลลี่ทันที ทำเอาชอลลี่ที่กำลังพุ่งมา ไม่สามารถเบรกได้ทัน ต้องกระแทกเข้ากับบานกระจกเต็มแรง ก่อนที่แรงทั้งหมดจะย้อนศรกลับมาเล่นงานนางแวมไพร์อีกครั้ง จนร่างของเธอต้องล้มฟาดลงกับพื้น เกิดเป็นคลื่นน้ำซัดกระจาย
“แก ~~~~ นังพรีสชั่ว” ชอลลี่ร้องอย่างเดือดดาด ก่อนที่จะถีบตัวลุกขึ้น จากนั้นนางแวมไพร์ก็ระดมซัดทั้งหมัดทั้งเท้าเข้าใส่เป็นการตอบโต้ แต่วิเวียนที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ใช้พลังเวทย์บังคับกระจกเงา ให้รับการโจมตีได้ทั้งหมด ทำให้ทุกการโจมตีย้อนศรเข้าเล่นนางแวมไพร์เสียเอง
เมื่อโจมตีด้วยน้ำไม่ได้ผล ชอลลี่ก็ยิ่งคลุ้มคลั่ง เธอทั้งทุบทั้งฟาดอาคารที่อยู่บริเวณนั้นจนพังทลาย ก่อนที่นางแวมไพร์จะหยิบเอาซากอิฐซากปูนเหล่านั้นมาขว้างปาแทน แต่การกระทำของชอลลี่ก็เหนื่อยเปล่าเพราะอานุภาพของเวทย์กระจกเงานั้น สามารถสะท้อนกลับได้แม้แต่เศษอิฐเหล่านี้ก็ตาม ทำให้สิ่งของที่ชอลลี่ของขว้างมา จึงโดนสะท้อนกลับไปยังร่างของเธอเอง อย่างหินก้อนยักษ์ก้อนหนึ่ง ก็พุ่งกระแทกเข้าบริเวณใบน้ำ จนร่างน้ำของชอลลี่ทะลุเป็นรู
แต่หินก้อนนั้นก็ไม่ได้ทำให้ชอลลี่บาดเจ็บแม้แต่น้อย เพราะแค่ชั่วพริบตาเดียว บริเวณใบหน้าที่ทะลุเป็นรูก็กลับมาสนามเช่นดังเดิม แต่ซ้ำร้าย หินก้อนนั้นกลับเรียกสติที่ขาดไปของชอลลี่ให้กลับมา ที่แท้ที่นางแวมไพร์ต้องตกเป็นรองอยู่ชั่วขณะหนึ่งเช่นนี้ ก็เพราะเธอปล่อยให้โทสะเข้าครอบงำไปนั่นเอง
เมื่อสตินางแวมไพร์กลับมาได้ เธอก็เลิกเข้าโจมตีแบบบ้าระห่ำอย่างเมื่อครู่แล้ว ก่อนจะใช้สายตาจับจ้องเพื่อนอ่านทางเวทย์มนต์ของฝ่ายตรงข้าม และด้วยประสบการณ์ที่โซกโซน แค่ครู่เดียวเธอก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เวทย์ของพรีสสาวนั้น แม้จะสามารถป้องกันได้ดี แต่ก็ไม่มีพลังที่จะโจมตีเลย ต้องรอให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีก่อนเท่านั้น และที่สำคัญ เวทย์มนต์ประเภทเน้นรับเช่นนี้ย่อมมีข้อจำกัดอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ที่ไม่สามารถกางได้ตลอด หรือถ้ารับการโจมตีมากเกินไป ก็จะแตกสลายไปเอง
เมื่อคิดได้ดังนี้นางแวมไพร์ก็เผยยิ้มที่เหี้ยมเกรียมออกมา ก่อนที่เธอจะเริ่มเข้าโจมตีอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอเปลี่ยนจากใช้เศษอิฐเศษปูน มาเป็นของที่ใหญ่กว่า อย่างเช่น อาคารเล็กๆทั้งหลัง และก็เป็นไปตามที่เธอคาด พรีสสาวถึงกลับหน้าตาตื่นตกใจ ที่ต้องรับมือกับอาคารทั้งหลัง เธอกวัดแกว่งบานกระจกขึ้นมาเพื่อสะท้อนเอาอาคารหลังนั้นกลับไป แต่แรงกระแทกที่มีมหาศาลคราวนี้ กระแทกเอาร่างทั้งร่างของเธอลอยกระเด็นไปเช่นกัน
“ท่าทางให้รับทั้งหลังมันคงลำบากสิน่ะ” แวมไพร์สาวยิ้มเยาะอย่างสะใจ เมื่อเธอเห็นกว่าการโจมตีนี้ได้ผล อาคารอีกหลายหลังบริเวณนั้นก็โดนแวมไพร์สาวถอน แล้วเอามาทุ่มใส่ไปที่ร่างวิเวียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพรีสสาวก็ทำได้แค่เพียงกระแทกอาคารเหล่านี้กลับอย่างทุกลักทุเล
“สารรูปทุเรศจริงๆ เวทย์ของเจ้ามันก็แค่นี้สินะ ทำได้แค่คอยรับโดยไม่อาจตอบโต้ได้” ชอลลี่ตะโกนร้องอย่างย่ามใจ ก่อนที่คราวนี้จะทุ่มใส่ทีเดียว 3 อาคาร เล่นเอาวิเวียนไม่อาจจะใช้เวทย์รับได้ไหว ต้องใช้เวทย์ลม พาร่างพุ่งหลบอย่างล้มลุกคลุกคลาน
ชอลลี่หัวเราะอย่างสะใจ ก่อนที่ร่างน้ำนั้นจะก้าวเข้าไปประชิดตัวพรีสสาวที่กำลังค่อยๆลุกขึ้นมา ในมือของเธอก็แบกเอาอาคารขนาดย่อมๆไว้ เพื่อเตรียมฟาดเข้าใส่ศัตรูที่อยู่เบื้องล่าง ในขณะที่วิเวียนเงยหน้ามองขึ้นไปพร้อมกับเอ่ยคำถามคำหนึ่งออกมา
“เจ้ารู้ไหมกระจกมีคุณสมบัติอะไรบ้าง” นางแวมไพร์หน้านิ่วไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้ เมื่อนางแวมไพร์ไม่ตอบ วิเวียนก็เลยเอ่ยเฉลย “ 1 สะท้อนแสง และ 2 รวมแสง”
ทันทีที่วิเวียนพูดจบ ชอลลี่ก็รู้สึกถึงอันตรายในทันที เธอจึงเงื้อมือขึ้นเพื่อจะฟาเอาคารหลังนั้นลงพื้น แต่นั่นก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะวิเวียนเงยบานกระจกขึ้นพร้อมกับร่ายเวทย์ดังลั่น “กระจกเงาหมื่นดารา สาดแสง”
พริบตานั้นแสงสว่างจ้าก็เปล่งออกมาจากกระจกเงาแล้วก็ฉายเข้าไปบริเวณใบหน้าและลำตัวของชอลลี่ทันที นางแวมไพร์ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดก่อนจะผงะถอยหลังไปหลายก้าว แต่วิเวียนก็ยังไม่หยุด ยังตามไปสาดแสงใส่อย่างไม่ปราณี จนเผยให้เห็นร่างแท้จริงของชอลลี่ที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางร่างน้ำ กำลังโดนไฟลุกไหม้ ซึ่งร้อนแรงขนาดที่ทำเอาร่างน้ำที่ล้อมรอบอยู่ใกล้กันนั้นเดือดปุดๆจนร้อนระเหยกลายเป็นไอ
ที่แท้เวทย์กระจกเงายังมีคุณสมบัติอีกอย่างที่ซ่อนอยู่ คือทุกครั้งที่มันรับการโจมตีของศัตรู นอกจากมันจะสะท้อนเวทย์เหล่านั้นกลับไปแล้ว มันยังรวบรวมพลังเหล่านั้นเก็บไว้ด้วย และเมื่อที่มันรวมพลังจนเต็มที่แล้ว มันก็จะเปล่งแสงออกมา แสงนี้เป็นแสงที่เกิดจากเวทย์ธาตุแสงสว่าง จึงมีผลทำลายโดยตรงกับร่างของแวมไพร์ ทำให้ชอลลี่ที่แม้จะได้รับการป้องกันด้วยร่างน้ำ ก็ต้องลุกไหม้กลายเป็นกองไฟอยู่ดี
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด !!” ชอลลี่หวีดร้องด้วยความเจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเธอจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ทันทีที่ร่างจริงถูกทำลาย ร่างน้ำที่ห่อหุ้มโดยรอบก็เกิดปฏิกิริยาเช่นกัน ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มอย่างน่ากลัวก่อนที่จะระเบิดออกอย่างรุนแรง เกิดคลื่นน้ำขนาดยักษ์ซัดทำลายทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านไม่มีเหลือ ไม่เว้นแม้แต่วิเวียนที่โดนคลื่นน้ำซัด จนจมหายไปกับสายน้ำ
.
.
.
ครืนนนนนนนนนนนนนนนนนน !!
เมฆฝนก้อนใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าคำรามลั่น หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจเมฆฝนเหล่านี้ก็กลั่นตัวลงมายังพื้นเบื้องล่าง จนตอนนี้เมืองทั้งเมืองชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดฝน แต่ไม่ว่าฝนจะตกสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจดับไฟสงครามที่กำลังโหมประทุได้เลย ซ้ำร้ายไฟสงครามนี้กลับโหมหนักยิ่งกว่าเก่า เพราะแต่ล่ะฝ่าย ต่างก็เพิ่มกำลังคนมากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ฝ่ายพรีสใช้วิธีเรียกระดมพลให้พรีสทั้งหมดมารวมกันที่หน้าโบสถ์ ส่วนฝ่ายแวมไพร์ก็ได้กำลังสนับสนุนจากทหารชุดที่สองมาช่วยเสริม จนตอนนี้ขนาดของวงสงครามขยายตัวยิ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ
“คร๊อกๆๆๆ” แต่ห่างออกไปจากจุดปะทะ ร่างของพรีสสาวผมสีเงินที่นอนสลบอยู่กลางแอ่งน้ำ ค่อยๆพื้นสติขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งแรกที่เธอทำก็คือการสำรอกเอาน้ำที่คั่งค้างในลำคอออกมาให้หมด นับว่าคลื่นน้ำเมื่อครู่นี้ก็สร้างปัญหากับเธอไม้น้อย แม้มันจะไม่ร้ายแรงถึงกับทำให้เธอบาดเจ็บหนัก แต่มันก็ทำเธอสลบไปพักใหญ่เลยทีเดียว
“จ๋อมๆๆ” แม้ชอลลี่จะสิ้นชีพไปแล้ว แต่ร่างน้ำที่เกิดจากเวทย์ของเธอก็ยังคงอยู่ แม้มันจะไม่สามารถก่อตัวเป็นรูปร่างได้แล้ว แต่มันก็ส่งผลให้พื้นที่โดยรอบเจ่อนองไปด้วยน้ำท่วมขัง สูงขึ้นมาประมาณข้อเท้า ซึ่งนี่ก็เป็นตัวส่งสัญญาณชั้นดี ที่บอกพรีสสาวให้รับรู้ว่า กำลังมีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอ
“เวโรนิก้า !!” วิเวียนเอ่ยขึ้น ที่แท้ผู้ที่ก้าวเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นแวมไพร์คู่ปรับของเธอนี่เอง
“ไม่เจอกันไม่กี่วัน พัฒนาขึ้นเยอะเลยนี่ ถึงขนาดฆ่าแวมไพร์ชั้นขุนพลได้ด้วย” เวโรนิก้ากล่าวขึ้นก่อนที่จะขยับดาบซามูไรในมือเพื่อเตรียมพร้อมที่จะใช้งาน
“กระจกเงาหมื่นดารา” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูคู่ปรับที่เคยปะทะกันมา วิเวียนก็ไม่รอช้าที่จะร่ายเวทย์ของตนขึ้นมาทันที ด้วยเวทย์ธาตุแสงสว่างบทนี้ มันทำให้เธอมั่นใจอย่างมาก ไม่ว่าที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นแวมไพร์ที่ร้ายกาจแค่ไหน เพราะถ้าเป็นแวมไพร์ก็ต้องแพ้ทางแก่ธาตุแสงสว่างของเธออยู่ดี ........ แต่แล้ว !!
“เผล้งงงงงงงงงงงงงงงงงง !!!!!”
แต่ไม่ทันที่กระจกเงาจะก่อตัวสำเร็จ ชั่วพริบตานั้นกระจกเวทย์ก็กลับแตกสลายลงเบื้องหน้าวิเวียน ทำเอาเธอร้องออกมาหนึ่งคำด้วยความตกใจ ส่วมแวมไพร์สาวที่อยู่เบื้องหน้า ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ เธอพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง ก่อนจะชักดาบเข้าฟันใส่ในทันที !! ยังดีที่วิเวียนยังพอมีสติ เธอจึงกระโดดถอยฉากได้ทัน ดาบนี้ของแวมไพร์สาว จึงทำได้เพียงแค่เรียกเลือดจากเธอแค่เล็กน้อยเท่านั้น
“หึๆๆๆ” เวโรนิก้าหัวเราะออกมาเบาๆ แม้ดาบแรกเธอจะพลาดไปเล็กน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เธอตั้งดาบในท่าใหม่ด้วยการถือดาบด้วยมือขวา ในลักษณะตั้งฉากกับพื้น มือซ้ายเอื้อมไปเบื้องหน้าเพื่อประครองดาบเบาๆ ส่วนเท้าซ้ายก็ขยับเบาไปข้างหน้าเพื่อเตรียมพร้อมจะพุ่งเข้าจู่โจม การตั้งดาบเช่นนี้เป็นการตั้งดาบของท่าทะลวง ซึ่งเป็นกระบวนท่าหนึ่งของเพลงดาบญี่ปุ่นที่เธอได้รับการฝึกฝนมา
‘ทำไมกัน ทำไมเราใช้เวทย์มนต์ไม่ได้’ วิเวีย