« เมื่อ: ตุลาคม 23, 2015, 06:43:53 pm »
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
ตอนที่12 ปมฝังใจ
.
.
.
น่าขอบคุณเด็กหนุ่มคนนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมควบคุมร่างกายเขายืมมาใช้ต่างอาวุธ ก็ยังมีแก่ใจช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้นได้แม้ว่าเนื้อตัวค่อนข้างมอมแมมจากการคลุกดินทรายเพราะสำลักน้ำบนบก.. .ประสบการณ์อันหาซื้อไม่ได้ เว้นแต่คุณจะกวนตีนผู้มีพลังพิเศษเท่านั้นตลกร้ายชัด ๆ
แต่เอาเถอะเขาไม่รู้นี่นา ถ้าทราบว่าผมคือคนที่สะกดจิตเจ้าตัวจนเมื่อกี้ต้องพลอยเสี่ยงตายไปด้วยอาจจะอยากลากผมไปทิ้งในสระให้สำลักน้ำตายไปจริง ๆ ก็ได้
หลังจากพยุงผมพาไปนั่งบนม้านั่งเรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มก็อาสาจัดการเรื่องอนามัยเบื้องต้นอย่างเปี่ยมน้ำใจ
“นั่งพักตรงนี้ก่อนนะพี่ เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำมาให้ล้างหน้า”“ขอบคุณครับ แต่ไม่ต้องลำบากหรอก พี่ไม่เป็นไรครับแค่เมาแล้วสะดุดล้มนิดหน่อยเอง” กับคนที่เพิ่งเกือบสำลักน้ำตายหมาด ๆจะซื้อน้ำให้ล้างหน้าคงไม่เป็นการดีเท่าไหร่หรอกนะ“ก็แล้วแต่พี่นะครับ ถ้าไม่เป็นไรแล้วผมคงต้องขอกลับบ้านก่อนนะครับ เดี๋ยวรถหมด” เขาลุกขึ้นหยิบเป้ขึ้นมาสะพายบ่า“ทำไมถึงช่วยพี่ล่ะครับทั้งที่ตัวเลอะเหมือนคนบ้าอย่างนี้น่ะ” ผมถามเพราะอยากรู้จริง ๆขอขัดจังหวะก่อนกลับบ้านสักนิดเถอะนะเด็กน้อยเด็กหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดคำตอบ
.
.
.
“. . .พี่. . .หน้าเหมือน. ..พี่ชายที่ผมนับถือคนหนึ่ง แต่นึกไม่ออกว่าใคร อาจเป็นเพื่อนบ้านสมัยเด็ก ๆ” เขาตอบแม้เขาจะพยายามนึกให้ออกแต่ฝ่ายที่นึกได้ก่อนดันเป็นผมซะเองเอฟเด็กโรงเรียนเก่าที่ผมเคยสะกดจิตให้ร่วมปู้ยี่ปู้ยำอาจารย์ทรงเดชแล้วลบความทรงจำเป็นรายสุดท้าย!
.
.
.
“จริงสิครับ พี่นึกได้ว่ามีธุระด่วนต้องขอตัวกลับเช่นกันครับน้อง ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะครับ” ผมไว้มาดส่งยิ้มให้เอฟและลุกขึ้นอย่างสงบแม้เนื้อตัวจะเขรอะด้วยดินทรายภายในใจเต็มไปด้วยความอิหลักอิเหลื่อ เด็กคนนี้ไม่ควรได้พบเจอผมอีก ให้ตายสิวันนี้ถือเป็นวันซวยที่สุดในรอบปีล่ะมั้งนี่“ไหวนะครับพี่ ให้ผมเดินไปส่งไหม” เอฟถามเพื่อความแน่ใจ“ไม่เป็นไรครับน้อง. . .อุ๊บ!” ผมทรุดลงเจ็บแปลบกลางหลังบริเวณที่ถูกธนิกซัดลอยกระแทกเสาเขายิ้มเจื่อนแหะๆ เมื่อเห็นว่าคำพูดของผมกับภาพที่เห็นช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน
“เอ่อ. . .ผมว่าไปส่งดีกว่า”จนแล้วจนรอดเอฟก็มาส่งผมถึงรถจนได้และคงแล้งน้ำใจเกินไปถ้าจะไม่เอ่ยปากให้ติดรถตามมารยาทที่พึงกระทำต่อผู้ให้ความช่วยเหลือผมจึงตกลงกับเขาว่าจะขับไปส่งที่ป้ายรถเมล์ให้จะได้ไม่ต้องเดินไกล“ไปนั่งเล่นที่สวนคนเดียวเหรอครับน้อง” ผมชวนคุยเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งเงียบเกร็ง“เปล่าครับ” เอฟตอบสั้น ๆ เหม่อหันมองวิวนอกหน้าต่างรถ“. . .” . . . .อ้าว เด็กคนนี้นิ อย่าทำให้บรรยากาศอึมครึมสิ“ไปให้แฟนบอกเลิกน่ะครับ” ต่อจากนั้นดูเหมือนว่าเขาจะตอบส่ง ๆคงเพราะคิดว่าควรตอบให้เต็มประโยคตามมารยาทที่อาศัยรถคนแปลกหน้ากระมัง“ขอโทษครับพี่ไม่น่าถามเลย”“ช่างมันเหอะพี่ ผมไม่คิดมากครับ” เห็นได้เลยว่าเขาฝืนยิ้มแม้เป็นเวลาไม่ถึงสิบนาทีแต่การพยายามดันทุรังหาหัวข้อสนทนาเพื่อรักษามารยาทสังคมทั้งที่สภาพจิตใจไม่พร้อมทั้งสองฝ่ายทำให้บรรยากาศพูดคุยไม่ต่างอะไรกับละครชั้นเลวที่มีแต่นักแสดงเล่นแข็งทั้งเรื่อง กระนั้นก็ยังคงต้องเล่นไปตามหน้าที่จนกว่าจะจบตอนนั่นคือส่งน้องเอฟถึงป้ายรถนั่นเอง“ขอบคุณครับพี่” เอฟยกมือไหว้“ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ อย่าเมากลิ้งที่ไหนอีกล่ะครับ” เขาโบกมือส่งยิ้มให้ก่อนลงจากรถ“เช่นกันครับ ดูแลตัวเองด้วยนะครับเอฟ”
.
.
.
.
.
บรรลัยแล้ว
หลุดชื่อออกมาจนได้
.
.
.
“เดี๋ยวนะครับ. . .” เอฟหยุดเท้าไว้ครึ่งก้าว“พี่รู้ชื่อผมได้ไง?”“เอ่อ . . เดาเอาครับว่าน่าจะชื่อเอฟ”
.
.
.
.
.
บ้าจริงผม
ตอบแบบนี้ยิ่งขุดหลุมฝังตัวเองลึกลงไปอีก
.
.
.
“ถามจริงเราเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่าครับ?”เด็กเวรเอ้ยรีบกลับไปเถอะขอร้อง“ปิ๊นน!!”เสียงแตรรถคันข้างหลังสื่อแทนคำด่าดังเสียดแทงแก้วหู“พี่ต้องไปแล้วล่ะครับ โชคดีนะครับ” ผมใช้คำพูดสื่อทางอ้อมว่าเขาควรจะลงไปได้แล้ว“ครับ ๆ ขอบคุณครับ” เขาเลิ่กลั่นลงจากรถทันทีกระนั้นก็ยังไม่ละสายตาที่แสดงถึงความเคลือบแคลงในสถานการณ์ปกติหากมีใครมาบีบแตรใส่ผมเสียงดังแบบนี้คนขับอาจกลายสภาพเป็นโคโยตี้ลุกขึ้นถอดเสื้อเต้นบนหลังคารถกลางถนนก็เป็นได้
.
.
.
แต่งานนี้ต้องขอบคุณเจ้าของรถขี้ใจร้อนที่ช่วยชีวิตไว้ได้หวุดหวิดจริงๆ
.
.
.
.
.
ผมเดินสะบักสะบอมกลับเข้าบ้านโซเซเหมือนผีดิบคืนหลุมได้เจอกับธนิกเพียงครั้งเดียวไม่เหลือแววนักธุรกิจหนุ่มมาดนิ่งอยู่เลย“ว้าย! ตาเถรยายชี! คุณเตอร์ไปทำอะไรมาคะนั่น!?” ไม่รู้เป็นเพราะอะไร น้าบัวแม่บ้านของบ้านหลังถัดไปถึงชอบบังเอิญเห็นผมในสภาพไม่อยากให้เป็นที่สังเกตอยู่ร่ำไปดึกป่านนี้ยังจะออกมาเล่นกับแมวขาวตัวโปรด“ฟัดกับหมามาครับน้า” ผมตอบเธอพร้อมประชดโชคชะตาตนเองไปด้วยในตัว“หมาที่ไหนคะ” น้าบัวช่างเป็นคนซื่อจริง ๆแต่ก็คงดีแล้วที่เธอเข้าใจไปอย่างนั้น“หมาบ้ากลายพันธุ์ครับ”ประตูบ้านปิดลงด้วยเสียงดังกว่าที่ควรจะเป็นแม่บ้านบัวยังคงยืนงงนิ่ง
.
.
.
“คงเป็นหมาที่ดุมาก เล่นแรงจริง ๆ ” เธอรำพันพลางเกาคางแมว
.
.
.
หลังอาบน้ำชำระร่างกายผมล้วงหากระดาษพับที่ธนิกยัดใส่กระเป๋ากางเกงไว้เมื่อคลี่ออกดูก็พบเบอร์โทรศัพท์กับชื่อเขาที่ระบุให้รู้ว่าเบอร์ของใครเท่านั้นผมขยำและดีดทิ้งไปไกลๆ เหมือนดีดขี้มูกยังมีเรื่องที่ผมต้องวางแผนอีกมากมายล้วนแต่เป็นเรื่องใช้ทั้งสมองและเวลาเรื่องอะไรจะยอมเป็นเบ๊คนซาดิสต์ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าแบบเจ้านั่นต่อให้อ้างว่าเป็นสายเลือดแห่งอนาคตหรืออนาถาอะไรก็เถอะผมทิ้งตัวลงบนโซฟาพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหลับตาก่ายหน้าผากด้วยความบอบช้ำและอ่อนเพลียนานมาแล้วที่ไม่เคยเจ็บทั้งกายและใจหนักหน่วงพร้อมกันเช่นนี้
.
.
.
.
นานเท่าไหร่กันนะ
.
“แม่ไอ้เต๋อขายน้ำแต่กูว่าแม่มันน่าจะเพิ่มน้ำอย่างอื่นเข้าไปด้วยนะ แบบที่คนเค้าไม่กล้าขายกันน่ะ”เสียงฮาครืนดังขึ้นกลางช่วงพักระหว่างคาบเรียน“ขายน้ำมันผิดตรงไหน! เกรซว่าแม่ผมทำไม!” เต๋อเอ็ดกลับ“ผิดตรงที่รำคาญลูกตาพวกเราไง” เกรซยักไหล่“ครูวิไลให้อภิสิทธิ์มึงตลอดเลย จ่ายค่าเทอมก็ช้ากว่าทำรายงานก็ไม่ต้องเข้าเล่มเหมือนพวกเราวิชาดนตรีครูก็คอยขอยืมของคนอื่นมาให้มึงเล่น แล้วอีกอย่างนะค่าสมทบทุนสร้างอาคารเรียนคนอื่นเค้าให้กันเป็นหลักหมื่นหลักแสนที่บ้านมึงให้กี่ตังค์เชียว”“. . .” เต๋อก้มหน้า“ร้อยเดียวค่า น้องจอยแอบไปดูรายชื่อผู้บริจาคมาแล้ว” เด็กหญิงจอยตอบแทนให้ดังได้ยินทั่วกันเสียงหัวเราะระเบิดตูมอีกครั้ง“อย่าไปขำเค้าสิพวกมึง ดูถูกเงินร้อยเดียวได้ยังไงค่าตะปูค่าน็อตก็พอไหวอยู่นะ” ใครคนหนึ่งแทรกมุกเข้ามากลางวงคราวนี้จึงฮายกชั้นแม้แต่คนเส้นลึกที่สุด ยกเว้นบางคน . . .
.
.
.
“เดี๋ยวนะเพื่อน ๆภูมิคิดว่าเราน่าจะเปลี่ยนเรื่องคุยกันนะ” ภูมิเดินเข้ามากลางวง“เปลี่ยนเป็นว่าภูมิจะไปกินอะไรกับจอยเย็นนี้ใช่ไหมล่า” จอยพยายามทำให้เป็นเรื่องสนุกแต่เกรซไม่สนุกด้วยเพราะเธอไม่ต้องการให้ใครเบี่ยงประเด็น“เธออย่าเข้าข้างมันสิภูมิไม่เห็นเหรอว่ามันเอาเปรียบพวกเราแค่ไหน”“แต่เต๋อก็ช่วยเก็บขยะตามชั้นเรียนนะครูหลายคนถึงได้เอ็นดูแล้วก็พยายามช่วยเหลือ” ภูมิพยายามแสดงเหตุผล“จริงด้วย ที่ภูมิพูดขึ้นมาก็ถูกแต่นั่นมันหน้าที่ภารโรงนะคะเธอจ๋า ต๊ายตาย!ยากจนถึงขนาดต้องแย่งซีนภารโรงเอาตัวรอดกันเลยนะคะ” จอยยิงมุกทำคนหัวเราะท้องแข็งการที่ภูมิพยายามช่วยดูเหมือนจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง“มึงอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่รู้จักอยู่ในที่ที่สมฐานะ ที่นี่โรงเรียนคนรวยนะไม่ใช่องค์กรการกุศลบอกตรง ๆ กูเหม็นขี้หน้ามึงกับแม่รู้ไว้ด้วย” วาจาจากเกรซทำให้บรรยากาศตึงเครียดลงทุกทีเต๋อรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อนจนมุม
.
.
.
“จบซะทีเถอะ แกล้งมันทำไม” เด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้นบ้าง“ต๊ายตาย! หนุ่มไม้หน้ามนก็เอากะเขาด้วย อยากเป็นพระเอกหรือไงคะ” จอยเอามือทาบอก ดูก็รู้ว่าจริตจะก้านเกินพอดี“อีกไม่นานก็จะถึงฤดูโหวตจตุรเทพประจำรุ่นแล้วกำลังแข่งกันทำคะแนนมั้ง” เกรซเบ้ปากกระทบกระเทียบ“ว้าย! นังเกรซ แกหลอกแขวะภูมิรึไงยะแบบนี้ตบกันเลยดีกว่า” จอยพูดทีเล่นทีจริง“ภูมิน่ะไม่เท่าไหร่ ไม่ทำตัวขี้เก๊กน่าหมั่นไส้เหมือนใครบางคน” เมื่อกล่าวจบเกรซบุ้ยใบ้มองไม้ด้วยหางตา“ไร้สาระว่ะ”จังหวะที่ไม้พูดหมดเวลาพักระหว่างคาบเรียนพอดีประกอบกับช่วงนาทีทองรุมยำเต๋อหมดความมันส์ลงเมื่อมีภูมิและไม้ซึ่งมีอิทธิพลในห้องเข้าแทรกทุกคนจึงเริ่มเดินทยอยออกจากห้องไปเรียนคาบวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นคาบต่อไปอีกตึกหนึ่ง“ไปกับกูดีกว่าเต๋อ วันนี้มึงมานั่งข้างกูก็ได้” ไม้พยักหน้าเรียกเต๋อให้ออกจากห้องไปด้วยกัน“ขอภูมินั่งด้วยคนนะ” ภูมิตั้งท่าจะตามไปอีกคนเกรซไม่พอใจอย่างมากเมื่อเห็นสามคนนี้หันหลังให้เป็นนัยว่าคำด่าที่ตั้งใจสำรอกมีอานุภาพน้อยกว่าที่คาดไว้“ปกป้องกันเข้าไปนะ! อีลูกแม่ค้าเนี่ยมันมีอะไรดี!หรือว่าเป็นตุ๊ดเป็นเกย์กันไปหมดแล้ว!” เธอสะกดทุกคนด้วยน้ำเสียงเฉียบคมชัดเจน“อีเกรซ! อีปากเสีย!” จอยขัดขึ้น แต่ดูเหมือนทุกคนจะไม่ได้ยินมีเรื่องสำคัญกว่านั้น บรรยากาศของการแตกหักกำลังก่อตัว
.
.
.
“บ้านมึงมันขี้ขอทั้งบ้าน!ชอบทำตัวให้คนอื่นสงสารแต่ไม่ยอมเจียมตัว บอกให้แม่ไปอัพเกรดขายน้ำหีเพิ่มไป๊!เผื่อจะลืมตาอ้าปากได้ แม่มึงเหมาะเป็นกะหรี่ที่สุดแล้ว!”
.
.
.
“เกรซว่าไงนะ” เต๋อทวนขึ้นเบา ๆ“แม่มึงเหมาะไปเป็นกะหรี่ขายหี! ชัดไหม!”ถึงภูมิจะเอ๋อแต่ไวในเรื่องความไหวรู้สึก
.
.
“เต๋อ! อย่า!” ภูมิคว้าแขนเต๋อไว้ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการเต๋อพุ่งผลักเกรซล้มกระแทกพื้นดังโครม“ไอ้เต๋อ! ใจเย็นก่อน!” ไม้เข้าล็อคตัวเต๋อจากด้านหลังและจับแยกออกจากกันก่อนจะเกิดการชกต่อยกันขึ้น“อย่า. . . .ให้มันมากไปนัก” เต๋อพึมพำปากสั่นระริกด้วยความโกรธจอยช่วยเกรซค่อยๆ พยุงตัวขึ้น ระหว่างนั้นสังเกตได้ว่าทั้งสองกำลังกระซิบอะไรบางอย่าง
.
.
.
“งั้นมึงก็อย่ามาเล่นกับคนอย่างกู”เธอขยี้ผมตัวเองทึ้งเสื้อผ้าจนกระดุมขาดหลุดหลุ่ย สูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดเต็มที่ กลุ่มเด็กชายมองว่าเกรซคงโกรธจนเสียสติแล้ว
.
.
.
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!” สองสาวกรี๊ดร้องลั่นดังทั่วชั้นโดยเฉพาะจอยซึ่งมีคอหอยที่ส่งเสียงหวีดแหลมเกินคนทั่วไปเด็กชายทั้งสามตกใจจนทำอะไรไม่ถูก“น้ำหวาน เธอช่วยบอกให้สองคนนี้สงบสติอารมณ์หน่อยสิ!” ไม้หันไปพึ่งน้ำหวานเพื่อนหญิงคนสุดท้ายที่ยังไม่ออกจากห้องเรียนโดยหวังว่าผู้หญิงด้วยกันจะคุยง่ายกว่าแต่เธอก็อยู่ในอาการตกตะลึงเช่นกัน ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงถึงได้เพียงนี้“เกรซ จอย หยุดก่อนนะ ฟังเราหน่อย” น้ำหวานพูดแต่ก็ดูเหมือนจะช้าเกินไปแล้ว“เอะอะอะไรกัน!!”ทุกคนที่เหลือในห้อง3/3 หันไปทางเดียวกันหมดอาจารย์ทรงเดชยืนกอดอกถือไม้เรียวพร้อมด้วยนักเรียนทั้งชั้นที่แห่กันมาหาต้นเสียงแน่นขนัดอยู่นอกห้อง
.
.
.
.
.
ภายในห้องปกครองคุกรุ่นไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดครูฝ่ายปกครองต่างว้าวุ่นกับการไต่สวนพิจารณาคดีทะเลาะวิวาทที่เกิดเมื่อครู่พร้อมด้วยคู่กรณีและพยานที่อยู่ในเหตุการณ์อันได้แก่ เต๋อ เกรซ จอย ไม้ ภูมิและน้ำหวาน เต๋อได้แต่นั่งก้มหน้าสลด“เนี่ยค่ะครู เขาผลักหนูล้มลงแล้วขึ้นคร่อมกระชากเสื้อผ้าขาดวิ่นเลยค่ะ” เกรซก้มมองทั่วร่างอย่างสมเพชตนเอง“แต่ภาพที่ผมเห็น . . .” ภูมิแทรก แต่เสียงของจอยดังกลบ“คือก็ไม่เข้าใจอ่ะค่ะว่าเค้าหูเฝื่อนหรืออะไร เกรซแค่บ่นๆ ว่าอยากดื่มอะไรเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ แม่เต๋อน่าจะทำน้ำกระเจี๊ยบขายเพิ่มแต่เค้าได้ยินเป็น . . . ขอโทษนะคะ กระเจี๊ยวหรือกะหรี่อะไรสักอย่างนี่ล่ะค่ะแล้วก็ตะคอกกลับมาว่ามึงสิอีกะหรี่ อย่าเล่นถึงแม่กู” จอยร่ายยาวแทนเพื่อนทั้งสองตีหน้าได้สมกับบทบาทผู้ถูกกระทำ“ไม่จริง เกรซเป็นฝ่ายด่าน้าทิพย์ตรง ๆ เลย!” ไม้พูดขึ้นบ้าง“จะบ้าเหรอไม้ เค้าอยู่ของเค้าดี ๆ ใครจะไปด่าฉันไม่ใช่คนโรคจิตนะที่จะเที่ยวด่าคนอื่นแบบไร้เหตุผล” เกรซตอกกลับ“โห. . .กล้าพูดเนอะ เธอน่ะโรคจิตของแท้ที่ลับเป็นอย่างหนึ่ง ที่แจ้งเป็นอีกอย่าง แยกวิธีคิดวิธีพูดออกจากกันคนละทางเลยเหมือนในหนังฆาตกรโรคจิต. . . ” ไม้นึกคำพูดต่อ“หมายถึงพวกบุคลิกซ้ำซ้อนใช่รึเปล่า” ภูมิต่อให้“ภูมิ!!” เกรซชักสีหน้าใส่“เปล่านะ ภูมิไม่ได้ว่าเกรซแค่เห็นไม้อยากจะใช้ศัพท์เฉพาะแต่นึกคำเรียกไม่ถูก ภูมิก็เลยพูดแทนให้” ภูมิเกาหัว ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดตรงไหน“ผมไม่ผิด! เกรซด่าแม่ผมก่อน!” เต๋อชักเสียงขึ้น“เกรซเข้าใจนะแม่ใครใครก็รักเป็นเกรซก็คงทนไม่ได้ถ้ามีใครมาลามปามถึงแม่ ก็อาจจะลงไม้ลงมือเหมือนกันแต่ปัญหาของเรื่องนี้มันอยู่ตรงที่ เกรซไม่ได้ด่าแม่เต๋อ เต๋อเข้าใจผิดไปเอง”“เธอเครียดหรือเก็บกดอะไรหรือเปล่าเวลาเรียนก็นั่งอยู่คนเดียวไม่คุยกับใครเลย” จอยมองเต๋อด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ“ไม่มีใครอยากคุยกับผมต่างหาก” เต๋อกัดฟันตอบ“อย่าไปเชื่อพวกเค้าครับครูจอยกับเกรซสนิทกันมาตั้งนานแล้ว ใครก็รู้” ไม้ช่วยต้านไม่ให้พวกผู้หญิงพตักตวงความชอบธรรมเพียงฝ่ายเดียว“โอย จะบ้าตาย เด็กมันก็เข้าข้างพวกเดียวกันทั้งนั้นแหละฉันจะเชื่อใครได้” หญิงร่างท้วมวัยกลางคนซึ่งดำรงตำแหน่งครูหัวหน้าฝ่ายปกครองนั่งบีบนวดหน้าผากตัวเองให้คลายจากความปวดเศียรเวียนเกล้า
.
.
.
แต่ดูเหมือนว่าภาระสมองของเธอจะยังไม่หยุดเพียงเท่านี้
.
.
.
“ลูกเกรซคะ เป็นไงบ้าง!!” สาวสูงสง่างามสมวัยราวสี่สิบ เดินหลังตรงก้าวขาฉับ ๆเข้ามาในห้องฝ่ายปกครอง
สัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้เธอเข้าสวมกอดลูกสาวด้วยความเป็นห่วงทันที“ตายจริง. . . คุณพระคุณเจ้า!” เธอป้องปากตกใจเมื่อได้เห็นลูกสาวอยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิง“คุณแม่คะ เกรซกลัวเหลือเกินค่ะ” เกรซบีบหน้าพยายามรีดน้ำตาแม้จะไม่มีไหลออกมาสักหยดแต่ขอให้ได้อารมณ์ใกล้เคียงที่สุดก็ยังดี“แค่นี้ต้องตามแม่มาด้วย งานการไม่มีให้ทำหรือไง” ไม้บ่นอุบอิบ“ไม้ ไม่เอาน่ะ” วิไล ครูหญิงวัยใกล้เกษียณที่ปรึกษาห้อง 3/3ตีบ่าลูกศิษย์เบา ๆหลังบังเอิญได้ยิน“ฉันคิดว่าโรงเรียนนี้จะมีแต่ลูกผู้ดีมีการศึกษาซะอีกถึงให้ลูกเรียนที่นี่พวกคุณปล่อยให้เกิดเหตุรุนแรงกับลูกฉันได้ยังไง แถมเป็นผู้ชายรังแกผู้หญิงด้วย”“ฟังเราก่อนเถอะค่ะคุณดารินทร์ . . .” ครูหัวหน้าฝ่ายปกครองพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ย“ฉันไม่ฟัง!เสียความรู้สึกนะคะที่อุตส่าห์ให้ความไว้วางใจอุปการะโรงเรียนตลอดมาฉันช่วยพวกคุณไปตั้งเท่าไหร่เพื่อครูนักเรียนได้อยู่ในสภาพแวดล้อมดีที่สุดจะจัดงานการกุศล โต๊ะจีน ส่งซองมากี่ครั้งฉันก็ไม่เคยอิดออด!แค่ดูแลให้ลูกฉันปลอดภัยในรั้วโรงเรียนแค่นี้ยังทำไม่ได้!แล้วยิ่งฉันเป็นประธานมูลนิธิพิทักษ์สตรีและเด็กแต่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้กับลูกสาวตัวเอง มันไม่ตลกเกินไปหน่อยหรือคะ!” ครูหัวหน้าฝ่ายปกครอง ครูวิไล และอาจารย์ทรงเดชทำได้เพียงทอดสายตามองหาอะไรก็ได้ที่จะช่วยไม่ให้ต้องสบตาผู้หญิงคนนี้ตรงๆเด็กๆ ทุกคนพร้อมใจกันก้มหน้าเงียบราวกับอยู่ต่อหน้าองค์ราชินีสูงศักดิ์ไม้แอบสังเกตได้ว่าเกรซและจอยกำลังใช้ความพยายามยิ่งยวดในการกดเก็บหัวเราะ“แต่อย่างน้อยคุณก็น่าให้เด็กที่อยู่ในเหตุการณ์ได้มีโอกาสพูดก่อนนะคะแล้วใครผิดใครถูกค่อยให้ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ตัดสิน น่าจะยุติธรรมกับทุกคนนะคะ” ในที่สุดครูวิไลก็กล้าเป็นฝ่ายต่อรองกับแม่เกรซขึ้นเป็นคนแรก“ก็ได้ค่ะ แต่ก่อนอื่นฉันขอดูหน้าคนที่ทำลูกเกรซก่อน”“เข้มแข็งไว้นะเต๋อ” ภูมิหันไปส่งกำลังใจ“เธอรึเปล่า?” เป็นอย่างที่คิดดารินทร์เดาถูกง่ายดายโดยพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอกของเต๋อที่ผิดแผกแปลกแยกออกจากเด็กคนอื่นๆ ทั้งเสื้อผ้าและผิวพรรณ“ใช่. . .ครับ” เต๋อรับ“นี่ลูกเจ๊ขายน้ำหลังโรงเรียนนิ ฉันจำได้” แม่ของเกรซรำพัน“หึ น้าก็ไม่ชอบตัดสินคนที่เปลือกนอกหรอกนะแต่เดาไม่ค่อยจะพลาดหรอก เป็นผู้ชายภาษาอะไรถึงรังแกผู้หญิง” ดารินทร์เหยียดปากถาม เธอทำหน้าราวพูดอยู่กับกองอุจจาระ“ไหนป้าบอกจะฟังพวกเราทุกคนก่อนไง!” ไม้แทรกขึ้นดารินทร์เปลี่ยนเป้าหมายจรวดนำวิถีชั่วคราว“ใช้คำเรียกผู้ใหญ่แก่เกินอายุจริงมันเสียมารยาทนะคะ” เธอท้วงขึ้นด้วยอาการเก็บความรู้สึก“แล้วอายุจริง ๆ ของคุณเท่าไหร่กันละครับ” ไม้สวนกลับ“ภูมิว่าไม้คำถามของไม้กำกวมนะ ไม่ควรใช้คำว่า “อายุจริง ๆ ” เพราะจะทำให้คนฟังสับสน ถ้าเป็นงานวิจัยต้องระบุก่อนว่า “อายุจริง ๆ” ในที่นี้หมายถึงอะไรเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ชี้วัดจากอะไรอายุทางกาย หรือว่าอายุทางความคิด ตัดสินจากอะไร ระบบปฏิทินหรือว่าไอคิวอีคิวเทสต์ ไม่งั้นคนอ่านเปเปอร์อาจตีความไปคนละทาง อย่าลืมสิว่า. . ..” ภูมิถือโอกาสให้ความรู้กับเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่ทันสังเกตว่าทุกคนกำลังอยู่ในภาวะคล้ายกลัวเครื่องบินรบทิ้งระเบิดดารินทร์โกรธจนเลือดฝาดทั่วหน้า แม้เครื่องสำอางก็ปิดไม่มิด
.
.
.
“เงียบได้แล้ว!” อาจารย์ทรงเดชฟาดไม้เรียวลงโต๊ะประดุจเปาปุ้นจิ้นสั่งเปิดศาลการสอบสวนเริ่มขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นทางการต่อหน้าดารินทร์ข้อมูลที่ได้จากทุกฝ่ายไม่ต่างจากรอบแรกเท่าไหร่นักประดุจว่าพิธีกรรมนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อให้แม่ของเกรซซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของโรงเรียนพอใจเท่านั้น
.
.
.
ระหว่างการไต่สวนครูวิไลเดินแอบเข้ามาหาเต๋อ[color=#7030a0