ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_punyang

The New World : จอมคนโลกใหม่ 17

เริ่มโดย punyang, เมษายน 15, 2016, 07:29:19 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

dick1050

ฉากศึกครั้งนี้ ประพันธ์ได้ดีมากๆ สนุก ตื่นเต้นครับ
Make love Not War

taohu1


inputpy


fongbeer



GB1475



Nakata69


เลิศ2024



Bus Diver


kit77555


Mewmania

อ้างจาก: punyang เมื่อ เมษายน 15, 2016, 07:29:19 หลังเที่ยงสงครามคำรบแรกได้เริ่มขึ้นแล้ว

นักรบชนเผ่าของเรายังทำงานได้สมคำร่ำลือ เพียงแค่คืนแรก พวกเธอเผ่ารถเสบียงวอดวายไปได้ถึง 15 คัน  ทหารผู้คุ้มกันรถเสบียงโกรธจนคลุ้มคลั่ง ควบม้าไล่ติดตามพวกหล่อนเข้าไปในป่าลึก นั่นคือฝันร้ายครั้งแรกของพวกมัน เงาดำทะมึนของภูตพราย เคลื่อนไหวอยู่เหนือยอดไม้ ก่อนที่จะโฉมเข้าปาดคอเหล่าทหารล้มตายไปทีละคนสองคน

เสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงโจรภูตผีในป่าเริ่มถูกร่ำลือไปต่างๆนานา ซึ่งความย่อยยับของขบวนศัตรูส่งผลให้กำลังใจพวกพ้องเราเพิ่มขึ้นเป็นอักโข พวกชาวเผ่าที่อยู่ในเมืองพลอยได้หน้าไปด้วย กีช่า ยิ้มสะใจไม่หุบเมื่อทราบว่าเด็กๆของเธอทำงานได้อย่างดีเยี่ยม

ค่ำคืนที่สองพวกมันมีการป้องกันที่รัดกุมยิ่งขึ้น มันวางกับดักแสร้งวางเวรยามที่หละหลวม เราเผาไปได้เพียง 5 คัน พวกมันก็โผล่กันออกมาเป็นชุดใหญ่ เคราะห์ยังดีที่พวกเราอยู่ใกล้แนวป่า พวกเธออาศัยความว่องไวที่เหนือกว่าหลบหนีกลับมาได้อย่างหวุดหวิด

หนึ่งในนักรบชนเผ่าสรุปสถานการณ์ให้ผมฟัง
.....

หลังจากนั้นพวกหล่อนกลับมารายงานว่า พวกมันเปลี่ยนแนวเส้นทางกันครั้งใหญ่ หลบเลี่ยงแนวชายป่าและหันไปเดินทางผ่านที่โล่งแจ้ง ผมลอบโอดครวญในใจ ผมคิดว่าเราน่าจะทำลายเสบียงมันได้มากมายกว่านี้ นับว่า นายพลไค ก็ร้ายกาจไม่เบา แต่ก็อย่างว่า คนที่ปลุกระดมผู้คนโค่นอำนาจปฎิวัติยึดเมืองได้นับว่าไม่ใช่คนธรรมดา

ผมยกเลิกแผนการลอบโจมตีของชนเผ่าเสีย เพราะเราสิ้นประโยชน์ในด้านภูมิประเทศไปเรียบร้อยแล้ว เราหันมาเน้นอัดระเบิด ขนดินปืนกันอีกยกใหญ่ จากการเปลี่ยนเส้นทางของมันแล้ว ผมเดาว่าน่าจะทำให้พวกมันเสียเวลากันไปอีก 2-3 วัน

ทิวาทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน เราสร้างเครื่องเหวี่ยงได้ถึง 20 ตัวแล้ว ผมเข้าพูดคุยกับทิวาอีกยกใหญ่ เราประชุมพูดคุยกันในหมู่นักรบ มีผม กีช่า ทิวา และไทด้า พวกเราไม่ได้โต้เถียงกันอย่างไร้เดียงสาเหมือนพวกขุนนางในวัง เราโฟกัสกันแต่เรื่องที่จำเป็นซึ่งมีผลต่อสงคราม เรากำหนดสัญลักษณ์เป็นธงหลากสีเป็นสัญญาณให้เคลื่อนไหวในสิ่งต่างๆตามแผน     

เราล้วนพูดคุยกันอย่างถูกคอ เหมือนระดมความคิดกันวางหมากทั้งกระดาน

หลังจบการพูดคุย ทิวาเอ่ยชักชวนผมนั่งสนทนากันต่อ

เมื่อพูดถึงทหารเกาะดำ คนของเราล้วนแตกตื่นรนรานแทบเสียสติ เราน่าจะมีสิ่งใดข่มขวัญศัตรูได้สักอย่างเนอะท่านพี่  ทิวาเอ่ยขึ้นก่อน
 
สิ่งที่ข่มขวัญ ศัตรูได้หรอ  ผมทวนถ้อยคำนี้ซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะตบฉาดที่หน้าขาป๊าบใหญ่

น้องชาย เจ้าว่าเจ้าเคยทำว่าวไว้แจกเด็กๆ ในงานเทศกาลใช่ไหม เจ้าทำไว้กี่ตัว  ผมเอ่ยขึ้นอย่างกระชุ่มกระชวย
....
ผมจำภาพความแตกตื่นของพวกทหารและชาวเมืองได้อย่างขบขัน เพียงแค่ ว่าว ที่ลอยในอากาศอย่างไร้พิษสง กลับสร้างความแตกตื่นให้กับคนโลกนี้จนวิ่งหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง ผมคิดว่ามันน่าจะนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

ค่ำคืนนั้นก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน ทิวา ชวนผมร่ำสุราอีกจอกใหญ่ เด็กหนุ่มช่างอ่อนด้อยประสบการณ์ เพราะดื่มไปเพียงไม่กี่จอกก็เมามายเสียแล้ว

ท่านพี่  ทิวาเอ่ยเรียกหาผมอย่างเมามาย ผมเงี่ยหูฟังอยู่ว่าเด็กหนุ่มจะเอ่ยเรื่องใด

ข้าคุยกับท่านพี่ของข้าแล้ว ข้าบอกเขาไว้ว่าหากศึกนี้เสร็จสิ้น บ้านเมืองกลับมาสงบสุขเมื่อไหร่ เราจะยกท่านพี่ของเราให้กับท่าน    ทิวาเอ่ยขึ้นอย่างดูไม่ค่อยได้สติ

ผมเบิกตาโต ผมเขย่าตัวทิวาอย่างร้อนรน เพื่อจะถามต่อว่า แล้วลินดาว่าอย่างไร แต่เด็กหนุ่มมันช่างชวนให้ฝันค้าง เพราะเขานอนหลับไปไม่ตอบคำอีกแล้ว
.....

ย่างเข้าในเช้าวันที่ 7 ผู้คนแตกตื่นรนรานกันเสียงอื้ออึง ไทด้าให้ทหารมาตามผมตั้งแต่เช้าตรู่ ..

ฝุ่นตลบฟุ้งกระจายเห็นมาแต่ไกลลิบๆ จอกน้ำที่วางอยู่เบื้องหน้าสั่นสะเทือนจนเห็นเป็นระรอกน้ำกระเพื่อมคราใหญ่ ทหารหญิงที่ยืนเฝ้ายามอยู่บนกำแพงล้วนแตกตื่นรนราน กองทัพเห็นไกลๆเป็นสีดำสนิทเรือนหมื่น ควบม้าดำทะมึนมาเต็มพื้นที่

พวกทหารดูแตกตื่นยังไม่เท่าไหร่ แต่พวกทหารใหม่กลับยืนจนมือไม้สั่น ผมลอบร้องบอกตัวเองในใจ นี่สินะสงคราม

ผมคิดผิดไปหลายส่วน ผมเดาวันเวลาที่มันจะมาถึงผิดไปเสียหมด นี่มันมาถึงล่วงหน้าก่อนการคาดเดาถึง 2 วันเชียวนะ

.....
พวกมันไม่เข้าโจมตีในทันที มันเริ่มจัดเรียงกระโจมตั้งแคมป์เย้ยเราอย่างเป็นลำเป็นสัน ผมเดาว่ามันคงเร่งฝีเท้ามาทั้งกลางวันและกลางคืน พวกมันโอบล้อมเมืองไว้และคิดจะนอนหลับพักผ่อนให้สบาย

เราเหมือนหมูในอวย ที่มันจะย่างกรายเข้าบุกเมื่อไหร่ก็ได้  ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย

เป็นอีกครั้งที่ผมสูญเสียความเยือกเย็น ทุกอย่างที่จัดเตรียมไว้ กลับรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เมื่อถูกกองทัพสีดำมหาศาลล้อมกรอบเอาไว้ กีช่าเป็นผู้ดึงสติให้ผมอีกครั้ง เธอบอกให้ผมมั่นใจในแผนที่เตรียมการไว้ เธอเชื่อว่ามันต้องได้ผล
....

ความกดดันของเป็นฝ่ายตั้งรับ เล่นงานพวกเราไม่ได้หลับไม่ได้นอน แม้ผมจะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียแต่สติตื่นตัวอยู่ตลอด รุ่งเช้าของวันนั้น กองทัพเบื้องหน้าเริ่มมีการเคลื่อนไหวคนฝุ่นตลบ กองทหารหลายพันนายเริ่มตั้งขบวนศึก เสียงสัญญาณร้องป่าวเตือนผู้คนดังอื้ออึงอย่างแตกตื่น

ผมร้องโอดครวญในใจ สงครามมันเริ่มขึ้นแล้ว
...
ผมยืนอยู่ที่แนวหลังกำแพง จุดสูงและมองเห็นภาพในมุมกว้างที่สุด ทิวาและแม่ทัพไทด้า อยู่ในชุดเกราะเต็มสูบปลุกระดมขวัญกำลังใจผู้คนอยู่เบื้องหน้า กลุ่มชนเผ่าอาชูร่าทั้งหมด ได้รับมอบหมายให้ไปสมทบกับทัพพลธนู พวกนางแม้ร่างกายไม่บึกบึนเหมือนทหารคนอื่นๆ แต่ล้วนแต่ยิงธนูได้แม่นยำเหมือนจับวาง กีช่าที่ยังไม่หายบาดเจ็บดีคุมอยู่ที่นั้น

ส่วนสาวๆ ทั้ง 4 นางของผม ผมดึงเธอมาไวเคียงข้างกาย ให้พวกเธอถือธงไว้คนละสี รอฟังที่ผมสั่ง หากผมเรียกหาใครให้พวกนางยกธงโบกขึ้นเหนือหัว เป็นความอบอุ่นใจเล็กๆ เมื่อได้มีพวกเธออยู่เคียงข้าง

ทุกย่อมหญ้าเต็มไปด้วยสีดำสนิท ค่อยๆเคลื่อนพลมาอย่างช้าๆ พวกมันส่งทหารเดินเท้าเข้ามาก่อน ผมสังเกตเห็นพวกมันแบกขนบันไดมาเหนือศีรษะ  และรถลากที่มีท่อนซุงขนาดใหญ่ไว้ทะลวงกำแพง กองทัพพลเดินเท้าของข้าศึกกว่า 3000 คนย่างกรายเข้าประชิดกำแพง

ทหารของฝ่ายเราแล้วมีสีหน้าแตกตื่น เหงื่อไหลไคล้ย้อยอย่างตื่นตูม ผมพลอยเสียวสันหลังไปด้วย ผมเหลือบมองแนวธงสีแดงระยะ 100 เมตร ที่เราปักไว้ตลอดเวลา กำลังพลได้เคลื่อนผ่านธงสีแดงมาเรียบร้อยแล้ว

เหล่าทหารที่ประจำเครื่องยิงล้วนบรรจุถังไม้รอคำสั่งผม  ผมเหมือนหูอื้ออึงไม่สนใจสิ่งรอบข้าง สายตาเพ่งมองเพียงธงสีแดงตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

มินตราสะกิดบอกผมว่าอย่างร้อนรน  นายท่าน!! มันใกล้เข้ามาแล้ว นายท่าน !!

เธอกระตุกแขนเสื้อผมเหมือนร้องขอให้ผมรีบให้สัญญาณ

ยังก่อน !! ผมตะคอกเธอกลับอย่างกดดัน  ธงสีแดงแนวแรกนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ 100 เมตร ยังเป็นแนวหลุมกับดักที่ผมสร้างไว้ ผมร้องภาวนาในใจ ขอให้มันไม่ทำงานจนทัพพวกมันเดินหน้ามาถึงแนวธงที่สอง

นายท่าน !! นายท่าน !! มินตราร้อนรนหนักกว่าเดิม  ให้ตายเถอะ สงครามเช่นนี้มันบีบหัวใจผู้คนยิ่งนัก

ผมรอจนพวกมันผ่านเข้าแนวธงที่ 2 มาครึ่งหนึ่ง หัวใจผมถูกกระตุ้นจนเต้นตูมตามไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่ผมจะป่าวร้องระบายความกดดันออกไปว่า

มินตรา โบกธงได้ !!
....

ถังไม้ที่บรรจุดินปืนไว้เต็มเอียด ลอยเคว้งอยู่ในอากาศ ชนวนไฟที่ถูกจุดขึ้นส่งให้ควันลอยฟุ้งเป็นเส้นสาย เงาของลังไม้บดบังดวงอาทิตย์จนพวกมันต้องแหงนหน้ามองอย่างตื่นตระหนก  คำถามของพวกมันที่เกิดขึ้นในใจคงไม่พ้นเรื่องที่ว่า มันคืออะไร แล้วลอยมาจากไหน

ตูมมมม ตูมมมมม   เสียงถังไม้ระเบิดดังก้องไปทั่วบริเวณ สร้างความตื่นตูมให้พวกมันอย่างเลี่ยงไม่ออก บ้างโดนเป้าหมายอย่างจังสังหารผู้คนได้คราวละ 5-6 คน บ้างชนวนระเบิดขึ้นกลางอากาศส่งผลให้เศษมีดที่เราฝังแน่นไว้สร้างบาดแผลให้มันไม่มากก็น้อย

ขบวนทัพที่ดาหน้ามาอย่างมีรูปแบบเริ่มแตกตื่น ผู้คนล้มตายเป็นผักปลา ถังไม้ราวกับฝนห่าใหญ่ทยอยล่วงหล่นจากฟ้า ผมสังเกตเห็น นายทหารบุรุษผู้หนึ่งพยายามจัดรูปขบวนขึ้นใหม่แต่ความแตกตื่นมันยิ่งทำให้เรื่องดูวุ่ยวาย

เสียงโห่ร้องอย่างสะใจของทหารฝ่ายเรา ทำเอาพวกมันยิ่งโกรธแค้น แทนที่มันพวกจะส่งล่าถอยออก พวกมันกลับสั่งพลที่เหลือรีบวิ่งเข้าประจัญบาน ผมลอบร้องอย่างตกอกตกใจถึงขวัญกำลังเทียมฟ้าระดับนี้ พวกทหารซินเดรีย คงผ่านสงครามมาไม่น้อย ถึงแตกตื่นแต่ไม่รนราน

มันบุกประชิดเข้ากำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว ผมรีบหันไปสั่ง มีอา ให้ยกธงสีเหลืองขึ้นเป็นสัญญาณ

ก่อนที่ ธนูเพลิงห่าใหญ่จะพุ่งเป็นสาย ราวกับพายุฝน ผู้คนล้นตายไปมากโข กว่าจะเข้าถึงแนวกำแพง แต่ผมต้องยอมรับว่าชุดเกาะของทหารซินเดรียค่อนข้างมิดชิด หากไม่ได้ฝีมือการยิงธนูที่แม่นยำของเผ่าอาชูร่า ยากที่จะเข้าถึงจุดตายของพวกมัน

...

นายพลไค ใบหน้าถอดสี เมืองพรอนเทีย นับเป็นลูกแกะที่ขย้ำเมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยกำลังที่อ่อนด้อยกว่า ประกอบกับเมืองแห่งนี้รุ่งเรืองด้านการค้า ไม่มีทางเป็นไปได้ที่พวกมันจะสู้รบกับกองทัพเขาได้ขนาดนี้ แล้วไอ้อาวุธชั่วร้ายนั่นคือสิ่งใด หรือเป็นเวทย์มนต์ดำของใครผู้หนึ่ง นายพลไค โกรธเป็นฟืนไฟ โบกมือสั่งทหารม้าที่เคลื่อนไหวได้ว่องไวเตรียมออกศึก

....

เรายังไม่ทันได้ยินดีกับการเข่นฆ่าทหารชุดแรก พวกมันก็ส่งกำลังรบชุดที่สองถาโถมเข้ามาในคราเดียว  ชัยชนะในคำรบแรกทำเอาขวัญกำลังของพวกเราคึกคักเป็นอักโข ผมเฝ้ามองกองทหารม้าเกราะหนักของพวกมันวิ่งเข้ามาอย่างดุดัน ผมเพ่งมองที่ธงสีแดงแนวแรกตลอดเวลา

50 เมตร 40 เมตร 30 เมตร 20 เมตร 10 เมตร  ผมนับถอยหลังไปตามความเคลื่อนไหวของอริศัตรู

เมื่อถึงแนวธงแดงที่วางไว้ ทหารม้าแนวหน้าล้วนทรุดลงร่วงหล่นลงไปในหลุมสังหารกันเป็นแถบๆ ความระเนระนาบ ของทัพม้าเริ่มบังเกิดขึ้นเป็นโดมิโน่

พวกที่เบรกไว้ไม่ทัน ตกลงไปหลุมที่มีไม้แหลมเสียบแทง ตายตกตามกันเป็นคลื่นใหญ่ บ้างกระชากบังเหียนจนล่วงหล่นจากหลังม้า

ผมเห็นช่วงเวลาที่สบโอกาส ผมตะโกนสั่ง ไลลา ให้ยกธงสีเขียวจนเธอสะดุ้งเฮือกใหญ่

ประตูเมืองของเราถูกเปิดออกเป็นครั้งแรก ไทด้า นำทัพด้วยตนเองนำกำลังทหาร 2000 คน ออกตามเก็บกวาดผู้คนที่ยังรอดชีวิต ทหารบนกำแพงเมืองโห่ร้องกันอย่างดีอกดีใจ

.....
กรอดดด   นายพลไค แตกตื่นจนเลือดขึ้นหน้า เพียงไม่กี่อึดใจ กองทัพผู้เกรียงไกรของพวกกว่า 3000 คน ย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี ซ้ำยังเสียทหารม้าแนวแรกไปอีกนับร้อย

มันเป็นใคร  นายพลไค ป่าวตะโกนหาคำตอบ ก่อนจะชี้ไปที่ป้อมเหนือกำแพงที่คอยส่งสัญญาณสีต่างๆสั่งการกองทัพ
องครักษ์บุรุษทุกผู้คนล้วนก้มหน้าไม่มีคำตอบ นายพลไค ชักดาบออกอย่างเลือดร้อนก่อนจะตะโกนก้องสั่งทหาร กว่า 5000 คนที่เหลือว่า
บุก !!!!!!
....
การฆ่าฟันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น นายพลไค คงเห็นตนเองพลาดพลั้งจนเลือดขึ้นหน้า ถึงได้ถาโถมกำลังเข้ามาหมดหน้าตักขนาดนี้

ไทด้าประเมินสถานการณ์และสั่งให้ทหารของตนกลับเข้าแนวกำแพงเตรียมรับแรงโจมตีระรอกใหญ่ เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะไม่คิดว่าเรื่องต่างๆมันจะรวดเร็วขนาดนี้

ผมแตกตื่นไม่แพ้กัน ยุทธวิธีของเขาคือการตัดกำลังคู่แข่งไปเรื่อยๆ แบ่งระรอกการรบออกเป็นครั้งๆ ผมไม่เคยได้คิดอ่านไว้ก่อนเลยว่า นายพลไค จะบ้าคลั่งโถมกำลังเข้ามามากมายขนาดนี้

ทัพม้าของชายฉกรรจ์ มุ่งตรงเข้ามาจนทุ่งสนามรบฝุ่นตลบ กีช่าสั่งระดมยิงธนูไม่เลิกรา ส่วนทิวาก็สั่งเคลื่อนเหวี่ยงให้กระหน่ำเข้าไปเป็นห่าฝน   แต่ทัพม้ามันเคลื่อนพลอย่างแตกต่าง พวกมันล้วนกระจายตัวกันเป็นช่องไฟอย่างแยบยล

แม้ถังที่บรรจุดินปืนจะยังใช้งานได้ดีอยู่ แต่ 1 ถัง ก็สังหารทหารม้าได้เพียง 1 คน หรือก็ไม่ได้เลย มันไม่คุ้มเอาเสียเลย

ผมกลับมารู้สึกแตกตื่นอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจทิ้งไผ่ตายใบสุดท้าย ผมหันไปหา โมอา อย่างถอดถอนใจ เธอคงไม่ได้รับรู้ว่านี่คือความหวังสุดท้าย หากมันไม่ได้ผล พวกเราจบสิ้นแน่

โมอา ยกธงสีฟ้าขึ้น ซึ่งเป็นธงที่ผมเพิ่งกำหนดกับทิวาเป็นธงสัญลักษณ์พิเศษ ทหารทุกคนแล้วแต่งุนงง เป็นไก่ตาแตก มีเพียงทิวาที่ลอบตื่นเต้นและดวงตาทอเป็นประกาย

....
ลินดาคือแม่ทัพของจุดนี้ เธอเฝ้ามองสัญญาณธงอยู่ที่บ้านใหญ่ เธอตะโกนสั่งบ่าวไพร่และเด็กๆในสังกัดเธอ เชิดว่าว ขึ้นฟ้าอย่างพร้อมเพรียง

ว่าวนับร้อยตัวโบยบินขึ้นสู่ฟากฟ้า ไม่ใช่เฉพาะแต่ทหารของมันที่แตกตื่นจนหยุดชะงัก ทหารของฝ่ายเราและชนเผ่าอาชูร่าก็ล้วนแตกตื่นไม่แพ้กัน

ผมทั้งขอบคุณสวรรค์ทั้งขบขัน ใครเล่าจะรู้ว่าแค่ ว่าว ไม่กี่ร้อยตัว จะทำเอากองทัพที่เกรียงไกรของ ซินเดรีย แตกตื่นจนหยุดชะงักได้ขนาดนี้

....
นายทหารทั้งหลาย เริ่มร้องบอกกับ นายพลไค ให้หยุดทัพไว เกรงว่าจะเป็นกลอุบายอันชั่วร้ายของบุคคลในป้อมนั่นอีก

ตลอดชีวิตของ นายพลไค ไม่เคยต้องสั่งลูกน้องถอยหนี นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาพบเห็นกลการรบที่แปลกประหลาด ประสบการณ์ในการศึกกว่า 30 ปีที่ผ่านมาล้วนเอาออกใช้ไมได้ สุดท้ายความหวาดระแวงในจิตใจก็ต้านทานไว้ไม่ไหว เขาสั่งกองทัพถอยกลับอย่างอับอาย
....
ทหารและชาวเมืองโห่ร้องกันอย่างเนื่องแน่น ไทด้า คือคนแรกที่เข้ามาสดุดีกลอุบายของผม ก่อนจะเอ่ยถามว่า

นายท่าน นั่นเป็นอาวุธใหม่ของท่านหรือ มันทำงานเช่นไร  เธอถามอย่างสงสัย

ฮ่า ฮ่า ผมหัวเราะอย่างรันทดใจ ก่อนจะบอกเธอว่า

มันก็เพียงแค่ ผ้าบางกับกิ่งไม้ มีหน้าที่ลอยในอากาศ ก็เพียงเท่านั้น  ผมเอ่ย

ไทด้า ตาค้างชนิดที่แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอร้องโผออกมาว่า

หากพวกมันไม่กลัวเล่า  เธอเอ่ย

ผมยักไหล่อย่างไม่รู้จะตอบเช่นไร ก่อนจะบอกให้เธอเลิกคิดถึงมันเถิด มันผ่านไปแล้ว
......

ผมกับทิวา ยืนอยู่เหนือกำแพง เพ่งมองสถานการณ์ภาพหลัก เสียงทหารร้องถาดถางต่อท้อพวกมันเป็นการเย้ยหยันไม่ขาดปาก เสียงโห่ร้องอย่างดีใจดังขึ้นไม่ขาดสาย กลุ่มชนเผ่ากับทหารทางการกอดคอกันได้อย่างกลมเกลียวหลังชนะศึกแรกมาอย่างขาดลอย

ไทด้า สรุปภาพรวมให้เราฟังว่า พวกซินเดรียน่าจะเสียทหารไป 3000 เศษ ล้วนแล้วแต่เป็นทหารราบในระรอกแรก ทหารม้าอีกประปราย บาดเจ็บหนีตายก็เป็นจำนวนมาก ในขณะที่เราเสียทหารไปเพียง 200 กว่าคนเท่านั้น นับเป็นกลศึกที่แปลกประหลาด เหนือการคาดเดาของผู้คนนัก  ไทด้า เอ่ยชื่นชนผมอย่างเลื่อมใส

แต่หารู้ไม่ความหนักอกหนักใจที่ถาโถมเข้ามาหลังจากนี้คือ เครื่องเหวี่ยงถังไม้ ใช้ไม่ได้กับพวกทหารม้าเสียแล้ว และผลจากการรบในระลอกแล้ว พวกมันคงมองสถานการณ์เสียใหม่ และเคลื่อนไหวอย่างรัดกุมขึ้น การศึกที่ขาดลอยในวันนี้ นั่นเป็นเพราะความประมาทและเพลี่ยงพล้ำของฝั่งโน้นมากกว่า หากเราไม่มีวิธีอื่นที่จะรับมือเห็นที่พวกเราจะแย่ก็คราวนี้

เป็นความหนักใจที่ผมไม่กล้าเอ่ยออกไป เพราะกลัวพวกเขาจะเสียขวัญ

ทิวาเฝ้ามอง ว่าว ที่ลอยบนฟ้าอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะเอ่ยขึ้นกับผมว่า

น่าเสียดายที่มันทำได้เพียงข่มขวัญ หากมันใช้เป็นอาวุธลอยฟ้าที่ใช้สังหารผู้คนได้ คงน่ากลัวพอดู  ทิวา เอ่ยขึ้น พาลเอาผมเพ่งมองเจ้า ว่าว พวกนั้นไปด้วย 

อาวุธที่ลอยมาจากฟ้า ... ผมทวนคำนี้ของทิวาอยู่หลายรอบก่อนจะ

หัวเราะร่า ออกมาจน ทิวาและไทด้า งงไปเป็นไก่ตาแตก  ผมกลั้นมันไว้แทบไม่อยู่ ทำไมเรื่องบังเอิญพวกนี้มันมักมาในเวลาเช่นนี้เสมอ

ผมกระโดดกอดทิวา คำรบใหญ่ ก่อนจะบอกว่า เจ้าช่างอัจฉริยะจริงๆ มาเถอะ เรามีเรื่องให้เจ้าพวกปวดหัวอีกแล้ว
....

ไม่มีการเฉลิมฉลองเกิดขึ้นในคืนนี้ เรามีทหารข้าศึกกว่า 6000 กว่าคน ที่ยังล้อมเมืองอยู่ ผมบอกให้ทิวาทำกลไกเป็นเชือกกระตุกขึ้นและติดไว้ที่ตัวว่าว ขอเพียงบ่าวไพร่ในเมืองกระตุกเชือกเส้นสายที่สอง กลไลที่จะทำงานด้วยการคลายปมออกและโปรยเถ้าธุลีแห่งเทพอาชูร่าร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า

ผมสั่งให้ทหารนำถังไม้จำนวนหนึ่งมาบรรจุน้ำมันเพิ่มเติมลงไปเสียใหม่ พวกมันอยากได้สงครามนักใช่ไหม ผมจะเปลี่ยนแผ่นดินนี้ให้เป็นไฟ
.......
แล้วก็จริงดั่งคาด กองทหารกว่า 3000 คนชุดใหม่ ประกอบไปด้วยทหารเดินเท้า ทหารม้า พลปืนกำแพง และรถทะลวงประตู  พวกมันจัดรูปขบวานเสียใหม่อย่างที่ผมคาด มันกระจายตัวเดินออกห่างกันเป็นวงกว้าง นับว่านายพลไค รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ได้ดีพอตัว แต่คงโชคไม่ดีของมันที่ต้องมาเจอคนจากโลกอื่นอย่างผม

ครั้งนี้ผมไม่รีรอให้พวกมันถึงแนวธงแดง มินตราโบกธงสีแดงอีกครั้ง เราสั่งพลบังคับเครื่องเหวี่งโยกถังไม้ที่บรรจุดินปืนและน้ำมันจนแน่นขึ้นสู่ฟ้า มันร่วงลงสู่พื้นอย่างแตกละเอียดแต่ไม่มีการระเบิดออก

นายพลไค สั่งชะลอตัวลงเล็กน้อยอย่างประหวั่น มันหันไปถามทหารข้างกายว่า พวกมันกระทำสิ่งใด ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีคำตอบให้กับผู้เป็นนายใหญ่

พลเครื่องเหวี่ยงของเราโยนถังไม้ต่อเนื่องอย่างบ้าคลั่ง หนึ่งในทหารของซินเดรียร้องตะโกนออกว่า อาวุธของมันสิ้นผลแล้ว พวกมันตะโกนต่อกันเป็นทอดๆ

ภาพของถังไม้ที่ล่วงลงสู่พื้นแล้วระเบิดออกเมื่อวันวาน วันนี้กลับด้านเสียหมด ไม่แปลกใจที่พวกมันจะคิดในทำนองว่าเกิดความผิดพลาดบางอย่างขึ้น พวกมันย่างสามขุมเข้ามาอย่างลำพองใจ ผมสั่งโมอา โบกธงสีฟ้า เพื่อเชิดว่าวขึ้นสู่ท้องฟ้า

นายพลไค มีท่าทีที่แตกตื่น แต่ก็ยังหาคำตอบให้กับสิ่งที่น่าประหลาดในนั้นไม่ได้ เขารู้แต่เพียงว่า มันลอยอยู่อย่างนั้นทั้งคืน โดยไม่มีพิษภัยอะไร ประสบการณ์และความลำพองใจเริ่มเตือนสติเขาว่า หรือนี่มันเป็นเพียงกลลวงหลอกให้กลัว เมื่อคิดได้เช่นนั้นความรู้สึกถูกหักหน้าทวีคูณขึ้นยกใหญ่ ศัตรูเริ่มเปิดกำแพงเมืองและส่งพลทหารม้าออกมาประมาณ 1000 นาย ตั้งประจันหน้ากัน

นายพลไค ร้องโหด้วยความฮึกเฮิม ก่อนจะประกาศก้องออกมาว่า

ดี ดี ประจันหน้ากันแบบนี้ก็ดี ซินเดรียกับพรอนเทีย ต้องแตกหักกันไปข้าง

นายพลไค พายมือสั่งกับกองทหารองครักษ์บุรุษเพศทั้งหลาย ก่อนจะประกาศก้องออกมาว่า

ให้มันรู้จักความเกรียงไกร ของทัพม้า ซินเดรีย ทั้งหมด บุก !!

กองทหารม้าเกราะดำควบตะบึงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง  แต่ไทด้าผู้นำทัพฝั่งเรากลับนิ่งเฉย ผมสั่งไทด้าไปเพียงว่าให้ออกไปประจันหน้ายั่วยุ รอเวลาผมสั่งเท่านั้น

....
นายพลไค เอ่ย ท่านคงไม่รู้เอาเสียเลยว่ากำลังย่างกรายเข้าสู่ขุมนรกแห่งทะเลเพลิง

กรุบ กรุบ กรุบ จากเสียงควบม้าอันหนักแน่น กลับกลายเป็นเสียง แจ๊ะ แจ๊ะ อันแฉะชื้น หนึ่งในนั้นเพ่งมองพื้นดินอย่างแตกตื่น ก่อนจะร้องโผออกมาว่า น้ำมัน !! พวกมันไม่ได้ยิงพลาดเป้า พวกมันยิงถังน้ำมันออกมา

กว่าจะรู้ตัว ก็สายไปเสียแล้ว ละอองเม็ดสีดำๆ ค่อยๆ โปรยปรายมาจากท้องฟ้า ราวกับเป็นเศษธุลีแห่งเทพอาชูร่าที่ส่งลงมาจากสวรรค์  ผมสั่ง มีอา โบกธงสีเหลืองขึ้นส่งสัญญาณให้กีช่า

ลูกธนูไฟ วิ่งแหวกอากาศมาเป็นสายฝน เมื่อผ่านม่านธุลีดำ ประกายไฟวูบใหญ่ เกิดไปทั่วทั้งหย่อมหญ้า พื้นหญ้าสีเขียวขจี ติดเชื้อไฟด้วยน้ำมันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ไฟลุกโชติช่วงขึ้นอย่างรวดเร็ว

กรี๊ดดดดดด  อร้ายยยยยยยยย   กรี๊ดดดดด เสียงหวีดร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมานสร้างความหดหู่ในจนผมทนมองต่อไปไม่ไหว

นายพลไค อยู่ในวงล้อมแห่งไฟ มันวิ่งทุรนทุรายไปรอบๆอย่างโกรธแค้น กองทหารหนุ่มนับร้อยนายถูกไฟคลอกตายจนหมดท่า พวกที่พอมีสติกลับนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนผืนดินอย่างเจ็บปวด สงครามไม่เคยปรานีใครเอาเสียเลย ทหารซินเดรียเริ่มหันหลังหนีตายอย่างไม่ฟังคำสั่งนาย

ผมจำใจสั่งไลลายกธงสีเขียว ขึ้นอีกครั้ง ไทด้าทอประกายดุดัน ก่อนจะสั่งกองทัพของหล่อน บุกควบตะบึงม้าศึกเก็บกวาดพวกมันเป็นฉากการฆ่าฟันครั้งสุดท้าย
...
ทหารซินเดรียว่า 2000 นาย ตายในกองเพลิง ทั้งซากม้า ซากคนถูกย่างเกรียมเป็นตอตะโก มินตราเห็นแล้วหดหู่ในจนอ้วกออกมายกใหญ่  ค่ำคืนนี้เราโห่ร้องเฉลิมฉลองกันอย่างออกรส ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าผมจะนำชาวเมืองมาได้ไกลขนาดนี้
หากเทียบกันยามนี้ กองทหารของเรากับซินเดรียแทบจะมีจำนวนที่เท่าเทียมกันเสียแล้ว

ผมคิดอ่านจะใช้แผนเดิมๆ อีกหลายระรอกใหญ่ อย่างน้อยๆ มันก็จะตัดกำลังพวกมันไปได้เรื่อยๆ ไทด้าดูผ่อนคลายขึ้นมาหลายส่วน เรากำลังอยู่ในช่วงเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนาน แต่แล้วจู่ๆ เรื่องไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้น

ตูมมมมมมมม   เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว มาจากโกดังด้านหลังเมือง ผมมองไปอย่างแตกตื่น นั่นมันโกดังเก็บดินปืน !!

....
ทหารนับร้อยบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ที่น่ากังวลใจที่สุดคือ ดินปืนกว่า 300 ถังในโกดังมอดไหม้เป็นจุลไปหมดแล้ว ผมโอดครวญทรุดเข่าลงนั่งชนิดที่ทรงตัวไม่อยู่ ไม่ใช่แค่พวกเราหรอกที่เล่นสงครามกองโจรเป็น พวกมันก็มีบุคคลเช่นนี้อยู่เช่นกัน

งานเฉลิมฉลองแทบจบสิ้นลง ณ ตรงนั้น ไทด้าสั่งสอบสวนและลงโทษพวกทหารยามอย่างหัวเสีย เพราะความประมาทจริงๆ ผมนึกโอดครวญกับตนเอง อาวุธที่พลิกชะตาเช่นนี้เหตุใด้ถึงคุ้มกันไว้อย่างหละหลวม เหตุใดถึงระดมมาเก็บไว้ในที่เดียวกันหมด ผมนั่งมึนอึนจนแทบสิ้นสติ

กีช่า ส่งนักรบของชนเผ่าออกตามล่าพวกมัน เพราะน่าจะยังไปได้ไม่ไกล ด้วยฝีมือการไล่ล่าติดตามของนักรบชนเผ่า ไม่พ้นครึ่งคืน นักรบเผ่าของกีช่านำศพมันกลับมาเบื้องหน้าผม พวกนี้ยอมตายไม่ยอมถูกจับ ผมเปิดใบหน้าพวกมันออก หญิงพวกนี้น่าตาชั่งอัปลักษณ์ พวกนางมีรอยสักรูปแมงมุมที่หน้าอก ทิวาเห็นแล้วเบิกตาโต พร้อมกับโผว่า
นี่มันกลุ่มแมงมุมดำ นักฆ่าของเมืองซินเดรีย  พวกนี้ถนัดในการลอบสังหาร และแทรกซึมเข้าพื้นที่ ปกติพวกนี้ไม่ถูกจับตัวง่ายๆ  ถึงถูกจับได้ก็ไม่ยอมแพร่งพรายข้อมูล

ผมเหม่อมองควันดำโขมงที่ลอยคลุ้งไปทั่วท้องฟ้า ป่านนี้พวกมันคงรับรู้กันหมดแล้วว่าแผนการของมันประสบผลสำเร็จ

จบสิ้นกันแล้ว จบสิ้นกัน ผมไม่มีอารมณ์จะสนทนากับผู้ใด เราไม่เหลืออาวุธเด็ดอะไรให้ต่อกรพวกมันอีกแล้ว คืนนั้น กีช่าสั่งคนของเธอเฝ้าระวังไม่ให้กลุ่มนักฆ่าเข้ามาได้อีก

ผมเดินกลับเข้าบ้านอย่างสีหน้าที่บอกบุญไม่รับ หญิงชรานางหนึ่งเดินสวนออกมาจากด้านใน มีอา เดินตามออกมาส่ง

ผมมองใบหน้า มีอา ด้วยแววตาตื่นตระหนก หญิงเมื่อครู่นางเป็นคนที่โลกของเราเรียกว่าหมอ นางปรากฏตัวที่ใดแปลว่าที่นั่นมีคนบาดเจ็บ

เกิดอะไรขึ้น มีใครเป็นอะไร  ผมเอ่ยถามมีอาอย่างหวาดหวั่น  ภาวนาของให้เรื่องร้ายๆมันจบสิ้นเสียที

มีอา ยิ้มรับผมคราหนึ่ง ก่อนจะทิ้งสายตาลงอย่างเศร้าหมอง เธอจูงมือผมเข้าไปในห้องหับ ณ ตอนนั้น

มินตรานอนห่มผ้าอยู่บนเตียง โดยมีไลลา และ โมอา นั่งลูบไล้ที่หน้าท้องของเธออยู่ ไม่ห่าง

มินตราเป็นอะไร ผมเดินเข้าไปอย่างตื่นตระหนก หน้าตาเธอดูซี๊ดเซียวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คงเพราะอาการที่อาเจียนออกมาเมื่อเย็นวันนี้

มินตรา ยิ้มให้ผมอย่างมีความสุข ก่อนที่เด็กสาวทั้งสองคนจะเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า

พี่มินตรากำลังตั้งท้อง ค่ะนายท่าน  !!! 

ผมไม่รู้จะขอบคุณสวรรค์หรือด่าทอพวกมันดี ข่าวนี้มันเหมือนสายน้ำเย็นในฤดูร้อน แต่ก็แอบหวาดหวั่นว่าผมจะเสียบุตรคนนี้เป็นท้องที่ 2 ไปอีก ผมเหลือบกลับไปมองมีอาอีกครั้ง

ผมยังนึกสงสัยเหตุใดเธอถึงดูเศร้าหมองนัก แต่เธอก็รีบกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มอย่างชื่นสุข ผมโอบกอดสาวๆทั้ง 4 คนไว้ในอ้อมแขน

ในด้านลึกๆ ผมสัมผัสได้ว่า มีอา กำลังรู้สึกน้อยอกน้อยใจบางอย่างอยู่เพียงลำพังโดยที่ไม่เอ่ยบอกใคร

ผมเพิ่งมาสังเกตเห็นอาการเดียวกันนี่กับตัว กีช่า แต่แตกต่างกว่าตรงที่ กีช่า แสดงออกมาได้ชัดเจนยิ่งกว่า เธอน้อยใจสวรรค์ที่ทำให้เธอเสียลูกในท้องไป แต่กลับส่งเขามาใหม่ในท้องของหญิงอื่น กีช่า ดูน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไง เพราะตอนเรามีอะไรกัน ผมก็ปล่อยน้ำใส่พวกเธอทุกครั้งอย่างเท่าเทียม

ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย ผมแทบไม่คิดเลยว่าต้องมาตามง้อหญิงสาวหัวหน้าเผ่าแบบนี้ แต่เคราะห์ยังดีที่เธอมีความคิดที่โตกว่ามินตราสักหน่อย เธอเอ่ยกับผมว่า

ท่านไม่ต้องตามง้องอนเรา เราเป็นของเราได้ เราก็หายเองได้ ท่านไปเตรียมการรับมือคิดหากลศึกใหม่เถอะ
.....

แม้เธอจะพูดแบบนั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ผมไม่เทพสงครามที่คิดสัประยุทธ์แปรพันได้ร้อยพันรูปแบบ ผม ทิวา และ ไทด้า นั่งปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ผมหมดมุกที่จะเล่นต่อกรกับพวกมันอีกแล้ว

ไทด้าเป็นผู้ที่ช่วยคลายปัญหาให้ผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปได้ เธอกล่าว่า

หากไม่มีแผนพิสดารอะไร เราก็จะกลับมาใช้ยุทธวิธีดั่งเดิม ยามนี้ขวัญทหารเรามีมากโข ซ้ำฝ่าย ซินเดรีย เสียทหารไปมากยามนี้คงเหลือในจำนวนที่พอจะต่อกรกันได้แล้ว

เรายังมีเปรียบมากกว่าเมื่ออยู่หลังกำแพงเมือง ยังไงซะน่าจะกันพวกมันได้หลายวันอยู่ หากเป็นสงครามที่ยืดยาว เราย่อมได้เปรียบยิ่งกว่า เพราะเสบียงเราสำรองไว้อย่างเพียบพร้อม ผิดกับฝ่ายมันที่หร่อยหรอลงทุกวัน

ผมคิดอ่านอยู่ในใจ หากจะคิดเข้าข้างตัวเองเช่นนี้ ก็นับว่ายังพอมีหวังอยู่ ถ้าโชคชะตาไม่โหดร้ายกับเราจนเกินไป
.....
กองทหารของ ซินเดรีย ไม่รอให้พวกเราตั้งตัว พวกมันจัดทัพขึ้นแต่เช้าตรู่ เหมือนรู้ว่าประตูแห่งการยึดครองพรอนเทีย เริ่มแง้มออก กองทหารกว่า 5000 คน เทหมดหน้าตักเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

ผมยกเลิกสัญญาณธงทั้งหมดเพราะเราไม่มีแผนอะไรเหลือแล้ว และกลับมาใช้วิธีการแบบดั่งเดิม คือ อย่าให้พวกมันเข้าเมืองได้  เรายังมีดินปืนเหลืออยู่นิดหน่อยจากการที่แบ่งไปบรรจุใส่ว่าว ผมให้ผู้คนนำมาบรรจุไว้ใส่ถังไม้ดุจเดิม และหันมาใช้เขวี้ยงปาในระยะใกล้ๆกำแพง เพื่อเผาทำลายเครื่องกระทุ้งประตูไม่ให้เข้าใกล้

มือธนูของชนเผ่าต้องทำงานอย่างหนักหน่วง พวกมันยามมีสติไม่รนราน ผมปิดบังร่างกายไว้จากศรธนูได้อย่างมิดชิด ลูกธนูของพวกเขาเข้าเป้าน้อยมาก ความประหวั่นเริ่มเกิดขึ้นมาในจิตใจอีกคราใหญ่ เมื่อเห็นบันไดของข้าศึกศัตรู พาดผ่านเข้ามาในกำแพงหลายระรอก

แม้พลคุ้มกันกำแพงจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่ผมเพิ่งเห็นความห่างชั้นของเหล่าทหารที่ครานี้ นักรบของซินเดรียล้วนรูปร่างสูงใหญ่ และหนากว่าทหารของฝ่ายเราเป็นไหนๆ พวกมันตวัดดาบอย่างชำนาญ ฟาดฟันทหารของฝ่ายเราล้มตายเป็นจำนวนมาก

ฝั่งพลธนูดูจะแข็งแกร่งกว่า เพราะกีช่าและนักรบชนเผ่าอยู่ที่นั่น ป้อมด้านนั้นยังไม่ถูกรุกล้ำเข้ามา

ปัง ปัง ปัง  เสียงเครื่องกระทุ้งประตู กระแทกบานประตูเมืองเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผมไม่แปลกใจเลยที่กองทัพซินเดรียไปที่ไหนผู้คนก็หวั่นเกรง นี่คือความห่างชั้นด้านการทหารอย่างเห็นได้ชัด นายพลไค เคลื่อนขยับเข้ามาใกล้ๆ ผมเพิ่งเห็นมันในระยะสายตาก็ครานี้

ชายอายุราวๆ 35-40 ร่างกายสูงใหญ่ ไว้หนวดเคราดูสง่างาม มันสวมชุดเกราะสีเงินอร่าม มันดูเด่นขึ้นมาทันทีเมื่ออยู่ท่ามกลางพลทหารเกาะดำ นายพลไค ถืออาวุธ เป็นหอกปลายแหลมอยู่ที่มือ ส่วนอีกข้างกุมบันเหียนม้าสีเลือดสดเอาไว้

นายพลไค ตะโกนข้ามกองทัพออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม

ไอ้พวกขี้ข้าเด็กน้อย พรอนเทีย ทำไมไม่เปิดประตูออกมาต่อสู้วัดกันให้เป็นตำนานเล่าขาน จะมัวหัวหดอยู่หลังกำแพงทำไม

นี่คงเป็นสถานการณ์ยั่วยุ ขี้ข้าเด็กน้อยคงหมายถึงพวกทหารที่ต้องฟังคำสั่งทิวา ผมลอบร้องคำร้ายกาจในใจ ตาเฒ่านี้สู้สงครามชนิดเขี้ยวลากดิน ประตูกำลังจะแตกอยู่รอมล่อ มันยังคิดยั่วยุให้พวกทหารขวัญเสีย

หากทิวาไม่ตอบกลับ อาจถูกดูแคลนว่าตาขาว ถึงแม้จะตอบรับก็เสียงเปรียบด้วยฝีมือทางทหารอยู่ดี ผมนึกอ่านจะช่วยเหลือวิกฤตนี้เช่นไร แต่กลับต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เมื่อทิวา เอ่ยตะโกนกลับอย่างแสบสันว่า

อย่าว่าเราสอนเลยนะ ตาเฒ่าเครายาว ในการศึก ท่านก็ตีเมืองของท่าน เราก็ป้องกันบ้านเมืองของเรา จะมัวมาพ่นน้ำลายให้เปลืองแรงทำไม หรือว่าท่านถนัดนักในการใช้ปากทำสงคราม

นายพลไค โกรธจนเลือดขึ้นหน้า เมื่อถูกเด็กเมื่อวานซืนถอนหงอก ทิวาแก้ปัญหาได้ดีมากๆ ผมเริ่มกลับมาคิดเสียใหม่ ลูกเสืออย่างไรก็คือเสือ คงเป็นแมวป่าไปไม่ได้

ไทด้า หัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะประกาศก้องออกมาว่า พี่น้องของเราเอ่ย หากวันนี้ท่านต้องตาย ก็ขอเอาพวกมันตกตายตามกันไปด้วยเถิด  เพื่อพรอนเทีย !!!

เพื่อพรอนเทรีย !! เพื่อพรอนเทีย !!  เสียงขานรับกันของทหารดึงกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง จู่ๆ แรกฮึดสู้ของทหารเมืองก็เพิ่มขึ้นเป็นอักโข ผมเห็นการเข้าแลกชีวิตของพวกหล่อนปลิดวิญญาณทหารซินเดรียอย่างบ้าคลั่ง

แม้ตัวจะถูกแทง กลับดึงดาบเข้าทิ่มแทงให้ลึกขึ้น เพื่อเข้าปาดคอพวกซินเดรียในระยะประชิด ผมมองดูจนเกือบจะอ้วกออก ฉากการฆ่าฟันของจริง มันโหดร้ายกว่าที่เคยดูในหนังเป็นไหนๆ

.....
โครมมมม  ประตูเมืองถูกทลายออก หัวใจผมหล่นวูบไปถึงตาตุ้ม นักรบสวรรค์ดูเกรียงไกรควบม้าสีแดงฉานตวัดปลายหอกฆ่าผู้คนล้มตายเป็นผักปลา ไทด้ารีบบึ่งตะบึงเข้าไปขวางเป็นคนแรก

แม่ทัพทั้ง 2 เข้าสัปปะยุทธ์กันอย่างดุเดือด แต่ดูๆแล้วไทด้าจะเสียเปรียบปัดป้องเอาชีวิตรอดอยู่หลายกระบวนท่า พวกทหารร่างใหญ่ที่เป็นบุรุษหลายนายบุกโจมตีเข้ามาเป็นพายุฝน

กีช่า กรู่ร้องสั่งนักรบชนเผ่าทั้งหมดเข้าประจัญบาน พวากเธอทิ้งธนูคว้าดาบกระโจนเข้าวงต่อสู้ดุจภูตพาย สถานการณ์ดูกลับมาทรงๆได้ครู่ใหญ่ แต่ผู้ชำนาญการสู้รบอย่างกองโจรในท้ายที่สุดแล้วก็สู้แรงบุรุษบนหลังม้าไม่ได้ พวกนางเริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

กีช่า และ ไทด้า เข้าโจมตีนายพลไค พร้อมๆกันอย่าง 2 รุม 1 นายพลไคยังปัดป้องในอิริยาบถที่เบาสบาย กีช่าถูกฟาดด้วยด้ามหอกจนเธอล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เธอเอามือกุมไว้บริเวณท้องน้อย เลือดสีแดงฉานเริ่มไหลย้อยเป็นทาง

ปากแผลเธอยังไม่หายสนิทดีเท่าไหร่ ก็ต้องออกมาสู้รบตบมืออีกครั้ง แผลที่เย็บไว้เริ่มปริแตก ผมโอดครวญกับตัวเองในใจ ผมนี่มันไร้ประโยชน์สิ้นดี คือทำห่าอะไรไม่ได้เลยในยามคับขันแบบนี้

ไทด้า รับแรงกระแทกจากด้ามหอกจนหล่นกระเด้งจากหลังม้า กีช่าพุ่งเข้าไปจากด้านหลังหวังอาศัยจังหวะทีเผลอสร้างบาดแผลให้กับนายพลไคสักรอย

แต่แล้ว นายพลไค ก็ตวัดหอกกลับมาอย่างว่องไว แต่เคราะห์ยังดีที่เธอยกดาบขึ้นปัดป้องได้ทัน แต่ก็ไม่พ้นต้องล้มกลิ้งไปไม่เป็นท่า นายพลไค ดึงบังเหียนม้ากลับไปทางกีช่า

กีช่า กุมหน้าท้องที่มีเลือดออกยกใหญ่ เธอแยกเขี้ยวอย่างดุร้ายใส่นายพลไค แต่มันกลับไม่ยี่หร่า มันง้างหอกขึ้นสุดแขนหวังจะตวัดใส่ร่างเธอให้ขาดเป็น 2 ท่อน

ผมแตกตื่นจนแทบเสียสติ กีช่า !!! ผมเรียกหาเธอจนเธอแหงนหน้ามองสบตามาที่ผม เธอยิ้มให้ราวกับเป็นรอยยิ้มเฮือกสุดท้าย ผมหยิบจับคว้าบางสิ่งที่คว้าได้พยายามจะเรียกร้องความสนใจด้วยอะไรสักอย่าง มีเพียงแตรเขาสัตว์อันเดียวที่อยู่ในอกเสื้อ

ผมไม่มีเวลาคิดหน้าคิดหลัง เป่าแตรเขาสัตว์อันนั้นเป็นความหวังสุดท้าย

ปูวววววววว ปูวววววววว  เสียงดังก้องกังวานลากยาวเหมือนเป็นสัญญาณของอะไรสักอย่าง 

พลทหารทั้งซินเดรียและพรอนเทีย หันมามองผมเป็นจุดเดียว ถ้ากล่าวเป็นภาษาบ้านๆได้พวกมันคงนึกเอ่ยถามว่า แม่งทำบ้าอะไร

นายพลไค ชะงักขึ้นคราหนึ่งและหันมองที่ผม ก่อนที่กีช่าจะไหวตัวกระโจนหนีไปอย่างว่องไว

นายพลไค ไม่ได้สนใจตามนักฆ่าสาวคนนั้นสักเท่าไหร่ มันเพ่งมองที่ผมอย่างสนใจ มันจำผมได้ติดตา ผมคือคนที่โบกธงส่งสัญญาณรบนั่นเอง

ดูเหมือนผมจะเรียกร้องความสนใจมากเกินไปเสียแล้ว เพราะทั้งทหารซินเดรียและ นายพลไค ต่างมุ่งตรงมาที่ผมยังจุดเดียว ผมลอบร้องคำผิดท่าในใจ ในขณะที่ผมกำลังจะตั้งหลักหนี จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังแว่วขึ้นมาจากที่ห่างไกล

ปูวววววว ปูววววววว   

......

สนุกม๊าก

xonly-141