จิตราคะ ตอนที่ 7 – ของจริง
........................................
Assasin008 2016-09-17
จีวรนั่งเงียบกริบอยู่บนรถคันหรูโดยไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้สักคำ ถึงแม้ว่าพี่เอกจะไม่ได้แสดงท่าทีมุ่งร้าย หากทว่าบรรยากาศลึกลับที่อยู่รอบตัวของพี่เอกนั้นต่างหากที่ทำให้จีวรรู้สึกยำเกรง บรรยากาศที่ว่านั้นไม่ได้เลวร้าย ไม่ได้เป็นสีดำมืดจนทำให้หวาดผวาเหมือนพบเห็นผีสาง หากแต่เป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง
จีวรรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวพี่เอกคนนี้มีส่วนคลับคล้ายกับหลวงตาที่เคยรับเขาไปเลี้ยงดูในวัดส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นบรรยากาศสีขาวสว่างไสวของความเมตตาแห่งพระธรรม หากแต่เป็นบรรยากาศที่อยู่ระหว่างกลางของขาวกับดำ มันคล้ายกับบรรยากาศของพลังอำนาจที่สามารถไปได้ทั้งสีขาวและสีดำ
หลังจากนั่งรถอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง จีวรก็เริ่มกล้าที่จะมองซ้ายมองขวาสำรวจสิ่งต่าง ๆ เขาเป็นผู้ชายวัยรุ่นทั่วไปที่มีความสนใจเรื่องรถยนต์อยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่มีปัญญาซื้อหามาใช้ แต่ก็พอจะรู้ว่ารถที่พี่เอกขับอยู่นี้มันแพงระยับถึงเพียงไหน
โดยไม่รู้ตัวจีวรเริ่มรู้สึกว่าพี่เอกเป็นเหมือนไอดอลของเขา นอกจากจะหล่อแล้วยังรวย อีกทั้งยังมีแฟนแสนสวย หากจะบอกว่านั่นคือทุกอย่างที่ผู้ชายเกือบทุกคนต้องการก็คงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะการมีแฟนแสนสวยอย่างเมญ่านั้น ถือเป็นความฝันอันสูงสุดของจีวรด้วยซ้ำ ดังนั้นการเผลอมองศัตรูหัวใจเป็นไอดอลของตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
“เอ่อ ... พี่เอกครับ ที่บอกว่าจะพาไปทดลองงานนี่ คือยังไงครับ”
จีวรกลืนน้ำลายลงคอดังอึก แล้วพยายามเรียกความกล้าเอ่ยถามออกมาด้วยท่าทีเกร็ง ๆ เพราะเวลานี้รถคันหรูกำลังวิ่งออกห่างจากตัวเมืองไปตามถนนวงแหวนรอบนอกซึ่งเริ่มมีผู้คนบางตาลง อีกทั้งเวลานี้แสงสว่างก็เริ่มจะเลือนหายไปจากท้องฟ้าทีละน้อยแล้ว
“ก็บอกแล้วไงว่าจะไปบำบัดผีกัน”
“… เอ่อ แต่ว่าผม ... ผมยังไม่รู้จักวิธีปราบผีอะไรเลยนะครับพี่”
“ไม่รู้ก็ถูกแล้ว ถ้ารู้ก็ไม่เรียกว่าทดลองงานน่ะซิ”
“เอ่อ ... แต่ว่า ... อีกฝ่ายเป็นผีนะครับ จะให้ผมไปลองแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่รู้อะไรเลย มันจะดีเหรอครับ วิชาอาคมอะไรผมก็ไม่มีสักอย่าง”
วอนพยายามเจรจาต่อรองด้วยความรู้สึกหวาด ๆ หลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์เจอผีตัวจริง เขาก็ได้พบว่าผีสางไม่ใช่เรื่องโกหก หากแต่เป็นสิ่งลี้ลับที่มีอยู่จริง เพียงแต่คนทั่วไปไม่สามารถสัมผัสถึงได้ และนั่นก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิม
เอกขับรถนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่ จากนั้นเขาก็ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากแล้วพูดตอบแบบไม่ตรงคำถามออกมา
“นายวอน นายคิดว่าคนเป็นกับคนตาย ต่างกันยังไง”
“… คนเป็นยังมีชีวิตอยู่ ... คนตายก็เป็นผี ... มั้งครับ”
“แล้วนายคิดว่าทำไมถึงต้องชื่อบริษัทบำบัดผี ทำไมถึงไม่ชื่อว่าบริษัทกำจัดผี”
“เอ่อ ... เพราะว่า ...”
จีวรลังเลกับคำถามนี้ เขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเมญ่าเคยพูดกับเขาเรื่องนี้แล้วรอบหนึ่ง หากทว่าช่วงนั้นเขายังตื่นเต้นกับเรื่องผีและเรื่องเมญ่า ทำให้ไม่ได้มีสมาธิสนใจฟังมากนัก ตอนนี้เขาจึงได้แต่อ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูก เขาไม่ทราบว่าสมควรต้องตอบว่าอย่างไรจึงจะดูดี
“คำถามพวกนี้ไม่จำเป็นต้องตอบสร้างภาพออกมาให้เสียเวลา อีกเดี๋ยวเราจะไปถึงบ้านลูกค้าแล้ว ถ้าหากเปลี่ยนใจไม่อยากทำก็กลับได้ไม่ว่ากัน แต่ก็ถือว่านายสละสิทธิทำงาน ต่อไปนี้โลกของพวกเราจะไม่บรรจบเข้าด้วยกันอีก นายอยู่ในโลกปกติของนายต่อไป”
“แต่ถ้าหากอยากทำก็ต้องทดสอบ ถ้าเข้าทดสอบแล้วทุกอย่างจะถูกเปิดเผยออกมาจากการทดสอบเอง บททดสอบนี้ไม่ได้ทดสอบว่าแกจะเก่งคาถาอาคมหรือวัดความใจกล้าบ้าบิ่น แต่จะเป็นการทดสอบแนวคิดพื้นฐานในใจ มันคือสิ่งสำคัญที่สุดของคนที่จะทำงานในบริษัทบำบัดผี”
ขณะที่จีวรกำลังคิดประดิษฐ์คำพูดสวยหรูออกมา เอกก็ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังเคร่งขรึมสำรวม จีวรจึงกลายเป็นอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก นี่เป็นอีกครั้งที่จีวรสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง มันคล้ายกับพลังอำนาจอันลึกลับที่หมุนเวียนอยู่รอบตัวพี่เอกราวกับพายุหมุนซึ่งไม่สามารถสัมผัสได้โดยตรง
บทสนทนาจบลงเพียงแค่นี้ จีวรไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแม้สักครึ่งคำ แน่นอนว่าเขารู้สึกลังเลไม่อยากเข้ารับการทดสอบ หากทว่าในคำพูดของพี่เอกนั้นบอกกล่าวอย่างชัดเจนว่าหากไม่เข้ารับการทดสอบ โลกของเขากับโลกของเมย์ก็จะมีสิ่งขวางกั้นกลาง นอกจากนี้เขายังมีความรู้สึกลึก ๆ ว่าการเข้าร่วมกับบริษัทบำบัดผีนั้นเป็นโชคชะตาอย่างหนึ่ง และสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้จีวรไม่อยากสละสิทธิโอกาสนี้
เมื่อจีวรไม่แสดงท่าทีปฏิเสธเอกก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่ขับรถซอกแซกไปตามเส้นทาง จนกระทั่งเมื่อเข้าไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เอกจึงจอดรถแล้วหันมาออกคำสั่งบางอย่างกับจีวร
“ไปนั่งข้างหลังซะนายวอน แล้วก็ทำตัวนิ่ง ๆ ให้เหมือนคุณชายแสนร่ำรวยที่เป็นหมอผีเรืองอำนาจสักหน่อย วันนี้จะยอมลดตัวรับบทบาทคนขับรถให้หมอผีจีวรสักวันก็แล้วกัน และจำไว้ว่าตอนนี้แกคือหัวหน้า เป็นคุณชาย และเป็นหมอผีสุดเก่ง”
จีวรหันไปมองแล้วทำหน้างง ๆ แต่ไม่กล้าเอ่ยปากถาม ยิ่งเห็นสายตาจริงจังของเอก จีวรก็รีบเปิดประตูแล้วเดินไปนั่งที่ด้านหลังตามที่เอกสั่ง และเขาก็ไม่ลืมที่จะพยายามแสร้งทำตัวนิ่ง ๆ แต่ก็ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรจึงจะดูเหมือนคุณชายและหมอผีอย่างที่โดนสั่งเอาไว้
หลังจากเปลี่ยนที่นั่งเรียบร้อย รถยนต์คันหรูก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง หากทว่าครั้งนี้รถขยับเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด จีวรจึงเริ่มหันไปมองสังเกตรอบด้านอีกครั้ง
จีวรไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหน หากทว่าบรรยากาศรอบข้างให้ความรู้สึกแปลกประหลาดพิกล รถยนต์กำลังวิ่งเลียบกำแพงสีขาวหม่นของโครงการหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งแทบไม่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมา ก่อนจะจอดลงที่ปากทางเข้าหมู่บ้านซึ่งดูเปลี่ยวร้างวังเวงไร้ผู้คน
ประตูทางเข้าหมู่บ้านนั้นดูโอ่อ่าหรูหราเหมือนหมู่บ้านของพวกคนรวย หากทว่าเพียงชายตามองผ่านจีวรก็รู้สึกขนลุกวูบขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีกระแสความรู้สึกเย็นวาบพุ่งทะลุผ่านร่างกายไป จากนั้นกระแสความเย็นที่ว่าก็ว่ายวนเวียนอยู่รอบกายราวกับปลิงสูบเลือด พริบตานั้นร่างกายของจีวรกำลังสั่นสะท้านหวาดกลัว ปากของเขากลายเป็นขาวซีดสั่นสะท้านระริก แม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมาก็ยังไม่สามารถกระทำได้
“ใจเย็น นายหื่นสัมผัส ไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
เอกคล้ายจะรับรู้ได้ว่าจีวรกำลังสั่นกลัวทั้งที่ไม่ได้หันมองไปด้านหลัง เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงพลังบางอย่าง และคำพูดนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กระแสความเย็นเยียบที่ห้อมล้อมรอบตัวจีวรแตกสลายหายไปจนร่างกายของเขาหายสั่นสะท้าน คำพูดนั้นคล้ายกับแสงอาทิตย์ที่ผุดขึ้นมาขับไล่ความหนาวเหน็บให้ผ่านพ้น
ความเย็นเยียบนั้นหายไปแล้ว จีวรเริ่มสูดลมหายใจได้คล่องขึ้น หากทว่าร่างกายของจีวรยังคงสั่นสะท้านระริก เขารู้สึกลำคอแห้งผาก คล้ายจับไข้ไม่สบาย มันเป็นความรู้สึกคล้ายกับโดนจับโยนลงไปในหล่มน้ำแข็ง มันคือความรู้สึกตอนที่เขาได้ใกล้ชิดกับพวกผีและวิญญาณ
“รอตรงนี้แหละ ลูกค้านัดเจอไว้หน้าประตูหมู่บ้าน”
เอกกล่าวให้ทราบแล้วจอดรถเปิดประตูเดินลงไปบิดตัวที่ด้านนอก จีวรมองเอกที่เดินออกไปจากรถแล้วหันมองไปทางด้านหน้ารถ เขาพบว่าประตูเข้าหมู่บ้านนี้เหมือนจะโดนทิ้งร้างเอาไว้ ไม่มีแม้แต่ยามสักคนคอยเฝ้าดูแล
จีวรสังเกตเห็นต้นหญ้าและใยแมงมุมอยู่ในบางพื้นที่ทำให้ทราบว่าสถานที่น่าจะถูกทิ้งร้างไว้นานพอควรแล้ว หากทว่าที่น่าแปลกก็คืออุปกรณ์ประดับประดาหรูหราทั้งหลายกลับไม่โดนงัดแงะลักขโมยไป ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างคอยเฝ้ารักษาเอาไว้
เมื่อมองเข้าไปด้านใน จีวรมองเห็นถนนปูนสีขาวที่ทอดยาวหายไปในแสงสลัวก่อนยามราตรีอันลี้ลับ เขามองเห็นเงามืดของคฤหาสน์ขนาดกลางหลายหลัง ถึงแม้ว่าคฤหาสน์เหล่านั้นจะดูสวยงามราคาแพง หากทว่าในสายตาของจีวรเวลานี้ ประตูทางเข้าหมู่บ้านแทบไม่ได้ต่างอะไรไปจากประตูสู่ขุมนรกอันน่าหวาดกลัว เขารู้สึกได้ว่าอะไรบางอย่างที่น่าพรั่นพรึงอยู่ในนั้น และเขาสาบานได้ว่าจะไม่มีทางยอมเข้าไปในนั้นเพียงลำพังโดยเด็ดขาด
จีวรคล้ายหนูตัวน้อยที่อยู่ท่ามกลางฝูงอสรพิษ เขารู้สึกเหมือนมีดวงตามากมายกำลังมองดูเขาอยู่ และความรู้สึกนั้นทำให้เขาได้แต่นั่งนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่ในรถคันหรู เวลานี้สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังไม่แหกปากวิ่งหนีไปก็คือพี่เอกที่เดินเล่นอยู่หน้ารถด้วยท่าทางสบายใจไม่รู้สึกรู้สาเหมือนเดินอยู่ในสวนดอกไม้ใต้แสงอาทิตย์อันสว่างไสวสวยงาม
เวลาเดินไปอย่างเชื่องช้าราวกับเต่าคลาน จีวรมองดูนาฬิกาก่อนจะพบว่าเขาเพิ่งนั่งคอยในรถเพียงแค่ห้านาที หากทว่าเวลาห้านาทีนี้กลับทำให้เขาตัวสั่นระริกเหงื่อตกหน้าซีดเหมือนจะเป็นลม และยังดีที่ตอนนี้มีรถยนต์อีกคันหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาจอดเทียบอยู่ด้านข้างรถที่จีวรนั่งอยู่ เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อมีคนเป็นเพิ่มเข้ามาในสถานที่แห่งนี้บ้าง
รถญี่ปุ่นขนาดเล็กสีชมพูคันนั้นจอดนิ่งครู่หนึ่ง จากนั้นประตูรถก็ถูกเปิดออก หญิงสาวสวยผมสั้นในชุดนักศึกษานางหนึ่งเดินออกมาแล้วมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีระแวดระวัง เธอมองไปทางประตูหมู่บ้านด้วยท่าทีหวาด ๆ ก่อนจะรีบย่ำเท้าเดินเข้าไปหาพี่เอกซึ่งยืนรออยู่ข้างรถ
จีวรมองดูหญิงสาวคนนั้นด้วยความสนใจ เธอถือว่าสวยน่ารักไม่น้อย ถึงแม้จะไม่เทียบเท่าเมญ่า แต่ก็ถือว่าเป็นนางแบบได้สบาย ๆ เธอเป็นหญิงสาวผิวขาว ผมสั้นประบ่าแลดูปราดเปรียว การแต่งตัวนั้นเรียกว่ารัดสั้นจนปริอวดเนื้อตัวอย่างเต็มที่ เปรียบเทียบการแต่งตัวที่แสนจะอวดสัดส่วนเนื้อตัวแล้วออกจะใกล้เคียงกับต่ายเพื่อนสนิทของเมญ่าอยู่บ้าง
ความกลัวของจีวรลดทอนลงไปเล็กน้อย จะอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายวัยรุ่นที่ชื่นชอบเพศตรงข้าม และหญิงสาวคนนี้ก็มีเสน่ห์ใช่เล่น ดังนั้นจีวรจึงอดมองสำรวจเนื้อตัวของเธอด้วยสายตากรุ้มกริ่มไม่ได้
จีวรนั่งมองดูพี่เอกสนทนากับหญิงสาวคนนั้นอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นพี่เอกก็พาเธอเดินมาหาที่รถ หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือพามาหาจีวรนั่นเอง
“คุณจี๊ด คนนี้คือเจ้านายผม ท่านชื่อจีวร ท่านเป็นคุณชาย สืบเชื้อสายมาจากตระกูลหมอผีชื่อดัง ท่านครับสาวสวยคนนี้ชื่อจี๊ด”
เอกเปิดประตูแล้วกล่าวแนะนำตัวด้วยท่าทีสุภาพอย่างยิ่ง จีวรซึ่งอยู่ในรถจึงได้แต่นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ ถึงแม้จะรู้ล่วงหน้าว่าพี่เอกให้เขารับบทบาทเจ้านาย แต่ว่าตำแหน่งคุณชายตระกูลหมอผีชื่อดังนี้ออกจะเกินกว่าที่เด็กวัดอย่างเขาจะรับเอาไว้ได้ไหว
นักศึกษาสาวมองดูจีวรด้วยความสนใจ แววตาแวบแรกของเธอนั้นคือความรู้สึกไม่เชื่อถือ เพราะภาพลักษณ์ของจีวรนั้นเรียกได้ว่าห่างไกลไปจากคำว่าคุณชายมากนัก ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตา บุคลิกหรือการแต่งกาย ทุกอย่างล้วนแล้วแต่บ่งบอกว่าเป็นชนชั้นล่าง เวลานี้จีวรจึงรู้สึกเหงื่อตกพูดอะไรไม่ออก
อย่างไรก็ตาม เวลานั้นจีวรเหลือบไปมองเห็นเอกซึ่งยืนอยู่หลังสองสาว เอกยกมือขึ้นพนมแล้วขมุบขมิบปากราวกับบริกรรมร่ายคาถา จากนั้นเมื่อเป่าลมออกมาเบา ๆ ร่างของนักศึกษาสาวก็สั่นสะท้านขึ้นมาวูบหนึ่ง แววตาของเธอดูเลื่อนลอยไปชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม แต่ก็อาจจะไม่ถือว่าปกตินัก
แววตาที่เธอมองดูจีวรแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แววตาที่ไม่เชื่อถือกลายเป็นแววตาซุกซน รอยยิ้มที่สงวนท่าทีกลายเป็นยิ้มหวานสดใสน่ามอง และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้ไก่อ่อนอย่างจีวรถึงกับหน้าแดงวูบด้วยความเขิน ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยโดนผู้หญิงคนไหนมองเขาด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน มันคือแววตายั่วเย้าหว่านเสน่ห์อย่างแท้จริง
“สวัสดีค่ะคุณชายจีวร หนูชื่อจี๊ดค่ะ หนูเป็นนักศึกษาปีสาม”
จี๋ดซึ่งมีท่าทีแปลกไปยกมือสวัสดีด้วยท่าทีน่ารักน่าเอ็นดู จีวรจึงยิ่งมือไม้ปั่นป่วนทำตัวไม่ถูก แต่ยังดีที่เขาถูกสั่งให้ทำตัวนิ่งไว้เขาจึงนั่งนิ่งแล้วหันไปยิ้มทักแบบพอเป็นพิธีเหมือนไม่ได้คิดอะไร ทั้งที่ความจริงแล้วในใจของเขากำลังเต้นระรัวเร็ว ทั้งเต็มไปด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พี่เอกทำอะไรกับจี๊ด เธอจึงได้เปลี่ยนแปลงท่าทีรวดเร็วถึงเพียงนี้
ความสงสัยของจีวรไม่ได้รับคำอธิบาย ภายหลังจากการแนะนำตัวด้วยความสุภาพจี๊ดก็พูดเข้าเรื่อง เธอคอยยิ้มหวานยั่วยวนหว่านเสน่ห์ให้จีวรอย่างเต็มที่ เขาจึงแทบไม่มีสมาธิรับฟังรายละเอียดของงานที่เธอบอกออกมาสักเท่าไหร่นัก ยังดีที่เธอในเวลานี้ดูจะให้ความสนใจพยายามอธิบายให้เขาฟังด้วยความใจเย็น
โดยสรุปแล้วจี๊ดต้องการคนมาไล่ผีในหมู่บ้านจัดสรรของเธอ รวมไปถึงค้นหาพินัยกรรมโฉนดกรรมสิทธิ์การครอบครองที่ดินด้วย เธอบอกว่าคุณลุงมอบโครงการบ้านจัดสรรนี้ให้เธอ แต่ว่าคุณลุงโดนเมียวางแผนฆาตกรรมจนตาย ตั้งแต่วันนั้นวิญญาณของคุณลุงก็อยู่ไม่สงบ เธอเชื่อว่าผีที่คอยป่วนในหมู่บ้านคือลุงของเธอเอง
แน่นอนว่าเธอต้องเคยหาหมอผีและพระชื่อดังมาช่วยจัดการแล้วหลายครั้ง ก่อนเริ่มงานทุกคนต่างแสดงสีหน้ามั่นใจ แต่ว่าหลังจากความพยายาม ทุกคนต่างแหกปากร้องวิ่งหนีออกมาจากหมู่บ้านในสภาพหน้าซีดแบบไม่คิดชีวิต จี๊ดเกือบยอมแพ้ แต่ยังดีที่มีคนแนะนำให้ลองติดต่อบริษัทบำบัดผีดูก่อน
“เรื่องราวก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ หนูไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว คุณชายจีวรต้องช่วยหนูด้วยนะคะ”
จี๊ดส่งเสียงออดอ้อนพร้อมกับขยับเข้าไปเกาะแขนของจีวรเอาไว้ด้วยท่าทีสนิทสนม จีวรซึ่งยังเป็นลูกเจี๊ยบอ่อนเชิงจึงหน้าแดงก่ำอารมณ์พลุ่งพล่าน ยิ่งอีกฝ่ายเบียดหน้าอกนุ่มนิ่มมาชนแขนของเขาด้วยความจงใจ อารมณ์อยากปกป้องสาวสวยก็ยิ่งรุนแรงกว่าเดิม
จีวรพยายามข่มกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเองอย่างยากลำบาก กลิ่นหอมของสาวสวยกำลังทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่ม กระนั้นเขากลับไม่ทราบว่าควรจะต้องลงมือช่วยเหลืออย่างไรได้ เขาจึงหันไปมองดูพี่เอกเพื่อขอความช่วยเหลือ เอกคล้ายจะทราบอยู่แล้วว่าจีวรจะมองไป เพราะเขากำลังยิ้มและกล่าวขัดจังหวะขึ้นมา
“ใจเย็นก่อนครับคุณจี๊ด พวกเรามาเพื่อช่วยอยู่แล้ว เพราะพวกเราคือบริษัทบำบัดผี เพียงแต่ผมมีเรื่องที่สงสัยและอยากถามสักหน่อย สะดวกหรือเปล่าครับ”
“ได้ซิคะคุณเอก หนูจะช่วยตอบเท่าที่ตอบได้”
“คุณจี๊ดแน่ใจเหรอครับ ว่าเป็นวิญญาณของคุณลุงพวกคุณ”
จี๊ดอ้าปากทำท่าจะตอบแต่ก็ชะงักไป เธอแสดงท่าทีครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะหันมาตอบคำถามของเอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน่าสงสาร
“ค่ะ หนูแน่ใจ เพราะว่าหนูเคยเจอด้วยตัวเองในบ้านหลังนั้น หนูมองเห็นคุณลุงในสภาพเลือดท่วมตัว น่ากลัวมากเลยค่ะ”
“แล้วคุณจี๊ด มีความสัมพันธ์เป็นอะไรกับคุณลุงคนนั้นเหรอครับ”
คำถามที่สองของเอกทำให้จี๊ดชะงักไปอีกครั้ง เธอหลบสายตาเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“จี๊ดเป็นหลานค่ะ คุณลุงเป็นพี่ชายของพ่อพวกเรา”
“เหรอครับ งั้นก็แปลกดีนะ เพราะว่าผมลองสืบข้อมูลมาแล้ว คุณกำพล อยู่สุข ท่านเป็นลูกชายคนเดียว ไม่ได้มีพี่น้องที่ไหน”
เอกพูดพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนมีลับลมคมในบางอย่าง จี๊ดเริ่มแสดงท่าทีความกระวนกระวายใจ ก่อนจะตอบคำถามของเอกด้วยสีหน้าท่าทีแปลกพิลึก
“... คือ พ่อของจี๊ดเป็นน้องบุญธรรมค่ะ คงไม่มีหลักฐานในทางกฎหมายให้สืบค้น”
จีวรรับฟังด้วยความรู้สึกแปลก ๆ เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง พี่เอกทำท่าเหมือนสงสัยและไม่อยากช่วยสองสาวที่น่าสงสาร จีวรจึงเริ่มรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เป็นแบบนี้นี่เอง ... ถ้าอย่างงั้นสิ่งที่คุณจี๊ดต้องการ ก็คือให้พวกเราไล่วิญญาณออกไปจากหมู่บ้าน แล้วก็ตามหาพินัยกรรมรวมไปถึงใบกรรมสิทธิ์ครอบครองซินะครับ”
“ใช่ค่ะ ถ้าหากทำได้พวกเรารับรองว่าจี๊ดจะตอบแทนให้อย่างงาม”
จี๊ดกล่าวด้วยรอยยิ้มเหมือนโล่งใจขึ้น เพราะว่าล่าสุดนั้นเอกพูดเหมือนจะยอมช่วยเหลือเธอ ส่วนจีวรนั้นเริ่มรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เพราะว่าเขาเองก็อยากให้พี่เอกช่วยจี๊ด แต่ว่าหลังจากได้ยินประโยคถัดมาของพี่เอก จี๊ดและจีวรก็เริ่มแสดงท่าทีเคร่งเครียดออกมา
“หมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ ถึงจะถูกทิ้งร้างเอาไว้ปีกว่า แต่ถ้านำไปขายคงได้สักห้าสามร้อยล้านเป็นขั้นต่ำ ถ้างานนี้สำเร็จไม่ทราบว่าคุณจี๊ดจะตอบแทนพวกเรายังไง”
จี๊ดฟังแล้วขมวดคิ้วเคร่งเครียด ส่วนจีวรนั้นขมวดคิ้วไม่ค่อยพอใจนัก เพราะเขารู้สึกว่าพี่เอกกำลังจะรีดไถเอากำไรจากจี๊ด ทั้งที่ความจริงแล้วจีวรเข้าใจว่าบริษัทบำบัดผีสมควรจะมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือคนยากลำบากโดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน แต่สิ่งที่เขาเห็นในเวลานี้กลับเป็นเหมือนการขูดรีดเรียกค่าตอบแทนจากคนยากลำบาก
“… ไม่ทราบว่าคุณเอก ... อยากจะเรียกร้องค่าตอบแทนยังไงคะ … ถ้าหากมากเกินไปจี๊ดก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน”
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จี๊ดก็หันไปมองดูเอกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดกว่าเดิม สภาพในเวลานี้เหมือนกำลังคุยธุรกิจเจรจาต่อรองราคากันอยู่ จีวรซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนจึงยิ่งต้องนิ่งเงียบกว่าเดิม เพียงแต่เขารู้สึกเอาใจช่วยจี๊ดมากกว่า เพราะเขาอยากช่วยเธอ
“เดี๋ยวเอาไว้ผมจะเสนอตัวเลขให้ทราบนะครับ แต่ผมอยากจะบอกคุณจี๊ดไว้ก่อนสักหน่อย หมู่บ้านแห่งนี้โดนทิ้งร้างไว้พอสมควร ถึงจะไม่เสื่อมโทรมมาก แต่การจะฟื้นฟูเพื่อนำไปขายได้นั้นต้องใช้เงินไม่น้อย ผมคิดว่าน่าจะราวห้าสิบล้านบาทเป็นขั้นต่ำ คุณจี๊ดเข้าใจใช่หรือเปล่าครับ”
“… มากขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
จี๊ดกระพริบตาปริบ ๆ เหมือนเธอไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าขาวสวยของเธอซีดเผือดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“ต้องเรียกว่าอย่างน้อยห้าสิบล้านด้วยซ้ำ นั่นคือปัญหาข้อแรก ปัญหาข้อที่สองก็คือ การจะขายบ้านราคาแพงแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครจะทำก็ทำได้ เพราะต้องอาศัยเส้นสาย ไม่ว่าจะเป็นความน่าเชื่อถือ หรือการดึงดูดให้คนมาซื้อ คุณจี๊ดคิดว่าตัวเองมีเส้นสายเพียงพอหรือเปล่าครับ”
“… เอ่อ ... เรื่องนี้”
“ลองคิดดูนะครับ ปัญหาอย่างแรกคือเรื่องเงิน อย่างที่สองคือเรื่องบารมีและเครือข่าย แต่ปัญหาสำคัญที่สุดน่าจะเป็นอย่างที่สาม”
“คืออะไรคะ”
“...พินัยกรรมครับ”
เอกกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแผ่วเบา หากทว่าร่างของจี๊ดกลับสะท้านและเหม่อมองดูเอกด้วยแววตาแตกตื่นสับสน ใบหน้าที่ขาวซีดนั้นยิ่งขาวซีดลงไปกว่าเดิมอีกเท่าตัว
จีวรได้แต่นั่งนิ่งไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลยสักอย่าง เรื่องเงินกับเรื่องเครือข่ายอะไรนั่นเขาพอจะนึกภาพออก แต่ว่าปัญหาข้อสามที่พี่เอกพูดออกมานั้นหมายถึงอะไรกันแน่
“... คุณเอกพูดเรื่องอะไรคะ จี๊ดไม่เข้าใจ”
จี๊ดนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นเธอจึงยืดอกตูมตั้งขึ้นทำหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไร หากทว่าแม้แต่จีวรที่มีประสบการณ์น้อยที่สุดก็ยังทราบว่าจี๊ดกำลังสับสนแตกตื่น และแกล้งทำเป็นไม่มีเรื่องราวอะไร
“ผมไม่ชอบพูดอ้อมค้อมครับคุณจี๊ด เอาเป็นว่าปัญหาทั้งหมดที่คุณจี๊ดมีในตอนนี้ ไม่ว่าจะเรื่องผี เรื่องเงินลงทุนหมุนเวียน เรื่องเครือข่ายความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงเรื่องพินัยกรรม ... ปัญหาทุกอย่างนี้ หากท่านจีวรรับปากตกลงช่วย ด้วยอำนาจและเงินตรา ผมรับรองได้ว่าทุกอย่างจะจบได้แบบไร้ปัญหา”
เอกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากตามปกติ มันคือรอยยิ้มที่จีวรรู้สึกอ่านไม่ออก จากนั้นเอกก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงมาดมั่น และโดยสรุปความแล้วเอกกำลังบอกว่าจีวรสามารถช่วยเหลือแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ได้
หลังจากได้ยินประโยคนั้น จี๊ดก็หันขวับมามองจีวรด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับทันที ส่วนจีวรนั้นกำลังแตกตื่นจนเหงื่อแตกพลั่ก ถึงเขาจะไม่ได้เฉลียวฉลาดนัก แต่จีวรก็ยังพอจับแผนการบางอย่างจากพี่เอกได้ จีวรไม่ทราบว่าเอกต้องการหลอกไปเพื่ออะไร หากทว่าการหลอกเช่นนี้จะทำให้จี๊ดหันมาเจรจากับเขา และหากพิจารณาจากนิสัยใจคอแล้ว จีวรเชื่อว่าจี๊ดจะต้องทุ่มสุดตัวเพื่อโน้มน้าวให้เขายอมออกปากช่วยเหลือ
“ท่านชายคะ … ช่วยจี๊ดด้วยนะคะ รับรองเลยค่ะว่าจี๊ดจะตอบแทนให้ทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าท่านชายอยากได้อะไรจี๊ดก็จะให้ทุกอย่างค่ะ ขอแค่ท่านชายบอกออกมา”
ทุกอย่างเป็นไปตามที่จีวรคาดการไว้ จี๊ดส่งสายตายั่วเย้าหว่านเสน่ห์ใส่เขาราวกับเปลวเพลิง หนุ่มจิ้นที่ไม่เคยมีอะไรกับหญิงสาวที่แท้จริงมาก่อนเช่นเขาจึงยิ่งปั่นป่วนรวนเร ฝ่ามือของเธอที่แตะสัมผัสลงบนท่อนขานั้นทำให้เขารู้สึกเสียววูบสั่นสะท้านเกิดความต้องการทางเพศอย่างรุนแรง
“เดี๋ยวก่อนคุณจี๊ด … เอ่อ …”
จีวรส่งเสียงห้ามหากทว่ามิได้ปัดป้องอะไร จะอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย จะมีผู้ชายสักกี่คนที่สามารถต้านทานเสน่ห์ของสาวสวยได้ โดยเฉพาะหนุ่มไก่อ่อนแบบจีวรยิ่งไม่มีทาง
“เอาเป็นว่าคุณจี๊ดลองเจรจากับท่านจีวรสองต่อสองในรถก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมจะเดินสำรวจรอบ ๆ เสียหน่อย”
เอกกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายพยายามเก็บเสียงหัวเราะก่อนจะเดินจากไป จีวรแตกตื่นแล้วแตกตื่นอีกจนไม่ทราบว่าสมควรต้องทำตัวอย่างไร กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งประตูรถสุดหรูก็ปิดลง เขาและรุ่นพี่สาวสวยกำลังนั่งอยู่ด้วยกันสองต่อสองข้างในรถ
“ท่านคะ หนูพูดจริง ๆ นะ ถ้าหากท่านยินดีช่วยล่ะก็ หนูยินดีที่จะมอบให้ได้ทุกอย่างจริง ๆ ไม่ว่าจะหัวใจ หรือร่างกาย หนูก็ยินดีมอบให้”
จี๊ดแสดงท่าทีร้อนแรงออกมาทันทีเมื่ออยู่กันสองต่อสอง เธอขยับเข้าไปโอบแขนกอดรัดรอบคอของจีวรเอาไว้ ทรวงอกหนั่นแน่นกดเบียดลงไปที่ท่อนแขนของเขา ในขณะที่มือนุ่มนิ่มข้างหนึ่งวางแนบลงไปบนแผงอกกำยำแล้วลูบลงไปที่หน้าท้อง แล้วไล่ลงไปทีละน้อย
จีวรนั่งตัวเกร็งหอบหายใจหนักหน่วง แน่นอนว่าเขารู้สึกว่าไม่เหมาะสม หากทว่าเขาย่อมไม่มีความคิดห้ามการกระทำของสาวสวยรุ่นพี่ เขาจึงนั่งนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายลูบฝ่ามือลงไปบีบขยำตรงเป้ากางเกงแล้วสูดปากครางออกมาด้วยความพึงพอใจ
จี๊ดโน้มหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับบรรจงจูบที่แก้มของชายหนุ่ม เธอเผยรอยยิ้มน้อย ๆ เพราะมองออกว่าอีกฝ่ายนั้นดูจะเป็นคุณชายไร้ประสบการณ์ จากนั้นริมฝีปากสีแดงสดก็เริ่มจูบไล้ไปตามผิวหยาบกระด้างจนจีวรขนลุกวูบ และเพียงพริบตาเดียวมือนุ่มนิ่มก็ปลดตะขอกางเกงออกแล้วล้วงควักเอาแก่นกายที่พองตัวบวมเป่งออกมารูดจนจีวรสูดปากครางด้วยความเสียวแล้ว
“อูยสสส คุณจี๊ด … อูววว ดีจัง”
เสียงครางของจีวรทำให้สาวสวยอมยิ้ม มือนุ่มนิ่มนั้นรูดถอกเร็วขึ้นทีละน้อย ในขณะที่ริมฝีปากสีแดงสดเร่งจูบพรมซุกลงไปที่ซอกคอของชายหนุ่ม จากนั้นใบหน้าสวยก็ค่อย ๆ ขยับก้มลงไปที่ด้านล่าง จนกระทั่งจูบลงไปที่ส่วนปลายหัวบานร่าสีคล้ำ
จีวรสูดปากครางขณะก้มลงมองดูภาพสุดเสียวระทึกใจ เขามองเห็นศีรษะสวยได้รูปก้มลงไปตรงหน้าขา และนุ่มนิ่มเปียกชื้นที่สัมผัสเข้ากับแก่นกายนั้นทำให้เขายิ่งรู้สึกตื่นเต้น เพราะนี่คือครั้งแรกในชีวิตวัยหนุ่มที่เจอกับประสบการณ์เช่นนี้ พริบตานั้นเขาลืมเลือนทุกอย่างและไม่สนใจอะไรเรื่องถูกผิดอะไรอีกต่อไป
จี๊ดเริ่มแลบลิ้นเลียไปตามส่วนหัวที่เปียกเยิ้มก่อนจะอ้าปากอมของจีวรเข้าไปจนเต็มปาก ลีลาลิ้นที่ตวัดพัวพันระรัวใส่นั้นบ่งบอกได้ว่าเธอผ่านประสบกามมาไม่น้อย ยิ่งเธอเริ่มผงกหัวขึ้นลงพร้อมกับใช้มือรูดถอกไม่หยุด ลีลานั้นก็แทบไม่แตกต่างอะไรกับสาวขายบริการมากประสบการณ์สักเท่าไหร่
ลีลาเช่นนี้ย่อมทำให้หนุ่มไก่อ่อนเช่นจีวรรับไม่ไหว เขาร้องครางออกมาเสียงดังด้วยความกระสันเสียว ร่างกายเกร็งสะท้านจนอยู่นิ่งไม่ได้ และยิ่งเขาร้องครางเสียงดัง จี๊ดก็ยิ่งเร่งผงกศีรษะดูดเลียเร็วถี่ขึ้น แก้มสวยยุบแล้วพองออกตามแรงดูด เสียงดังจ๊วบจ๊วบผสมผสานไปกับเสียงร้องครางของหนุ่มน้อยไร้ประสบการณ์ลั่นไปทั้งรถ
“โอย คุณจี๊ด ไม่ไหวแล้ว … โอย … ซี้ดดด จี๊ด โอววววว”
รสชาติความหฤหรรษ์ที่ได้รับทำให้จีวรตัวเกร็ง เขาหลับตาจิกมือลงไปบนศีรษะของสาวสวยพร้อมกับแอ่นเอวเข้าหาปากบางนุ่ม จากนั้นเพียงแค่ไม่นานนักหนุ่มน้อยก็ตัวกระตุกส่งเสียงครางสะท้าน น้ำคาวข้นกระฉูดแตกหลั่งไหลเข้าไปในช่องปากของสาวสวยด้วยสุดจะระงับไหว
จี๊ดคล้ายเคยชินกับสถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้จะโดนเขากดเข้าหาจนหายใจหายคอแทบไม่ออก แต่เธอยังคงตวัดลิ้นดูดเลียน้ำปริมาณมหาศาลเข้าปากไปจนหมดแบบทุกหยาดหยด และการกระทำนั้นก็ได้ส่งผ่านความเสียวซ่านหฤหรรษ์ให้จีวรจนเขาตัวกระตุกแล้วกระตุกอีก
จีวรนั่งเอนหลังพิงกับเบาะรถแล้วหอบหายใจหนักหน่วง ก่อนหน้านี้เขาอาจจะเคยมีประสบการณ์ในโลกแห่งความคิด และเคยโดนผีบ้านผีเรือนทำมิดีมิร้าย หากทว่านี่คือครั้งแรกที่เขาได้ทำเรื่องแบบนี้กับผู้หญิงจริง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งจี๊ดยังนับเป็นสาวสวยคนหนึ่งที่เขาไม่เคยคิดฝันจะได้ใกล้ชิด
“… ดีหรือเปล่าคะ ถ้าท่านชอบ จี๊ดจะทำให้เท่าที่ท่านต้องการ”
จี๊ดเงยหน้าขึ้นมาจากแก่นกายที่เริ่มอ่อนปวกเปียกลงเล็กน้อย เธอแลบลิ้นเลียรอบปากขณะกล่าวกับจีวรด้วยน้ำเสียงเซ็กซี่แสนหวาน ท่าทางของเธอนั้นเปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่สามารถหลอมละลายหัวใจชายหนุ่มได้โดยง่าย โดยเฉพาะกับจีวรที่แทบไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน
ในใจส่วนลึกสำหรับจีวรแล้ว เขามองว่าความสัมพันธ์ทางเพศเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่มีก็แล้วไป แต่หากมีแล้วเขาก็เริ่มรู้สึกว่าจี๊ดเป็นผู้หญิงของเขา ผู้หญิงที่เขาควรต้องปกป้องดูแลให้ความคุ้มครอง ยิ่งได้เห็นจี๊ดหว่านเสน่ห์แสดงท่าทีเหมือนหลงใหล หัวใจของจีวรก็ยิ่งโดนหลอมละลายยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าท่านช่วยจัดการเรื่องของจี๊ดให้เรียบร้อย จี๊ดสัญญาว่าท่านจะมีความสุขมากกว่านี้อีกหลายเท่าเลยค่ะ”
จี๊ดแสดงท่าทีออดอ้อนออกมาอย่างเต็มที่ ในขณะที่จีวรเองก็เริ่มรู้สึกพลุ่งพล่านอยากช่วยเหลือผู้หญิงของตนเอง เขาจึงสัญญากับเธอว่าจะช่วยเรื่องนี้ให้ ถึงแม้ว่าเขาเองจะไม่แน่ใจว่าตัวเองมีปัญญากระทำได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยในสถานการณ์เช่นนี้เขาย่อมไม่มีหน้าจะปฏิเสธได้
หลังจากได้รับคำยืนยันว่าจะช่วยเหลือจากจีวรแล้ว จี๊ดก็กอดและหอมแก้มเขาอีกหลายครั้ง ก่อนจะเปิดประตูออกมาจากรถ ท่าทีของเธอแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าจะรอให้เขาแก้ปัญหาให้เสร็จก่อน จากนั้นจึงค่อยมอบอะไรดี ๆ เป็นการตอบแทน
จีวรเดินลงมาจากรถด้วยใบหน้าแดงก่ำ ตอนนี้เขาเพิ่งนึกออกว่าพี่เอกยืนรออยู่ด้านนอก และพฤติกรรมของเขานั้นหากไปถึงหูของเมย์เข้าก็คงจะไม่ดีนัก แต่เรื่องสำคัญในเวลานี้ก็คือจีวรไม่แน่ใจว่าเขาควรจะโน้มน้าวอย่างไรให้พี่เอกยอมช่วยเหลือจี๊ดอย่างที่เขาเผลอสัญญาเอาไว้
“ตกลงกันได้แล้วซินะครับ งั้นผมจะเริ่มกระบวนการไล่ผีพวกนี้เสียที”
สิ่งผิดคาดของจีวรก็คือพี่เอกไม่ได้แสดงท่าทีอะไรพิเศษ เอกเพียงยืนเอามือไขว้หลังมองดูมาด้วยรอยยิ้มคล้ายคาดการณ์ทุกอย่างเอาไว้แล้ว จากนั้นเอกก็เริ่มเดินตรงไปทางประตูเข้าหมู่บ้าน
จี๊ดมองดูการก้าวเดินของเอกด้วยแววตาหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เธอเคยเห็นหมอผีหลายรายที่พยายามมาขับไล่ผี หากทว่าส่วนใหญ่แค่เดินเข้าไปที่ประตูทางเข้าหมู่บ้าน แต่ละคนก็พากันตัวสั่นสะท้านส่งเสียงแผดร้องวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นแล้ว ดังนั้นปฏิกิริยาของเธอจึงเป็นความไม่แน่ใจว่าเอกจะเป็นเช่นหมอผีก่อนหน้านี้หรือไม่อย่างไร
จีวรมองตามไปด้วยสายตาหวาดหวั่นระทึก เขาไม่เคยเห็นหมอผีคนอื่นมาก่อน แต่เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ด้านหลังประตูเข้าหมู่บ้าน มันคือความรู้สึกดำมืดเย็นเยือกที่เขาสาบานได้ว่าไม่มีทางก้าวเท้าเข้าไปย่างกรายโดยเด็ดขาด
เอกเดินไปด้วยท่าทีผ่อนคลายไม่มีอะไรกดดัน เขาหยุดยืนตรงตำแหน่งประตูทางเข้าหมู่บ้านคล้ายทราบว่ามีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นขวางกั้นเอาไว้ ทันใดนั้นอากาศรอบด้านก็หนาวเย็นลงอย่างกะทันหันจนจีวรและจี๊ดต้องเกาะกุมมือกันและกันด้วยความหวาดกลัว เขาและเธอต่างรู้สึกได้ถึงดวงตาจำนวนมากที่จ้องมองมา ดวงตาเหล่านั้นราวกับจะจับฉีกกระชากร่างของเขาและเธอให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันคือดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตอันดำมืด
ถัดจากความเย็นเยียบนั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนแหลมสูงก็ดังก้องไปทั่วบริเวณโดยไม่ทราบแหล่งที่มา และเสียงกรีดร้องนั้นก็ทำให้จี๊ดแข้งขาอ่อนแรงจนต้องทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น เธอเกาะขาของจีวรแน่นขณะที่ร่างกายสั่นเทิ้ม และจีวรเองนั้นก็กำลังแข้งขาสั่นระริก เขาเองก็แทบยืนไม่อยู่ หากไม่ใช่ว่าเขาเคยพบเจอผีสางมาบ้างแล้ว ตอนนี้เขาก็คงจะต้องทรุดลงไปกองกับพื้นแบบจี๊ดเช่นกัน
“ความชั่วช้าทำให้เกิดความอาฆาต ความอาฆาตดึงดูดความมืด ความมืดเพิ่มพูนความชั่วช้า … พวกเอ็งทั้งหมดออกไปได้แล้ว ที่นี่เป็นโลกของคนเป็น ไม่ใช่ที่ของพวกเอ็ง”
ร่างกำยำของเอกยังคงยืนตระหง่านที่เบื้องหน้าประตูที่เหมือนประตูนรกโดยไม่แสดงท่าทีอันใด เขาไม่ได้ใช้อุปกรณ์อันใดช่วยเหลือเช่นพวกธูปเทียน หรือสายสิญจน์อย่างที่คนทั่วไปเคยเห็นในภาพยนต์หรือละครทีวี เอกมีแต่เพียงสองมือที่ยกขึ้นประนมและบริกรรมคาถาแน่วนิ่ง
จีวรเหม่อมองดูแผ่นหลังของเอก และนี่คืออีกครั้งที่จีวรสัมผัสได้ถึงขุมพลังอันยิ่งใหญ่ เขามองไม่เห็นมัน ไม่ได้ยินเสียงจากพวกมัน หากทว่าสัมผัสพวกมันได้ ขุมพลังที่ไหลเวียนไปรอบกายของเอกนั้นทำให้จีวรรู้สึกเหมือนเอกแปรเปลี่ยนไปเป็นขุนเขาสูงใหญ่ที่ไม่มีวันโยกคลอนได้
เสียงบริกรรมคาถาที่สมควรแผ่วเบานั้นกลับดังก้องไปทั่วบริเวณ จีวรไม่ทราบว่ามันคือภาษาอะไร เขาไม่ทราบความหมายของมัน หากทว่ารับทราบได้ถึงขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่สอดแทรกอยู่ในแต่ละอณูของถ้อยคำ และพลังอำนาจเหล่านั้นกำลังกดข่มจนเสียงกรีดร้องโหยหวนเงียบสงบเงียบลงไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีทางต่อการได้
จีวรอ้าปากค้าง จี๊ดเบิกตากว้างเหม่อมองดู ครั้งนี้ย่อมเป็นครั้งแรกของเขาและเธอที่ได้ชมดูการปะทะกันของขุมพลังที่มองไม่เห็นหากแต่สัมผัสได้ โดยเฉพาะจี๊ดที่เคยเชิญหมอผีและพระชื่อดังมามากมาย เธอไม่เคยรู้สึกได้ถึงพลังเช่นนี้มาก่อน เธอแทบหมดศรัทธาไม่เชื่อในคำว่าหมอผีและพระชื่อดังด้วยซ้ำ หากทว่าครั้งนี้นั้นต่างออกไป
เสียงบริกรรมคาถาของเอกสะท้อนก้องไปมาทั่วบริเวณ เสียงนั้นสะกดข่มเสียงหวีดร้องและบรรยากาศเย็นเยียบได้อย่างชะงัด หากแต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะยังไม่ยินยอม เพราะจีวรและจี๊ดต่างก็มองเห็นไอหมอกสีดำทึบหนาที่พวยพุ่งแผ่ทะลักออกมาจากด้านในของหมู่บ้าน
ไอสีดำเข้มข้นนั้นเต็มไปด้วยความเย็นเยือกน่าหวาดผวา ภายในไอหมอกสีดำนั้นคล้ายมีตัวอะไรบางอย่างที่น่าเกลียดน่ากลัวซุกซ่อนอยู่นับร้อยตน จีวรและจี๊ดต่างเบิกตาโพลงมองดูด้วยความเย็นเยียบเหมือนหัวใจแทบหยุดเต้น พวกมันนับร้อยตนรวมกันเป็นหมอกสีดำขนาดใหญ่อันบ้าคลั่ง พวกมันหมุนวนไปรอบหมู่บ้านเหมือนพายุหมุน ก่อนจะผสานรวมกลายเป็นกำแพงคลื่นสูงสิบเมตรที่ทำท่าจะถล่มมาทางด้านหน้าหมู่บ้าน
ภายใต้แรงกดดันนั้นจี๊ดส่งเสียงกรีดร้องออกมาสุดเสียง เธอส่งเสียงร่ำร้องขณะเกาะขาของจีวรแน่น ความหวาดกลัวทำให้สาวสวยฉี่แตกจนกางเกงในและกระโปรงนักศึกษาเปียกชุ่ม ด้านจีวรเองนั้นก็หวาดกลัวไม่แพ้กัน หากทว่าการตอบสนองของเขาคือการยืนตัวแข็งทื่อเบิกตากว้างมองดูคลื่นหมอกสีดำที่ทำท่าจะถล่มทับลงมาใส่ ปรากฎการณ์ที่เขาเห็นในวันนี้มันยิ่งกว่าที่เขาเคยคิดจินตนาการไว้นับร้อยนับพันเท่า
หากจะมีใครสักคนที่ยังคงท่าทีเยือกเย็นได้นั้นก็คงจะมีแต่เอกที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าคลื่นหมอกสีดำสูงสิบเมตร เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะคลายมือที่พนมออกจากกัน สองมือนั้นขยับวูบไหวไปมาคล้ายกำลังวาดเขียนอะไรบางอย่างบนอากาศอันว่างเปล่า จากนั้นสองมือจึงค่อยขยับมาประกบกันอีกครั้งในลักษณะท่วงท่าแปลกตา
ทันทีที่สองมือของเอกประกบเข้าหากัน ค่ำคืนที่หนาวเหน็บและเงียบงันก็พลันแปรเปลี่ยน พริบตานั้นสายลมอันบ้าคลั่งไม่ทราบผุดโผล่ออกมาจากที่ใด มันพัดกระชากจนเศษใบไม้แห้งทั่วบริเวณลอยละลิ่วปลิวหายไปบนท้องฟ้า แรงลมทำให้ผมเผ้าของจี๊ดยุ่งเหยิง แรงลมทำให้จีวรที่ยืนตัวแข็งทื่อแทบทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ความรุนแรงของมันมิใช่ลมตามปกติ หากแต่เป็นพลานุภาพจากพายุหมุน
ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วของจีวรและจี๊ดยิ่งเบิกกว้างขึ้นไปอีก เวลานี้เขาและเธอกำลังมองดูสรรพสิ่งลอยวนเป็นวงรอบตัวของเอก ไม่ว่าจะใบไม้แห้ง กิ่งไม้ ฝุ่นดิน หรือแม้แต่ก้อนหินก้อนกรวดก็กำลังลอยว่อนวนไปมาเป็นวงกลม สิ่งเหล่านั้นกำลังลอยหมุนไปตามแรงลมของพายุหมุนที่มีเอกเป็นจุดศูนย์กลาง
เพียงพริบตาเดียวพายุหมุนที่เต็มไปด้วยพลังสายลมอันเกรี้ยวกราดก็ก่อตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า ส่วนฐานบนพื้นดินนั้นมีรัศมีราวสามเมตร และยิ่งสูงขึ้นไปเหนือพื้นรัศมีของพายุหมุนก็ยิ่งกว้างขึ้นเป็นทบทวี จีวรและจี๊ดต่างเงยหน้าเหม่อมองดูพายุหมุนที่สูงหายลับขึ้นไปในท้องฟ้าอันมืดมิดโดยไม่อาจประเมินระยะทางได้
คลื่นหมอกสีดำทะมึนที่เต็มไปด้วยความน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงจากด้านในหมู่บ้าน เมื่อต้องเผชิญกับพายุหมุนนี้ พวกมันกลับกลายเป็นเหมือนแค่กระดาษเปียกน้ำเปื่อยยุ่ยไร้ราคา หมอกควันสีดำที่เข้าปะทะกับพายุหมุนโดนฉีกกระชากออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันทีโดยไม่ทีทีว่าจะทำอย่างไร ส่วนหมอกควันที่อยู่ด้านหลังนั้นต่างพยายามลอยหนี หากแต่พวกมันกลับไม่อาจถอยห่างได้แม้สักน้อยนิด พวกมันโดนแรงหมุนของพายุฉุดกระชากเข้าไปในความบ้าคลั่งโดยไร้ทางต่อต้าน
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง หากทว่าคราวนี้แตกต่างจากก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด เสียงโหยหวนนี้ไม่ได้เป็นการข่มขู่ เสียงเหล่านี้ไม่ได้น่าหวาดผวา หากทว่าพวกมันเป็นเสียงเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บและหวาดกลัว
จีวรและจี๊ดต่างเบิกตากว้างเหม่อมองดูพายุหมุนอันบ้าคลั่งโดยไม่อาจกระพริบตา ดวงตาทั้งสองคู่นั้นมีน้ำตาไหลพรากออกมา เขาและเธอต่างก็ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงต้องหลั่งน้ำตา หากทว่าเขาและเธอต่างไม่อาจละสายตาออกไปจากพายุหมุนที่ดูดเอาไอหมอกสีดำเข้าไปฉีกกระชากได้แม้สักเพียงวินาที
เสียงโหยหวนเหล่านั้นค่อยเงียบเสียงลงไปทีละน้อย ไอหมอกสีดำในพายุคล้ายเปลี่ยนจากวัตถุที่มีชีวิตเป็นไม่มีชีวิต แม้แต่สีดำมืดก็เริ่มเลือนหายไปทีละน้อยจนกระทั่งกลายเป็นความว่างเปล่า พายุสีดำจึงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นพายุหมุนตามปกติ จากนั้นแรงลมก็เริ่มลดลงไปทีละน้อย จนกระทั่งพายุหมุนเลือนหายไปราวกับเรื่องโกหก
เอกยืนอยู่ตรงนั้นตรงจุดที่พายุเลือนหายไป ท่าทางของเขาสงบเยือกเย็นราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน และหากว่าเวลานี้ไม่มีเศษสิ่งของที่ร่วงหล่นลงมาจากอากาศด้านบนเป็นพยานหลักฐาน จีวรและจี๊ดอาจจะเผลอคิดว่าไปตนเองอาจจะตาฝาดหรือฝันไปเองก็เป็นได้
“พวกนี้คุยกันดี ๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องเลยแฮะ เอาไว้ค่อยพาไปปรับทัศนคติสักหน่อยก็แล้วกัน”
เอกพูดทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย ระหว่างที่พูดนั้นเขาก็เริ่มล้วงมือหยิบเอาขวดแก้วที่คล้ายกับหลอดทดลองออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยกชูเอาไว้เหนือหัว จีวรและจี๊ดกระพริบตามองด้วยความไม่เข้าใจ หากทว่าอีกเพียงครู่เดียวเขาและเธอก็พอจะคาดเดาได้ว่าเอกกำลังทำอะไร
ขวดแก้วที่ดูเหมือนไม่มีอะไรนั้นกลับแฝงพลังอำนาจบางอย่าง อะไรบางอย่างที่สามารถฉุดกระชากเอาสิ่งที่มองไม่เห็นเข้าไปจองจำพันธนาการได้ เพราะตอนนี้จีวรและจี๊ดต่างก็กำลังเบิกตากว้างมองดูปรากฎการณ์ใหม่ที่ยังไม่เคยได้เห็น
ไอหมอกสีขาวขุ่นขมุกขมัวปรากฎขึ้นมาจากอากาศรอบข้างที่ดูเหมือนไม่มีอะไร ไอหมอกเหล่านั้นดูคล้ายหมอกทั่วไปในคราวแรก หากทว่าสักครู่หนึ่งพวกมันก็เริ่มปรากฏให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง พวกมันมีแขนมีขาคล้ายกับมนุษย์ หากทว่าบนศีรษะของพวกมันนั้นมีเขาแหลม ผิวกายล้วนแล้วแต่เป็นสีดำตะปุ่มตะป่ำน่าเกลียด และเวลานี้พวกมันกำลังแสดงท่าทีดิ้นรนพยายามหนี พวกมันกำลังพยายามหนีจากขวดแก้วใสใบนั้น
ขณะที่เหล่าปีศาจพวกนั้นพยายามหลบหนี ขวดแก้วที่เหมือนไม่มีอะไรก็เริ่มฉุดกระชากพวกมันเข้าหา เหล่าร่างกายของปีศาจเหล่านั้นจึงเริ่มแตกตัวกลายเป็นไอหมอกสีเทาแล้วไหลวนเข้าไปในขวดแก้วราวกับน้ำวนขนาดใหญ่
“… หกสิบเจ็ด … หกสิบแปด … หกสิบเก้าตน … รอบนี้มาเยอะทีเดียวแฮะ หกสิบเก้าตนแน่ะ”
เอกลดมือที่ถือขวดแก้วลงมาแล้วมองด้วยท่าทีพิจารณา เขาออกเสียงเหมือนนับอะไรบางอย่าง และแน่นอนว่าครั้งนี้จีวรและจี๊ดย่อมพอจะคาดเดาออกว่าเขากำลังนับอะไร นั่นจะต้องเป็นจำนวนของปีศาจที่จับได้อย่างไม่ต้องสงสัย
จีวรมองดูเอกด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้เขาคิดว่าเขาทราบแล้วว่าบรรยากาศรอบตัวของเอกนั้นเป็นอย่างไร บรรยากาศรอบตัวที่ว่านั้นคือพลังอำนาจที่มากเกินกว่าจะจินตนาการได้ มันคือพลังอำนาจที่สามารถสยบได้ซึ่งสรรพสิ่ง มันคือพลังอำนาจของผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถบงการผู้คน
ความรู้สึกอันหลากหลายเทประดังเข้ามาจนยากจะบรรยาย จีวรรู้สึกหวาดกลัวส่วนหนึ่ง ยำเกรงส่วนหนึ่ง ชื่นชมส่วนหนึ่ง เขาอาจจะรู้มาก่อนว่าเอกนั้นมีความสามารถในการปราบกำราบผี หากทว่าการรับรู้ก่อนหน้าย่อมเทียบไม่ได้กับการได้เห็นด้วยตาตนเอง โดยเฉพาะการได้เห็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่อย่างที่เพิ่งเห็นมา มันคือพลังอำนาจเหมือนกับเทพเทวาจากสรวงสวรรค์
“เอ๊ะ …”
ระหว่างที่ครุ่นคิดนั้น ภาพจินตนาการบางอย่างก็แทรกเข้ามาในความคิดจนจีวรส่งเสียงออกมาด้วยความแปลกใจ เขาก้มลงไปมองจี๊ดที่นั่งเกาะขาเขาอยู่เพราะรู้สึกว่าภาพจินตนาการที่ว่านั้นมาจากจี๊ด และเขาก็ได้พบว่าจี๊ดกำลังนั่งเหม่อมองดูเอกด้วยแววตาหวานฉ่ำเร่าร้อน แววตานั้นแม้ไม่ได้บอกกล่าวออกมาก็สื่ออย่างชัดเจนว่าเป็นแววตาของผู้หญิงที่กำลังมีอารมณ์ทางเพศอย่างรุนแรง แต่คำถามก็คือทำไมจี๊ดถึงเกิดอารมณ์แบบนี้ในช่วงเวลาเช่นนี้
หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดนั้นก็คือภาพในจินตนาการที่จีวรสัมผัสได้ เขาเคยสัมผัสภาพเหล่านี้มาแล้วหลายครั้งจึงเริ่มคุ้นชินและแยกแยะได้ เวลานี้ภาพจินตนาการที่เขาเห็นนั้นคือการร่วมรักกันระหว่างจี๊ดและพี่เอก หรือหากจะกล่าวให้ถูกก็คือ จี๊ดกำลังวาดฝันจินตนาการว่าพี่เอกที่ยืนเด่นอยู่ตรงนั้นกำลังโถมทับร่วมรักกับเธออยู่บนพื้นดินราวกับสัตว์ป่าเสพสม
ความสามารถพิเศษที่โดนขนานนามว่าจิตราคะนั้นทำให้จีวรรู้สึกเหมือนตนเองเป็นพี่เอก ความรู้สึกเหมือนเป็นคนที่ได้ขึ้นคร่อมขย่มขยี้กามใส่จี๊ดรุ่นพี่สาวสวยนั้นทำให้เขากัดฟันกรอดด้วยความเสียวซาบซ่าน หากทว่าภาพจินตนาการนั้นคงอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะว่าพี่เอกตัวจริงนั้นกำลังเดินเข้ามาหาพร้อมกับโยนขวดแก้วที่มีไอสีดำเข้มข้นอัดแน่นอยู่ภายในโดยไม่บอกกล่าว
จีวรเบิกตากว้างแล้วส่งเสียงร้องด้วยความแตกตื่น เขารีบยื่นมือออกไปคว้าตะปบขวดแก้วนั้นสุดชีวิต เพราะเขาแทบไม่อยากจินตนาการว่าหากมันแตกขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น และยังดีที่เขาสามารถคว้าจับมันเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะหล่นลงไปบนพื้น
จีวรกำขวดแก้วไว้แน่นพร้อมกับผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก แต่หลังจากที่นึกได้ว่ามีอะไรในขวดแก้ว เขาก็รีบก้มตัววางขวดแก้วลงบนพื้นแล้วถอยหนีหลบให้ห่างโดยไม่คิดชีวิต ส่วนจี๊ดเองก็กำลังทำแบบเดียวกัน เธอก็ไม่ต่างกับจีวรที่รู้ดีว่าอะไรอยู่ในขวดแก้ว และเธอคงไม่อยากให้ขวดแก้วแตกโดยเด็ดขาด
“ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องกลัวหรอก นี่มันขวดแก้วพิเศษกันกระสุนได้ด้วยซ้ำ กระทืบก็ยังไม่แตกเลย”
เอกมองดูจีวรและจี๊ดแล้วส่งเสียงหัวเราะขบขัน เขาเดินไปหยิบเอาขวดแก้วที่มีไอดำเข้มข้นนั้นขึ้นมาเก็บใส่ในกระเป๋ากางเกงแล้วหันมาส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้จีวร
จีวรรู้สึกขุ่นเคืองที่โดนกลั่นแกล้งในคราวแรก หากทว่าหลังจากโดนสายตานั้นจ้องมองมาหัวใจของเขาก็เต้นรัวด้วยความแตกตื่น สายตาที่มองมานั้นทำให้จีวรรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีนัก และเขาเองก็คาดไม่ผิดไปจากความจริงนัก
“ผมจัดการพวกตัวประกอบให้หมดแล้ว เหลือแต่ตัวหัวหน้า รบกวนท่านชายจีวรช่วยจัดการด้วยนะครับ”
เอกพูดพลางหยิบเอาขวดแก้วอันว่างเปล่าอีกใบหนึ่งออกมายื่นให้ จีวรได้แต่อ้าปากค้างไม่ทราบว่าควรทำตัวอย่างไรดี เอกแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าให้จีวรเข้าไปจับผีในหมู่บ้านเพียงลำพัง สิ่งนี้คือการทดสอบที่เอกเคยบอกเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย
จีวรรู้สึกเหมือนลมหายใจตัวเองหยุดไปวูบหนึ่ง เขาเพิ่งได้เห็นฤทธิ์เดชอันน่ากลัวของพวกผีมากับตาตัวเอง เขาจึงไม่มีแม้สักเศษเสี้ยวของความกล้าที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับพวกมันอีก หากทว่าปัญหาก็คือจีวรไม่มีความกล้าพอที่จะปฏิเสธการทดสอบนี้
แน่นอนว่าจีวรสามารถเลือกปฏิเสธได้ หากทว่าเมื่อเขาเลือกทางนั้น โลกของเขากับเมย์ก็จะไม่มีวันบรรจบกันอีก และเขาเองก็อยากจะช่วยเหลือจี๊ด เขาจึงไม่มีหน้าที่จะถอนตัวต่อหน้าเธอ
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขาอาจจะรู้สึกหวาดกลัวผีพวกนั้นจนขนหัวลุกก็จริง หากทว่าเมื่อเทียบกันแล้วจีวรยังรู้สึกว่าพี่เอกที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ยังน่ากลัวกว่าอีกหลายเท่าตัว และเหตุผลเหล่านี้เองที่ทำให้จีวรต้องกัดฟันยื่นมือที่สั่นสะท้านไปรับขวดแก้วใบนั้นเอาไว้ ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องเข้ารับการทดสอบในครั้งนี้