ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ตำนานนายขนมต้ม เล่ม ๓ ตอนที่ ๑

เริ่มโดย นีโอ, ตุลาคม 14, 2016, 09:22:54 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

นีโอ

ทักทายก่อนอ่าน

ตำนานนายขนต้มถูกแต่งขึ้นราวปี 55-56 เนื่องจากเบื่อหน่ายในสภาพบ้านเมืองที่แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายแยกสีแยกหมู่
ด้วยหวังจะให้เนื้อหาเตือนใจผู้คนให้ตระหนักในความสามัคคี เพราะถ้าคนในชาติขาดความสามัคคีลงเมื่อไหร่
ก็จะล่มสลายเหมือนพระราชอาณาจักรอยุธยา โดยใช้ตัวละครที่อ้างอิงมาจากพงศาวดารที่มีบันทึกเพียงสั้นๆนามว่า 'นายขนมต้ม'

ปัจจุบันทำเป็น E book จำนวน 3 เล่ม โดยเล่ม 1 แจกฟรีเพื่อหวังส่งเสริมการอ่าน ส่วนเล่ม 2-3 จำหน่ายตามปรกติ
จะแจกฟรีหมดก็เกรงใจโฮสของพี่ Meb แต่ก็มีคนโหลดอ่านน้อยมากๆ ทั้งๆที่ใช้เวลาแต่งและหาข้อมูลนานมาก

๑๓ ตค.๒๕๕๙ วันวิปโยกของคนไทย วันที่แผ่นดินร่ำไห้ หลายคนหมดกำลังใจจะหยิบจับทำอะไร ไม่เว้นแม้สถานที่แห่งนี้
รวมทั้งผมเองด้วย จึงขอนำงานเรื่องนี้มาลงให้อ่านกัน โดยจะนำความเล่ม ๓ มาลงให้อ่านกัน
เพราะเนื้อเรื่องเหมาะกับบรรยากาศอันหดหู่ ช่วงนี้...ส่วนใครอยากอ่าน เล่ม ๑ และ ๒ ไปโหลดอ่านกันได้ที่ Meb

สำหรับเรื่องนี้ไม่มีฉากอย่างว่า เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ผสมจินตนาการของคนแต่งล้วนๆ ไม่หวังผลตอบรับใดๆ
เจตนานำมาแบ่งปันสำหรับคนรักการอ่านเท่านั้น

ด้วยไมตรีจิต นีโอ

กดอ่านก่อนอ่านผลงาน อาจารย์พี่นีโอ 
ความเดิม

นายขนมต้น เกิดที่บางประหัน ชมชอบการชกมวยมาตั้งแต่เด็กๆมีฝีมือเก่งกล้าและไม่หยุดที่จะเรียนรู้ วันหนึ่งได้พบรักกับลูกสาวของขุนางที่มาทำบุญยังวัดที่เขาร่ำเรียนอยู่ และมีเรื่องกับคุณมั่น ลูกชายพระยาพลเทพ และทำร้ายจนเลือดตกยางออกจำต้องหนีออกจากบ้านเกิดมาร่ำเรียนวิชามวยที่ป่าโมกโดยมีสหายสนิทเจ้าแมงเม่าตามมาด้วย และนายขนมต้มฝึกปรือกับครูยงจนเก่งกล้าล้มนักมวยชื่อดังลงหลายคน แต่ในการชกครั้งหนึ่งคุณมั่นมาพบเจอเข้า ทำให้เขาต้องหนีต่อไปยังบ้านคำหยาด และที่นั่นเขาได้ฝากตัวเป้นศิษย์ของ ขุนรองปลัดชู นายกองอาทมาฎรักษาพระองค์ นายขนมต้มฝึกวิชาดาบจนเก่งกล้าได้เข้าประจำกองอาทมาฎ และมีเหตุการณ์ผลัดแผ่นดิน จึงได้ติดตามขุรองปลัดชูเข้ามารักษาความสงบเรียบร้อยในวัง ซึ่งกำลังจะเกิดศึกชิงบัลลังก์กันขึ้น....


ตำนานนายขนมต้ม เล่ม ๓


หมายเหตุ : เรื่องราวและชื่อของผู้คนที่ปรากฏในงานเขียนชิ้นนี้เป็นการแต่งเติมขึ้นจากจินตนาการตามคำบอกเล่าของพงศาวดารหาใช่ประวัติศาสตร์แท้จริงแต่อย่างไร

๑.   สู่พระนคร

แสงสุริยาสีเหลืองเหลือบประกายบุษราคัมสาดไปทั่วผืนปฐพีนำความอบอุ่นและพลังแห่งชีวิตมาให้แก่สิ่งมีชีวิตบนผืนแผ่นดิน หมู่นกน้อยเริ่มโผบินออกหากิน แม่ไก่เริ่มพาลูกน้อยเดินจิกหาอาหาร วัฏจักรแห่งเวลาหมุนเวียนเช่นบรรพกาล สว่างไม่นานประเดี๋ยวก็พลันถึงเวลามืด วัฎจักรของเวลาเดินหน้าไม่เคยถอยกลับ เฉกเช่นมนุษย์ทุกคนที่สังขารล่วงผ่านวัยไปข้างหน้า ชีวิตสั่งสมเรื่องราวนานา ฝากท้องฟ้า แผ่นดิน ผืนน้ำ สายลม

ก่อนจะละกายจากโลกไป ใคร่ครวญหรือไม่ว่าเหลือสิ่งใดทิ้งไว้ให้เล่าขาน เป็นตำนาน ให้คนจดจำ

เมื่อเริ่มเข้าสู่คิมหันตฤดู ดอกไม้กลางหุบเขาก็แรกแย้มสะพรั่งรับลมหนาว สีเขียวของใบไม้ถูกกลืนไปด้วยสีสันของดอกไม้นานาพันธ์ ดอกจานก็พร้อมใจกันคลี่กลีบเหลืองใสสดเหมือนพวงแก้มหญิงสาวยามมีความรัก ส่วนดอกมะเดื่อไม่น้อยหน้าออกดอกเต็มทุกกิ่งก้านเหมือนปุยนุ่นขาวบริสุทธิ์ปลิวติดต้นไม้ ถัดไปไม่ไกลเป็นบึงดอกบัวบานสะพรั่งกลีบใบดอกก้านพริ้วไหวเมื่อลมพัดมา บางดอกสีขาว สีบานเย็นหรือไม่ก็สีเหลืองอร่ามเมื่อสะท้อนแสงจากรุ่งอรุณยามเช้า ทั่วทั้งบึงกว้างถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันสดจากดอกบัว ใบบัว พืชพันธุ์ขึ้นแซมประดับประดา ท่ามกลางทะเลหมอกสีขาวเย็นตา 

การได้อยู่ที่นี่ทำให้เวลานายขนมต้มแทบจะหยุดเดิน เขามีความสุขจนไม่อยากรับรู้เรื่องราวข้างนอก เขาเห็นแต่รอยยิ้ม ได้ยินแต่เสียงหัวเราะ แต่เวลาแห่งความสุขกำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่เพลาข้างหน้า

"เก็บของเสร็จแล้วรึ?"  ขุนรองปลัดชูเดินเข้ามาถามสีหน้าของเขาดูเป็นมิตรเสมอตั้งแต่วันแรกที่เจอ

"เสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ"

"อ้ายแมงเม่าอยู่ไหน มันเตรียมของที่ข้าสั่งไว้พร้อมหรือยัง" ขุนรองปลัดชูถามหาเกลอของเขา

"ดิฉันช่วยมันจัดเตรียมเสร็จตั้งแต่เมื่อคืน พร้อมออกเดินทางแล้วเจ้าค่ะ"

"ลำบากพวกเอ็งหน่อยละนะ ไปเตรียมรอฤกษ์ออกเดินทางกันเถอะ" ขุนรองปลัดชูบอกเขาเสียงเรียบๆ

"ดิฉันยินดีทำทุกเรื่องที่ท่านครูเอ่ยปาก เพราะชีวิตของดิฉันเป็นหนี้ท่านครูมากมายเหลือเกินเจ้าค่ะ" นายขนมต้มเอ่ยบอกอย่างซาบซึ้งใจ เกือบขวบปีที่ผ่านมาเขาได้รับการดูแลจากครอบครัวนี้อย่างดีโดยตลอด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบแทนครอบครัวนี้ได้อย่างไร

"เอ็งไม่ต้องคิดมาก คิดเสียว่าเป็นบุญวาสนาที่ได้มาพบกันดีกว่า"ขุนรองปลัดชูพูดอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินจากไป

เมื่อเก็บของเสร็จแล้วนายขนมต้มก็เตรียมตัวออกไปสบทบทุกคนที่ลานดินหน้าเรือน ซึ่งเวลานี้มีเกวียนเทียมวัวหนุ่มกำลังดีหลายสิบเล่มจอดรออยู่ และยังมีกลุ่มชายฉกรรจ์ท่วงท่าห้าวหาญประมาณ ๒๐๐ คนเศษ เหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์สำนักดาบอาทมาฎทั้งสิ้น แต่ละคนฝีมือกล้าแกร่ง ใจคอห้าวหาญ เวทวิทยาคุณที่ได้รับการถ่ายทอดร่ำลือว่าพิสดารประดุจภูตผี พวกเขาส่วนหนึ่งเป็นเวรกองอารักขากษัตริย์หกเดือนหลัง แต่เมื่อสมเด็จขุนหลวงทรงพระประชวรหนัก และมีเหตุบรรดาเจ้าต่างกรมทั้งหลายกำลังดูเชิงจะเปิดศึกกลางเมืองชิงราชบัลลังค์ ภาระอันต้องอารักขาท่านวังหน้าผู้สืบสันติวงษ์รัชกาลถัดไปซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามจารีต ทำให้พวกเขาต้องมารวมตัวกันที่นี่เพื่อมุ่งสู่พระนคร

ระหว่างเดินออกจากที่พัก นายขนมต้มก็มองหาคนที่ทำให้เขาอยากพบหน้าก่อนจะออกเดินทางไกล ในหลายวันที่ผ่านมา ตั้งแต่คืนดูดาวหางคืนนั้น ก็รู้สึกว่าบัวเรียวพยายามหลบหน้าเขาเกือบทุกครั้งไป ก่อนจะออกเดินทาง นายขนมต้มรุ้สึกใจหาย เรือนอยูเรือนนอนเกือบปี อยู่ๆต้องมาจากไกล ก็รู้สึกอาลัยอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่อยากจะคิดว่าการไปครั้งนี้ อาจจะไม่มีโอกาสได้คืนกลับมา  เพราะภาระที่จะไปกระทำอาจเกิดเหตุร้ายแรงถึงขั้นคร่าชีวิตของเขาได้

หากเกิดเหตุเยี่ยงนั้น ก่อนจะออกเดินทาง เขาอยากจะมีความทรงจำที่ดีที่สุดก่อนจากไป

นายขนมต้มออกเดินตามหาสาวบัวเรียวจนทั่วหมู่บ้านจนมาเจอหญิงสาวนั่งเดียวดายอยู่ริมลำธาร

เขาจึงไม่รีรอรีบเดินลงไปหาใกล้ๆ

"พี่ขอนั่งด้วยคนจะได้ไหม"

บัวเรียวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้า หญิงสาวนั่งเอามือกอดเข่าเหมือนคนมีความในใจ

ดวงตาพิสุทธิ์ใสซื่อเหม่อมองออกไปยังที่ใดเขาก็ไม่อาจทราบได้

"มานั่งดูสายน้ำ ทำราวคนอมทุกข์ มีอันใดหนักหนาในใจรึ?" นายขนมต้มพยายามชวนคุย

"ลำน้ำไหลไปแล้วไม่ไหลย้อนคืนมา" บัวเรียวพูดเสียงเศร้า

"บัวเรียวอย่างเจรจาเยี่ยงนั้นสิ"

"เมื่อพี่ไปครานี้ คงยากจะหวนคืนสำนักดาบอาทมาฎ เฉกเช่นสายน้ำเบื้องหน้าที่รี่ไหลไปทักษิณ"

"ไยเอื้อยเจรจาสาปส่งพี่เยี่ยงนั้น ราวกับชิงชังมิปรารถนาให้พี่หวนกลับ เมื่อเสร็จสิ้นงานราชการ"

"ถามใจของพี่เองเถิด ในพระนครมีผู้ใดรอพี่อยู่ ฉันอดแปลกใจมิได้ ว่าเหตุใดหนอ พี่ถึงไม่เห็นในสเน่หาที่ฉันมีให้ กว่าจะรู้ว่าใจพี่มีใคร ฉันก็....." หญิงสาวสะอื้นหันหลังให้ "ฉันเตรียมเสบียงข้าวตากข้าวตูให้ไปกินระหว่างทาง อย่าลืมเอาติดตัวไปด้วยนะ" สาวบัวเรียวตัดบทแล้วเตรียมจะลุกหนีไป

"อย่าเพิ่งไปเลยหนา" นายขนมต้มคว้าข้อมือเล็กๆไว้ทัน หญิงสาวมีทีท่าตกใจเมื่อโดนสัมผัสของชายหนุ่ม

"พี่ขนมต้ม ปล่อยฉันนะ เมื่อไม่มีใจปฎิพัทธ์ อย่ามาจาบจ้วงกัน ฉันกำลังจะออกเรือนกับพี่ทองเปลว หากใครมาเห็น มันจะไม่งาม แลจะเป็นที่ครหา..." บัวเรียวพูดเสียงเครียด

"พี่ขอโทษ" นายขนมต้มรีบปล่อยมือ เขาเองก็ดูเสียใจไม่แพ้หญิงสาว ชายหนุ่มได้แต่มองด้านหลังของบัวเรียวด้วยความสะท้อนใจ บัวเรียวเดินไปสามสี่ก้าวก็หยุดแล้วเป็นฝ่ายหันหลังกลับมาเสียเอง

"พี่ขนมต้ม เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วใช่ไหม?" บัวเรียวถามเสียงเบาหวิว

"บัวเรียว เราอาจจะมีวาสนาต่อกันกันเพียงเท่านี้ แต่เรื่องของเอื้อยจะอยู่ในความทรงจำพี่ตลอดไป" นายขนมต้มเดินเข้าไปใกล้เขากุมมือของหญิงสาวเอาไว้ ดวงตาโตหวานปนโศกเปื้อนน้ำตาเหมือนดอกจำปายามต้องน้ำค้าง

"ทำไมเราต้องมาพบเจอกันด้วย" หญิงสาวเหมือนตัดพ้อโชคชะตา

"อย่างน้อยเราก็มีช่วงเพลาที่ดีต่อกัน หากรอดชีวิตกลับมาได้ พี่จะชื้อหาผ้าแพรพรรณมากำนัลวันออกเรือน"

"พี่บอกว่าจะกลับมาอีกรึ?"

บัวเรียวเงยหน้าขึ้นมามองชายตรงหน้าเหมือนอยากจะได้ยินคำยืนยันอีกครั้ง

"กลับมาสิ เพราะที่นี่ให้ชีวิตใหม่กับพี่ แต่อยากถามสักน้อย เอื้อยรู้เรื่องแม่หญิงพุดกรองได้เยี่ยงไร?"

หญิงสาวสะบัดมือ หันหลังเดินปั้นปึ่งออกไปสอง – สามก้าว

เสียงเครียดๆบอกมา "อ้ายแมงเม่าพรั้งปากเล่าความเมื่อหลายเพลาก่อน มันว่าหากพี่เข้าพระนครอาจได้เจอแม่หญิงพุดกรอง ยอดดวงใจ ฉันคาดคั่นมันจึงเล่าความทั้งปวงให้ฟัง ฉันน้อยใจนักที่ตลอดมา พี่มีแต่หญิงอื่นอยู่ในหัวใจ"

"..............." นายขนมต้มเงียบไปคล้ายสำนึก สักครู่เขาก็เปลี่ยนเรื่อง "ไปกับพี่ด้วยกันหน่อย บุญคุณของเอื้อยที่มีต่อพี่สุดจะหาสิ่งใดทดแทน นี่คงเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่จะมอบให้เอื้อยเป็นของกำนัลก่อนจากไป เบื้องหน้าจะดีจะร้ายก็ขอให้ได้ทดแทนก่อนสักน้อยก็ยังดี"

"พี่มีอันใดให้ฉันรึ?" หญิงสาวถามอย่างสงสัย

"ตามมาสิ พี่จะพาพี่จะพาเอื้อยไปดู" นายขนมต้มเดินจูงมือหญิงสาวซึ่งคราวนี้ยินยอมแต่โดยดี เงาเล็กและเงาสูงเดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆผ่านป่าเขาลำเนาไพร ผ่านท้องนาสีทองอร่ามที่ปลูกตามขั้นบันได จนกระทั่งไปถึงเนินสูง

"ที่นี่เป็นที่พี่ชอบวิ่งมานั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นฟ้าแลตกดิน"  นายขนมต้มพูดพลางมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะพ้นเส้นขอบฟ้าท่ามกลางเทือกเขาที่ทอดเรียงยาวเขียวครึ้มมีหมอกขาวโรยตัวอยุ่เหนือแมกไม้เบื้องบน แสงสีส้มอาบไล้ไล่จากยอดลงมาสู่ป่าเขาลำเนาไพรไล่แสงและเงางดงามยิ่งเกินกว่าจะหาคำใดมาเปรียบได้

"ฉันเกิดที่นี่แท้ๆ ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่า มีที่งดงามจำเริญตาเยี่ยงนี้" บัวเรียวสื่อถึงความในใจออกมาเป็นคำพูด

"บัวเรียว พี่ขอให้เอื้อยหลับตาสักครู่เถิด"

บัวเรียวมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตามที่ชายหนุ่มบอก  หญิงสาวหลับตาพริ้มและรอสัญญาณจากชายหนุ่มให้ลืมตา แต่เมื่อเห็นเงียบไปนานหญิงสาวก็เริ่มเอะใจ

"พี่ขนมต้มไปไหนแล้ว"

"อยู่นี่" นายขนมต้มพูดอย่างแผ่วเบา "เอาละ ลืมตาได้แล้ว"

เมื่อสาวงามเปิดเปลือกตาก็มองเห็นดอกกล้วยไม้สีขาวศุภรจรูญจรัส    ประทินกลิ่นหอมนวลเย้ายวนชวนชมจนยากจะถอนใจไปได้

"พี่ขอมอบดอกไม้นี่ให้เอื้อย  แม้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดอกไม้นี้มีชื่อว่าอะไร แต่เมื่อได้เห็นและได้กลิ่นของมันเพียงครั้งเดียว ก็มิอาจลืมเลือนได้ เช่นเดียวกับเอื้อยที่พี่จะจดจำน้ำใจไว้ไม่มีวันลืม"

"ดอกเอื้องแซะ นานทีปีหนจะออกดอกออกช่อ โชคดีที่พี่พบเจอ" บัวเรียวพูดเสียงสั่น

"เอื้องแซะรึ ช่างงามเสียจริง" นายขนมต้มทิ้งจังหวะพูดแล้วรอให้บัวเรียวเงยหน้าประสานสายตา

"เอื้องแซะหาเจอยากยิ่ง แต่ใยเมื่อพบเจอจึงทิ้งขว้าง" บัวเรียวตัดพ้อ แต่ดวงตานั้นมีแววความสุขอยู่เต็มเปี่ยม

"บัวเรียว พี่ขอแซมผมเอื้อยด้วยดอกไม้นี่นะ รับขวัญให้เจ้าวันออกเรือน"

"คิดเยี่ยงนั้นมิต้องกระทำ ฉันมิปรารถนาจะออกเรือนด้วยพี่ทองเปลวดอก"

"อน่าเอ่ยวาจาเห็นแก่ตัวสิ  หากเอื้อยปฎิเสธ แล้วผู้ใหญ่ที่เขาเจราจากันไว้จะหมองหมางกันไปภายหน้า"

"แต่ผู้ใหญ่ทั้งหลาย มิเคยถามความสมัครใจของฉันเลย"

"เอาเถอะ พี่ไม่โต้เถียงอีกแล้ว มาให้พี่แซมผมเถิด"

ดรุณีสาวขวยเขินเอียงหน้าลงต่ำแต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธ นายขนมต้มจึงเขยิบเข้าใกล้ร่างบางนั้น ชายหนุ่มนำดอกเอื้องแซะสีขาวบริสุทธิ์สอดแซมมวยผมสีดำสนิทที่นิ่มยิ่งกว่าเส้นไหม

"งามสมแท้ เหมาะกับเรือนผมของเอื้อยยิ่งนัก หากมื้อหน้าหวนคืนมา หวังว่าดอกคงสะพรั่งอีกครา"

"ขอให้กลับมาเถิด เอื้องป่ารอพี่อยู่เสมอ" หญิงสาวพูดอย่างมีความหวัง

นายขนมต้มล้วงขลุ่ยเพียงออนจากเอวส่งใส่มือหญิงสาว "บัวเรียว ขลุ่ยนี้พี่ขอมอบให้"

"ขลุ่ยนี้ให้ฉันทำไม เยี่ยงไรฉันก็เป่าไม่ชำนาญ" บัวเรียวที่หน้ายังแดงซ่านอยู่เงยหน้ามาถามด้วยความไม่เชื่อหู

"เก็บเอาไว้เป่าแก้เหงา อีกนานกว่าพี่จะหวนคืนมา รับไว้เถิด" นายขนมต้มยืนยัน เขาจับมือเรียวยาวแต่หยาบกล้านขึ้นมาและวางขลุ่ยเพียงออลงบนมือนั้นด้วยสัมผัสหนักแน่น

"พี่ขนมต้ม ฉันจะไม่ออกเรือนด้วยพี่ทองเปลว ฉันจะรอพี่ พี่ต้องกลับมานะ" บัวเรียวหมดความอดกลั้นร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยๆ

นายขนมต้มประคองไหล่ที่สั่นเทาของบัวเรียวหวังจะปลอบให้สาวน้อยคลายความโศกลงไปบ้างแต่ก็ทำได้ยากเต็มทีเพราะในใจเขาเองก็มีความทุกข์ใจไม่แพ้กัน "อย่าร้องไห้ไปเลย บัวเรียว"

"เรื่องของฉันเป็นได้แค่ฝันยามนิทราใช่หรือไม่" บัวเรียวยังคงสะอึกสะอื้น

"พี่ไม่คิดว่าเรื่องของเราเป็นเพียงแค่นั้น พี่คิดว่ามันเป็นชะตากรรม เอื้อยเคยนึกเสียใจไหมที่ได้เจอพี่"

นายขนมต้มเอ่ยถามเสียงเศร้า

"ฉันไม่เคยเสียใจที่ได้เจอพี่ ฉันดีใจที่มีพี่มาอยู่ที่นี่ และรักพี่แม้พี่ไม่มีใจปรารถนา" บัวเรียวยิ้มทั้งน้ำตา

เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายขนมต้มก็ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาได้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่อาบแสงแรกของวันบนดวงหน้าแฉล้มอย่างเบามือ "อย่าร้องไห้ มันเหมือนเป็นลางไม่ดีก่อนเดินทาง ยิ้มให้พี่เถิดนะ"

"ฉันจะมายืนคิดถึงพี่ตรงนี้ทุกวัน จนกว่าพี่จะกลับมา"  บัวเรียวพูดอย่างอาลัยอาวรณ์ จากกันหนนี้ อาจจะไม่ได้เจอชายผู้นี้อีกเลยก็ได้ ชีวิตบนเส้นทางของหญิงสาวบนไร่บนดอยอย่างบัวเรียวไม่ต่างอะไรกับสิ่งของ ชีวิตที่ไม่มีสิทธิได้เลือก  ตั้งแต่บัวเรียวเริ่มเป็นสาวเธอก็รู้ว่าจะต้องถูกตบแต่งไปเป็นเมียของทองเปลวบุตรชายออกพระวิเศษไชยชาญ บัวเรียวก้มหน้ายอมรับโชคชะตานั้นตลอดมาจนกระทั่งได้มาเจอกับนายขนมต้มชายแปลกหน้าที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น แต่เขาเองกลับมีคนอื่นให้เฝ้าฝันถึง บัวเรียวทำได้แค่รอให้เขาแบ่งใจมา ทำไมหนาชะตาช่างรัดทดเสียจริง

นายขนมต้มล่ำลาบัวเรียวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทาง เขาเข้าใจดี ยิ่งเขาทำดีมากเท่าไรหญิงสาวก็จะต้องเจ็บปวดมากเป็นสองเท่า เขาควรเป็นคนหันหลังกลับไปและให้หญิงสาวได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นก่อนที่ได้มารู้จักกับเขา การเดินทางออกจากบ้านคำหยาดครานี้ เขามองไปทั่วและตรึงตราความทรงจำดีๆที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ไว้ในหัวใจ สถานที่นี้ให้สิ่งดีๆประสบการณ์ล้ำค่าและน้ำใจมากมาย มากจนเขาน้ำตาแทบไหลเมื่อต้องตัดใจอำลา

ลานดินหน้าเรือนใหญ่

ขุนรองปลัดชูทำพิธีถือน้ำสาบาญว่าจะสมัครสมานช่วยเหลือกันในงานราชการสำคัญครั้งนี้ ทุกคนที่ชุมนุมกลางลานก็รับสัตย์สาบาญถ้วนหน้า จากนั้นก็เสกน้ำมนต์ปะพรมเพื่อเป็นมงคลแก่ทุกคนจึงเสร็จสิ้น มีการแจกตะกลุด ผ้าประเจียดให้พกไว้ติดตัวสร้างขวัญกำลังใจ กองอาทมาฎจำนวนสองร้อยเศษจะถูกแบ่งเป็นสองกองๆละหนึ่งร้อย กองหนึ่งจะเดินทางด้วยเกวียนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแถวบางโผงเผง เข้ามาชานพระนครทางทุ่งลุมพลีข้างด้านเหนือ ส่วนอีกกองจะล่องเรือไปทางแม่น้ำน้อยออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและไปสบทบกันที่ทุ่งลุ่มพลีก่อนจะรวมกันเข้าสู่พระนคร

กองเดินเท้าทางเกวียนออกเดินทางไปเมื่อได้ฤกษ์ยาม มีศิษย์อาวุโสผู้ชำนาญทางเป็นนายกองควบคุมดูแลไป ส่วนกองเรือพายจำนวน ๒๐ ลำ บรรทุกทั้งกำลังพลร้อยเศษและเสบียงไว้กินระหว่างทาง มีขุนรองปลัดชูเป็นผู้ควบคุม ภริยาและบุตรสาวของขุนรองปลัดชูมาส่งด้วยความอาลัย ขบวนเรือนี้มีนายขนมต้มและเจ้าแมงเม่าร่วมทางไปด้วย

"บัวเรียว" ขุนรองปลัดชูบอกบุตรสาว"จงอยู่เหย้าเฝ้าเรือน ช่วยเหลืองานบ้านงานเรือนแม่ อย่าเกียจคล้านนะ"

"จ๊ะพ่อ" หญิงสาวสีหน้าเศร้าพนมมือไหว้บิดารับคำ

"พี่ไปก่อนนะเอื้อย" เป็นคำล่ำลาจากนานยขนมต้ม ผู้เป็นมารดามองอากัปกิริยา สีหน้าของบุตรสาวด้วยความห่วง มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าลูกสาวของเขาเจ็บปวดขนาดไหนที่ต้องเห็นชายคนรักจากไปโดยไม่สามารถทำอะไรได้

ขบวนเรือเคลื่อนออกจากท่าเรียงแถวไปตามลำคลองที่คดเคี้ยวและรกครึ้มด้วยพันธุ์ไม้ใหญ่น้อย บางกิ่งก้านระเกะระกะยื่นลงมาในน้ำ ขบวนเรือที่ใช้ฝีพายหนุ่มลอยห่างออกไปจนลับสายตา มารดาสีหน้าทุกข์ใจหันมากอดบุตรสาวพลางลูบเส้นผมดำเงาบนศีรษะราวจะปลอบใจ

บัวเรียวโผเข้าไปกอดทั้งที่น้ำตานองหน้า

"แม่จ๋า ความรักมันเป็นเยี่ยงนี้เองรึ ใยมันจึงเจ็บปวดเพียงนี้"

"บัวเรียว หักห้ามใจเถิดหนา เอ็งกับมันหาได้ทำบุญร่วมกันมา"

ลูกสาวนั่งนิ่งนึกตรึกตรองคำพูดของมารดาด้วยหัวใจที่หลุดลอยร้าวราน  วาสนาของหญิงสาวช่างน้อยเสียจริงดังว่า  บุพเพสันนิวาส เป็นตัวชักนำมาให้ได้เจอกัน แต่เสียดายด้วยบุญกรรมที่ทำมาคงไม่มากพอที่จะได้ร่วมใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน บัดนี้นายขนมต้มได้จากไปแล้ว จากไปอย่างไม่อาจคาดหวังได้ว่าจะกลับมา หญิงสาวทำได้แค่รอ...และรอ...รอด้วยหัวใจ แม้จะรู้ดีว่า การรอคอยนั้นไร้จุดหมาย แต่ก็ยังหมายใจที่จะรอ...ต่อไป

ขบวนเรือพายของกองอาทมาฎล่องมาทางลำคลองน้อยก่อนออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านทุ่งหันตรา  บ้านป่าโมก มองลำน้ำที่เชี่ยวกราดไหลทอดยาวไปสุดสายตา สายลมแรงพัดผ่านลำน้ำ คลื่นแรงระลอกแล้วระลอกเล่าสาดซัดใส่สองฝั่ง ซึ่งสองฟากฝั่งที่พ้นผ่าน ภูมิประเทศก็แตกต่าง บ้างก็โล่งมีหญ้าแห้งๆสีเหลือง บ้างก็รกทึบเต็มไปด้วยแมกไม้ใบบังอากาศเย็นชื้น สรรพสัตว์ส่งเสียงระงมไพร บางแห่งบุปผากลีบบางยังคงยืนหยัดท้าสายลมและแสงแดดจวบจนอาทิตย์ตก หมู่บ้านผู้คนเริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆเมื่อขบวนเรือเข้าใกล้พระนคร แม้จะเหนื่อยล้าเพียงใดเขาก็ยังมีภูมิทัศน์แปลกตาดูไม่เบื่อ
เมื่อยามราตรีคลาเคลื่อนเข้ามา ขบวนเรือเข้าจอดพักริมฝั่งลำน้ำ อากาศริมฝั่งก็เย็นยะเยือกจนซึมลึกเข้าไปในกระดูก กองไฟถูกก่อเรียงรายไปตามริมฝั่งน้ำ นายขนมต้มกับเจ้าแมงเม่าก่อกองไฟเล็กๆและยังชีพด้วยเสบียงที่บัวเรียวเตรียมมาให้ แม้กายจะอบอุ่นขึ้นมาบ้างแต่ในใจเขายังเหน็บหนาวอยู่ไม่คลาย นายขนมต้มนอนพิงต้นไม้เดียวดายภายใต้แสงดาวที่อยู่เป็นเพื่อนจนถึงรุ่งเช้า ขบวนเรือจึงออกล่องตามลำน้ำไปสู่ที่หมาย

ในที่สุด การเดินทางที่ทั้ง ยาวนาน เหน็ดเหนื่อยและเสี่ยงอันตรายก็สิ้นสุดลง  เรือของกองอาทมาฎมาถึงชานพระนครในยามเช้า..นาข้าวเขียวปรากฏอยู่สองข้างทาง นกยางนับร้อยบินขึ้นฟ้า เบื้องหลังกำแพงสีขาวอันมีมหานทีสี่ด้านบรรจบล้อมกรอบ นายขนมต้มมองเห็น วัด เจดีย์และวังสีทองราวกับแสงเรืองรองของทองคำจะเปล่งประกายอยู่ทั่วทั้งมหา นครแห่งนี้ความงดงามช่างไม่ต่างจากคราที่นายขมนต้มมาเยือนกับบิดาเมื่อครั้งปฐมวัย

การมาเยือนพระนครในวาระที่สองในชีวิตของช่วงวัยหนุ่มฉกรรจ์ ความหมายแตกต่างกันสิ้นเชิง คราปฐมวัยนั้นหมายใจมาเที่ยวซุกซนตามประสาเด็กน้อยตัวจ้อย แต่ครานี้มาในฐานะนักรบแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งมีหน้าที่อารักขาปกป้องภยันอันตรายมิให้กร้ำกรายเป็นปฐม นายขนมต้มเองก็หมายใจจะรับใช้ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทอยู่แล้ว แต่ไม่นึกว่าโอกาสจะมารวดเร็วถึงเพียงนี้  นอกจากสองสิ่งที่มาดหมาย  อีกสิ่งคือการได้พบเจอชะแม่ พุดกรอง ยอดดวงใจ ในมหานครอันกว้างใหญ่ เขาคิดคำนึงหาว่าแม่นางน้อยพำนักอยู่หนไหนเขาใคร่รู้ หากรู้แหล่งจะติดตามไปในทันที


   แม้นายขนมต้มจะคาดหมายว่า สิ่งแรกที่เขาจะได้เห็นเมื่อไปถึงกรุงเทพทราวดีศรีอโยธยาก็คือ ภาพของมหานครอันงดงามที่มีแต่แสงเรืองรองของสิ่งก่อสร้างที่หุ้มด้วยทองคำ  แต่ทว่าเขาก็ต้องพบกับความผิดหวัง เนื่องด้วยธรรมชาติไม่ได้บันดาลโอกาสเช่นนั้นให้เขา
 
กรุงศรีอยุธยา ราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๓๐๑

สายฝนที่ตกกระหน่ำตั้งแต่หลังเที่ยงไม่นาน ทำให้พวกกองอาทมาฎทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งมองม่านฝนสีเงินที่บดบังทุกสรรพสิ่ง  จากกระโจมที่พักซึ่งพวกเขาช่วยกันตั้งขึ้นอย่างรีบเร่งใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำน้ำก่อนหน้าที่ฝนจะเทลงมา จากนั้นเมื่อฝนหยุดและพวกเขาออกเดินทางต่อ ต้องย่ำเลน ลุยโคลนครึ่งน่อง บุกบั่นไปอย่างทุลักทุเล ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงกำแพงกรุงศรีอยุธยาเอาเกือบค่ำ ก่อนหน้าเวลาปิดประตูเมืองเพียงเล็กน้อย

  ภายในกรุงศรีอยุธยา มีบ้านเรือนมากมายทั้งที่สร้าง ด้วยไม้และก่ออิฐถือปูนตั้งอยู่เป็นกลุ่ม ดูแน่นหนา ยอดเจดีย์และหลังคาวัดปรากฏให้เห็นเป็นเงาทะมึนไกลๆเหนือแนวต้นไม้เขียว ครึ้ม แม้ท้องฟ้าจะเริ่มมืด แต่ในเมืองยังมีผู้คนมากมายเดินผ่านไปมา แผงขายสินค้าจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่สองข้างถนนซึ่งเป็นพื้นดินอัดแน่น แทบทุกร้านต่างจุดโคมส่องแสงสว่างไสว กลิ่นอาหารปรุงสุกลอยอบอวลปะปนกับกลิ่นเครื่องเทศและน้ำหอมพื้นเมือง

  ชายชาวยุโรปรูปร่างสันทัด ผมสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีเสื้อคอลูกไม้และกางเกงยาวสอดปลายขาเข้าไปในบูทหนังพร้อมชายชาวพื้นเมืองอีก ห้าคนเดินเข้าผ่านกองเกวียนของกองอาทมาฎไป สร้างความตื่นเต้นให้เจ้าแมงเม่ายิ่งนัก เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาเหยียบพระนครและพบเจอชาวต่างชาติผมสีทอง นอกจากนั้นยังมีชาวจีนโกนผมครึ่งศีรษะไว้เปียยาวในชุดเสื้อผ้ารุ่มร่าม ชาวอาหรับในชุดคลุมสีดำ ชาวญี่ปุ่นในชุดประจำชาติ ช่างดูแปลกตาเหลือประมาณ ชาวต่างชาติปะปนอยู่ในกลุ่มชาวสยามที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรพรรณงดงามไม่ต่างกัน

"อ้ายแมงเม่า เดินดูทางบ้างหนา เอาแต่ตื่นตาดูผู้คนอยู่ได้" ขุนรองปลัดชูเอ่ยเตือน

"ท่านครูเจ้าขา ดิฉันแปลกตานี่เจ้าค่ะ พระนครนี่งดงามยิ่ง ผู้คนก็หลากหลายล้วนแต่งกายงดงามยิ่ง"

เจ้าแมงเม่าบอกเล่าถึงความรู้สึก ขุนรองปลัดชูหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดู

"มาถึงพระนครแล้ว จงประพฤติอย่างสงบเสงี่ยม ชาวพระนครล้วนเป็นผู้ดี กริยา มารยาท วาจาไพเราะ อ่อนหวานด้วยกันทั้งนั้น อย่าประพฤติให้ได้อาย เขาจะว่ากล่าวเป็นไพร่บ้านป่า ต่ำทราม จะอับอายถึงข้าที่เป็นครูบาอาจารย์ รู้หรือไม่"

"เจ้าค่ะ ท่านครู" เจ้าแมงเม่ารับคำ

โครม!!!!

เสียงร่างชายคนหนึ่งกระเด็นจากร้านข้างทางมานอนกองกับพื้นถนนแฉะๆ ร่างนั้นคลุกโคลนสีน้ำหมากจนเลอะเทอะ ขบวนกองอาทมาฎหยุดชะงักมองร่างที่พยายามกระเสือกกระสนขึ้นยืนอย่างประหลาดใจ ไม่ทันพักให้หายสงสัย หญิงสาวชาวพระนคร ใบหน้ายาวผมตัดสั้นไว้ยาวตรงจอน สวมโจงสั้น คาดผ้าอย่างหมิ่นเหม่เดินออกมายืนดักหน้าเท้าสะเอวมองด้วยสายตาขุ่นเคือง พอร่างเลอะเทอะขึ้นยืนหยัดได้นางก็บริภาษแทบฟังไม่ทัน

"อ้ายผัวริยำ วันๆไม่ทำงานทำการ แดกเหล้าแล้วก็เข้าบ่อน"

"โธ่..แม่เยื้อง...ฉันเพิ่งออกจากเวรมานะ ให้ผ่อนคลายบ้างสิ"

"ปีหนึ่ง เข้าเวรหกเดือน แดกเหล้าเข้าบ่อนหกเดือน ลูกตั้งแปด มึงไม่ช่วยหามาเลี้ยง ให้กูเลี้ยงอยู่คนเดียวนี่นะ"

"ฉันก็ช่วยแม่เยื้องทำลูกให้แล้วนี่ แม่เยื้องไม่พอใจอีกหรอ?"

"โครม!!!" คราวนี้ โอ่งน้ำดินเผาใบย่อมๆทุ่มใส่เต็มกบาล เป็นผลให้ร่างชายขี้เมานอนแผ่แน่นิ่งไป

หญิงชาวพระนครยืนเท้าสะเอวมองอย่างสะใจ แล้วหันมามองกองอาทมาฎ

"มองอะไร ไม่เคยเห็นผัวเมียทะเลาะกันหรือไง!!!"

บอกแล้วปลดผ้าคาดอกอวดสองเต้าอย่างไม่อายสายตาใครแล้วพันรัดให้แน่นดังเดิม

กองอาทมาฎรีบหันหน้าหลบไม่กล้าสบตาทั้งกอง

"มัวดูอะไร รีบไปกันเถอะ"ขุนรองปลัดชูบอกพวกกองอาทมาฎเบาๆ ทั้งหมดจึงออกเดินไปตามคำสั่ง

กองอาทมาฎเดินเท้ามาถึงท้ายพระนครในยามสงัด ขุนรองปลัดชูสั่งพักพลนั่งเรียงรายห้ามจุดไต้ไฟ ไม่นานกองอาทมาฎที่เดินทางด้วยเกวียนก็มาสมทบ แต่การรอคอยบางอย่างยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งเสียงกลองจากตะแลงแกลงดังแว่วมาบอกเวลามัชฉิมยาม ขบวนเสลี่ยงก็ฝ่าความมืดมายังบริเวณที่กองอาทมามฎพักพลรายเรียงอยู่ ขุนรองปลัดชูสั่งไพร่พลเข้าแถวและหมอบกราบกับพื้นรับขบวนนั้น นายขนมต้มเข้าใจทันทีว่าขบวนเสลี่ยงนั้นต้องเป็นบุคคลสำคัญและมียศใหญ่โตต้องงเป็นถึงพระบรมวงศานุวงศ์ สำคัญพระองค์หนึ่งเป็นแน่แท้ และอาจเป็นองค์ที่พวกเขาต้องมาปกป้องรับใช้

ขบวนเสลี่ยงหยุดลงท่ามกลางการอารักขาของกองป้องกันหนาแน่น นอกจากเสลี่ยงและกองติดตามไม่มีเครื่องยศใดๆตามแหน คงจะเป็นการเสด็จมาส่วนพระองค์ ผู้ก้าวลงมามีชันษาประมาณ ๓๐ ต้นๆ พระพักตร์ผ่องผุด พระเกศารวบรัดเกล้าปักปิ่นทอง ฉลองพระองค์ทรงพระภูษาตัดเย็บด้วยผ้ามัสลินสีขาวยาวลงมาถึงหัวเข่า มีดุมขัดทางด้านหน้า ๘ หรือ ๑๐ ลูก แขนเสื้อยาวมีปักลวดลายด้วยดิ้นทอง นุ่งโจง กางเกงสนับเพลาสีขาว สวมรองเท้าปลายแหลมชี้งอนขึ้นประดับลวดลายสีทอง  พระวรกายประดับด้วย สร้อยทับทรวงสีทองล้อมด้วยพลอยน้ำงาม คลาดสังวาลทอง สร้อยทอง  สะท้อนแสงไฟไต้สลัวๆดูสง่างามราวเทวราชเสด็จมาจากเทวภูมิ

"ณ เกล้า ณ กระหม่อม ขอถวายบังคม หม่อนฉันแลกองอาทมาฎมาพร้อมหน้าตามรับสั่งแล้วพระพุทธเจ้าข้า"

ขุนรองปลัดชูกราบบังคลทูล เจ้านายพระองค์นั้นก้าวออกจากมุมมืดมาทอดพระเนตรมองกองอาทมาฎ

"ลำบากเจ้าแลไพร่เลวมากนะ แต่ด้วยเราจึ่งจำเป็นต้องเรียกเจ้ามาช่วย"

พระสุรเสียงตรัสสั่งเนิบช้าเปรี่ยมอำนาจแฝงความปราณี

"ท่านมาเพลาเหมาะนัก บัดนี้ฝ่ายตรงข้ามเตรียมพร้อมสั่งระดมสรรพกำลังจุกช่องล้อมวัง ควบคุมพระนครไว้ทุกช่องทาง เราเองจะเสด็จดำเนินไปไหนก็ลำบาก ทุกวันนี้อยู่ได้ก็เพราะพระบารมีขุนหลวงคุ้มกะลาหัว ได้ท่านมาช่วยอำนวยการอารักขา เราก็เบาใจ  ขอบใจท่านแลกองอาทมาฎนัก"

"เกล้ากระหม่อนขอเอาชีวิตเป็นราชพลี จะมิทำให้พระองค์ต้องผิดหวังพะย่ะค่ะ" ขุนรองปลัดชูทูลถวายสัตย์

"ชอบแล้ว" พระสุรเสียงยังคงเนิบช้าอ่อนหวานแต่ทรงอำนาจ "เจ้าแลไพร่เลวเหล่านี้คงเดินทางไกล คงจะเหนื่อยล้ามากนัก จงไปพักพลให้สดชื่น มื้อเช้าเข้าสบทบกองเดิมอารักขาพระที่นั่งทรงปืนให้รัดกุม ได้ขุนรองปลัดชูมาคอยอำนวย เราก็เบาใจในความภัคดี แต่นี้ไปเบื้องหน้า ชะตาเราคงจะสาหัสยิ่งนัก"

"พระองค์อย่าทรงกังวล ตราบใดเกล้ากระหม่อมแลกองอาทมาฎยังอยู่ จะมิมีภยันตรายใดกรำกรายพระองค์ได้"

ขุนรองปลัดชูรับปากอย่างแข็งขัน พระสุรเสียงตรัสตอบพร้อมรอยยิ้ม

"ไปพักพลได้แล้ว เจ้าอาทิตย์จะคอยเป็นธุระให้เจ้าแลไพร่เลวพวกนี้" สิ้นรับสั่งทุกคนก็ถวายบังคม

ขบวนเสลี่ยงกลับไปอย่างเงียบเชียบ คงเหลือแต่เชื้อพระวงค์หนุ่มนามเจ้าอาทิตย์อยู่กับไพร่พล ๔ – ๕ คน

เจ้าอาทิตย์ เป็นราชบุตรองค์หนึ่งของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์(เจ้าฟ้ากุ้ง) เกิดจากแม่ชื่อ หม่อมพัน ในจำนวนราชบุตรราชธิดามากองค์ด้วยกันเพราะมีชายาและเจ้าจอมหม่อมห้ามจำนวนมาก จนไม่มีใครจำได้ถูกต้องครบถ้วนหมด ฉะนั้นเมื่อสิ้นเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์แล้ว ต่างก็ต้องรับกรรม ถูกริบราชบาตรแล้วถูกถอดจากเจ้าเป็นไพร่ เว้นแต่เจ้าอาทิตย์ผู้นี้ เข้าหาประจบประแจงเจ้าพี่กับเจ้าน้อง(เจ้าฟ้าเอกทัศและเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ)ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาให้แผ่บารมีมาปกป้องคุ้มครอง จึงรอดถูกถอดไปได้เพียงองค์เดียว หรือจะมีรอดอีกก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะพากันหลบไปพึ่งพาอาศัยเจ้านายอื่นๆ อีกมาก

"ตามเรามา" เจ้าอาทิตย์ตรัสสั่งกองอาทมาฎ

กองอาทมาฎถูกพาไปพักพลหน้าพระตำหนักของเจ้าอาทิตย์ ทำการปลูกกระโจมเรียงรายริมฝั่งน้ำ เจ้าอาทิตย์และบ่าวไพร่จัดข้าวปลาอาหารน้ำท่ามาปรนปรือบริบูรณ์ รวมทั้งจัดเตรียม 'เสื้อเครื่อง' (ชุดทหาร)องครักษ์ให้สวมใส่สมฐานะกองอารักขาองค์อุปราชผู้กำลังจะมียศยิ่งฟ้าแห่งราชธานีศรีอยุธยา

ขุนรองปลัดชูได้รับพระราชทาน 'เสื้อเครื่อง' (ชุดทหาร)หมวกทรงประพาสปลายแหลม(หมวกยอดแหลมรูปดอกบัวคว่ำ)  เป็นเสื้อสีแดงน้ำหมากตัดด้วยผ้าบัคเยียเนื้อดี แขนเสื้อยาวมาถึงข้อมือ เรียกเสื้อทรงประพาสเป็นเสื้อมีปก คอกลมสองไหล่หนาจนยกเป็นอินทรธนู และต่อแขนยาวจากไหล่ออกไปถึงข้อมือมีขลิบ ตัวเสื้อกับแขนเป็นผ้าคนละสี แขนตัดตามลายขวางของผ้า สวมโจง กางเกงสนับเพลา มีกรองคอหนังลวดลายสิงห์ขบ สวมสนับแขน สนับแข้งหนัง รองเท้าสานทำด้วยหนังสีน้ำตาล สวมใส่แล้วดูสง่างามน่าเกรงขาม

พวกนายหมู่ ได้ 'เสื้อเครื่อง' เป็นหมวกมาลาเบี่ยงขอบเงิน (หมวกมีปีก)สีน้ำเงินเข้ม เสื้อทรงกุตไต ตัดจากผ้าบัดเยีย สีน้ำเงินแขนสั้น คอกลม ที่คอ ปลายแขนขลิบสีเดียวกัน รอบเอวรัดด้วยผ้าต่างสี ตัวสั้นกว่าเสื้อเครื่องของขุนรองปลัดชู สวมแล้วนุ่งผ้าทับ คาดเอวด้วยสายหนัง มีกรองคอหนังขลิบลายกนก สวมสนับแขน สนับแข้งหนังสีน้ำตาลเช่นกัน สีของเสื้อและผ้าทับเป็นสีน้ำเงินเข้มทั้งชุด  สวมใส่เฉพาะนายหมู่นำหัวแถว

ส่วนนายขนมต้มและเจ้าแมงเม่าเป็นลูกหมู่ ได้พระราชทาน 'เสื้อเครื่อง' เป็นหมวกมาลาเบี่ยงสีแดงน้ำหมากไม่มีลวดลาย เสื้อกุตไต ผ้าบัดเยียเนื้อหยาบ คอกลม แขนสั้น รัดรอบเอวด้วยผ้าต่างสี สวมแล้วนุ่งผ้าทับ คาดเอวด้วยสายหนังสีน้ำตาล สวมสนับแขน สนับแข้ง หนังสีน้ำตาลเสื้อและผ้าทับเป็นสีแดงน้ำหมากทั้งชุด เจ้าแมงเม่าพอสวม 'เสื้อเครื่อง' ให้รู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก เมื่อสะพายดาบคู่ข้างหลังก็ทำท่าขึงขังวางกล้ามเป็นที่น่าขัน

เครื่องแบบข้าราชการในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีตำรากำหนดไว้ว่าจะต้องแต่งเครื่องแบบเต็มยศ ในงานพระราชพิธี ดังนี้ มหาดเล็ก ได้แก่ หัวหมื่น ซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็นจมื่น เป็นหัวหน้ารับผิดชอบรองลงมา ได้แก่ นายเวร จ่า จ่าหุ้มแพร ผู้ลงเรือพระที่นั่งต้องแต่งเครื่องแบบเต็มยศ นุ่งผ้าสมปักลาย ห่มเสื้อครุยใส่ลอมพอก และคาดผ้าเกี้ยวตามบรรดาศักดิ์ สะพายดาบตามตำแหน่ง มหาดเล็กธรรมดา นุ่งผ้าลาย ห่มเสื้อครุย ใส่พอกเกี้ยว ถ้าเสด็จไปทอดพระเนตรการมหรสพ เจ้ากรม ปลัดกรม นุ่งสมปักลาย ห่มเสื้อครุย เจ้ากรมสะพายกระบี่ ปลัดกรมขัดดาบ หัวหมื่นสะพายดาบ ถือหอก ถ้างานไม่ใหญ่โตนัก ให้แต่งกายนุ่งผ้าสมปักใส่เสื้อครุย คาดดาบ

ถ้าเป็นงานเสี่ยงอันตราย เช่น ทอดพระเนตรเสือในวัง จึงให้นุ่งผ้าไหมเกี้ยว ผ้าเกี้ยว ถ้าแห่ออกนอกวังให้นุ่งผ้าแกมไหม ห่มเสื้อหนาว นุ่งผ้าเกี้ยว ถ้าเสด็จออกงานทำนองสวนสนามในวัง หรืองานที่ไม่สำคัญนอกวัง เป็นงานปกติให้นุ่งสมปัก ห่มเสื้อครุย คาดดาบ งานเต็มยศให้นุ่งสมปักลาย ห่มเสื้อครุยใส่พอกเกี้ยวตามบรรดาศักดิ์ เจ้ากรมสะพายกระบี่ ปลัดกรมคาดดาบ หัวหมื่นถือดาบ สะพายดาบ

การนุ่งผ้า ผ้านุ่งที่สำคัญที่สุด คือ "ผ้าสมปัก" เพราะเป็นผ้าทางราชการ ยศก็ดีสังกัดก็ดีสังเกตได้จากผ้าสี โดยปกติไม่นุ่งกัน นอกจากเข้าเฝ้าหรือตามเสด็จพระราชดำเนิน แม้แต่นุ่งจาก บ้านจะเข้าวังก็ใช้ผ้าอื่นนุ่งมาก่อน สมปักให้ทนายถือตามมานุ่งในวัง

ผ้าสมปัก เป็นผ้าไหมหน้าแคบต้องต่อให้กว้าง โดยใช้ผ้าสองผืนต่อกัน เรียกว่า "เพลาะ" เมื่อเพลาะแล้วจะกว้างประมาณ ๑๖๐ เซนติเมตร ซึ่งกว้างกว่าผ้านุ่งธรรมดา ๑/๔ ยาว ๑/๒ เวลานุ่งเต็มยศ ใช้ผ้าสมปักลายต่าง ๆ เวลานุ่งเข้าเฝ้าตามปกติ นุ่งผ้าไหมสีต่าง ๆ ผ้าสมปักที่มีเกียรติยศสูงสุด คือ สมปักปูม เป็นสมปักที่ทอด้วยไหมมีลายดอกเป็นตา ๆ สมปักที่ต่ำสุด คือสมปักริ้ว ในยามปกติไม่มีการงานสำคัญ ขุนนาง ข้าราชการ ก็คงนุ่งผ้าผืนห่มผืนเหมือนชาวบ้านทั่วไป แม้ในยามเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวตามปกติประจำวันที่ไม่มีงานพระราชพิธี หรือรับแขกเมืองขุนนาง ข้าราชการก็คงแต่งกายตามอัธยาศัย นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อบ้างไม่สวมเสื้อบ้างเนื่องจากอากาศร้อน

หลังจากสวมเสื้อเครื่องพระราชทานเสร็จสรรพ ก็มาเข้าแถวรอรับเสด็จเจ้าอาทิตย์ ซึ่งจะเป็นผู้บัญชาการกองอาทมาฎระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในพระนคร นายแวงกองอาทมาฎเป็นกองทหารรักษาพระองค์ ต้องผ่านการคัดเลือกเคี่ยวกลำฝึกฝนอย่างหนัก นอกจากความสามารถทางเชิงอาวุธ เชิงต่อสู้ แล้วความจงรักภัคดีต้องมีสูง เพราะเป็นกองทหารที่พกพาอาวุธอยู่ใกล้องค์พระมหากษัตริย์  มีหน้าที่สำคัญและต้องดื่มน้ำพิพฒน์สัตยาก่อนเข้าเวรทุกครั้ง เพราะได้สิทธิ์พกพาอาวุธ  นอกจากทำหน้าที่ราชองครักษ์ จุกช่องล้อมวังประสานกับหน่วยงานอื่นๆแล้ว เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกนอกพระราชวัง จะต้องออกสำรวจตรวจตรามิให้มีสิ่งใดเป็นอันตรายได้ มีอำนาจสิทธิ์ขาดจับกุมคุมขังผู้ต้องสงสัยได้ทุกผู้ไม่มีละเว้น
หลังจากตรวจพลเสร็จสรรพ เจ้าอาทิตย์เข้ามาพักผ่อนอิริยาบถในพระตำหนัก ทรงขอพลอาทมาฎสองคนมาคอยรับใช้ ซึ่งได้แก่เจ้าแมงเม่าและนายขนมต้ม ทั้งสองปลดอาวุธ สวมโจง ถอดเสื้อหมอบอยู่ข้างพระไสยาสน์ในที่รโหฐาน เจ้าอาทิตย์นั่งอ่านสมุดข่อยจารบทกวีของพระราชบิดา(เจ้าฟ้ากุ้ง)แล้วทรงสะอื้นกรรแสง เจ้าแมงเม่าและนายขนมต้มที่หมอบกราบอยู่เงยหน้ามองอย่างแปลกใจ ด้วยสงสัยเหตุใดจึงทรงกรรแสง

เมื่อผู้หมอบรับใช้เงยหน้ามอง เจ้าอาทิตย์ราวจะรู้สึกพระองค์ ทรงปาดน้ำพระเนตรแล้วตั้งจิตวางองค์ใหม่

"เอ็งทั้สองชื่นชอบบทกวีหรือไม่?" เสียงตรัสถามเรียบๆ

เจ้าแมงเม่ารีบกราบบังคมทูล "ชอบพระพุทธเจ้าค่ะ โดยเฉพาะของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ หม่อมฉันท่องประจำ"

"หื้อ..เยี่ยงนั้นรึ?" เจ้าอาทิตย์ตรัสถามพลางขมวดพระขนง

"พระพุทธเจ้าค่ะ หม่อมฉันมักท่องให้อ้ายขนมต้มเกลอผู้นี้ฟังทุกค่ำคืน"

"เราก็ชอบเอาออกมาท่องทุกคืนเช่นกัน โดยเฉพาะจากสมุดข่อยเล่มนี้ เพราะเป็นลายพระหัตถ์ของเจ้าฟ้ากุ้ง"

"หา! ลายพระหัตถ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ พระองค์ได้มาเยี่ยงไรพระพุทธเจ้าค่า?" เจ้าแมงเม่าถามอย่างตื่นเต้น

"จากเสด็จพ่อ เราคือพระโอรสของเจ้าฟ้ากุ้ง เจ้าฟ้าที่ถูกใส่ความจนต้องโทษสิ้นพระชนม์ชีพ"

สุรเสียงสะเทือนใจ ทำเอาสองเกลอหมอบนิ่งไม่กล่าวกระไร การเข้ารับใช้ใกล้ชิดเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ) มีประพฤติแสดงว่าเจ้าอาทิตย์มุ่งหวังอย่างอื่นๆ อีก แต่ไม่มีใครรู้ว่ามุ่งหวังอะไร หลังจากสะกดพระทัยอีกครั้งก็ยื่นสมุดข่อยประทานให้เจ้าแมงเม่าหมอบคลานมารับไป

"เอ็งจงท่องบทเห่ฯเรือนี้ให้ข้าฟังหน่อย อยากจะรู้ว่าสุ้มเสียงของเอ็งจะพิสดารชวนฟังเพียงไหน?"

เสียงรับสั่งเรียบๆ เจ้าแมงเม่ามือสั่นใจสั่น มันค่อยๆเปิดสมุดข่อยที่จารโดยลายพระหัตถ์ของเจ้าฟ้าธรรมมาธิเบศ ออกมาช้าๆที่ละหน้า ตัวหนังสือสวยงามเป็นระเบียบปรากฏตรงหน้า ได้อ่านจากลายมือของเจ้าฟ้ามหากวีที่มันชื่นชอบก็ปลื้มปิติมหาศาล ได้มาท่องให้พระโอรสของพระองค์ได้ยลยินอีก มันยิ่งปลื้มปิติเป็นล้นพ้น มันอยากจะหลั่งน้ำตาออกมาเสียตรงนั้น ทว่ามันคงจะนิ่งนานเกินไป จนเจ้าอาทิตย์ผินพระพักษก์ทอดพระเนตรด้วยสายตาเคืองขุ่น

เสียงรับสั่งดังขึ้น "เป็นอันใดไปรึ ใยมิท่องให้เราได้ยลยินเล่า?"

"เอ่อ..หามิได้พระยะค่ะ หม่อมฉันปลื้มปิติมากไป เพราะชีวิตนี้มิได้คาดฝันจะได้ท่องจากลายพระหัตถ์พ่ะยะค่ะ"

เจ้าแมงเม่ารีบตอบรับสั่ง เจ้าอาทิตย์ส่ายพระพักตร์อย่างเอ็นดูแล้วทรงพระสรวญ

"เอาเถอะๆ รีบท่องเสีย ดึกโขแล้ว หากเจ้ากล่อมเราหลับได้ จะประทานรางวัลให้"

รับสั่งเสร็จก็เอนพระวรกายลงบนหมอนอิง สองพระเนตรทอดผ่านบรรพ์หน้าต่างออกไปในความมืด

"พระพุทธเจ้าค่ะ" เจ้าแมงเม่าถวายบังคมรับ

และเจ้าแมงเม่าก็เริ่มท่องกาพย์เห่ฯเรือ

เสียงสรวลระรี่นี้  ............................... เสียงแก้วพี่ฤาเสียงใคร

เสียงสรวลเสียงทรามวัย.....................สุดสายใจพี่ตามมา

ลมชวยรวยกลิ่นน้อง..........................หอมเรื่อยต้องคลองนาสา

เคลือบเคล้นเหนคล้ายมา................... เหลียวหาเจ้าเปล่าวังเวง

ยามสองฆ้องยามย่ำ............................ทุกคืนค่ำย่ำอกเอง

เสียงปี่มีครวญเครง.............................เหมือนเรียมคร่ำร่ำครวญนาน

ล่วงสามยามปลายแล้ว    ..................จนไก่แก้วแว่วขับขาน

ม่อยหลับกลับบันดาล........................ ฝันเห็นน้องต้องติดตา

เพรางายวายเสพย์รส..........................แสนกำสรดอดโอชา

อิ่มทุกข์อิ่มชลนา .............................. อิ่มโศกาหน้านองชล

เวรามาทันแล้ว...................................จึ่งจำแคล้วแก้วโกมล

ให้แค้นแสนสุดทน.............................ทุกข์ถึงเจ้าเศร้าเสียดาย

เสียงท่องของเจ้าแมงเม่า สะกดพระทัยเจ้าอาทิตย์ไว้กับเรื่องราวแต่หนหลัง บทเห่ฯนี้คือสาเหตุที่ทำให้เสด็จพ่อเจ้าฟ้ากุ้งของพระองค์ต้องโทษตามคำกราบทูลของกรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ) หนึ่งในก๊กสามกรมคู่ปรับแต่หนหลัง ซึ่งเจ้าอาพระองค์นี้ทำเรื่องกราบทูลสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเป็นการลับว่า  พระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรเสด็จเข้ามาลอบทำชู้กับ เจ้าฟ้าสังวาลย์ ถึงในพระราชวังหลายครั้ง

จึงมีพระราชโองการให้ชำระกรมฝ่ายในรับเป็นสัตย์แล้ว จึงดำรัสสั่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าธิดา เจ้าฟ้าสุริยวงศ์ ให้ไปเชิญเสด็จกรมพระราชวังบวรลงมา เจ้าฟ้าทั้งสองกราบทูลว่าเป็นอริกันอยู่ จะไปเชิญเสด็จมิได้

จึงดำรัสใช้เจ้าจอมจันทร์มารดาพระองค์เจ้ากระแห ให้ขึ้นไปทูลเชิญเสด็จกรมพระราชวัง เสด็จกรมพระราชวังทราบว่ามีพระราชโองการให้หา ก็เสด็จลงเรือพระที่นั่งล่องลงมาถึงพระราชวังหลวงจะเสด็จขึ้นที่สะพานเหนือฉนวน

มหาดเล็กที่ล่วงหน้าลงมาคอยรับเสด็จนั้น กราบทูลว่าประตูเสาธงชัยปิดอยู่ก็หาเสด็จขึ้นไม่ ล่องลงมาประทับที่ฉนวนน้ำประจำท่า ประตูฉนวนก็ปิด จึงล่องลงมาเสด็จขึ้นสะพานใต้ระหัดน้ำทรงพระเสลี่ยงมาถึงศรีสำราญ ทอดพระเนตรเห็นคนนั่งประชุมอยู่ริมศาลาลูกขุนนอกพระที่นั่งทรงปืนเป็นอันมาก จะให้กลับพระเสลี่ยง

หลวงศรีภวังกราบทูลว่าขอพระราชทานเชิญเสด็จเข้าไปเฝ้าจึงจะชอบ ก็เสด็จเข้าไปอยู่ ณ ทิมดาบ จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งมหาดเล็กให้ออกมาเชิญเสด็จไป ณ ตำหนักสองห้องข้างทิมสงฆ์ แล้วดำรัสสั่งพระมหาเทพให้ลงพระราชอาญาจำห้าประการแล้ว ให้มีกระทู้ซักถามตามคำฟ้อง กรมพระราชวังรับเป็นสัตย์

มีพระราชดำรัสให้ผูกกรมพระราชวังให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนได้ยี่สิบทีเกิดลมจุก

กรมหมื่นสุนทรเทพขึ้นไปกราบทูลว่าจุกหนัก จะขอพระราชทานให้แก้เสีย จึงมีพระราชโองการสั่งให้ริบ

รุ่งขึ้นให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนอีกสองยกเป็น ๖๐ที แล้วให้นาบพระบาทด้วย และให้ต่อว่ากรมพระราชวังว่าอ้ายปิ่นกลาโหมคบหาทำชู้กับมารดาเจ้ามิตร เป็นแต่ทาสภรรยา ให้เฆี่ยนถึง ๗๐๐ ตายกับคา นี่มาคบหาทำชู้กับสามีภรรยาทั้งสององค์ แล้วก็มีพระราชบุตรด้วยถึงสามพระองค์สี่พระองค์ และเจ็ดร้อยนั้นโปรดให้แบ่งออกเป็นสามส่วนยกเสียสองส่วน
จะให้เฆี่ยนส่วนหนึ่งแต่สองร้อยสามสิบทีจะว่าประการใด

กรมพระราชวังให้การว่าจะขอรับพระราชอาญา ตามแต่จะทรงพระกรุณาโปรด

กรมหมื่นเทพพิพิธเอาคำให้การขึ้นกราบทูลพระกรุณา จึงดำรัสถามว่าเฆี่ยนได้เท่าไรแล้ว

กรมหมื่นเทพพิพิธกราบทูลว่าลงพระราชอาญาได้ ๖๐ ทีแล้ว จึงดำรัสสั่งว่าให้เฆี่ยนยกสามสิบทีไปกว่าจะครบสองร้อยสามสิบที แล้วให้เสนาบดีและลูกขุนพิพากษาโทษว่าโทษจะเป็นประการใด

ท้าวพระยามุขมนตรีและลูกขุนพร้อมกันปรึกษาโทษต้องด้วยพระราชกำหนดกฎมณเฑียรบาล จึงกราบทูลพระกรุณาว่าโทษกรมพระราชวังบวรเป็นมหันตโทษถึงประหารชีวิตเป็นหลายข้อ จะขอพระราชทานให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ตามขัตติยประเพณี  สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสขอชีวิตไว้ 

ตามกฎมณเฑียรบาล การละเมิดสตรีในวังมีโทษถึงประหารชีวิต ถ้าหากว่าเจ้าฟ้ากวีทรงถูกประหารตามกฎเสียให้รู้แล้วรู้รอดก็คงจะน่าเศร้าสลดใจน้อยกว่านี้ แต่พระราชบิดาทรงลดหย่อนผ่อนโทษให้ไม่ให้ถูกประหาร น่าสะเทือนใจตรงที่ผลกลับกลายเป็นว่า การลดโทษกลับเลวร้ายสาหัสกว่าถูกประหารเสียอีก

เริ่มต้นด้วยถูกถอดลงเป็นไพร่ แล้วทรงถูกเฆี่ยนด้วยหวายได้ ๒๐ ที ทรงเจ็บปวดมากจนสลบไป พระพุทธเจ้าหลวง ก็ทรงให้หยุดเฆี่ยน แก้ไขจนฟื้นขึ้นมาในวันต่อไปก็เฆี่ยนต่ออีก ๖๐ ที นอกจากเอาเหล็กเผาไฟนาบพระนลาฎ (หน้าผาก) และยังนาบพระบาทเป็นการลงโทษเพิ่ม ให้เฆี่ยนต่อไปจนครบ ๒๓๐ ที ตามโทษถูกลดหย่อนจากประหารชีวิต

สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเพราะ พระราชบิดาระแคะระคายว่าเจ้าสามกรมมีการแต่งตั้งข้าราชการในกรมมียศสูงเกินเจ้านาย พระองค์จึงมีพระบัณฑูรให้ตำรวจหลวงมานำตัวเจ้ากรม ปลัดกรม และนายเวร ปลัดเวรของกรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพภักดี มาถามความว่า เจ้ากรมนั้นเป็นแต่หมื่น เหตุใดจึงตั้งบรรดาศักดิ์ให้เป็นขุน ซึ่งนับว่าทำสูงเกินว่าศักดิ์ จึงให้ลงพระราชอาญาโบยคนละ ๑๕ ทีบ้างคนละ ๒๐ ทีบ้าง เป็นการประชดไปถึงเจ้านาย

บรรดาผู้ได้รับทัณฑ์โบยพากันไปกราบทูลเจ้ากรมทั้งสาม ทั้งยังเพิ่มเติมเรื่องราวใส่ไฟ จึงเป็นเหตุให้หมางพระทัยกับสามกรมนับแต่นั้นมา และทั้งสามกรมก็ผูกพยาบาทจ้องหาทางเล่นงานมาตลอด จนกระทั่งมาประสพผลในการนำความไปกราบทูลเรื่อง 'วังหน้าทรงลักลอบเข้ามาทำชู้กับ เจ้าฟ้าสังวาลเป็นหลายครั้ง'ต่อพระพุทธเจ้าหลวง

วันสุดท้ายที่ได้เข้าเฝ้าในที่สถานที่คุมขัง สภาพของเจ้าฟ้าผู้สำรวย นักกวีผู้เชี่ยวฉกาจ รูปพรรณเคยผ่องพักตร์สะดุดตา สังขารช่างน่าสังเวช พระพักตร์และพระวรกายเต็มไปด้วยบาดแผลจากทัณต์ทรมาน ทรงผ่ายผอมอดโซ ระทมทุกข์ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส สมุดข่อยจากพระหัตถ์ถูกส่งผ่านพร้อมตรัสซักถาม

"เจ้าอาทิตย์ เจ้าเชื่อหรือไม่ ว่าข้าผิดจริงดังคำกล่าวหา"

เจ้าอาทิตย์ส่ายพระพักตร์น้ำพระเนตรไหลนองดั่งธารา

พระสุระเสียงแหบโหยมีพระบัณฑูรอย่างยากลำบาก แต่ก็เต็มไปด้วยความคั่งแค้นอาฆาติ

"จงรักษาตัวไว้ ... เจ้าจำสังขารของพ่อไว้ ....เจ้าอาทิตย์ ...เขาทำกับบิดาของเจ้าฉันใด...จงกระทำต่อเขาฉันนั้น"

รับสั่งนั้นยังฝังแน่นอยู่ในพระทัย เจ้าอาทิตย์ไม่ทรงลืม

หลังจากทนรับทัณฑ์ทรมานที่ถูกสั่งให้เฆี่ยนต่อไปจนครบ ๒๓๐ ที ตามโทษที่ถูกลดหย่อนจากประหารชีวิต แต่เฆี่ยนไปได้ ๑๘๐ ที ทรงทนความเจ็บปวดบอบช้ำไม่ไหวก็สิ้นพระชนม์คาหลักเฆี่ยน พระศพของพระราชบิดาเจ้าฟ้ากวีมิได้รับการถวายพระเพลิงตามโบราณราชประเพณี แต่ถูกฝังเอาไว้ที่วัดไชยวัฒนาราม ในเจดีย์สร้างอย่างหยาบๆคู่กับเจ้าฟ้าสังวาล วัดนี้เป็นวัดใหญ่อยู่ที่บางปะอินริมแม่น้ำเจ้าพระยา วันฝังพระศพ เจ้าอาทิตย์ทรงประทับท่ามกลางพระโอรส,พระธิดา,เจ้าจอม,หม่อมห้ามข้ารับใช้ทั้งปวง ในพิธี ฝังพระบรมศพพระราชบิดา เจ้าอาทิตย์ทรงให้สัตย์สาบาญว่าจะล้างแค้นลงทัณฑ์คนชั่วที่เป็นต้นเหตุให้ สาสม!!!

เวรามาทันแล้ว...................................จึ่งจำแคล้วแก้วโกมล

ให้แค้นแสนสุดทน.............................ทุกข์ถึงเจ้าเศร้าเสียดาย


บทเห่ฯที่เจ้าแมงเม่าท่องถวายท่อนนี้ดังกังวานในพระโสต

"เวราจะตามพวกมึงทันแน่!!!"

เจ้าอาทิตย์ทรงผุดพระวรกายขึ้นนั่งพระพักตร์เหี้ยมเกรียม ความแค้นแน่นพระทัยจะต้องได้รับการสะสาง

"เมื่อ เวรามาทันแล้ว  เจ้าสามกรม ไม่พ้นผลกรรมดอก คอยดูต่อไป"



review1972

ขอบคุณครับสำหรับเจตนาที่ดีงามของปผู้ประพันธ์เรื่องนี้

golem237

ขอบคุณมากครับ เป็นเรื่องที่มีภาษาไทยและธำรงค์ไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ชาติดีมาก

เป็นการกระทำที่น่ายกน่องครับ ขอขอบคุณจริงๆ

somc217

เรื่องราวที่บรรยายมาชวนให้ติดตามมากครับ
ขอบคุณมาก

psm_mach

ขอบคุณที่นำผลงานมาให้อ่านนะครับ ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องอย่างว่าหรอกครับ หรือว่าต้องมีมากๆ ขอให้เป็นเรื่องราวก็สนุกแล้วครับ โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ที่มีบุคคลจริงอย่างนายขนมต้มไปแต่งว่าท่านทำเรื่องแบบนั้นเยอะๆอาจไม่เหมาะสม เพราะท่านมีชื่อเรื่องชกมวย ถ้าเป็นเรื่องตำนานอย่างขุนแผนคงไม่เป็นไร เพราะท่านมีชื่อเสียงทางนั้นอยู่แล้ว ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับใครเห็นด้วยก็ได้ไม่เห็นด้วยก็ได้

suriyamahajit


areja

#6
ใครจะอ่านผลงานท่าน ถ้าทำตามกติกาท่านว่างไว้ไม่ได้ แล้ว รีพลาย ขอบคุณครับ,ขอบคุณ,ขอบคุณค่ะ,ติดตามครับ
,สนุกมากครับ,ติดตามต่อ.
อะไรประมาณนี้ แบนเลยนะ ขอบคุณมากๆครับ ก็ไม่ต้อง thank,thank you,thx ขี้หมาหลายแหล
เหล่านี้ก็อย่าให้เห็น จัดรูดแบนไปยาวๆ ถ้าเจอในผลงาน อาจารย์พี่นีโอ นี่เป็นข้อตกลงระหว่างท่าน กับสมาชิก
::Fighto::  เมื่อผ่าฝืน เกรียนมาก็จำเป็นที่ต้องแบน เพื่อสมาชิกอีกส่วนเพราะไม่เช่นนั้น ::Falling::
รีพลายคุณอาจทำให้ สมาชิกที่ปฏิบัติตามพลอยอดอ่านไปด้วย ฉะนั้นไม่แน่ใจ อย่าพิมพ์เอามักง่ายมั่วๆ..


กดอ่านก่อนอ่านผลงาน อาจารย์พี่นีโอ




การตอบ รีพลายอย่าง พอเหมาะพอควรถ้าเจ้าของกระทู้แจ้งมา จะพิจารณา เป็นรายกรณี

ถ้าตอบ เช่น zzzzddd xxxx2222 อิอิ,ลุ้นๆ,555, ดีดี,ดี, ต่อ,ติดตาม,ty,thx,thx kub(Thx ขี้หมาThanx พิมพ์ไม่ถูก
ห้ามใช้ทุกกระดานที่ ฉันดูแล
),ใจจร้า,ใจครับ,แจ่ม,เยี่ยม,สนุกดี,สุดยอด,อ่านต่อ,Good (เฉยๆ)
emo เปล่าๆ
อาจเตือนเห็นอีก ถ้าเตือนไปแล้ว ผิดซ้ำซากก็จะแบนเหมือนกัน รีพลายตอบซั่วๆ ตอบแล้ว mod ไม่เข้าใจ จะโดนแบน
รีพลายมักง่ายต่างๆ จะแบนครั้งแรก 6 เดือน คราต่อไป แบนยาวขึ้น แล้วจะหายเมื่อไม่ปรับปรุง

พวก ก๊อปตอบ รัวๆรวดเดียวเป็น 10 กระทู้ โพสต์ละ 1 นาทีนะ เจอจะ แบน ถ้ามักง่ายเช่นนี้ ถือว่าไม่ให้เกียรติ์
คนแบ่งปัน/ คนลงงาน..พวกเปิดรัวๆ ประโยคเดียวเป็น 10 มันควรหรือ? ตอบซ้ำมาหลายครัง ในกระทู้เดียวกัน
อาจโดนพักใช้ได้เหมือนกัน และห้ามใช้ ข้อความจากระบบในการตอบรีพลายเด็ดขาด! มันมักง่ายประเภทเดียว
กับก๊อปตอบ จะแบน ครึ่งปี ครั้งต่อแบนเพิ่มขึ้นอีก และ หายจากบอร์ด
         

            ผลงานที่ สมาชิกอุตสาห์นำมาลง ไม่ว่าจะเขียนเอง หรือขอมาลงล้วนได้มาด้วยการสละเวลา
            ถ้าจะตอบมามักง่ายก็ อย่าใช้ห้องนี้ เสพผลงานเลยไปหาเสพที่ใดแล้ว รีพลายตอบ นั้นได้ ก็ไป
            อย่าทะลึ่งมา เปรี้ยว มา เกรียน ลอง  สด ,เก๋า อย่าเลย จะเสียน้ำใจเสียความรู้สึกเปล่าๆ
            เพราะถึงคุณมี 100 ยูส 1000 ชื่อ ถ้ารีพลายผิดกฏ-กติกากระดานนี้ ฉัน ก็จะแบนหมด

...................................................................

ถ้าถูกแปะเตือนที่ โพสต์หรือกระทู้คุณ และส่งไปที่ pm คุณ จงรีบปรับปรุงรีพลายซะ ขอบคุง,ขอบหี,ขอบควย
ขอบหมา,ขอบแมว,ขอบคุน
เตือนนะอย่าลองของ ใครโดนเตือนไปให้ปรับปรุงการรีพลายเจอ ครั้ง 2 จะลบ
ทุกกระทู้ที่ตอบ และพบถ้าอีกรอบ จะแบน 6 เดือนเหมือนโทษ ป้วนเกรียนอื่นๆ....

คำขอบคุณยังเขียนไม่ถูกความหมายมันจะถูกไหม? ที่ต้องมาเข้มงวดเรื่องนี้ เพราะชักเยอะพวกมักง่าย เยอะ
ไรต์ คนลงงาน ก็ติมาด้วย..เครนะ ขอกันดีๆ จะไม่โดนลบของเก่าทิ้ง แต่ยังรีพลายอีก ถ้าเตือน เตรียมหาที่อ่านใหม่เลย..
แว่น ยกตัวอย่างคำ ขอบคุณเขียนไม่ถูกชัดไหม?

ใคร ขอบคุณ รีพลาย เขียนไม่ถูกต้องแบนแล้วนะ ให้โอกาสเตือน 1 ครั้ง มันเป็นคำขอของ ไรต์ และ คนลงงาน
เรื่องความมักง่าย เพราะ ขอบคุณ เฉยๆก็ดูเอียนจริงๆ แต่ก็เป็นคำสากลในการตอบแทนน้ำใจ ฉะนั้น ขอเถอะเขียนให้ถูก
เมื่อต้องปรับเปลี่ยนก็ต้องคล้อยตามกัน กฏไม่ได้ใช้กับใคร? เพียงคนเดียว และไม่ยากเกินไป 
คิดว่าสร้างมาตรฐาน กันใหม่อีกสิ่ง ถ้ายากก็ไม่ต้องเข้ามาใช้ กระดานนี้ เพราะ ฉันแบนแน่.. 

อ๋อ thx ขี้หมา นี้หรือ เขียนไม่ครบ thank กระดาน แว่น ดูแลอย่าให้เห็นนะ แบน ย้ำซะขนาดนี้พิมพ์มาอีกถือว่าลอง
บางคนโวยวาย ขำ   thx ขี้หมา แค่นี้ก็แบน ถุย! ก็ตรรกะเอ็งมันมักง่ายไง เงื่อนไขง่ายๆถึงออกมาแถ มันยากนักคุณมึง
ก็ไม่ต้องเข้ามาใช้ เวปนี้ไม่ง้อ บอร์ดอยู่มาได้ไม่ต้องพึ่งคนมักง่ายใช้ตรรกะปลิง จ้องจะสูบทั้งที่ใช้ฟรี เสือกเยอะ
ไรต์เขียนมาหาข้อมูลมากว่าจะจบแต่ละตอน ไอ้ซากปลิง เข้ามา Thx  เหอะๆ เอาใช้ไปหาที่เสพที่อื่นเถอะ เวปนี้แบน

กฎที่วางนี่ไม่ได้เขียนเอา ฮา เนอะ แบนจริงใครอยู่นานแล้วคงรู้จัก แว่น ดี..คิดว่า ฉัน
แบนจริงหรือเตือนเอาสนุกเล่นๆ..อย่าๆลอง เดี๋ยวจะเสียความรู้สึก ด้วยรีพลายคุณเองเลย
เขียน ขอบคุณ ให้ถูก ทำตามเงื่อนไข ยากอะไร หรือ จะโชว์เกรียน..เตือน,ขอร้อง,
ขอความร่วมมือ แล้วเมื่อไม่รักษาสิทธิ์-ประโยชน์คุณเอง ก็แบนไปใช้เวปอื่น.
.


pinmonkey

ได้ศึกษาประวัติศาตร์ที่มีคุณค่า จากนิยาย ขอบคุณมากครับ

biggiggog


dwarf

ขอบคุณครับ...แฝงไปด้วยเกร็ดประวัติศาสต์ ..ทำให้ทราบถึงสิ่งที่ไม่ได้มีบันทึกไว้  ..สนับสนุนนักประพันธ์ให้นำเสนอออกมาบ่อยๆ ครับ เป็นการประดับความรู้ ไว้แถลงหาความเป็นจริงกับผู้รู้ท่านอื่นได้ครับ

naitoom

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่นำมาแบ่งปัน
ไปอ่านเจอบทร้อยกรองนี้ จึงนำมาลงให้อ่านครับ
บทร้อยกรอง "นายขนมต้มชกพม่าถวายตัวพระเจ้าอังวะ" นี้ เป็นเรื่องราวที่กล่าวไว้ในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) มีรับสั่งให้กรมหลวงวงษาธิราชสนิทชำระใหม่

   อังวะธิราชเจ้า   พุกาม
ฉลองธานตุร่างกุ้งงาม   ครึกครื้น
ขนมต้มชื่อชาวสยาม   ตนหนึ่ง
ขันต่อยตีพวกพื้น   ม่านรู้ครูมวยฯ
   ฉับฉวยชกฉกช้ำ   ฉุบฉับ
โถมทุบทุ่มถองทับ   ถีบท้าว
เตะตีต่อยตุบตับ   ตบตัก
หมดหมู่เมงมอญม้าว   ม่านเมื้อหมางเมินฯ
   เกินสิบต่อยบ่ซ้ำ   สองยก
ม่านกษัตริย์หัตถ์ลูบอก   โอษฐ์พร้อง
ชาติสยามผิยามตก   ไร้ยาก  ไฉนนา
ยังแต่ตัวยังต้อง    ห่อนได้ภัยมีฯ
   ฉากนี้สมพากย์พร้อง   เพรงสุภา- ษิตเฮย
เคยปากหากพูดมา   มากครั้ง
"กรุงศรีอยุธยา    ไป่ขาด ดีเลย"
รูปฉากพากย์ติดตั้ง   ต่อให้เห็นจริงฯ


johnyred59

ท่านนีโอแต่งเรื่องได้ยอดเยี่ยมนำเรื่องราวประวัติศาสตร์มาผูกโยงได้น่าอ่านยิ่งนัก
ขอชื่นชมด้วยใจจริงและขอขอบคุณ

tacklove

ดีใจที่ได้อ่านเรื่องดีๆแบบนี้ ขอบคุณครับ

johnyred59

นับถือท่านนีโอจริงๆเลย ขนาดเรื่องเชิงประวัติศาสตร์+ตำนานที่เล่าขานกันมา ยังเก็บรายละเอียดมาเขียนได้เยี่ยมมากครับ