พอกลับไปถึงบริษัท ดิเรกเรียกให้ ผจก.ฝ่ายก่อสร้างเข้าพบทันทีและให้ลูกสาวอยู่ด้วย ก่อนที่จะสั่งการลงไปในเรื่องคืนพื้นที่ และบอกว่าทุกอย่างต้องกลับมาเหมือนเดิมตามรูปที่มิ่งให้มา รวมถึงให้ไปหารูปที่ถ่ายก่อนจะเข้าไปปรับพื้นก่อสร้างรีสอร์ท พร้อมทั้งให้รายงานความคืบหน้าตลอดติดขัดตรงไหนให้รายงานตรงทันที ถ้ามีปัญหาเรื่องเบิกเงินไม่ทันให้มาเบิกที่ตนเองได้และสั่งให้ทำเรื่องปรับพื้นที่ให้เหมือนเดิมตลอด 24 ช.ม. ก่อนที่จะเรียกกำพลเข้ามาในเรื่องร่างสัญญาพร้อมถามย้ำว่าจดรายละเอียดมาครบหรือไม่แล้วบอกกับนิติกรว่าพรุ่งนี้สัญญาต้องให้เสร็จเรียบร้อย หลังจากสั่งงานเรียบร้อย ดิเรกเดินมานั่งที่โซฟาร์รับแขกราคาแพงที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องโดยมีวุ้นนั่งมองพ่อสั่งงานอยู่ตลอด ดิเรกนั่งข้างๆลูกสาวที่มองผู้เป็นพ่อด้วยความห่วงใย เพราะรู้ว่า 2-3 วันที่ผ่านมานี่ บิดาเธอเครียดมาก แถมน้องชายเธอก็โดนทั้งพ่อและแม่ตำหนิอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน จนแม่เธอสั่งว่า 15 วันนี้ห้ามน้องชายเธออกจากบ้านโดยเด็ดขาด
“กินยาความดันหรือยังคะพ่อ วุ้นกลัวพ่อเครียด”
“กินแล้วลูก แต่พ่อพยายามจะไม่เครียดนะ”
ผู้เป็นพ่อตอบพร้อมเอามือมาลูบที่หน้าแล้วเอานิ้วกดที่ตาสักพักก่อนหันมาทางลูกสาว แล้วพูดว่า
“ลูกคงสงสัยใช่ไหมว่าทำไมพ่อถึงเรียกมิ่งว่าลูกและแทนตัวเองว่าพ่อ”
“ใช่คะพ่อ”
ดิเรกยิ้มแล้วถอนหายใจเล็กน้อยแล้วบอกไปยังวุ้นที่มองมา
“มิ่งเค้าเป็นพี่ชายของลูกนะ แต่คนละแม่ ”
ทั้งๆที่เตรียมใจไว้ล่วงหน้าและพอจะคาดเดาอะไรออก เพราะเธอดูออกว่าโครงหน้าทั้งสองนั้นเหมือนกันแต่ก็ทำเอาเธอตกใจเหมือนกัน วุ้นนิ่งไปพักใหญ่ก่อนถามต่อไปว่า
“คุณพ่อแล้วๆๆ คุณแม่รู้เรื่องนี้หรือเปล่าคะ”
เธอถามผู้เป็นพ่อด้วยเสียงสั่นๆเพราะความตกใจ
“รู้สิ รู้ตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งเรื่องที่พ่อมีครอบครัวมาก่อนนะ เรื่องที่ดินเป็นของใครนี้แม่ก็รู้เพราะพ่อเล่าให้ฟังหมด แม่เค้ายังโทรมาถามเลยว่าเจอมิ่งแล้วมิ่งว่ายังไงบ้าง”
ลูกสาวที่พอจะปรับอารมณ์ได้บ้างแล้วนั่งฟังผู้เป็นพ่อเล่าให้ย้อนหลังไปเกือบ 30 ปีที่แล้ว ดิเรกนั้นเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างของกรมที่ดินและได้อยู่กินกับแม่ของมิ่งที่มีอาชีพขายอาหารที่มีแผงขายอยู่บริเวณชายหาดพัทยา ส่วนพ่อแม่ของภรรยานั้นมีอาชีพทำสวน ทั้งดิเรกและแม่ของมิ่งเป็นคนชลบุรี ดิเรกนั้นทำงานในกรุงเทพวันหยุดถึงกลับบ้านไปช่วยภรรยาขายอาหารจนในที่สุดก็มีมิ่งขึ้นมา จนมิ่งเริ่มอายุได้4 ขวบเศษๆผู้เป็นแม่ของวุ้นกับไวย์ที่เป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของโรงแรมชื่อดัง ที่มาติดต่อเรื่องโอนที่บ่อยๆ จนมาหลงรักดิเรกแล้วเป็นฝ่ายทอดสะพานให้ทั้งๆที่รู้ว่าฝ่ายชายนั้นมีครอบครัวมีลูกที่ยังเล็กอยู่ แต่ในที่สุด ดิเรกตัดสินใจที่ทิ้งลูกเมียมาแต่งงานใหม่เพราะอยากได้อนาคตที่ดีกว่าปล่อยให้สองแม่ลูกอยู่กับตายายที่พัทยา และตนเองมาเสพสุขกับชีวิตใหม่ จนมีลูกสาวคือวุ้น วันหนึ่งดิเรกนั้นได้พาภรรยาและลูกสาวที่ยังแบเบาะอยู่ไปเที่ยวพัทยาโดยไม่เฉลียวใจถึงสองแม่ลูกที่ยังขายอาหารอยู่ที่นั่น
แต่แล้วดิเรกก็มาเจอภรรยาเก่าและมิ่งที่ตอนนั้นอายุได้ 6 ขวบ และกำลังช่วยแม่เสริฟอาหารให้ลูกค้าอยู่โดยบังเอิญ ดิเรกตกใจมากทำอะไรไม่ถูก แต่ภรรยาเก่านั้นยิ้มรับไม่เหมือนกับลูกชายที่ไม่มองหน้าพ่อ จนดิเรกตัดสินใจควักเงินให้มิ่ง 1,000 บาท
“เอามิ่งพ่อให้ไปกินขนมแล้วตอนนี้เรียนชั้นไหนแล้วละ”
ผู้เป็นพ่อถามด้วยความประหม่าเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับลูกชาย แต่สิ่งที่ลูกชายตอบกลับก่อนเดินจากไปนั้นมันฝังใจดิเรกถึงทุกวันนี้
“ไม่ครับพ่อ ผมกับแม่มีกินมีใช้”
แล้วมิ่งเดินหันหลังไปโดยไม่หันมามอง ดิเรกนั้นพูดไม่ออกได้แต่มองหน้าภรรยาเก่าและขอตัวเดินกับมาที่ภรรยาใหม่ที่ยืนอุ้มลูกสาวและมองมา ก่อนที่จะตัดสินใจพากลับกรุงเทพ พูดถึงตรงนี้น้ำตาของดิเรกที่กลั้นมาตั้งแต่อยู่ที่ระยองก็ไหลออกมาเป็นสายให้ลูกสาวเห็น
“นี่คือคำตอบของเด็ก 6 ขวบนะวุ้น เค้าคงฝังใจมาก”
เสียงอันสั่นเครือจากผู้เป็นพ่อ
“โธ่คุณพ่อ”
เธอพูดออกมาด้วยความสงสารที่เห็นพ่อเป็นแบบนี้แล้วถามต่อไปว่า
“แล้วคุณแม่ว่ายังไงคะ”
“แม่ของลูกพอกลับมาที่กรุงเทพก็บอกพ่อว่า ให้ไปรับมิ่งมาเรียนต่อที่นี่ แม่เค้าจะออกค่าใช้จ่ายให้เพราะสงสารที่เห็นมิ่งยังเด็กเล็กอยู่มาต้องช่วยงานแม่ แต่พ่อมันขี้ขลาดไม่กล้าจนผ่านไป 1เดือนพ่อถึงรวบรวมความกล้ากลับไปที่พัทยาอีก แต่แผงที่แม่ของมิ่งขายอาหารก็ปิดไปแล้ว พ่อไปถามคนแถวนั้นก็บอกว่าปิดร้านแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น พ่อได้แต่ขับรถไปดูที่บ้านแต่ก็ไม่กล้าลงไป เพราะตอนนั้นพ่อกลัวตากับยายของมิ่งมาก ทั้งคู่สาปส่งพ่อที่ทิ้งลูกกับเมีย หลังจากนั้นพ่อก็ไม่ได้ข่าวทั้งคู่อีกเลย แต่พ่อรู้ว่าตากับยายของมิ่งมีสวนที่ระยอง พ่อให้คนไปสืบดูแต่ไม่รู้ว่าสองแม่ลูกไปอยู่ที่ไหน ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนพ่อได้ขึ้นมาดูบริษัทแทนตาของเราพ่อไม่เคยลืมมิ่งกับแม่เค้าเลยแต่ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน จนถึงวันนี้พ่อถึงได้เจอเค้า”
ดิเรกพูดพร้อมเช็ดน้ำตาไปด้วยแล้วเล่าต่อไปว่า ทันทีที่รู้ว่าที่ดินเป็นของอดีตภรรยากับลูกชาย ดิเรกได้เรียกอ็อดมาสอบถามรายละเอียดอีกครั้ง จนรู้ว่าแม่ของมิ่งนั้นไปอยู่ที่เชียงใหม่กับน้องสาว และมีสวนสตอเบอร์รี่ สวนลำไยเป็นของตนเองร่วมกับน้องสาวส่วนมิ่ง อ็อดบอกว่าเหมือนจะพึ่งกลับจากสหรัฐและดูคล้ายๆกับเป็นทหารด้วย แต่ตอนไปเจรจา อ็อดนั้นไม่ได้ขึ้นไปบนบ้านได้แค่คุยที่หน้าบ้านเท่านั้น
“แล้วคุณอ็อดบอกหรือเปล่าคะว่า บ้านเค้าอยู่ที่ไหน”
พอผู้เป็นพ่อบอกว่าอยู่ใกล้ๆรีสอร์ทชื่อดังที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปพอสมควร วุ้นก็รู้ได้ทันที ดิเรกบอกต่อไปว่าอ็อดรายงานสภาพของบ้านนั้นก็ดูดีมีฐานะพอสมควรและพื้นที่กว้างขวางแต่ไม่แน่ใจว่ามีสวนที่ดูแลอยู่กี่ไร่ แสดงว่าทั้งสองแม่ลูกก็ไม่ขัดสนนัก เพราะดิเรกรู้ดีว่าอดีตพ่อตากับแม่ยายของตนเองนั้นก็ใช่ว่าจะยากจนเท่าไหร่พอจะมีที่เป็นของตนเอง และมิ่งเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของฝ่ายแม่ตามที่อ็อดและฝ่ายนิติกรบอกมา ดิเรกสะอื้นออกมาก่อนบอกลูกสาวว่า ตลอดเวลาเกือบ 30 ปี เรื่องนี้มันฝังลึกเป็นตราบาปอยู่ในใจ ลูกสาวได้แต่กอดผู้เป็นพ่อ
“จริงๆต้องขอบใจไวย์มันที่ทำให้พ่อได้เจอมิ่งอีกครั้ง พ่อรู้แล้วละว่าต้องเจออะไรจากมิ่งในวันนี้ เค้าแสดงความเกลียดพ่อออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่เรียกพ่อว่าพ่อสักคำ เค้าเรียกพ่อครั้งสุดท้ายว่าพ่อ ก็ตอนเจอกันที่พัทยา วุ้นคงจำได้ที่เค้าพูดถึงเงินพันบาทใส่หน้าพ่อ มันคงฝังใจเค้ามาก พ่อยังเก็บแบ็งค์ 500 สองในนั้นใส่กรอบไว้หลังโต๊ะพ่อเลย มันจะได้เตือนใจในความเลวของพ่อ”
เธอทอดสายตามองไปที่ตู้หลังโต๊ะทำงานมีกรอบที่ใส่แบ็งค์ 500 ไว้ สองใบ วุ้นจำได้ว่าเห็นตั้งแต่เด็กๆ เธอเคยถามพ่อว่าใส่กรอบไว้ทำไม แต่ไม่เคยได้คำตอบจากพ่อเลย จนมารู้ในวันนี้ เธอนั้นสับสนและเห็นใจทั้งสองฝ่าย มันไม่ผิดหรอที่มิ่งทำตัวแบบที่เห็นในวันนี้แต่เธอก็ยังเห็นใจพ่อของเธอกับเรื่องที่เกิดขึ้น รวมถึงแม่ของเธอด้วย เพราะยังไงทั้งสองก็คือบุพการีของเธอ จนดิเรกนั้นตั้งสติได้ เธอจึงถามพ่ออีกครั้งว่า
“แล้วเราจะทำอะไรต่อไปคะพ่อ”
“ก็ทำตามข้อตกลงนะวุ้น เพราะยังไงพ่อก็ต้องรักษาชื่อเสียงของบริษัทเราด้วย วุ้นเตรียมสั่งไปทางบัญชีกับการเงินว่าให้เตรียมทำงบเรื่องนี้นะ แต่เอาเฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการปรับพื้นที่และก่อสร้างคืนให้กับมิ่งเท่านั้น เพราะตรงนี้พ่อมองว่าบริษัทต้องรับผิดชอบ ส่วนค่าเสียหายและค่าปรับที่จะเกิดขึ้น พ่อจะใช้เงินเก็บของพ่อเอง”
“ทำไมละคะพ่อ ทำไม่พ่อต้องจ่ายเงินเอง”
“เอาเหอะลูก ทำตามที่พ่อสั่ง เพราะ 60 วันพ่อดูแล้วคืนไม่ได้แน่นอน อย่างน้อยใช้เวลาเกือบ ๆ3เดือน และต้องทำทั้ง 24 ช.ม.”
“แต่พ่อเสนอคุณมิ่งเองนี่คะ”
“ใช่ลูก พ่อต้องทำแบบนั้น เพราะถ้าไปยืนยันว่า 90 วัน มิ่งไม่ยอมแน่เราก็จะถูกดำเนินคดีแน่นอนลูก พ่อต้องใช้วิธีนี้ก่อนและหาทางคุยกับเค้าอีกทียังไงเค้าก็เป็นลูก พ่อเป็นฝ่ายผิดพ่อถึงไม่ต่อรองอะไรมากพ่อได้เบอร์เค้าจากอ็อดมาแล้ว”
“แต่วุ้นกลัวคะพ่อ เห็นที่เค้าทำกับชัยวันนี้แล้ว มันน่ากลัวมาก”
“ก็สมควรชัยมันต้องเจอแบบนี้กร่างมาตลอด เพราะไวย์ให้ท้ายมันทุกครั้ง พออ็อดบอกมาว่ามิ่งเหมือนทหาร พ่อเลยให้รอดไปสืบหาข้อมูลไงลูก พ่อก็อยากรู้ว่ามิ่งไปอยู่เมืองนอกนานขนาดไหนและทำงานอะไร ถ้าเป็นทหารรอดอาจหาข้อมูลได้ แต่พ่อเดาว่ามิ่งไปอยู่กับลุงเค้าแน่นอน เพราะพี่ชายคนโตของแม่มิ่งนั้นไปทำงานที่อเมริกาตั้งนานแล้วส่วนน้องสาวนั้นพ่อเคยได้ยินว่าทำงานอยู่ทางเหนือแต่ไม่รู้ว่าจังหวัดอะไร ส่วนเรื่องเป็น ซีลหรืออะไรนั่นพ่อไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่พ่ออยากรู้ว่ามิ่งยังเป็นทหารอยู่หรือลาออกกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วเท่านั้น แค่รู้ว่าสองแม่ลูกมีความสุขมีกินมีใช้พ่อก็ดีใจแล้วลูก”
“คะพ่อแล้ว วุ้นจะรีบทำตามที่พ่อบอก เอ่อแล้วเราเรียกคุณขวัญมาคุยเลยไหมคะ”
“เอาสิลูก ส่วนเรื่องชัย พ่อวานให้วุ้นไปบอก HR. ว่าพ่อสั่งให้ตัดเงิน 10 % 1เดือนฐานช่วยกันปกปิดเรื่องของไวย์และออกใบเตือนด้วยเป็นเตือนครั้งสุดท้าย เพราะถือว่าเรื่องที่ผ่านมาและเรื่องวันนี้เป็นความผิดที่ร้ายแรง”
“คะพ่อ”
ดิเรกนั้นเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำส่วนตัวส่วนวุ้นนั้นรอให้พ่อออกมาจากห้องน้ำเสียก่อนแล้วนั่งปรับอารมณ์ให้เป็นปกติก่อนจึงโทรศัพท์ภายในเชิญเลขาของบิดาเข้ามา พอขวัญเดินเข้ามา ดิเรกเรียกให้มานั่งที่โซฟาร์รับแขก
“มานั่งนี่สิขวัญ ไม่ต้องจดอะไรหรอกเพราะจะเรียกมาถาม”
ดิเรกบอกเลขาคู่ใจเมื่อเห็นขวัญเตรียมสมุดจดเข้ามาด้วย ขวัญทำตามที่เจ้านายบอกก่อนที่ดิเรกจะถามว่า
“เราทำงานด้วยกันมากี่ปีแล้วขวัญ”
“6 ปีจวนจะ 7ปีแล้วคะท่าน”
“นานจนเราทำงานรู้ใจกันดี เพราะที่ผ่านมาขวัญก็ช่วยงานผมกับครอบครัวได้อย่างดีจนเราเห็นขวัญเป็นคนในครอบครัวนะ ขวัญคงรู้ดีว่าผมกับวุ้นจะคุยเรื่องอะไรกับขวัญ”
“พอจะเดาออกคะท่าน”
“ก่อนผมจะถามขวัญผมบอกขวัญก่อนนะ มิ่งเป็นลูกภรรยาเก่าของผมเองแต่เราไม่เจอกันมานานมากแล้ว และผมเห็นตอนที่ขวัญเข้าไปห้ามและเรียกชื่อเหมือนคนคุ้ยเคยเลยอยากรู้เรื่องของมิ่งนะ”
เธอตัดสินใจเล่าให้สองพ่อลูกฟัง เรื่องเกี่ยวกับมิ่งและยอมรับว่าเป็นแฟนกัน แต่ข้ามไปเรื่องความสัมพันธ์อันลึกซึ้งและสาเหตุที่เธอเลิกกับมิ่ง เธอเล่าให้ฟังปิดท้ายว่า เธอกลับเมืองไทยเพราะทางบ้านเรียกตัวกลับและพอจะรู้ว่ามิ่งกำลังไปสมัครเป็นทหารแต่หลังจากนั้นเธอไม่ทราบเพราะไม่ได้ติดต่อกันจนมาเจอกันวันนี้ พอฟังจบเจ้านายผู้พอจะเดาอะไรออกก็บอกมาว่า
“จริงๆผมก็รักขวัญเหมือนลูกสาวนะ แต่แบบนี้คงเรียกลูกได้เต็มปากแล้วแต่ก็ดีนะที่มิ่งเรียนจบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยมีชื่อซะด้วย”
เธอได้แต่ยิ้มๆไม่พูดอะไรแต่วุ้นก็ถามถึงนิสัยใจของของพี่ชายคนละมารดาต่อไป ขวัญก็ตอบไปว่า มิ่งก็นิสัยดีสุภาพ แต่ที่เห็นวันนี้มันไม่ใช่มิ่งที่เธอรู้จัก ทั้งใบหน้าและแววตา มิ่งเปลี่ยนไปมาก ดิเรกได้ถามต่อไปอีกว่า
“แล้วมิ่งเค้าอยู่กับใคร ขวัญรู้ไหม”
“อยู่กับลุงและป้าคะ ลุงเป็นคนไทยป้าเป็นคนอเมริกัน เปิดร้านมินิมาร์ทอยู่ที่นั่น”
ซึ่งเป็นไปตามที่ดิเรกคาดการณ์ไว้ ขวัญเล่าต่อไปว่า มิ่งนั้นจะกลับมาเยี่ยมแม่และน้าสาวที่เมืองไทยทุกปีประมาณ 2อาทิตย์ช่วงหยุดฤดูร้อน เล่าถึงตรงนี้เธอก็สะดุดไปชั่วครู่เพราะนึกถึงความหลังที่เป็นเหตุให้เลิกรากับมิ่ง จนชายหนุ่มนั้นเจ็บช้ำน้ำใจถึงทุกวันนี้ ดิเรกถามต่อไปว่ามิ่งเล่าเรื่องของพ่อให้ฟังหรือไม่ ขวัญนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนบอกว่ามิ่งไม่เคยเล่า เล่าให้ฟังแต่เรื่องว่าอยู่กับแม่เท่านั้น เคยถามถึงพ่อมิ่งก็นิ่งเฉยไม่ตอบอะไร เธอเลยไม่กล้าถามถึงอีก สองพ่อลูกฟังและเก็บข้อมูลไว้ ก่อนที่จะอนุญาตให้เลขาออกไปนอกห้อง วุ้นเห็นผู้เป็นพ่อเอามือลูบหน้าก่อจะเอานิ้วไปกดตรงเปลือกตา เธอนั้นห่วงตรงเรื่องที่พ่อเธอเครียดเพราะดิเรกมีโรคประจำตัวคือความดัน วุ้นบอกพ่อไปว่า
“พ่อคะวุ้นจะช่วยพ่อเต็มที่ในเรื่องนี้คะ ทุกอย่างมันต้องจบลงด้วยดี”
อีก 3 วันต่อมา มิ่งขับรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ของผู้เป็นน้าสาวเลี้ยวเข้ามาจอดในบ้าน ท่ามกลางเสียงเห่าต้อนรับของสุนัขพันธ์อัลเซเขี่ยนของน้าสาวที่ดูออกว่าดีใจอย่างมากที่เห็นรถ ทันทีที่มิ่งลงจากรถสุนัขวิ่งเข้ามารับเจ้านายคนใหม่ทันที มิ่งก้มไปเล่นกับมันสักครู่ก่อนสะพายเป้เดินไปที่บ้าน แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองตรงประตูเห็นผู้เป็นแม่ยืนมองมา หญิงสูงวัยมองลูกชายที่เดินขึ้นบันไดมาแล้วทักว่า
“ขับรถมาไกลๆเหนื่อยมั้ยลูก ทำไมกลับมาช้าจังแม่นึกว่าน่าจะถึงเร็วกว่านี้ ”
“ไม่เท่าไหร่ครับแม่ ขับข้ามรัฐยิ่งกว่านี้ ส่วนที่ช้ามิ่งแวะโชว์รูมดูเรื่องรถที่ซื้อไว้ละครับอยากรู้ว่ามาหรือยัง และน้าปราณีละครับ”
“ยังอยู่ในสวนนะลูก”
ผู้เป็นมารดามองดูลูกชายที่ถอดรองเท้าแล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้รับแขก เธอเดินมานั่งตรงข้ามบุตรชายก่อนถามว่า
“แล้วเรื่องไปถึงไหนละลูก แล้วพ่อเป็นยังไงบ้างสบายดีหรือเปล่า”
แล้วเป็นอย่างที่ผู้เป็นแม่คิด แววตาที่เรียบเฉยเหมือนไร้ความรู้สึกพร้อมกับใบหน้าที่นิ่งของลูกชายไม่แสดงอะไรออกมาก่อนที่มิ่งจะตอบแม่ว่า
“ทำสัญญาแล้วครับ มิ่งให้ทนายตรวจดูแล้ว ก็ตามสัญญาที่ระบุไว้ต้องทำให้เหมือนเดิมก่อนคืนที่ภายใน 60 วัน ล่าช้ากว่ากำหนดปรับวันละ 5แสนค่าปรับจ่ายทุกวันถ้าจ่ายไม่ตรงก็มีดอกเบี้ยตามกฎหมาย และเค้าให้ค่าเสียหายมา 40 ล้าน”
มิ่งหันไปล้วงเอาเช็คและสัญญาที่ใช้คลิปหนีบรวมกันมาเรียบร้อยอยู่ในซองพลาสติกออกจากเป้และส่งให้มารดา แต่ผู้เป็นแม่ไม่รับกลับทำหน้านิ่งเฉย บอกกลับไปยังลูกชายว่า
“คืนพ่อเค้าเถอะลูก เงินตั้งเยอะ แม่บอกแล้วตั้งแต่มิ่งโทรมาบอก ว่าแม่ไม่เอา ค่าปรับนั้นก็ไม่เอา แม่ไม่ต้องการอะไร ได้ที่ของตายายคืนมาก็พอแล้ว”
“แต่แม่ครับ ทางนั้นทำผิดเต็มๆนะครับ ถ้าเพื่อนของน้าปราณีไม่โทรมาบอก กว่ามิ่งจะไปดูมันอาจจะเสียหายกว่านี้นะครับ คิดดูเค้าใช้อิทธิพลทำโฉนดปลอมขึ้นมา ถ้าแม่ไม่ห้ามไว้แต่แรก มิ่งแจ้งความไปแล้วครับ”
“ก็นั่นแหละลูกแล้วจะให้แม่หนักใจไปกว่านี้หรือ ถ้าแม่ไม่ห้ามก็จะมีข่าวลูกชายจะแจ้งความพ่อตัวเองนะ แต่พ่อเค้าก็คืนไม่ใช่หรือไง เลิกรากันไปดีกว่าลูก”
“เราไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับเค้าก่อนนะครับ ฝ่ายเค้าต่างหากที่ก่อเรื่อง”
พอผู้เป็นแม่นิ่งเงียบ ลูกชายไม่พูดอะไรต่อเพียงแต่เดินเอาซองพลาสติกไปที่ตู้เก็บของเปิดลิ้นชักที่เอาไว้เก็บเอกสารโดยเฉพาะก่อนจะเอาเช็คและเอกสารสัญญาไปเก็บในลิ้นชักแล้วหันมาบอกผู้เป็นแม่ว่า
“มิ่งเอาไว้ในนี้นะ จะให้เอาไปฝากธนาคารเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกันเพราะทางนั้นเค้าจ่ายให้เป็นชื่อของแม่มิ่งจะได้ไปเข้าบัญชีแม่ให้”
พูดจบมิ่งเดินสะพายเป้ขึ้นไปชั้นบนโดยไม่ฟังคำตอบอะไร ผู้เป็นแม่ได้แต่ถอนหายใจและมองไปที่รูปในกรอบที่ประดับไว้ข้างฝาบ้านกับบนชั้นวางของ จะมีรูปของมิ่งตั้งแต่วันที่รับปริญญาที่ถ่ายคู่กับลุงและป้า รูปของมิ่งในชุดทหารเรือสหรัฐที่ถ่ายคู่กับธงชาติสหรัฐที่มีเหรียญตราเครื่องหมายต่างๆติดเต็มหน้าอก รูปที่อยู่ในชุดลายพรางที่ดูพะรุงพะรังพร้อมอาวุธและใบหน้าที่มีหนวดเครา รวมถึงรูปที่อยู่ในชุดธรรมดาแต่สวมเสื้อเกราะถือปืน เดินนำหน้าบุคคลสำคัญ รูปเหล่านี้ผู้เป็นลุงของมิ่งเป็นคนส่งมาให้ทุกครั้ง แล้วมองไปทางบันไดที่ลูกเดินขึ้นไปชั้นบน มิ่งเปลี่ยนไปมากตั้งแต่ลาออกจากทหารแล้วกลับมาอยู่กับเธอครั้งนี้โดยเฉพาะแววตาที่บางครั้งดูเหมือนจะเหม่อลอย ไร้ชีวิตชีวา
เธอเป็นคนตัดสินใจส่งลูกชายคนเดียวไปอยู่กับพี่ชายของเธอที่สหรัฐตั้งแต่มิ่งอายุได้ 7 ขวบ เหตุผลเพราะเธอกลัวลูกจะจมอยู่กับความเศร้าเรื่องของพ่อรวมถึงที่คนรอบข้างโดนล้อว่าไอ้ลูกพ่อทิ้ง หรือไม่ก็พ่อไปมีเมียใหม่ทิ้งให้อยู่กับแม่ เธอไม่อยากให้ประโยคเหล่านี้บั่นทอนจิตใจเด็กที่กำลังเริ่มโต เธอจำได้ดีวันที่เธอเจอสามีเก่ากับภรรยาและลูกที่ยังเล็กอยู่ แต่หลังจากที่ผู้เป็นพ่อยื่นเงินให้กับลูกชายและมิ่งเดินหนีกลับมาที่บ้าน เธอตามกลับมาและพบว่ามิ่งนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในห้องนอนด้วยความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่รู้จะปลอบลูกยังไงจนพ่อกับแม่เธอกลับมาจากสวนที่ระยอง ต้องมาช่วยกันปลอบหลาน
ไม่ใช่เธอจะไม่เสียใจเพราะตั้งแต่สามีเธอไปมีครอบครัวใหม่ซึ่งช่วงแรกๆทำความปวดร้าวเสียใจให้กับเธอเป็นอย่างแต่ยังมีมิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้เธอปลงตกคิดว่าทำบุญร่วมกันด้วยกันมาแค่นี้ แม้ทางญาติฝ่ายเธอถึงจะสาปแช่งอดีตสามีของเธอก็ตามที ถึงลูกชายจะดูโกรธพ่อมากที่ทำแบบนี้ มิ่งโตพอที่จะเข้าใจแล้ว แถมยังมาถูกล้อเลียนจากเพื่อนๆอีกยิ่งเหมือนการตอกย้ำปมของมิ่ง
แต่เหมือนโชคเข้าข้างจากนั้นไม่กี่วันพี่ชายเธอที่เปิดร้านขายของและแต่งงานกับคนอเมริกัน กลับมาเยี่ยมบ้าน และพี่ชายเธอที่รู้เรื่องมาตลอดเอ่ยปากให้มิ่งไปอยู่ด้วยกันที่สหรัฐจะช่วยส่งเสียให้เพราะพี่ชายเธอไม่มีลูก เธอตัดสินใจรับคำทันทีและมิ่งก็เห็นด้วย พี่ชายเธอให้มิ่งเรียนภาษาเพื่อเตรียมตัวไปอยู่สหรัฐ 1ปีและเธอตัดสินใจเลิกทำร้านอาหารเพราะกลัวจะมีอะไรมากระทบจิตใจลูกชายอีก และพามิ่งย้ายไปอยู่บ้านสวนที่ระยองแทน เธอจะได้ช่วยพ่อกับแม่ดูแลสวนด้วยพร้อมกับเปลี่ยนนามสกุลของมิ่งมาให้ใช้นามสกุลของทางฝ่ายเธอซึ่งเธอกับพ่อของมิ่งก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
พอมิ่ง 7 ขวบพี่ชายเธอก็บินมารับหลานเธออำลาลูกทั้งน้ำตาตอนไปส่งมิ่งกับพี่ชายเธอที่สนามบินเพื่อเดินทางไปสหรัฐ และเธอตัดสินใจไปช่วยน้องสาวที่ทำงานอยู่ที่เชียงใหม่และเริ่มจะขยับขยายซื้อที่เพื่อปลูกผลไม้เมืองหนาว ปล่อยให้พ่อกับแม่เธอดูและสวนที่ระยองแทน มิ่งติดต่อเธอตลอดทั้งทางจดหมายและโทรศัพท์ และนานๆทีพี่ชายก็พาลูกกลับมาเยี่ยมเธอจน พ่อกับแม่เธอเสียชีวิตลง ที่ดินที่ระยองก็ตกเป็นของเธอ เธอปล่อยให้พื้นที่ส่วนนั้นว่างเปล่า เพื่อรอลูกชายกลับมาดูแล
มิ่งนั้นตอนที่เรียมหาวิทยาลัยจะบินกลับมาเยี่ยมเธอทุกปี จากเด็กน้อยกลายเป็นเด็กหนุ่มแต่มิ่งในตอนนั้นแทบจะไม่เปลี่ยนแม้จะมีความเป็นฝรั่งอยู่บ้าง แถมเข้าคู่กับน้าสาวได้อย่างดีเพราะน้องสาวเธอติดนิสัยห้าวๆ และไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว ซึ่งเธอก็ถามลูกชายตลอดว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทยหรือไม่ แต่ลูกชายไม่รับปากจนเรียนจบ มิ่งอยากให้เธอไปงานรับปริญญา แต่ชีวิตเธอไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศและตั้งแต่ย้ายมาที่เชียงใหม่เธอแทบไม่ได้ไปไหนเลย ยกเว้นเวลากลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ระยองขนาดตัวเมืองยังนานๆไปที เธอเลยบอกลูกชายว่าไม่ไปจะรอแสดงยินดีอยู่ที่บ้าน มิ่งนั้นเหมือนจะรู้เหตุผลก็ไม่เซ้าซี้ผู้เป็นแม่เท่าไหร่ แต่เธอก็เฝ้ารอว่ามิ่งเรียนจบแล้วคงกลับมาอยู่เมืองไทย แต่ทุกอย่างผิดคาด พี่ชายเธอโทรมาบอกว่าหลานชายตัดสินใจสมัครเข้าเป็นทหารเรือของสหรัฐ โดยไม่บอกเหตุผลอะไรมาก
แต่แล้วเธอก็มารู้ภายหลังว่าลูกชายไปสมัครเป็นหน่วยซีล ซึ่งตอนแรกเธอนั้นไม่รู้เรื่องว่ามันคืออะไร จนน้องสาวไปช่วยหาข้อมูลมาให้ ซึ่งทำให้พอจะรู้ว่าหน่วยซีลมันคืออะไรมันสร้างความหวาดหวั่นให้กับเธอมากยิ่งขึ้น จนรู้ข่าวว่ามิ่งฝึกเสร็จหลังจากนั้นลูกชายก็ติดต่อมาบ้าง บางทีก็หายไป 3-4 เดือนแต่ยังดีที่เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาขึ้นมากทำให้มิ่งติดต่อกับผู้เป็นแม่และน้าได้สะดวกขึ้น แต่พอมีข่าวทหารสหรัฐโดนลอบโจมตีหรือทหารสหรัฐเสียชีวิตในประเทศต่างๆ เธอจะรีบโทรหาลูกชายทุกครั้งถ้าติดต่อไม่ได้เธอก็โทรไปหาผู้เป็นพี่ชาย
แต่พี่ชายก็จะตอบว่าไม่รู้ว่ามิ่งอยู่ที่ไหน แต่พอมิ่งโทรติดต่อมาเธอโล่งใจทุกทีไป ทุกคืนก่อนนอนทั้งพี่สาวและน้องสาวจะช่วยกันสวดมนต์ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองมิ่งตลอด เพราะสิ่งที่เธอเห็นไม่ว่าจะดูจากโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ ข่าวที่ออกมาในสงครามที่สหรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องมันดูน่ากลัวเหลือเกินสำหรับผู้เป็นแม่ที่มีลูกชายคนเดียว
หลายครั้งที่ผู้เป็นลุงจะส่งข่าวมาบอกว่า หลานชายได้เลื่อนยศบ้างติดเหรียญบ้าง เธอนั้นไม่เคยสนใจ สนแต่ของให้ลูกตัวเองปลอดภัย พี่ชายเธอจะส่งรูปของมิ่งมาให้บ่อยครั้ง บางรูปเป็นรูปที่ได้จากสื่อ เธอก็จะเอามาใส่กรอบตั้งบนโต๊ะบ้างแขวนผนังบ้าง มีบางครั้งที่มิ่งลาพักได้ก็จะกลับมาหาเธอเกือบทุกครั้ง หรือไม่มิ่งก็จะบอกว่ามาฝึกที่เมืองไทยแล้วลามาเยี่ยมแม่กับน้า แต่บางทีมิ่งทำเอาเธอตกใจเพราะมิ่งไว้ผมยาว มีหนวดเคราเฟริ้มจนเธอขอร้องให้โกนแต่ลูกชายก็บอกว่าโกนยังไม่ได้เพราะเกี่ยวกับงานที่ต้องทำ
มิ่งมักจะไม่ค่อยเล่าให้ฟังถึงเรื่องการทำงานเท่าไหร่นัก ส่วนเธอก็ไม่ค่อยสนใจแต่ก็แอบภาวนาให้ลูกลาออกจากทหารมาตลอด ยิ่งช่วงหลังๆที่มิ่งมาเยี่ยม มิ่งดูเป็นคนเคร่งขรึมไปรวมถึงแววตาก็เปลี่ยนไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่มิ่งไม่เคยเอ่ยถึงคือเรื่องของพ่อ บางทีผู้เป็นแม่จะพูดถึงแต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือความนิ่งเฉย จนไม่นานมานี้สิ่งที่เธอภาวนาก็เป็นความจริง
มิ่งโทรมาบอกเธอว่าจะลาออกจากการเป็นทหาร โดยบอกว่าเบื่อหน่ายกับชีวิตทหารจะขอกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย มาช่วยแม่กับน้าดูแลสวนที่กิจการกำลังไปด้วยดี และลุงก็ไม่ห้ามปรามแต่เห็นดีด้วย ซึ่งผู้เป็นน้านั้นดีใจอย่างมากเมื่อหลานชายบอกว่าจะมาอยู่ด้วย ผู้เป็นน้ารีบไปสั่งคนงานให้ทำป้ายชื่อของไร่ทันทีทั้งที่ก่อนหน้านี้ สวนแห่งนี้ไม่เคยมีชื่อ มีแต่คนเรียกว่าสวนของป้าอำไพซึ่งเป็นชื่อของเธอหรือไม่ก็สวนน้าปราณีซึ่งเป็นชื่อของน้องสาวจนติดปากไปทั่ว น้องสาวเธอให้คนงานทำป้ายชื่อว่า “ไร่มิ่งมงคล” ซึ่งนำมาจากชื่อเล่นและชื่อจริงของหลานชายมารวมกัน แต่เธอก็ทักไปว่าทำไมเอาชื่อนี้เพราะที่ดินส่วนใหญ่เป็นของน้องสาวคำตอบคือ “อีกหน่อยเราก็ไม่อยู่กันแล้ว ที่ดินก็ต้องเป็นของมิ่งตั้งชื่อให้มันซะก่อนเลย” และพอมิ่งมาเห็นป้ายทำเอาหัวเราะชอบใจใหญ่ซึ่งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนี้ทั้งคู่แทบไม่ค่อยได้เห็นในระยะหลังตั้งแต่มิ่งเป็นทหารหน่วยซีล หลังจากที่มิ่งกลับมาอยู่เมืองไทยเรียบร้อย เอกสารทุกอย่างไม่เป็นปัญหา ต้องชมพี่ชายเธอที่วางแผนไว้ล่วงหน้าที่พามิ่งมาเมืองไทยช่วงทำอายุครบทำบัตรประชาชนและช่วงที่บัตรหมดอายุมิ่งก็เข้ามาทำทุกครั้ง ส่วนเรื่องทำใบขับขี่ไม่มีปัญหาและด้วยความที่น้าสาวของมิ่งเป็นคนกว้างขวางรู้จักคนไปทั่วและมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น ทำให้ทุกอย่างสะดวกขึ้น
มิ่งเข้ามาช่วยศึกษางานจากน้าสาวอย่างจริงจัง ทำให้ทั้งแม่และน้าสาวดีใจอย่างมากที่มิ่งลาออกจากทหารและมาช่วยงาน มิ่งได้ซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายมาไว้ตรงลานโรงรถเก่าข้างบ้าน มิ่งบอกกับแม่ว่ามันติดการออกกำลังจากการเป็นทหารเลยซื้อมา และได้ซื้อรถกระบะขับเคลื่อน4ล้อ 4 ประตู มาใช้ มิ่งบอกว่าได้เงินจากการเป็นทหารมาเยอะ เลยอยากมีรถเป็นของตนเองแทนที่จะเอารถน้าสาวมาใช้
ต่อมาเพื่อนของน้องสาวที่อยู่ระยองได้โทรมาบอกว่า ที่ดินที่ระยองนั้นมีคนมาบุกรุกมีการกั้นรั้วเพื่อก่อสร้างรีสอร์ทเธอให้มิ่งไปดู มิ่งหาข้อมูลทันทีและบอกเธอว่าบริษัทที่รุกล้ำที่เป็นของอดีตสามีของเธอ ทำเอาเธอตกใจและดูออกว่าลูกชายโกรธมากแล้วมิ่งรีบเอาโฉนดและเดินทางไปที่ระยอง แต่ก่อนไปเธอได้เตือนสติว่าให้พูดจากันดีๆ จนลูกชายโทรมาบอกว่าจะเตรียมแจ้งความและฟ้องศาลเพราะคนของบริษัทพูดจาไม่ดีและทำท่าจะไม่คืน เธอสั่งให้ลูกชายกลับมาที่เชียงใหม่ก่อน พอกลับมาถึงเธอสอบถามรายละเอียดก็รู้ว่าพ่อกับลูกยังไม่เจอกัน เธอได้ขอร้องว่าอย่าให้มิ่งทำอะไรลงไปทั้งนั้นรอให้คนของอดีตสามีมาติดต่อก่อน
และเป็นอย่างที่คาด วันรุ่งขึ้นมีชายที่อ้างว่าเป็นนายหน้าตามมาเจรจาถึงบ้านพร้อมกระเช้า เพื่อขอโทษว่าและบอกว่าจะขอซื้อที่ และเป็นมิ่งที่ไม่ยอมรับกระเช้าและไม่ยอมเจรจา จนนายหน้ากลับไปพร้อมคำอ้อนวอนว่าอย่าให้เรื่องถึงตำรวจหรือศาลจะรีบแก้ปัญหาให้ จนนายหน้ามาครั้งมิ่งก็ยืนยันคำเดิม การเจรจาไม่เป็นผลและมิ่งหาทนายเพื่อเตรียมฟ้องร้องแต่เธอของร้องผู้เป็นลูกไว้อีกครั้ง เพราะเธอกลัวเรื่องจะบานปลายแถมเป็นเรื่องเกี่ยวกับอดีตสามีเธอไม่อยากให้ลูกกับพ่อมีปัญหากัน
จนมีการนัดเจรจาอีกครั้ง โดยทางนายหน้าแจ้งมิ่งมาว่า ทางเจ้าของบริษัทจะเจรจาเองและพร้อมจะไปเจรจาในทุกที่ที่มิ่งสะดวกรวมถึงอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง มิ่งนัดไปเจอที่ระยอง ก่อนที่ลูกชายจะขับรถของน้าสาวไปเธอได้บอกกับลูกชายอีกครั้งว่าอีกฝ่ายถึงจะผิดแต่ยังไงก็คือผู้ให้กำเนิดมิ่งและเธอไม่ต้องการอะไรนอกจากได้ที่คืนเท่านั้น จนมิ่งโทรมาบอกว่าฝ่ายนั้นยอมคืนที่ให้และปรับปรุงให้เหมือนเดิม ในส่วนเรื่องของบ้านและศาลาเธอไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ปล่อยให้มันชำรุดทรุดโทรมไปตามสภาพเพราะไม่เคยไปดูแล
แต่มันมีความหมายสำหรับมิ่งมาก ถึงมิ่งจะอยู่ที่บ้านหลังนั้นปีเศษๆ แต่มันทำให้เด็กชายในตอนนั้นคลายความทุกข์เรื่องของพ่อไปได้บ้าง แถมผู้เป็นตากับยายก็เอาใจหลานทุกอย่าง ไม่ว่าจะสร้างศาลาให้ไปนั่งเล่น ขยายบ่อน้ำให้มิ่งลงไปว่ายน้ำได้ตามใจชอบ แต่พอถามถามถึงเรื่องผู้เป็นพ่อ มิ่งไม่ตอบอะไรบอกแต่ได้เช็คมาแล้วจะให้เอาเข้าธนาคารเลยหรือไม่ แต่เธอสั่งให้ลูกนำเช็คกลับมาด้วยอย่าพึ่งไปทำอะไร จนถึงตอนนี้ ผู้เป็นแม่ได้แต่นั่งกลุ้มเพราะรู้ว่าปัญหามันไม่จบแค่นี้แน่นอน ยิ่งมันไปเกี่ยวข้องกับครอบครัวของอดีตสามีรวมถึงทิฐิของลูกชายตนเองด้วย
ฝ่ายมิ่งหลังจากเข้าห้อง ชายหนุ่มโยนเป้ไปปลายเตียงและล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับนึกว่าอยากมาใช้ชีวิตสงบๆที่เมืองไทยแต่กับมาเจอปัญหาถึง 2เรื่อง ทั้งเรื่องผู้เป็นพ่อกับเรื่องของอดีตแฟน มิ่งได้แต่คิดว่าโลกมันกลมจริงๆ ไม่อยากเจอก็มาเจอ มิ่งนั้นโกรธพ่อมาจนกลายเป็นความเกลียดจากเรื่องที่พ่อได้ทิ้งตนเองกับแม่ไปแต่งงานใหม่ จากภาพที่พ่อเป็นวีรบุรุษกลายเป็นซาตานไปในทันที ยิ่งมาโดนล้อจากคนรอบข้างยิ่งทำให้ตัวเองอับอาย และทำให้สงสารแม่ยิ่งขึ้นที่นอนร้องไห้เกือบทุกคืนตอนพ่อจากไปใหม่ๆ เด็กชายช่วยแม่ทุกอย่าง ที่จะช่วยได้ กลับจากโรงเรียนก็ไปช่วยแม่ที่แผงขายอาหารช่วยแม่ทุกเรื่องในที่วัยของตนเองอำนวยและถึงกลับไปทำการบ้านหลังจากเก็บร้าน วันหยุดก็มาช่วยแม่ตลอดปล่อยให้ตากับยายไปดูแลสวนที่ระยอง จนมาเจอพ่ออีกครั้งทั้งความโกรธแค้นความเกลียด ทำให้มิ่งปฏิเสธเงินจากพ่อและเดินกลับมาร้องไห้ที่บ้าน
จนลุงมาเยี่ยมและเอ่ยปากชวนให้มิ่งไปเรียนที่อเมริกา มิ่งตอบตกลงทันทีเพราะไม่อยากเจอพ่ออีก และแม่พาย้ายไปอยู่ที่ระยอง ทำให้เด็กชายพอจะลืมความเศร้าลงไปบ้าง มิ่งไปอยู่กับลุงและป้าที่สหรัฐ ช่วงแรกๆก็มีปัญหาทั้งเรื่องภาษาและการใช้ชีวิตและความคิดถึงแม่ แต่ลุงกับป้าที่เป็นคนสหรัฐนั้นดูแลมิ่งอย่างดีจนเด็กน้อยปรับตัวได้ มิ่งติดต่อกับแม่ตลอด ถึงแม่ได้ย้ายไปเชียงใหม่มิ่งก็ไม่คิดอะไรมากแต่ถ้าได้อยู่ห่างจากพ่อได้ยิ่งดี ช่วงแรกๆปีสองปีลุงถึงพามิ่งกลับมาเมืองไทยเพื่อมาเยี่ยมแม่และตากับยาย ต่อมาตากับยายได้จากไปในเวลาที่ไม่ห่างกันเท่าไหร่เป็นช่วงก่อนที่มิ่งจะเข้ามามหาวิทยาลัยไม่นานซึ่งช่วงนั้นมิ่งได้รับสัญชาติอเมริกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พอเข้ามหาวิทยาลัยมิ่งก็เริ่มแยกตัวมาอยู่คนเดียวเหมือนวัยรุ่นอเมริกันทั่วๆไปจนมาเจอกับขวัญและได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มิ่งจะใช้เวลาช่วงหยุดฤดูร้อนบินกลับมาเยี่ยมแม่กับน้าสาวทุกปี จนปีสุดท้ายก่อนจะจบหลังกลับมาจากเมืองไทย มันเกิดปัญหารักร้าวกับขวัญขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิ่งเสียใจเป็นอย่างมาก จนไม่อยากเรียนต่อปริญญาโทพอเรียนจบหลังจากรับปริญญาเสร็จ มิ่งซึ่งยังไม่ลืมเรื่องของพ่อเพราะมันฝังใจมาตลอดกับเรื่องของขวัญมันเป็นแรงผลักดันให้ชายหนุ่มไปสมัครเป็นทหารโดยให้เหตุผลกับผู้เป็นลุงสั้นๆว่าอยากเป็นทหารทั้งๆที่ ไม่เคยคิดมาก่อนเลย
มิ่งพยามยามหาข้อมูลต่างๆว่าจะไปสมัครเหล่าไหน และพอมิ่งได้ไปคุยกับเจ้าหน้าที่ของทางกองทัพที่ศูนย์รับสมัครทหารใหม่ มิ่งสนใจที่จะสมัครไปเป็นทหารเรือแต่ตอนนั้นเจ้าตัวอยากสมัครเป็นนายทหารมากกว่าเพราะจบปริญญาตรี แต่เจ้าหน้าที่ที่รับสมัครนั้นเป็นอดีตหน่วยซีลทีมซิกมาก่อน พอเห็นรูปร่างลักษณะของมิ่งอดีตซีลผู้นั้นแนะนำว่ามิ่งควรจะสมัครเป็นหน่วยซีลจะเหมาะที่สุดและอยากให้สมัครเป็นทหารระดับประทวนจะดีกว่า เพราะทหารระดับประทวนนั้นจะออกปฏิบัติงานภาคสนามมากกว่าระดับนายทหาร แถมโอกาสเลื่อนยศจะมีมากขึ้น มิ่งเลยขอกลับไปคิดดูเพราะตนเองรู้เรื่องเกี่ยวกับซีลไม่มากนัก แต่พอกลับไปหาข้อมูลเลยเกิดความสนใจขึ้นมา สาเหตุหลักๆในตอนนั้นคือมิ่งคิดว่าการฝึกที่แสนจะโหดจะทำให้ตัวเองลืมเรื่องของพ่อและขวัญได้
วันรุ่งขึ้นมิ่งกลับไปสมัครทันทีและถึงไปบอกผู้เป็นลุงกับป้า ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ทัดทานอะไรโดยเฉพาะผู้เป็นป้านั้นสนับสนุนอย่างยิ่งที่หลานชายอยากรับใช้ประเทศสหรัฐ มิ่งได้เข้ารับการฝึกเริ่มจากหลักสูตร BUD/S ( Basic Underwater Demolition/Seal)เป็นหลักสูตรพื้นฐานจนถึงการฝึกรบเชิงยุทธวิธีขึ้นสูงและสามารถจบหลักสูตรไปได้ด้วยดี จนได้รับเครื่องหมาย Trident (ประกอบด้วยสามง่ามของเนปจูน,นกอินทรี,สมอเรือ)สีทองมาประดับที่ด้านซ้ายของหน้าอก แสดงว่ามิ่งเป็นซีลเต็มตัวแล้ว หลังจากนั้นมิ่งเข้าสู่สงครามทั้งรูปแบบที่เปิดเผยและลับให้กับกองทัพเรือสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นที่อิรัก,อัฟกานิสถาน,ประเทศในตะวันออกกลางหรือประเทศในแอฟริกา มีครบทั้งน้ำ,ฟ้า,ฝั่ง
จนมิ่งได้รับเหรียญซิลเวอร์สตาร์จากภารกิจกวาดล้างผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถานและเหรียญเนวี่ครอสในปฏิบัติการลับในทวีปแอฟริกา ส่วนในเรื่องยศจากทหารยศจ่าตรี มิ่งถือว่าได้รับการเลื่อนยศเร็วมากจนเป็นจ่าเอกในไม่กี่ปี เพราะผลงานที่ผ่านมาด้วย และได้สอบเลื่อนยศเป็นพันจ่าตรี และพันจ่าโท ส่วนในประเทศไทยนั้น มิ่งเคยเข้ามาร่วมฝึกกับกองทัพไทยและมาเป็นครูฝึกให้กับหน่วยรบพิเศษของไทย 2-3 ครั้ง เพราะสามารถสื่อสารภาษาไทยได้ รวมถึงล่าสุดคือเข้ามาเป็นทีมคุ้มกันให้กับเจ้าหน้าระดับสูงของ รัฐบาลสหรัฐตอนมาเยือนประเทศไทย ทำให้มิ่งรู้จักคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพไทยเป็นอย่างดี
และตลอดเวลาที่ไปปฏิบัติงาน ถ้าไม่มีติดปัญหาอะไรมิ่งจะโทรมาแม่ตลอดเพราะรู้ว่าแม่ห่วงยกเว้นการปฏิบัติงานลับที่ต้องทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังจนงานเสร็จพอกลับมาถึงสหรัฐมิ่งจะโทรมาแม่ทันที ช่วงลาพักร้อนมิ่งจะกลับมาเยี่ยมแม่กับน้าทุกครั้ง แม่นั้นไม่เคยรู้ว่าถ้ามิ่งเป็นอะไรไปจะได้เงินตอบแทนขนาดไหนมิ่งแบ่งไว้ให้ลุงกับป้าส่วนหนึ่งแต่ส่วนใหญ่แม่จะได้รับ จนสุดท้ายก่อนลาออกมิ่งได้กลับมาทำหน้าที่ครูฝึกให้กับเด็กใหม่หรือคนที่มาสมัครเป็นซีลและตัดสินใจลาออก ท่ามกลางการทัดทานของเพื่อนๆและหัวหน้างานเพราะเสียดายฝีมือ แถมผู้บังคับบัญชายังอยากให้มิ่งไปฝึกกรีนทีมเพื่อจะได้เป็นซีลทีมซิกอันมีชื่อเสียง หรือไม่ก็ให้ย้ายไปนั่งโต๊ะทำงานก่อนแต่มิ่งบอกว่าพอแล้ว สาเหตุหลักๆที่มิ่งไม่อยากทำต่อ เพราะเบื่อกับการฆ่าการสูญเสียที่ได้รับมามากพอแล้ว มิ่งนั้นจำได้ว่านำเอาเครื่องหมาย Trident ไปปักบนฝาโลงศพเพื่อนหน่วยซีลไม่ต่ำว่า 5ครั้ง และการสูญเสียของเพื่อนทหารหน่วยอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน รวมถึงหลายต่อหลายศพของฝ่ายตรงข้ามที่มิ่งเป็นผู้สังหารที่ใครๆเรียกว่าผู้ก่อการร้าย
ไม่นับการแบกร่างเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบนับครั้งไม่ถ้วน หลายคนกลายเป็นคนพิการหลายคนได้กลับมาร่วมรบกันใหม่ ชีวิตมิ่งนั้นเฉียดตายมา 2-3 ครั้งไม่ว่าจะนั่งบนรถฮั่มวี่ที่วิ่งคร่อมกับระเบิด แต่คันหลังที่ตามมาบรรทุกนาวิกโยธิน 4 คนขับไปทับกับระเบิดตายทั้งคันรถ หรือปฏิบัติการร่วมกับคนของทีมเดลต้าที่มิ่งคุ้นเคยกันดี คนของเดลต้าที่วิ่งนำหน้ามิ่งโดนปืนกลหนักยิงสวนเข้ามาขณะเข้าเคลียร์พื้นที่จนหน้าหายไปข้างหนึ่ง แต่มิ่งไม่เคยได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก นานๆเข้ามันก็กลายเป็นความเครียดสะสม ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่ออกปฏิบัติการและได้กลับมาพักที่ค่ายทหารไม่มีคืนไหนที่มิ่งจะหลับลงได้ง่ายๆต้องใช้ยานอนหลับทุกครั้ง หรือถ้ากลับไปพักที่บ้านลุงกับป้าที่สหรัฐ 2-3 คืนแรกมิ่งก็ต้องใช้ยานอนหลับช่วย ไม่อย่างนั้นจะมีการสะดุ้งตื่นเพราะความผวาตลอด
และที่สำคัญมิ่งคิดได้ว่า สิ่งที่มิ่งทำไปนั้นไม่ใช่ทำเพื่อประเทศบ้านเกิด เป็นประเทศที่แค่มาอาศัยอยู่เท่านั้น และมิ่งได้ตอบแทนไปพอสมควรแล้ว มิ่งจึงตัดสินใจลาออกมาเพื่อกลับมาอยู่เมืองไทย แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่มิ่งเป็นหน่วยซีลมา มิ่งนั้นลืมเรื่องของพ่อและขวัญไปได้อย่างสนิทใจเพราะ ชีวิตของตนเองนั้นแทบจะแขวนอยู่บนเส้นด้ายอยู่ระหว่างความเป็นกับความตายมาหลายๆครั้ง ทำให้ไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องในอดีต หลังจากที่คำสั่งอนุมัติตกลงมาพร้อมกับเงินที่ได้จากกองทัพเรือสหรัฐเพราะมิ่งอยู่เป็นทหารจนครบตามเงื่อนไข เงินจำนวนนี้ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก แต่มิ่งยังอยู่ในสถานะทหารกองหนุนด้วย และเป็นบุคคลที่ทางรัฐบาลสหรัฐสามารถเรียกกับมาประจำการได้ทุกเมื่อเพราะมิ่งนั้นรับรู้กับภารกิจลับของสหรัฐหลายภารกิจ ทางกองทัพไม่อาจปล่อยมาได้ง่ายๆ
มิ่งกลับมาเมืองไทยไม่กี่วันก็ต้องไปรายงานตัวกับ ผช.ทูตทหารเรือสหรัฐประจำประเทศไทยและถือเป็นโชคดีอย่างยิ่งที่ ผช.ทูตทหารเรือเป็นเจ้านายเก่าของมิ่งที่เคยออกปฏิบัติงานร่วมกันที่อัฟกานิสถาน ที่มิ่งไปรายงานตัวนั้นเพราะถือเป็นคำสั่งมาโดยเฉพาะที่กำหนดให้มิ่งต้องแจ้งสถานนะว่าอยู่ที่ไหนในเมืองไทยกับทางสถานทูตโดยผ่าน ผช.ทูตทหารเรือ และพอกลับมาที่เชียงใหม่ได้ไม่นานเท่าไหร่จากความตั้งใจจะเริ่มชีวิตเป็นชาวสวนอย่างเต็มที่ จะได้ลืมเรื่องที่ผ่านๆมาให้หมด
แม่กับน้าก็บอกว่าที่ดินที่เคยอยู่ที่ระยองโดนบุกรุกและกำลังมีการสร้างรีสอร์ท มิ่งรีบไปหาข้อมูลทันทีและพบว่าเป็นบริษัทที่พ่อตนเองเป็นเจ้าของที่กำลังบุกรุก ทำให้มิ่งโกรธมากที่ทำแบบนี้ มิ่งนั้นตั้งใจว่ารอให้รู้งานที่เชียงใหม่ก่อนจะชวนแม่ไปดูที่ดินที่ระยอง แล้วมาตัดสินใจว่าจะทำอะไร เพราะตั้งแต่ตากับยายเสียแม่ก็ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า แม่บอกว่ารอให้มิ่งกลับมาแล้วค่อยจัดการ มิ่งมีความหลังกับที่ดินตรงนั้นพอสมควรทั้งต้นไม้ที่ตนเองช่วยตากับยาปลูก ศาลาริมบ่อน้ำที่ทำให้มิ่งโดยเฉพาะ ถึงแม้น้าสาวจะบอกว่ามันทรุดโทรมไปมากเพราะไม่มีคนดูแล แต่ยังมีต้นไม้ใหญ่ๆอยู่อีกหลายต้น
มิ่งบอกแม่ทันทีว่าเป็นบริษัทของใครที่รุกล้ำ แต่แม่ก็พูดให้สติกับมิ่งก่อนว่า พ่ออาจจะไม่รู้เรื่องก็ได้ขอให้มิ่งตรวจสอบก่อน ชายหนุ่มเลยได้สติขึ้นมา หลังจากหาข้อมูลได้บางส่วน มิ่งได้เตรียมการโดยติดต่อคนที่รู้จักในเมืองไทยพร้อมของคำปรึกษา จนได้คำแนะนำมาหลายอย่างพร้อมทนายความที่มีชื่อเสียงถ้ามิ่งจะฟ้องร้องหรือแจ้งความ มิ่งเตรียมโฉนดพร้อมรูปถ่ายที่เคยถ่ายไว้และใช้เส้นสายที่ตัวเองมี ขอแผนที่ดาวเทียมและแผนที่ทางอากาศมาเพื่อจะเตรียมเล่นงานบริษัทของพ่อ แต่แม่ก็ขอร้องไว้ก่อน บอกว่าให้มิ่งไปคุยกันก่อนเรื่องมันจะได้ไม่บานปลายยังไงอีกฝ่ายก็คือพ่อ
มิ่งเดินทางไประยองทันที พอไปถึงมิ่งพื้นที่มิ่งได้สอบถามกับคนคุมงานซึ่งให้รายละเอียดไม่ได้ พอดีที่ชัยมาตรวจงานตามคำสั่งของไวย์ เลยเกิดปะทะคามรมกันขึ้น ชัยนั้นพูดจาแบบไม่แยแสว่ากล้ามีปัญหากับบริษัทใหญ่หรือ และถึงจะคืนก็ใช้เวลาวันเดียวก็ทำให้เหมือนเดิมได้แต่พอมิ่งเอาโฉนดพร้อมแผนที่ดาวเทียมมาให้ดูชัยหายหน้าไปทันที พอมิ่งจะไปแจ้งความได้มีวิศวกรคุมงานได้เข้ามาของร้องบอกว่าแจ้งเรื่องไปทางผู้ใหญ่แล้วอย่าพึ่งไปแจ้งความหรือทำอะไรและจะให้คำตอบเร็วที่สุด
มิ่งตัดสินใจไปสำนักงานที่ดินในวันต่อมาและไม่ได้ความร่วมมือเท่าที่ควรแต่ก่อนที่มิ่งจะติดต่อใครเพื่อขอความช่วยเหลือแม่โทรมาบอกให้มิ่งกลับเชียงใหม่ก่อน มิ่งทำตามแบบไม่เต็มใจจนนายหน้าขายที่ดินได้ตามมาถึงบ้าน เพราะมิ่งได้ให้เบอร์ติดไว้กับวิศวกรการเจรจาไม่สำเร็จมิ่งยืนยันว่าไม่ขาย มิ่งได้ติดต่อทนายมีชื่อเสียงที่กรุงเทพไว้เรียบร้อยและอ็อดได้มากราบของร้องอีกครั้งแต่มิ่งยืนยันเหมือนเดิมและบอกว่าเตรียมแจ้งความและเตรียมฟ้องร้องไว้แล้ว ทำให้อ็อดแทบจะกราบตนเองและแม่ในตอนนั้น ก่อนขอเวลาอีก 2 วัน และในที่สุดมิ่งก็ได้เจอกับพ่อโดยที่มิ่งไม่อยากเจอเพราะความเกลียดที่มีอยู่และยิ่งมาเห็นขวัญ ทำให้มิ่งในตอนนั้นนึกทันทีว่า พระเจ้าลงโทษตัวเองหรือยังไงที่ต้องมาให้เจอคนที่ไม่อยากเจอหน้าตลอดชีวิตทั้ง 2คน ในเวลาเดียวกัน
ถึงมิ่งจะดูออกว่าพ่อเสียใจมาก แต่มิ่งไม่สนใจและไม่ยอมเรียกพ่อ พร้อมกับที่เห็นวุ้นมิ่งรู้ทันทีว่าวุ้นคือเด็กที่ภรรยาคนใหม่ของพ่ออุ้มอยู่ในตอนนั้น แต่มิ่งไม่สนใจเพราะมิ่งโทษผู้เป็นพ่ออย่างเดียวกับเรื่องที่เกิดขึ้น จนเมื่อเห็นว่าได้ที่ดินคืนพร้อมกับสิ่งปลูกสร้างที่โดนรื้อไปคืน มิ่งจึงพอใจส่วนที่มีปัญหากับชัยนั้น มิ่งแค่สั่งสอนเพราะถ้าจะเอาจริงๆแล้ว ชัยนั้นสลบก่อนถึงตัวอดีตครูฝึกหน่วยซีลแน่นอน จนวันที่พ่อเอาสัญญามาให้เซ็นพร้อมเช็คค่าเสียหาย มิ่งไม่พูดกับพ่อสักคำปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทนายความเจรจาอย่างเดียว
ทั้งๆที่สายตาและทีท่าของพ่อนั้นอยากคุยกับมิ่งมากแต่ชายหนุ่มไม่สนใจแม้แต่จะสบตา พอทุกอย่างเรียบร้อย มิ่งจัดการจ่ายค่าตอบแทนให้ทนายพร้อมมอบหมายให้ทนายเป็นตัวแทนดูแลเรื่องความคืบหน้าก่อนเดินทางกลับเชียงใหม่ เพราะมิ่งจะไม่ยอมคุยโดยตรงกับทางนิติกรของบริษัทหรือแม้กระทั่งผู้เป็นพ่อ แต่เงินที่ได้มานั้น มิ่งไม่คิดอยากได้มาเป็นของตนเลยเพราะอะไรที่เป็นของพ่อมิ่งไม่คิดจะแตะ ขึ้นอยู่กับแม่ว่าแม่จะว่าอย่างไรในเมื่อแม่ไม่อยากได้มิ่งก็จะปล่อยไว้แบบนั้นไม่เอาเช็คไปขึ้นเงิน
ส่วนเรื่องครอบครัวนั้น ตั้งแต่เลิกรากับขวัญมิ่งไม่คิดจะแต่งงาน เพราะเห็นว่างานของตนเองนั้นเสี่ยงชีวิต ไม่ควรจะมีครอบครัว มิ่งเห็นเพื่อนหลายๆคนที่ต้องหย่าร้างเพราะไม่มีเวลาให้ครอบครัว หรือภรรยาที่ต้องกลายเป็นหญิงม่ายอีกหลายๆคนที่ต้องมาหลั่งน้ำตาในพิธีศพของสามี มิ่งเลยขอใช้ชีวิตแบบคนเดียวจะเหมาะที่สุด ถึงตนเองจะมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายคนแต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ยึดติด เป็นความสัมพันธ์แบบคู่นอนชั่วคราวเท่านั้นแต่ไม่มีใครสร้างความประทับใจได้มากเท่ากับหมอลิซ่าคุณหมอสาวของกองทัพออสเตรเลีย ตอนนั้นมิ่งมาที่ออสเตรเลียเพื่อฝึกร่วมกับหน่วย SAS และมิ่งได้รู้จักกับหมอสาว
เพราะเธอเข้ามาร่วมสังเกตการฝึกด้วยและเธอได้มาทำความรู้จักกับมิ่งก่อน ซึ่งทั้งคู่ใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่ในการพัฒนาความสัมพันธ์ จนวันหนึ่งหลังจากฝึกประจำวันได้จบเธอ คุณหมอสาวได้นัดมิ่งไปทานอาหารเย็นซึ่งมิ่งตอบรับทันที มิ่งขับรถที่เช่ามาจากค่ายทหารไปรับเธอที่พักอยู่ที่โรงแรมก่อนที่หมอสาวจะพาซีลหนุ่มไปที่ร้านอาหารในเมือง ระหว่างทานอาหารทั้งคู่ได้พูดคุยเรื่องทั่วไปและเธอได้ขอร้องให้มิ่งเล่าเรื่องการทำงานในส่วนที่เปิดเผยได้ มิ่งได้เล่าให้ฟังถึงสถานที่ต่างๆที่ตัวเองได้ไปทำงานในส่วนที่เปิดเผยได้และการคุ้มกันบุคคลสำคัญที่จะเห็นได้ในภาพข่าวต่างๆได้
พอทานเสร็จมิ่งได้ขับรถไปส่งลิซ่าที่โรงแรม แต่เธอชวนให้มิ่งขึ้นไปดื่มต่อที่ห้องพักของเธอ มิ่งไม่ปฏิเสธ เพราะดูทีท่าของหมอสาวแล้วมันต้องมีมากกว่าชวนไปดื่มแน่นอน และเป็นไปตามคาดเมื่อพอไปถึงประตูห้องพัก ทันทีที่ลิซ่าเปิดประตูห้องก็หันมามองมิ่งด้วยสายตาที่เชื้อเชิญก่อนจะเดินเข้าไปโดยเปิดประตูห้องค้างไว้ มิ่งตามเข้าไปทันทีหลังจาที่ล็อคประตูเห็นเจ้าของห้องนั่งบนเตียงส่งสายตาที่มีความหมายมาให้ ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาทันที หมอสาวลุกขึ้นยืนเมื่อมิ่งเดินเข้าใกล้ๆ
แต่เธอกลับชวนมิ่งไปนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่างก่อนจะเปิดเบียร์กระป๋องให้ดื่ม ทั้งคู่ต่างพูดคุยกันเรื่องทั่วๆไปจนที่สุดทั้งฤทธิ์ของเบียร์และความปราถนาทำให้ต่างฝ่ายต่างยื่นหน้าเข้าหากันพร้อมปากที่ทาบกันสนิทปากทั้งคู่บดขยี้กันเนิ่นนาน มิ่งยอมรับว่าหมอสาวจูบได้เร่าร้อนมากสามารถปลุกอารมณ์ตนเองได้เป็นอย่างดี จนทั้งคู่ลุกขึ้นยืน ต่างฝ่ายต่างช่วยกันถอดเสื้อผ้าของตนเองออกจนเปลือยกายทั้งคู่ และประคองกันไปที่เตียง มิ่งนอนทับร่างของหมดสาวพร้อมรอยจูบอีกครั้ง แล้วเลื่อนหน้าลงไปที่เต้านมที่ค่อนข้างใหญ่ ผิวของหมอลิซ่านั้นถึงจะขาวก็จริงแต่ละเอียดสู้สาวเอเชียที่มิ่งเคยผ่านมาไม่ได้แถมมีรอยกระอยู่พอสมควร หมอสาววกดหน้ามิ่งไปที่เต้านมทันที มิ่งสนองตอบด้วยการกัดไปเบาๆไปที่หัวนมสีทับทิมและดูดดื่มสลับไปมา ทั้งสองข้างมีบางครั้งที่รวบมาประชิดกัน เพื่อจะได้ดูดทั้งสองข้างพร้อมๆกัน
หมอสาวแอ่นตัวรับการดูดดื่มของฝ่ายชาย ก่อนที่เธอจะกดหัวของมิ่งไปที่กลางลำตัว โคกหีที่มีขนสีทองประทับอยู่พอสมควรและเริ่มชุ่มชื้น มิ่งใช่ลิ้นกวาดเข้าไปทันที ลิซ่าส่งเสียงครางอย่างต่อเนื่อง เพราะหนุ่มไทยคนนี้สนองตอบเธอได้อย่างดี มือของเธอกวาดไปทั่วเตียงเพราะเจอสิ่งที่ถูกใจแต่ก่อนที่เธอจะเสร็จคาลิ้นของของมิ่งเธอประคองหน้ามิ่งพร้อมเสียงพูดที่สั่นระรัว
“หยุดก่อนคะได้โปรด คุณมิ่ง อย่าทรมาณหมอด้วยลิ้นของของคุณเลย”
มิ่งเลื่อนหน้าลงไปจูบที่หน้าขาเธอทั้งสองข้างแล้วเลื่อนตัวขึ้นมาก่อนเอาปากไปดูดดื่มที่เต้านมอีกครั้ง ก่อนจะถูกหมอสาวพลิกตัวให้นอนหงายหงาย มิ่งรู้ทันทีว่าหมอสาวต้องการลิ้มรสความเป็นชายของตนเอง ทันทีที่ถูกลิ้นของหมอสาวกวาดไปทั่งจนถึงลูกกระโปก มิ่งส่งเสียงครางออกมาทันทีด้วยความเสียว และยิ่งถูกปากของหมอสาวครอบลงไป หมอสาวใช้ปากและลิ้นอย่างชำนาญทั้งดูดทั้งเลีย จนมิ่งเป็นฝ่ายขอร้องให้หยุด ก่อนที่มิ่งจะจับตัวหมอสาวให้ลงไปนอนเบื้องล่าง มิ่งก้มลงไปจูบหน้าท้องที่แบนราบของหมอสาวอีกครั้งท่ามกลางเสียงครวญครางที่อ้อนว้อนให้มิ่งเย็ดเธอ จนมิ่งเอาควยไปจ่อและค่อยดันเข้าไป
หญิงสาวเด้งสวนขึ้นมาทันที ช่องทางรักของหญิงสาวไม่กระชับเท่าไหร่นัก มิ่งกระเด้าช้าสลับเร็วพร้อมกับการเด้งรับของหมอสาวที่ร้องครวญครางไม่หยุด ควยของมิ่งสร้างความหรรษาให้กับเธอมากว่าผู้ชายคนอื่นๆที่เธอเคยผ่านมา เธอเด้งรับตลอดจนเตียงยวบไปมาตามน้ำหนักของทั้งคู่ เสียงครวญครางของทั้งคู่พร้อมกับเสียเนื้อที่กระทบกันดังไม่ขาดสาย มิ่งฝ่ายชายเร่งจังหวะขึ้นเป็นเหมือนการส่งสัญญาณออกมา พอกับฝ่ายหญิงที่ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวพร้อมด้วยอาการเกร็ง มิ่งกระเด้าส่งท้ายอีก2-3 ครั้ง ก่อนฟุบตัวลงไปนอนบนร่างของหญิงสาวที่กอดรัดมิ่งแน่น พอมิ่งพลิกตัวลงไปนอนหงายหญิงสาวเลื่อนตัวมาหนุนไหล่ทันทีก่อนบอกว่า
“ไม่น่าเชื่อหนุ่มไทยทำให้ชั้นมีความสุขได้เกินคาด”
“อย่าติดใจผมแล้วกันหมอ ไม่งั้นหมอต้องตามผมกลับไปสหรัฐ”
“ไม่แน่นะมิ่ง”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าก่อนเอามือลูบไปตามลำตัวจนถึงหน้าเรื่อยไปถึงควยของมิ่งที่ยังอ่อนตัวอยู่ มิ่งปล่อยให้เธอทำตามใจชอบ ลิซ่าเอามือรูดไปมาส่วนมืออีกข้างทั้งบี้ทั้งลูบไล้หัวนมของมิ่ง ไม่นานนักควยของมิ่งเริ่มจะแข็งตัวขึ้น หมอสาวพลิกตัวมานอนทับแล้วเอาปากมาครอบที่หัวนมของมิ่งพร้อมดูดสลับไปมา แล้วเลื่อนตัวไปข้างล่างจัดการปากครอบปลุกควยของมิ่งให้แข็งตัวขึ้นมาอีกครั้ง มิ่งเอามือลูบผมสีทองของหมอสาวไปมา ปล่อยให้เธอใช้ปากบรรเลงกามอย่างเต็มที่จนควยชายหนุ่มแข็งตัวเต็มที่อีกครั้ง คราวนี้หมอสาวเป็นฝ่ายบอกมิ่งว่าเธอของคุมเกมส์รักครั้งนี้ เธอประควงควยของมิ่งก่อนหย่อนเอารูหีทับ แล้วดันลงจนสุดก่อนเป็นฝ่ายโยกตัวพร้อมเอามือของมิ่งมาจับที่หน้าอกของเธอ มิ่งสนองตอบอย่างดีด้วยการเคล้นคลึงเบาสลับหนัก จนทั้งสองไปถึงจุดหมายอีกครั้ง
ตลอดเวลาที่เหลือก่อนจะเดินทางกลับสหรัฐมิ่งเป็นแขกประจำที่ห้องของหมอลิซ่าตลอด ต่างฝ่ายต่างมอบความสุขให้กันและกันเป็นอย่างดี แถมคืนสุดท้ายหมอสาวยอมให้มิ่งเย็ดเธอทางประตูหลัง แต่ต่างฝ่ายก็แยกย้ายเมื่อการฝึกร่วมจบมิ่งกลับไปทำสหรัฐก่อนจะเดินทางไปอิรักอีกรอบส่วนหมอสาวก็กลับไปทำงานตามเดิมหลังจากนั้นทั้งคู่ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย แต่สิ่งที่เจอในช่วงเกือบ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ทำเอาอดีตหน่วยซีลถึงกับเครียดอย่างมาก เพราะตั้งแต่มาอยู่กับแม่และน้าสาวสุขภาพจิตของมิ่งดีขึ้นมาก ไม่นอนผวาและนอนหลับได้อย่างดี แต่พอเจอเรื่องนี้เข้าไปทำเอามิ่งนอนแทบไม่หลับแต่เจ้าตัวตั้งใจว่าจะไม่ของพึ่งยานอนหลับอีกต่อไป ชายหนุ่มนอนเอามือก่ายหน้าผากเพราะนึกถึงอนาคตต่อไปว่าเรื่องคงจะไม่จบลงแค่คืนที่ดินแน่นอน