**** จากผู้เขียน****
เห็นมีอยู่ 2-3 ความคิดเห็นที่แสดงออกมา ผมเลยบอกไว้ก่อนครับ งานเขียนของผมจะไม่มีเรื่องความสัมพันธ์ในสายเลือดอย่างเด็ดขาดครับ
****Twin Tower****
ณ ห้องอาหารในโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพ มิ่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนเงยหน้าไปทางประตูและเห็นคนที่นัดไว้เดินผ่านประตูเข้ามา ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมโบกมือเรียก ทำให้ร่างนั้นเดินเข้ามาหามิ่งทันที ทั้งคู่ต่างสวมกอดกัน ก่อนที่มิ่งจะทักทายว่า
“อากาศที่เมืองไทยเป็นยังไงบ้างครับหมอ”
“มากี่ครั้งก็ร้อนพอๆกับที่ออสเตรเลียคะ”
มิ่งเชิญหมอลิซ่านั่งลง ก่อนเรียกพนักงานมารับออเดอร์ หมอลิซ่าติดต่อมิ่งมาทางอีเมลเธอเดินทางมาประชุมเรื่องโรคเมืองร้อนที่เมืองไทย เธอรู้ว่ามิ่งลาออกจากการเป็นทหารและกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว มิ่งเลยนัดเจอเธอที่กรุงเทพ
“เป็นยังไงคะมิ่ง ชีวิตชาวสวน”
“ดีครับ ไม่ต้องพะวงว่าก้าวต่อไปของเราจะมีชีวิตรอดต่อไปอีกหรือเปล่า จากจับปืนก็มาจับกรรไกรกับขวานเวลาตัดต้นไม้แทน”
มิ่งตอบหมอสาวด้วยใบหน้ายิ้มๆ มิ่งรู้ดีว่าลิซ่าแต่งงานได้ปีเศษๆแล้วแต่ยังไม่มีลูก ทั้งคู่ยังมีความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หมอลิซ่าจะกลับออสเตรเลียในวันพรุ่งนี้ตรงกับช่วงมิ่งว่างพอดี เพราะเรื่องที่ดินที่มีปัญหาเริ่มจะเคลียร์ปัญหาไปได้ มิ่งปล่อยให้ทนายความเป็นตัวแทนในทุกเรื่อง ถึงพ่อจะโทรมาหา2-3 ครั้งแต่มิ่งไม่รับสายเมื่อรู้เป็นเบอร์ของพ่อรวมถึงเบอร์แปลกๆที่ไม่รู้จักมิ่งก็ไม่รับ และทนายความก็แจ้งมาว่าความคืบหน้าในการปรับพื้นที่เป็นไปด้วยดี ทางบริษัทลงมือทำตลอด 24 ช.ม. มิ่งรู้แค่นี้ก็ไม่สนใจอะไรแล้ว แถมเช็ค 40 ล้านนั้นยังสงบนิ่งอยู่ในซองเอกสารเหมือนเดิม ช่วงเวลาที่ผ่านมาชายหนุ่มเริ่มเข้าช่วยดูแลสวนอย่างเต็มตัว และเป็นจังหวะพอดีที่หมอลิซ่ามาเมืองไทยพร้อมติดต่อมา มิ่งกำลังอยากหาเพื่อนคุยเลยเดินทางมากรุงเทพตามที่หมอเป็นฝ่ายนัด
ทั้งสองต่างคุยถึงเรื่องทั่วๆรวมถึงเหตุผลที่มิ่งลาออกจากทีมซีล หมอลิซ่านั้นพอจะเข้าใจแต่ก็ยังบ่นเสียดายว่ามิ่งน่าจะเข้าไปร่วมซีลทีมซิกก่อนแล้วค่อยออกก็ได้ มิ่งได้แต่ยิ้มๆไม่พูดอะไรต่อในเรื่องนี้ จนหมอลิซ่าดื่มไวน์แก้วที่ 3หมดไปแก้มเธอเริ่มแดงก่อนที่เธอจะเอามือมากุมมือมิ่ง สายตาที่เริ่มฉ่ำมองไปที่ชายหนุ่ม มิ่งถามกลับไปที่หมอสาวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า
“หมอแต่งงานแล้วนะ”
“สนอะไรละ ออกนอกประเทศหมอเป็นคนโสด ถ้ามิ่งไม่พูดหมอไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้”
ด้วยสายตาที่ยั่วยวนของหมอสาวประกอบกับมิ่งห่างเรื่องแบบนี้มานานทำให้ ไฟปรารถนาลุกโชนได้ไม่ยาก มิ่งเรียกพนักงานมาเก็บเงินค่าอาหาร ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไปขึ้นลิฟท์ไปห้องพักของหมอลิซ่าที่พักอยู่ที่โรงแรมนี้อยู่แล้ว บทรักครั้งนี้ไม่รีบร้อนเหมือนครั้งของทั้งคู่ที่ออสเตรเลีย ทั้งคู่ต่างนั่งดื่มและคุยกันในห้องอีกพักใหญ่ก่อนที่ทั้งสองจะไปอาบน้ำ
หมอสาวให้ฝ่ายชายไปอาบก่อน มิ่งอาบเสร็จแล้วนุ่งผ้าเช็ดตัวมานอนรอบนเตียง หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ลิซ่าออกมาจากห้องน้ำโดยสวมเสื้อคลุม เธอมานั่งข้างๆมิ่งก่อนจะก้มลงเอาปากไปสัมผัสกับมิ่งรสจูบอันเผ็ดร้อนของหมอนั้นยังเหมือนเดิมมันปลุกอารมณ์ของมิ่งได้อย่างดี ก่อนที่เธอจะล้มตัวเอาร่างกายท่อนบนมาทับบนหน้าของอดีตหน่วยซีล มิ่งเอามือไปโอบทั่วแผ่นหลังก่อนลูบไล้ไปมา ระหว่างที่หมอสาวมอบบทจูบอันเร่าร้อนให้อยู่ มือข้างหนึ่งของมิ่งเลื่อนลงไปต่ำจนถึงชายเสื้อคลุม มิ่งถลกผ้าคลุมขึ้นและลูบไล้พบว่า ท่อนล่างของหอมลิซ่าเปลือยเปล่า มิ่งขยำสะโพกที่ใหญ่และเนื้อแน่นแรงๆ เป็นการปลุกอารมณ์หมอสาวได้อย่างดี จนทั้งสองไม่มีอะไรคลุมกาย หมอสาวพลิกร่างของมิ่งให้มานอนทับบนตัวบ้าน แล้วกดหน้ามิ่งลงไปเต้านมที่ใหญ่ มิ่งจัดการกับหัวนมที่ท้าทายทั้งสองข้างทันที ลิซ่าเริ่มครางอย่างแผ่วเบาเมื่อลิ้นของมิ่งสัมผัสกับเต้านมของเธอทั้งสองข้างของเธอสลับไปมา
เธอแอ่นกายขึ้นรับการซุกไซร้ที่เต้านมของคู่ขาหนุ่ม และก่อนที่เธอจะดันหัวของมิ่งลงไปที่กลางลำตัว ชายหนุ่มเหมือนจะรู้ความต้องการของหญิงสาวเลื่อนหน้าลงไปที่กลางลำตัว ขนสีทองที่ปกคลุมโคกหีของหมอสาวมันดูเชิญชวนยิ่งนัก มิ่งเอาปากไปเม้มที่หมอยสีทองของหมอสาว 2-3ครั้ง ก่อนจะเอาปากไปประทับจูบตรงแคมที่สีเริ่มคล้ำแต่มิ่งไม่สนใจเอาลิ้นกวาดเข้าไปข้างในทันที ลิซ่าครางไม่หยุดเมื่อเจอกับลีลาการใช้ลิ้นของมิ่งที่ทำเธอติดอกติดใจถึงทุกวันนี้
“โอ้วว มิ่ง ซี๊ดดดดดดดดดโอ้วววว ดีคะดี อีกคะอีก”
ใบหน้าที่งดงามของหมอลิซ่าส่ายไปมาบนหมอน มือกวาดไปทั่วแผ่นหลังของมิ่ง พร้อมเด้งตัวขึ้นมารับลิ้นของชายหนุ่มจนเธอร้องออกมา
“มิ่งทำเถอะ ทนไม่ไหวแล้ว”
มิ่งเลื่อนตัวขึ้นมาก่อนก้มลงไปจูบเธออีกครั้ง แล้วค่อยๆดันควยเข้าไปในร่องหีที่ลิซ่ากางขารองรับอยู่ ช่องทางรักที่ผ่านศึกมามากนั้นเข้าออกอย่างง่ายดายตามที่มิ่งเคยเจอ แต่มิ่งไม่สนใจเริ่มกระเด้าอย่างต่อเนื่องช้าสลับเร็ว ผสมกับการเด้งรับของสาวคนที่นอนอยู่ข้างล่าง ลิซ่าปล่อยอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่เธอรอคอยมานานแล้วที่จะได้เสพสมกับมิ่ง เพราะรสสวาทที่มิ่งเคยมอบให้นั้นมันตราตรึงในจิตใจเธอมาตลอด จนมิ่งกระเด้าเธอเร็วขึ้น เธอก็เด้งรับถี่ขึ้นเช่นกัน ก่อนที่ชายหนุ่มจะปล่อยน้ำกามออกมาเต็มรูหีของเธอและลงมานอนซบที่ตัวเธอ ซึ่งพอๆกับเธอที่ไปถึงจุดหมาย มิ่งพาเธอไปถึงสวรรค์ทุกครั้ง ท่ามกลางเสียงหายใจที่หอบเหนื่อย หมอสาวเอามือลูบไปตามแผ่นหลังของชายหนุ่ม มิ่งหอมแก้มลิซ่าแรงๆก่อนลงมานอนข้างๆ หญิงสาวเอาหน้ามาซบที่ไหล่ พร้อมเอามือลูบไปตามใบหน้าและลำตัวของมิ่ง
“คุณยังดูแลตัวดีเหมือนเดิมนะมิ่ง แล้วมีความสุขไหม”
“เกินพอแล้วคุณละหมอ”
“สมกับที่ตั้งใจไว้ ชั้นรอวันนี้มานานตั้งแต่ที่เราจากกันในวันนั้น”
มิ่งเลี่ยงที่จะถามถึงชีวิตการแต่งงานของหมอคู่ขา แต่ในใจก็ขอบคุณเธอที่เข้ามาช่วยผ่อนคลายความตรึงเครียดที่มันเกิดขึ้นมาในช่วงนี้ ลิซ่าเดินเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินร่างเปลือยที่เปียกน้ำออกมา หมอลิซ่าเหมือนจะยังไม่อิ่มจากเกมส์รักครั้งแรก เธอล้มตัวมานอนบนตัวมิ่ง แล้วเลื่อนหน้าไปที่กลางลำตัวพร้อมใช้มือรูดไปที่ควยที่ยังอ่อนตัวอยู่ แล้วใช้ปากครอบโดยไม่สนใจว่ามีคราบน้ำรักติดอยู่ ลิซ่าใช้ลิ้นตวัดไปตรงส่วนหัว เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ของมิ่ง ก่อนจะเลียไปตามลูกกระโปก จนควยของมิ่งแข็งตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ลิซ่านั้นเหมือนเด็กที่ได้เจอของกินที่โปรดปรานทั้งดูดทั้งเลียไม่เลิก ไม่สนเสียงครวญครางของมิ่ง แล้วเธอก็หยุดลงลิ้นก่อนกลับตัวหลังจากจัดท่าเรียบร้อยทั้งคู่อยู่ในท่า 69 ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรเพราะอารมณ์ที่ลุกโชนมาอีกครั้ง มิ่งผงกหัวไปซุกตรงโคกหีของหญิงสาว แล้วเลียไปที่โคกหีทันทีพร้อมกับหมอสาวที่ใช้ปากครอบไปที่ชายหนุ่มอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างใช้ปากทำรักให้อีกฝ่าย จนลิซ่าทนไม่ไหว เธอเป็นฝ่ายหยุดใช้ปาก แล้วลุงขึ้นมานั่งคร่อมทั้งๆที่ยังหันหลังให้ ก่อนหย่อนรูหีสวมทับไปที่ควยทันทีแล้วขย่มอย่างต่อเนื่อง
มิ่งลุกขึ้นมานั่งก่อนจะเอามือโอบไปด้านพร้อมบี้หัวนมของหมอลิซ่าเพื่อกระตุ้นอารมณ์แล้วเอาหน้า ซุกไซร้ไปตามลำคอและแผ่นหลังสลับไปมา เสียงเนื้อกระทบตามจังหวะการขย่มของหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง ลิซ่าผ่อนจังหวะให้ช้าลงเธออยากเกมส์รักครั้งนี้ทอดระยะเวลาออกไปให้เนิ่นนาน แต่พอเจอกระตุ้นด้วยการบี้หัวนมทำเอาเธอครางไม่หยุดพร้อมด้วยการขย่มที่เร็วขึ้น ในที่สุดตัวเธอเกร็งไปทั้งตัว พร้อมการเด้งสวนของชายหนุ่มและน้ำอุ่นๆที่พุ่งในรูหีของเธออีกครั้ง มิ่งใช้มือทั้งสองข้างรวบเอวของลิซ่าไว้ และเอาหน้าไปซุกไซร้ที่แผ่นหลัง แล้วจับลิซ่าตะแคงแล้วชะโงกหน้าไปดูดดื่มนมจากเต้าของหมอสาวอีกครั้ง ลิซ่าปล่อยให้คู่ขาทำตามความต้องการครู่ใหญ่ก่อนจะบอกมิ่งให้พาตนเองไปนอน เพราะรู้สึกอ่อนเพลียจากเกมส์รัก มิ่งทำตามคำขอทั้งคู่นอนกอดกันก่อนจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย คืนนั้นมิ่งต้องมอบบทรักให้หมอสาวอีก 2ครั้งตามที่เธอขอรวมถึงประตูหลังซึ่งเธอเป็นฝ่ายเสนอเอง มิ่งนอนค้างกับเธอทั้งคืน
จนร่ำลากันในตอนเช้า มืด เพราะหมอลิซ่าก็ไม่อยากให้คณะที่มาด้วยรู้ว่าเธอมีสัมพันธ์สวาทกับหนุ่มไทย แต่ความผูกพันของทั้งคู่คือความรู้สึกของเพื่อนเท่านั้น สัมพันธ์สวาทที่เกิดขึ้นจบแล้วก็จบไป ก่อนที่มิ่งจะเดินทางมาที่สนามบิน เพื่อขึ้นเครื่องบินเที่ยวบินตอนสายๆกลับเชียงใหม่และมิ่งเอารถที่ซื้อมาใหม่ไปจอดค้างคืนที่สนามบินที่เชียงใหม่เพื่อจะได้กลับสวนได้สะดวกไม่ต้องรบกวนน้าสาวหรือคนงานให้ขับรถมารับ
ระหว่างทางก่อนจะถึงบ้าน มิ่งที่ขับรถป้ายแดงได้เห็นรถเก๋งคันหนึ่งจอดที่ไหล่ทางและเปิดกระโปรงหน้ารถพร้อมเห็นผู้หญิง4 คนเดินวนไปมา ก่อนที่ 1 ในนั้นจะโบกมือขอความช่วยเหลือ มิ่งมองไปรอบๆเส้นทางช่วงนี้ค่อนข้างเปลี่ยวเป็นเส้นทางที่ไปรีสอร์ทชื่อดังที่อยู่ไม่ห่างจากไร่ของแม่กับน้าเท่าไหร่นัก มิ่งจอดรถแล้วเปิดกระจกอีกด้านถามไปยังหญิงสาวที่ก้มลงมาว่า
“รถเป็นอะไรหรือครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันคะ ขับมาดีๆเครื่องดับเฉยเลย น้ำมันก็มี แบตก็ไม่หมด สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด”
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเลื่อนรถไปจอดไหล่ทางด้านหน้ารถของหญิงสาว 4 คน มิ่งลงจากรถของตนเองแล้วเดินไปที่รถที่จอดอยู่ก่อนลองสตาร์ทดูและเป็นจริงอย่างที่บอกคือที่หน้าปัทม์ก็บอกว่ามีน้ำมันและแบตก็ไม่หมด ก่อนเดินไปที่กระโปรงหน้ารถที่เปิดตรวจสอบดูขั้วแบตก็ไม่หลวม มิ่งเงยหน้าถามโดยไม่เจาะจงไปยังสี่สาวที่มองมาว่า
“เอ่อจะไปไหนกันครับ”
“จะไปรีสอร์ทบ้านภูตะวันจันทราคะ กำลังจะโทรไปที่รถเช่าให้เอารถมาเปลี่ยนคะ พอดีคุณผ่านมา”
หญิงสาวคนที่โบกรถเป็นคนตอบ มิ่งนั้นมองไปรอบๆก่อนบอกว่า
“รีสอร์ทอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ครับอีกประมาณ 5กิโล ผมก็ดูไม่ออกว่ารถเป็นอะไรเพราะขั้วแบตก็ไม่หลวมแต่ให้เดาถ้าไส้กรองไม่อุดตันก็ตัวปั๊มน้ำมันมีปัญหาครับ เอาแบบนี้แล้วกันผมจะเอารถผมลากรถพวกคุณไปรีสอร์ทจะสะดวกที่สุด เพราะถ้าคุณโทรไปที่บริษัทรถเช่าก็เสียเวลารอไม่ต่ำกว่า 2 ช.ม. จะให้รีสอร์ทเอารถมารับก็ย้อนไปย้อนมา ไปถึงรีสอร์ทแล้วค่อยโทรให้บริษัทรถเช่ามาเปลี่ยนรถจะสะดวกที่สุดเพราะพวกคุณก็ถึงที่พักแล้ว เอาแบบนี้ดีไหมครับ รถผมมีเชือกสำหรับใช้ลากรถอยู่ด้วย”
มิ่งเป็นฝ่ายเสนอความช่วยเหลือเพราะรู้ว่าวันธรรมดาช่วงเวลานี้เส้นทางนี้นานๆถึงจะมีรถผ่าน สี่สาวมองหน้ากันแล้วพยักหน้า คนที่โบกรถก็บอกว่า
“ได้คะ ขอบคุณมากนะคะ”
มิ่งเดินไปที่รถหยิบเอาเชือกสำหรับลากที่มีติดรถไว้มาผูกกับรถตนเอง และเอามาผูกกับรถเก๋งคันที่เสียหลังจากปิดกระโปรงหน้ารถเรียบร้อย ท่ามกลางสายตาของสี่สาวที่ยืนดูและนึกในใจว่ามิ่งดูชำนาญมาก พอเสร็จเรียบร้อยแล้วมิ่งลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า
“เอากระเป๋ามาไว้ในกระบะรถผมดีกว่าครับรถจะได้เบาๆ มาผมช่วยถือครับ “
ทั้งสี่คนมองมิ่งด้วยสายตาที่ขอบคุณแล้วเดินนำมิ่งไปที่กระโปรงท้ายก่อนช่วยกันยกกระเป๋าเดินทางไปที่กระบะท้าย มิ่งช่วยจัดวางให้เรียบร้อย แล้วถามขึ้นมาว่า
“ใครเป็นคนขับรถมาครับ”
หญิงสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นมิ่งเลยถามต่อไปว่าเคยขับรถที่ถูกลากหรือไม่ เธอคนนั้นส่ายหน้ารวมถึงเพื่อนก็ส่ายหน้ากันเป็นแถว มิ่งเลยอธิบายให้เข้าใจอย่างง่ายๆแต่ก็มีเผลอที่พูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วยและบอกว่าให้ดูสัญญาณไฟรถคันหน้าด้วยก่อนจะปิดท้ายว่า
“งั้นใครก็ได้มานั่งรถผมสัก 2 คนครับ รถเก๋งจะได้เบาๆ ส่วนอีกคนจะได้นั่งเป็นเพื่อนคนขับ เชิญครับ”
ชายหนุ่มพูดจบพร้อมยิ้มให้แล้วเดินไปที่รถกระบะป้ายแดงของตนเองโดยไม่สนใจว่าใครจะมากับตน หญิงสาวคนที่โบกรถจูงมือเพื่อนสาวที่หน้าตาดีที่สุดเดินตามมิ่งไปทันที ปล่อยให้เพื่อนอีก 2คนมองหน้ากันแล้วคนหนึ่งพูดกับเพื่อนก่อนเดินไปที่รถว่า
“ยายกระถิน เอาอีกแล้วนะ”
มิ่งให้สัญญาณก่อนขับรถออกไปอย่างช้าๆโดยที่คนโบกรถนั่งข้างๆส่วนคนที่หน้าตาดีนั่งด้านหลัง
“รีสอร์ทไกลไหมคะ”
คนที่นั่งข้างๆถามเหมือนจะลืมที่มิ่งบอกไปว่าอีก 5กิโล มิ่งเลยบอกตามเดิมที่เคยบอกไว้และถามกลับไปว่า
“ที่มานี่มีใครเคยมาที่รีสอร์ทนี้หรือเปล่าครับ”
“ไม่เคยคะ ขับมาตามแผนที่กับดู GPS แต่โชคร้ายรถเสียแต่จอดได้ไม่ถึง5นาที กำลังคุยอยู่ว่าจะทำยังไงแต่คุณขับรถผ่านมาพอดียังไงก็ขอบคุณมากนะคะ เอ่อลืมแนะนำตัวไปเลย”
เธอพูดพร้อมชี้ไปที่ตัวเองก่อนบอกว่า
“ชื่อกระถินนะคะส่วนเพื่อนที่นั่งหลังชื่อป็อปและอีก 2คน คนขับรถชื่อดาวอีกคนชื่อวันคะ”
“อ้อครับ ผมมิ่งครับ”
“ยินดีที่รู้จักคะ คุณมิ่งเป็นคนพื้นที่หรือเปล่าคะ”
“เปล่าครับ ผมพึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่กี่เดือนนี่เองครับแต่นี่เป็นเส้นทางไปบ้านผมพอดีครับ”
เธอทำท่าจะถามต่อแต่ก็รู้ว่าไม่ควรถามเพราะดูเสียมารยาทเลยเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น โดยที่หญิงสาวชื่อป็อปแอบพิจารณาชายหนุ่มอย่างเงียบๆโดยไม่พูดอะไรปล่อยให้เพื่อนเธอเป็นคนชวนคุย แต่เธอก็สะดุดตากับรอยสักที่ท้องแขนของมิ่งแล้วสังเกตว่าบางครั้งมิ่งเหมือนจะขับรถคร่อมเลนแต่พอรู้ตัวก็มากลับเข้าเลนส์ตามปกติก็ขับก่อนที่เธอจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ส่วนในรถคันหลัง หญิงสาวที่ชื่อวันหันไปคุยกับเพื่อนที่ขับรถว่า
“ยายกระถินเอาอีกแล้วนะ เห็นแบบนี้ไม่ได้ แล้วเอายายป็อปไปด้วยเดี๋ยวมันยายชีก็โวยให้หรอก”
“แหมมันก็น่าหรอก ทั้ง ดาร์กทอร์แอนด์แฮนซั่ม ดูที่แขนสิ กล้ามเป็นมัดๆ อูยยยยยเห็นแล้วสยิว”
เพื่อนสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเพ้อๆ ทำเอาเธอโวยเพื่อนทันที
“ยายดาวไอ้บ้า ติดเชื้อกระถินมาละสิ”
“แหมวันทำเป็น ชั้นเห็นเธอก็จ้องตามเป็นมันเหมือนกัน สงสัยนักเรียนนอก พูดไทยบางคำไม่ชัดมีเผลอพูดอังกฤษมาด้วย”
วันไม่ตอบอะไรเพื่อนได้แต่ค้อนเพราะเพื่อนพูดแทงใจดำและปล่อยให้เพื่อนประคองพวงมาลัยตามรถกระบะ 4ประตูไป จนมิ่งเลี้ยวรถเข้าไปในรีสอร์ทก่อนไปจอดหน้าอาคารต้อนรับ แล้วมีพนักงานผู้ชายรีบเดินลงมาพร้อมทำหน้าแปลกใจก่อนทักมาว่า
“อ้าวคุณมิ่งไปไหนมาครับ แล้วนี่ลากรถใครมาครับนี่”
“พึ่งกลับจากรุงเทพนะครับ แล้วมาเจอรถของลูกค้าที่นี่จอดเสียอยู่เลยลากมาที่นี่ดีที่มีเชือกลากติดรถมาด้วย ยังไงก็ทางผ่านอยู่แล้ว”
“อ้าวหรือครับ”
ผู้ชายที่เดินมาลงนั้นคือ ผจก.ของรีสอร์ทบ้านภูตะวันจันทรา รีบหันไปตะโกนเรียกให้พนักงานมายกกระเป๋าที่กระบะรถของมิ่งระหว่างที่ชายหนุ่มจัดการปลดเชือก ก่อนหันไปบอกหญิงสาวทั้งสี่ที่ลงมายืนข้างๆรถว่า
“เรียบร้อยแล้วครับ ยังไงก็ให้พนักงานที่นี่ช่วยกันเข็นไปที่จอดก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยโทรไปที่บริษัทรถเช่าให้เอารถมาเปลี่ยน ผมขอตัวก่อนครับ”
หญิงสาวทั้งสี่คนต่างยกมือไหว้พร้อมกล่าวขอบคุณชายหนุ่มรับไหว้ แต่ทุกคนได้ยิน ผกจ.รีสอร์ทบอกว่า
“คุณมิ่งครับไหนๆก็มาแล้ว ฝากรบกวนไปบอกน้าปราณีด้วยครับ ขอเพิ่มสตอเบอรี่กับลำไยอย่างละ 5กิโล แอปเปิ้ล 5 ลังนะครับ บอกว่าผมขอเพิ่มเพราะกลัวไม่พอ วันหยุดนี้ลูกค้าจองห้องเยอะครับ”
“จะเอาแบบแพ็คหรือเปล่าครับ”
มิ่งถามกลับ
“ไม่ครับ แบบแพ็คคงพอนี่เอามาเพิ่มให้ห้องครัวครับ”
“ได้ครับ จะไปบอกน้าให้ครับ”
“ขอบคุณคุณมิ่งมากครับ”
มิ่งยิ้มรับก่อนเดินไปที่รถก่อนขับออกไป ผจก.ได้พาลูกค้าทั้ง 4คนเข้าไปในอาคารก่อนเชิญนั่งเพื่อรอเช็คอินทำให้ กระถินถามว่า
“รู้จักกันดีหรือคะกับคุณมิ่งหรือคะ”
“ครับ แกเป็นลูกชายกับหลานชายของสองคนพี่น้องเจ้าของ ไร่มิ่งมงคลที่อยู่ใกล้ๆนี่แหละครับ ทางเราสั่งผลไม้จากไร่แกมาทำอาหารนะครับ และก็ขายเป็นของฝากตรงที่วางที่ชั้นนี่ไงครับ สตอเบอรี่ไร่นี้ลูกโตมากครับ”
“อ้าวแล้วที่ไร่ไม่มีขายหรือคะ”
“มีครับ เรารับมาขายก็ขายราคาเดียวกัน เลี้ยวโค้งข้างหน้าก็ถึงไร่แล้วครับ เข้าไปเที่ยวได้ครับ”
ก่อนที่ผจก.จะบอกความเป็นมาของไร่นี้และชื่อที่พึ่งมีไม่นานนี้ ดาวเลยถามไปว่า
“คุณมิ่งแกไม่ได้เป็นคนแถวนี้หรือคะ”
“แกพึ่งกลับจากสหรัฐครับ แต่ผมก็ไม่รู้นะว่าแกทำงานอะไรที่นั่น มีคนถามแก คุณมิ่งก็ยิ้มๆครับ ที่สนิทกันเพราะแกมาว่ายน้ำที่นี่เกือบทุกวันครับ ไม่ก็เอาผลไม้มาส่งให้”
ผจก.ตอบก่อนที่จะสั่งให้พนักงานพาลูกค้าทั้ง 4คนไปที่บ้านพักโดยกระถินซื้อสตอเบอรี่ติดมือไปด้วยจนถึงห้อง หลังจากที่ได้ติดต่อไปที่บริษัทรถเช่าเพื่อเอารถมาเปลี่ยน หัวข้อการสนทนาเป็นเรื่องของชายหนุ่มที่มีน้ำใจมาส่ง แต่ผู้หญิงที่ชื่อป็อปนั้นสงสัยกับรอยสักที่เห็นเธอก้มหน้าดูไอแพ่ดที่นำมาด้วยโดยไม่พูดอะไร ส่วนกระถินที่นั่งกินสตอเบอรี่ไปด้วยก็พูดว่า
“แหมน่ากินจริงๆ”
ดาวเป็นคนที่ตอบเพื่อนไปว่า
“ใช่น่ากินจริงๆสตอเบอรี่ลูกใหญ่มาก”
“เปล่าชั้นหมายถึงคุณมิ่งลูกชายเจ้าของไร่มิ่งมงคลต่างหาก น่ากินจริงๆ ดูแขนสิล่ำมาก กล้ามเป็นมัดๆถ้าได้กัดนะ คงฟินน่าดู อกก็กว้างถ้าได้ซบแนบอิงแอบ คิดแล้วสยิว”
คราวนี้เพื่อนสาวที่นั่งเงียบมาตลอดเงยหน้าจากไอแพ่ดและบอกว่า
“บ้าใหญ่แล้วยายกระถินพูดมาได้ น่าเกลียด”
“อ้าวป็อปชั้นพูดเรื่องจริง คุณมิ่งนะหุ่นแบบพวกออกกำลังกายประจำ ไม่ใช่หุ่นแบบพวกนักกล้ามที่ชอบโชว์กล้ามนะ แหมถ้าพรุ่งนี้มาว่ายน้ำจะไปขอยลโฉมซะหน่อย ใครจะไปเหมือนเธอที่อยู่กับพวกหนุ่มในเครื่องแบบหุ่นล่ำๆตลอด”
“ยัยบ้า ชั้นทำแต่พวกเอกสาร ใครจะไปคิดเหมือนเธอ”
“จ๊ะ แม่หมวดสาวแม่ชี แล้วนั่นทำอะไรหรือว่าเล่นเกมส์ พวกเรากว่าจะรวมกันได้มันยากนะเธอ ไหนๆมาแล้วอย่าเอาแต่เล่นเกมส์”
“ใครว่าชั้นเล่มเกมส์ขอตรวจงานหน่อยเดียวเท่านั้น”
“จ๊ะ”
กระถินพูดแบบไม่สนใจก่อนจะหันไปพูดกับดาวและวันตามประสาสาวที่ค่อนข้างแก่นว่า
“แหมอยากรู้จัง แต่งงานหรือยัง ชักอยากจะเป็นสะใภ้ชาวสวนชาวไร่ซะแล้ว แต่สวรรค์คงประทานหนุ่มคนนี้มาให้ชั้นแน่นอน รถเสียปั้บหนุ่มในฝันขับรถผ่านมาช่วยทันที แถมพึ่งกลับมาจากเมืองนอกซะด้วย เพี้ยงขอให้เป็นหนุ่มโสดที่ผิดหวังจากความรักของสาวฝรั่งแล้วกลับมาหมกตัวที่สวนห่างไกลผู้คนที่เมืองไทยทีเถอะ ชั้นจะเป็นคนดามอกนี้ให้ โดยสวรรค์เจ้าขาขอบคุณมากๆคะ หนุ่มในฝันของลูกจริงๆ คนนี้ชั้นจองเพราะชั้นเป็นคนคุยกับคุณมิ่งคนแรก””
ทำเอาเพื่อนๆส่ายหน้าเพราะรู้นิสัยกันดี แต่ป็อปกลับทำหน้าสงสัยระหว่างก้มดูไอแพ่ดแล้วพึมพำคนเดียวว่า
“พันจ่าโทมงคล สิทธิรักษ์ จะเป็นคนเดียวกันหรือเปล่านะแต่มีรอยสักด้วยน่าจะใช่”
ป็อปนั้นเป็นนายทหารที่สังกัดกลาโหมยศร้อยโทหญิง มีหน้าที่ตรวจเอกสารต่างๆที่มาจากต่างประเทศและถ้ามีการฝึกของบรรดามิตรประเทศเธอจะเป็นคนที่คอยประสานตรวจสอบเรื่องรายชื่อของทหารต่างชาติที่เข้ามาฝึกในเมืองไทยเกือบทุกครั้ง ระหว่างที่นั่งรถทางเธอสังเกตเห็นรอยสักของมิ่ง ถึงเธอจะไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ได้ยินพวก ทส.หรือพ่อของเธอที่เป็นทหารชั้นนายพลเคยพูดถึงว่าทหารหน่วยเนวี่ซีลของสหรัฐมักจะสักลายแบบนี้ พอเธอได้ยินชื่อจริงของมิ่งประกอบกับรอยสักที่ท้องแขน เธอที่รู้จากพ่อและเห็นรายชื่อว่ามีคนไทยเป็นทหารหน่วยเนวี่ซีลเข้ามาฝึกร่วมกับทางทหารไทย ชื่อ มงคล นามสกุลสิทธิรักษ์ แต่เธอก็ไม่พูดอะไร ออกมา เพราะรู้ว่าเพื่อนของเธอไม่สนใจในเรื่องพวกนี้ นอกจากตกลงกันว่า พรุ่งนี้จะไปเที่ยวที่ไร่มิ่งมงคล
จนช่วงสายๆในสภาพอากาศที่เย็นสบายไม่หนาวมากนัก ทั้ง 4สาวต่างนั่งรถคันใหม่ที่ทางบริษัทรถเช่ามาเปลี่ยนให้ตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวาน ไปที่ไร่มิ่งมงคลที่อยู่ไม่ห่างกันขับรถไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงทางเข้าไร่ ครั้งนี้ป็อปเป็นคนขับ เธอขับไปตามป้ายที่บอกไว้หลังจากเข้ามาได้ ประมาณ 200 เมตรก็ถึงอาคารเรือนไม้ ที่มีแผงขายผลไม้ตั้งอยู่ มีนักท่องเที่ยวเดินชมอยู่พอสมควรส่วนใหญ่จะมาจากรีสอร์ทที่พวกเธอพัก ทุกคนต่างลงไปเดินดูหลังจากจอดรถที่ลานจอด ซึ่งที่มีผลไม้เมืองหนาววางขายอยู่จำนวนมาก โดยมีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งคอยกำกับดูแลบรรดาลูกน้องอยู่พร้อมคำพูดเชื้อเชิญให้เลือกซื้อสินค้า ป็อปยิ้มตอบรับหญิงคนนั้นแต่แล้วสายตาของเธอเหลือบไปเห็น ป้ายทะเบียนการค้าที่ระบุชื่อเจ้าของกิจการว่า ปราณี สิทธิรักษ์ ทำให้เธอมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ในเรื่องของมิ่ง
ก่อนที่วันจะเดินมากระซิบบอกเธอว่าเห็นรถของมิ่งจอดอยู่ด้านข้างอาคารแต่ไม่เห็นเจ้าของรถ ทั้งสี่สาวต่างพาเดินดูกันรอบๆ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อผลไม้ สายตาของ ดาวมองไปเห็นมิ่งที่เดินกิ่งวิ่งมีสุนัขอัลเซเชี่ยนตัวใหญ่วิ่งเหยาะๆตามมาใกล้ๆ วิ่งเดินเข้ามาหาหญิงที่วัยกลางคน โดยทุกคนได้ยินเสียงของหญิงคนนั้นบอกว่า
“เป็นไงพาเจ้าเขี้ยวไปตรวจไร่”
“ต้องเรียกว่าพาเจ้าของสวนไปดูงานสิน้า เดินดูไปทั่วแต่ต้องระวังตอนเดินเข้าใกล้ต้นสตอเบอรี่ ทำท่าจะกินไปจากต้นเลย”
“มันชอบของมันกินมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว”
หญิงกลางคนตอบไปที่หลานชาย ก่อนที่มิ่งจะหันไปเห็นสาวๆสี่คนที่มองมาอยู่แล้วจึงทักทายกันหลังจากนั้นมิ่งหันไปแนะนำให้รู้จักน้าสาว พร้อมบอกสาเหตุที่ทำให้รู้จัก ทำให้น้าสาวชวนสาวๆทั้ง 4 คนไปชมไร่ โดยให้มิ่งเป็นคนพาทัวร์ ซึ่งทั้ง 4คนต่างตอบรับทันที มิ่งพาทั้งสี่คนเดินไปที่รถ ปล่อยให้เจ้าเขี้ยวอยู่กับน้าสาว แต่ผิดคาดที่ป็อปกับเป็นคนนั่งหน้าคู่กับมิ่งโดยกระถินดันให้เพื่อนไปนั่งหน้า ส่วนอีก 3สาวนั่งข้างหลัง มิ่งพาไปทัวร์ทั่วไร่ที่ปลูกผลไม้เมืองหนาวไว้หลากหลายรวมถึงลำไยในเนื้อที่ 30 ไร่ ซึ่งมิ่งได้อธิบายตลอดทาง จนพาไปดูส่วนที่ปลูกสตอเบอรี่ ป็อปมีโอกาสแอบถามมิ่งในช่วงที่เพื่อนทั้ง 3คนเดินห่างออกไป
“ขอโทษนะคะคุณมิ่ง”
“ครับว่าไงครับคุณป็อป “
สิ่งนี้ทำเอาเธอประหลาดใจมากเพราะมิ่งจำพวกเธอได้ทุกคนเพราะมิ่งเรียกชื่อทุกคนถูกตอนแนะนำให้รู้จักกับน้าสาว
“เอ่อขอถามนะคะว่า เป็นคนเดียวกับพันจ่าโทมงคล สิทธิรักษ์ สังกัดกองทัพเรือสหรัฐหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มดูไม่แปลกใจหรือมีมีกิริยาอะไรออกมานอกจากยิ้มออกมาก่อนตอบ
“กองทัพสหรัฐเวลาลาออกมาแล้ว ยศไม่ติดตัวมาด้วยเหมือนไทยครับ เรียกผมว่ามิ่งดีกว่าครับ”
“แปลว่าคุณมิ่งไม่ได้เป็นทหารหน่วยซีลแล้วหรือคะ”
“ใช่ครับ ผมลาออกมาแล้ว”
พอเธอถามสาเหตุมิ่งอธิบายสั้นๆว่าลาออกเพราะอะไร แต่เธอก็แปลกใจตรงที่มิ่ง ดูไม่ประหลาดใจว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าตัวมิ่งเคยเป็นเนวี่ซีล ก่อนที่มิ่งจะบอกว่าเพราะอะไรถึงไม่แปลกใจว่า
“เจ้าหน้าที่ของไทยที่รู้เรื่องผม จะเป็นทหารกับตำรวจและมีเจ้าหน้ากระทรวงการต่างประเทศอีกไม่กี่คนที่รู้ว่าผมเป็นทหารหน่วยซีล ถ้าจะให้เดาคุณป็อปคงทำงานกับทหารและอาจเคยเห็นรายชื่อผมตอนมาฝึกหรือมาอารักขาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐและเมื่อวานผมสังเกตเห็นคุณมองที่รอยสักของผมด้วย เลยไม่แปลกใจครับ”
ทำให้เธอตัดสินใจบอกไปว่า
“คะใช่ป็อปเป็นทหารเคยไปช่วยงานตอนมีการฝึกร่วมไทยสหรัฐเลยเห็นชื่อคุณมิ่งที่เป็นคนไทยของหน่วยซีลตอนมาฝึกที่เมืองไทย และคุณพ่อเคยพูดถึงคุณมิ่งด้วยคะ”
“คุณพ่อ”
มิ่งทวนคำพูดแล้วมีสีหน้าสงสัยแต่หมวดสาวก็บอกต่อทันที
“พลโทวิชัยไงคะ คุณมิ่งคงรู้จัก”
“อ๋อ รู้จักครับ ผมกับท่านรู้จักกันดีตอนผมมาฝึกให้หน่วยรบพิเศษของไทยครับ ท่านเป็นหนึ่งในผู้ควบคุมการฝึกของฝ่ายไทยเลยรู้จักกัน”
“คะ ท่านเคยมาเล่าให้ป็อปฟังว่ามีคนไทยเป็นหน่วยเนวี่ซีลของสหรัฐ ฝีมือดีด้วย”
มิ่งยิ้มออกมาพร้อมถามกลับไปว่า
“ท่านสบายดีนะครับ”
“คะ ถ้าคุณพ่อรู้คงแปลกใจมากที่คุณมิ่งกลับมาเมืองไทยแล้ว เอ่อแล้วคุณมิ่งอยู่ซีลทีมไหนคะ เหมือนในหนังหรือเปล่าที่บอกกันว่า ทีมซิกคือทีมที่เก่งที่สุดนะคะ”
ทำเอาชายหนุ่มหัวเราะออกมาทันทีก่อนตอบกลับไปว่า
“ผมอยู่ทีมไฟฟ์ครับ ยังไม่ได้ไปฝึกกรีนทีม ออกมาซะก่อนมันเบื่อแล้ว”
ก่อนชายหนุ่มจะอธิบายให้หญิงสาวฟังว่า ที่นี่ไม่มีใครรู้ว่าตนเองเคยเป็นเนวี่ซีล มีแต่แม่กับน้าซึ่งทั้งสองก็ไม่สนใจอะไรมากนักเลยไม่เล่าให้ใครฟัง ประกอบกับตัวของมิ่งเองที่ไม่อยากบอกใคร เพราะรู้ดีว่าคำว่าทีมซีล ในสายตาคนอื่นหมายถึงยอดมนุษย์แม้แต่คนในสหรัฐ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ทีมซีลก็คนธรรมดามีเจ็บมีตายได้ เพียงแต่ผ่านการฝึกมาอย่างดีกว่าที่คนทั่วๆไปจะรับได้ เลยไม่อยากบอกใครขอใช้ชีวิตอยู่เงียบๆดีกว่า ทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอ จนเพื่อนๆของป็อปอีก 3คน ต่างแอบนินทาทำให้กระถินพูดออกมาว่า
“สงสัยงานนี้เสร็จยายชีแน่นอน เฮ้อ!!!”
จนได้เวลามิ่งขับรถมาส่งสี่สาวตรงจุดอาคารเรือนไม้ เมื่อเดินเข้าไปในแผงที่ขายผลไม้ทุกคนเห็นผู้หญิงสูงวัยอีกคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ๆกับคนที่เป็นน้าสาวของมิ่ง มิ่งเลยแนะนำให้รู้จักกับแม่ของตนเองและทั้ง 4 คนประหลาดใจมากเพราะน้าสาวของมิ่งได้เตรียมผลไม้หลายๆอย่างแพ็คใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อยแล้วพร้อมบอกว่าให้ฟรีไม่คิดเงินตอนแรกทั้ง4 คนไม่กล้ารับจะขอจ่ายเงินแต่แม่ของมิ่งบอกว่า
“เอาไปกินกันเถอะคะ ไหนๆมาถึงที่แล้ว”
“เกรงใจนะคะและให้ยังให้คุณมิ่งพาชมไร่อีก”
ดาวเป็นคนตอบ
“ไม่เป็นคะ เรามีอีกเยอะอย่างเกรงใจเลย”
ทั้งสี่คนต่างไหว้ขอบคุณสองพี่น้องเจ้าของไร่ มิ่งเป็นคนยกลังไปส่งให้ที่รถพร้อมทักว่าเปลี่ยนรถเรียบร้อยแล้วซึงป็อปบอกว่าทางบริษัทรถเช่ามาเปลี่ยนให้ตั้งแต่เมื่อวาน ก่อนที่เธอจะขึ้นรถได้บอกขอบคุณชายหนุ่มอีกครั้ง และเธอบอกว่า
“คุณมิ่งคะ จะรบกวนขอเบอร์ติดต่อคุณมิ่งหน่อยคะ เผื่อคุณพ่อมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
“ได้ครับ “
มิ่งบอกขณะที่หญิงสาวเซฟเบอร์ของมิ่งลงในโทรศัพท์และเธอได้กดเรียกไปยังเครื่องของมิ่งแล้วบอกว่า
“นี่เบอร์ของป็อปนะคะเผื่อคุณมิ่งไปกรุงเทพป็อปกับเพื่อนๆจะได้เลี้ยงตอบแทนคะ”
ก่อนที่เธอจะขับรถพาเพื่อนกลับไปที่รีสอร์ท ซึ่งเธอได้บอกกับเพื่อนๆว่า มิ่งเป็นอดีตทหารหน่วยซีลและเธอเล่าที่มาที่ไปให้ฟังจนทั้งหมดเข้าห้องพัก กระถินได้พูดมาว่า
“มิน่า ถึงดูล่ำเหลือเกินเห็นคุยกันหนุงหนิงเราถึงว่ายายชีโดนลูกเจ้าของไร่จีบให้แล้ว ที่ไหนได้คุยเรื่องนี้ โล่งไปที่ชั้นยอมให้เธอนั่งหน้าไม่ใช่อะไรหรอกยายป็อป นั่งหน้าแล้วดูกล้ามล่ำๆไม่ถนัดนั่งหลังดีเห็นชัดถนัดตา พูดแล้วน้ำลายไหลกินแอปเปิ้ลดีกว่า ท่าทางจะกรอบ แต่แหมถ้าได้กิน อดีตหน่วยซีลด้วยจะกรุบกรอบขนาดไหน”
พอกระถินพูดจบเพื่อนอีก 3คน พูดพร้อมกันว่า
“ยัยเพี้ยน”
กระถินยักไหล่ก่อนเดินไปเปิดลังหยิบแอปเปิ้ลมาปอกกินโดยไม่สนใจเสียงของเพื่อนๆ
เวลาผ่านไปเดือนเศษๆ ช่วงบ่ายๆ แม่ของมิ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกเงยหน้าจากเอกสารรายการสั่งซื้อผลไม้เพราะได้ยินเสียงเห่าจากเจ้าเขี้ยว
“เอ๊ะใครมา มิ่งก็ออกไปไม่นานนี้เอง”
เธอพูดออกมาก่อนทำท่าจะลุกขึ้น แต่เธอได้ยินเสียงน้องสาวที่อยู่หน้าบ้านตะโกนเรียกว่า
“พี่ไพ พี่ไพ มีคนมาหา พี่เหรกมา”
น้ำเสียงบอกถึงความประหลาดใจเป็นอย่างมากทำให้เธอรีบเดินไปตรงประตู มองลงไปเห็นมีรถมาจอดข้างๆรถน้องสาวเธอ ที่ตอนนี้กำลังจับเอาเจ้าเขี้ยวไปล่าม เธอเห็นอดีตสามีพร้อมหญิงสาวอีกคน มองขึ้นมาตรงประตูทำให้เธอรีบลงไปก่อนที่อดีตสามีที่ดูชราไปมากส่งยิ้มมาให้แล้วบอกว่า
“สบายดีนะคุณ”
พร้อมๆกับทักไปที่น้องสาวของเธอที่ตอนนี้มายืนข้างๆพี่สาว
“ปราณีสบายดีนะ พี่พาลูกสาวคนโตมาเยี่ยม เอ้าวุ้นมาไหว้แม่กับน้าสิ”
อดีตสามีเรียกลูกสาวมายืนใกล้ๆแล้วบอกให้ไหว้ซึ่งทำตามแต่โดยดี เธอเชิญแขกไปบนบ้านโดยมีน้องสาวเป็นคนเดินปิดท้าย พอเธอเชิญอดีตสามีกับลูกสาวให้นั่ง น้องสาวเดินไปในครัวเพื่อไปเอาน้ำมาให้แขก แต่ก่อนที่ดิเรกจะนั่งสายตาเหลือบไปเห็นรูปของมิ่งซะก่อนจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆวุ้นเห็นพ่อเดินไปดูก็เดินตาม พร้อมด้วยผู้เป็นแม่ของมิ่ง ดิเรกดูทุกรูปและใช้เวลาค่อนข้างนานจนปราณีเอาน้ำผลไม้มาวางบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ในใจของดิเรกนั้นมีความรู้สึกทั้งภูมิใจในความสำเร็จของลูกชายและเสียใจที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนเลี้ยงดูมิ่ง ก่อนหันมาบอกอดีตภรรยาว่า
“พี่ชายคุณเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆ จบมหาวิทยาลัยชั้นนำและดูดีมากๆในชุดทหารผมนึกไม่ถึงว่าเค้าจะมีวันนี้ ผมขอถ่ายรูปหน่อยนะ”
เมื่ออำไพพยักหน้าดิเรกเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปของมิ่งทุกรูปก่อนจะไปจบรูปที่มิ่งอยู่ในชุดทหารถ่ายคู่กับธงชาติสหรัฐพร้อมถามว่า
“อะไรมั่งนี่ เต็มหน้าอกไปหมดแล้วลูกยังเป็นทหารอยู่อีกหรือเปล่า”
ก่อนจะเดินกลับมาที่เก้าอี้รับแขก อดีตภรรยาเป็นคนตอบหลังจากนั่งลงว่า
“ลาออกมาแล้วคะแต่เรื่องเหรียญไม่ทราบเหมือนกันคะ เจ้าตัวก็เคยบอกแต่ชั้นจำไม่ได้ ทั้งเหรียญทั้งชุดเอากลับมาด้วยแต่อยู่บนห้องเจ้าตัวไม่อยากโชว์ก็ต้องปล่อยเค้าไป เชิญคะคุณ วุ้นด้วยลูก น้ำแอปเปิลแม่กับน้าปราณีช่วยกันทำ เป็นแอปเปิลจากไร่ ลองชิมดูสิ”
เธอเรียกลูกสาวของอดีตสามีว่าลูกเพราะเห็นว่าดิเรกเป็นคนบอกว่าเธอเป็นแม่ ทั้งคู่ต่างยกแก้วขึ้นมาดื่มพร้อมคำชมโดยเฉพาะวุ้นบอกว่าอร่อยมาก แต่ดิเรกมองไปรอบๆเธอเลยถามว่า
“มิ่งไม่อยู่คะไปว่ายน้ำที่รีสอร์ทใกล้นี่แหละ จะโทรตามให้นะคะ”
อดีตสามียกมือขึ้นห้ามแล้วบอกว่า
“ไม่ต้องหรอก ถึงเจอก็ไม่ได้พูดกันเค้าไม่ยอมพูดกับผม”
ทำเอาอดีตภรรยาหน้าเสียแต่น้องสาวก็รีบเปลี่ยนเรื่องถามว่ามาถูกได้ยังไง
“ก็ถามจากนายหน้าขายที่นั่นแหละและพอรู้ว่าอยู่เลยรีสอร์ทบ้านภูตะวันจันทราก็พอมาถูกเลยชวนลูกสาวมาเป็นเพื่อน ไกลเหมือนกันนะ เมื่อกี้เลี้ยวเข้าไปที่ไร่ก่อน พนักงานบอกว่าบ้านอยู่ถัดไปให้ขับรถไปตามรั้วประมาณ 2 กิโลได้ มาปลูกบ้านไว้ท้ายไร่นี่เอง”
“มันได้เงียบหน่อยคะพี่เหรก ถ้าปลูกไว้ทางเข้าไร่คนจะเยอะ ตอนนี้คนมามาซื้อผลไม้ถึงไร่กันเยอะขึ้น มาอยู่ตรงนี้ค่อยสงบหน่อยกั้นรั้วให้เป็นสัดส่วนแยกบ้านออกจากไร่”
“กิจการดีเลยซิปราณี “
“ก็พอประมาณคะ ยิ่งได้มิ่งมาช่วยเราสองคนพี่น้องเบาแรงไปเยอะ”
แต่ปราณีสังเกตอะไรบางอย่างจึงหันไปชวนหญิงสาวที่นั่งข้างๆผู้เป็นพ่อว่า
“หนูวุ้นไปเที่ยวไร่กันไหมตอนนี้ทั้งสตอเบอรี่กับแอปเปิ้ลกำลังออกลูก จะได้ลองกินจากต้นสดๆ สวนของน้าปลอดสารพิษ ไปสิเอารถน้าไปจะได้ดูได้ทั่วๆ”
วุ้นหันไปมองหน้าบิดา ซึ่งดิเรกพยักหน้าก่อนบอกว่า
“ไปกับน้าเถอะลูกไหนๆมาแล้ว พ่อมีเรื่องจะคุยกับแม่ด้วย”
วุ้นจึงขอตัวพร้อมเดินตามปราณีออก ดิเรกรอจนได้ยินเสียงรถห่างออกไปแล้วมองหน้าอดีตภรรยาที่มองมาอยู่แล้วพร้อมบอกว่า
“คุณสบายดีนะ”
“ก็ดีคะ อยู่กับอากาศดี ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคอะไรแต่ก็ทรุดโทรมไปตามประสาคนแก่นะคะ มีเวลาก็ไปถือศีลกันที่วัดกับปราณี เมื่อก่อนผลัดกันไปไม่งั้นไม่มีใครดูหมา ตอนนี้มิ่งมาอยู่ด้วยก็ไปพร้อมๆกันได้แล้วสุขภาพคุณละคะ”
“ผมมันทำงานหนักมาตลอดพอเป็นเจ้าของเองมัน ต้องแบกทุกอย่างไว้เกือบทั้งหมด เลยเป็นความดันนะคุณ แต่ก็ไปหาหมอตลอดนะเลย แต่คุณคงสงสัยว่าผมมาทำไมใช่ไหม เราไมได้เจอกันเกือบ 30 ปีแต่ก็มีเรื่องทำให้มาเจอกัน ผมบอกเลยว่าที่ผมมาวันนี้ไม่ได้มารบกวนคุณกับลูก ผมจะมาขอโทษคุณกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“แต่...........”
“ใช่ผมอยากจะขอโทษทุกเรื่องเลย ที่ผมทำไม่ดีไว้กับคุณและลูก”
ตาของดิเรกเริ่มแดงขึ้นพร้อมบอกต่อไปว่า
“ตั้งแต่วันนั้นที่เจอกันครั้งสุดท้าย ผมแทบไม่มีความสุข เดือนต่อมา ผมมาหาคุณกับลูกก็ไม่เจอ ตอนนั้นผมแทบจะใช้ทุกวิธีในการตามหาก็ไม่เจอ จะไปถามพ่อกับแม่คุณผมก็ไม่กล้า มันเกาะกินใจผมมาตลอด จนเกิดเรื่องที่ดินขึ้น ทำให้ผมรู้ว่าคุณกับลูกมีความเป็นอยู่อย่างสบายไม่ลำบาก ผมก็พอใจแล้ว แต่ผมอยากจะมาขอโทษด้วยตัวเอง ผมไม่หวังจะให้คุณกับมิ่งยกโทษให้หรอกเพราะสิ่งที่ผมทำไว้มันเลวจริงๆ”
น้ำตาของอดีตสามีเริ่มไหลออกมา ทำให้อำไพสังเกตว่าร่างกายของสามีนั้นดูทรุดโทรมมาก ผมขาวโพลนเต็มศีรษะใบหน้ามีความทุกข์ เธอตอบไปว่า
“ชั้นไม่ติดใจแล้วคะคุณ เรื่องมันนานมาแล้วขอให้ผ่านไป ต่างคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง เห็นคุณวันนี้ชั้นก็ดีใจแล้ว ทันทีที่รู้เรื่องก็อยากจะโทรไปติดต่อคุณเหมือนกัน แต่กลัวคุณจะมีปัญหาจะถามทางมิ่งก็เฉยอย่างเดียว ไม่พูดอะไรเลย”
“เค้าเกลียดผมนะคุณ ผมนะไม่โทษเค้าหรอกนะที่เป็นแบบนี้เพราะผมคนเดียว เค้าพูดกับผมแค่วันแรกที่เจอกันเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาเค้าไม่พูดกับผมเลย มีอะไรก็คุยกับทนายความเค้าอย่างเดียวหน้าผมมิ่งก็ไม่มอง เวลาพูดด้วยก็เหมือนพูดกับสิ่งของไม่มีการตอบกลับ ไม่มีการรับรู้ใดๆทั้งสิ้น”
ดิเรกนึกย้อนไปถึงวันที่เซ็นสัญญาข้อตกลงคืนที่ดิน ลูกชายนั้นไม่พูดอะไรกับตนเองสักคำ หน้าก็ไม่ยอมมอง พูดผ่านทนายความอย่างเดียว แม้กระทั่งดิเรกเคยโทรหามิ่ง พอรู้ว่าเป็นเบอร์ของตนเองคำพูดที่ตอบกลับมาคือ
“ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว มีอะไรให้พูดกับทนายของผมแทน”
แล้วก็วางสาย หลังจากนั้นดิเรกได้โทรหาอีก 2-3 ครั้ง มิ่งไม่ยอมรับสายแม้กระทั่งให้วุ้นหรือขวัญโทรมาก็เหมือนเคยไม่มีการรับสายทุกครั้ง จนเคลียร์งานต่างๆได้แล้วจึงตัดสินใจที่จะมาหาอดีตภรรยา ตอนแรกดิเรกอยากจะมาคนเดียว แต่วุ้นเป็นห่วงเพราะขับรถจากตัวเมืองค่อนข้างไกลจึงขอมาด้วย และเช่ารถจากสนามบินเพื่อขับมาที่นี่ก่อนจะบอกกับอดีตภรรยาต่อไปว่า
“ที่ผ่านมาผมเลยต้องคุยผ่านทนายเค้าอย่างเดียว ให้วุ้นกับเลขาโทรติดต่อกับมิ่งก็ไม่ยอมรับสายอะไรทั้งสิ้น”
“ชั้นไม่รู้เรื่องนี่เลยคะมิ่งไม่เล่าอะไรให้ฟัง พอถามถึงคุณเค้าก็เฉย ไม่พูดอะไรแต่คุณมาก็ดีแล้วชั้นจะได้เอานี่คืน”
เธอพูดพร้อมลุกเดินไปที่ตู้เก็บเอกสารก่อนเปิดลิ้นชักหยิบซองพลาสติกมาแล้วเดินกลับมานั่งพร้อมยื่นเช็คให้อดีตสามี
“ชั้นคืนเงินให้คุณคะ ชั้นไม่อยากคะ ได้ที่คืนชั้นก็พอใจแล้วคะ”
แต่อดีตสามีส่ายหน้าแล้วบอกมาว่า
“เก็บไว้เหอะ เป็นเงินของผมที่เก็บเป็นเงินส่วนตัวไว้นานแล้ว ลงทุนเล่นหุ้นบ้างเป็นนายหน้าขายที่บ้าง ผมตั้งใจว่าถ้าวันไหนที่ผมหาคุณกับลูกเจอผมจะเอาจะเงินที่เก็บไว้ก้อนนี้ให้คุณกับลูกอยู่แล้ว ถึงมันจะชดเชยกับสิ่งที่ผมทำไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเงินที่พ่อจะให้กับลูก ผมมีลูก 3คน ทุกคนก็ต้องได้จากผม วุ้นกับไวย์อย่างน้อยก็มีบริษัทมีทรัพย์สินของตากับยายเค้า มันเทียบไมได้กับเงินก้อนนี้ที่ผมให้มิ่งหรอกคุณ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นของส่วนตัวผมที่จะให้เค้า รับไว้เถอะนะขอร้อง เพราะที่ผ่านมาผมก็ถูกประณามมาตลอดจากญาติฝ่ายคุณผมไม่ถือโทษนะเพราะผมผิดเอง ขนาดพ่อกับแม่ผมยังด่าผมไว้เยอะ แม้กระทั่งก่อนท่านทั้งคู่จะเสียยังเพ้อถึงมิ่งว่าอยากเจอหน้าหลานชายก่อนตายแต่ผมไม่รู้จะทำยังไง เงินก้อนนี้มันของมิ่งกับคุณเก็บไว้เถอะนะ ”
เมื่อเห็นอดีตสามียืนกรานพร้อมน้ำเสียงที่แสดงความจริงใจต่อสิ่งที่พูดเธอก็เก็บเช็คลงในซองตามเดินก่อนจะบอกว่า
“งั้นก็แล้วแต่มิ่งแล้วกันคะ เพราะดูเค้าไม่สนใจเลย ถ้าจะว่าจริงๆทางเราก็ไม่เดือนร้อน มิ่งก็ได้เงินทางทางโน้นมาเยอะเหมือนกัน มาถึงก็ซื้อรถซื้อเครื่องออกกำลังกาย เต็มไปหมด”
“ผมก็พอจะรู้เรื่องนี้ที่ทางสหรัฐจะมีเงินให้ทหารที่ลาออกค่อนข้างเยอะ ยิ่งคิดเป็นเงินไทยคงมากอยู่ แต่ผมตั้งใจจะให้แล้วนะขอให้รับไว้เหอะ อีกอย่างผมก็จะบอกด้วยว่ากำลังเร่งกันตลอดในการปรับพื้นที่คืนแต่มันไม่เสร็จทันตามสัญญาแน่นอน ผมกำลังให้ทางนิติกรทำหนังสือมาทางทนายของลูกอยู่ แต่คุณไม่ต้องกังวลนะเพราะผมยินดีจ่ายค่าปรับให้ตามที่บอกไว้”
“ไม่เป็นไรคะ ค่าปรับชั้นก็ไม่รับ”
“มันเป็นสัญญานะคุณ ผมต้องทำตามและอีกอย่างมันเกี่ยวกับชื่อเสียงของทางบริษัทผมด้วย ถ้าเกิดไม่จ่ายแล้วมิ่งเอาไปฟ้อง ชื่อเสียงที่สะสมมาของโรงแรมและรีสอร์ทมันก็พังไปด้วยและยิ่งเป็นข่าวลูกชายฟ้องพ่อตัวเอง มันยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่ จริงๆผมนะโกรธลูกชายคนเล็กมากที่มันทำแบบนี้ ผมกับแม่เค้าด่ามันซะไม่มีดี แต่อีกใจก็ขอบใจมันที่ทำให้ผมได้เจอคุณกับลูก”
“คุณคงต้องเสียเงินไปเยอะสำหรับเรื่องนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณเพราะความผิดมาจากฝ่ายผมเอง ก็ต้องยอมจ่ายเพื่อให้เรื่องทุกอย่างเรียบร้อย”
ดิเรกพูดจบแล้วมองไปรอบๆบ้านก่อนบอกว่า
“ร่มรื่นดีนะ แต่ไกลจากตัวเมืองไปหน่อย”
จากนั้นทั้งคู่ได้คุยกันเรื่องทั่วไปจนได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาพร้อมเสียงเห่าต้อนรับของเจ้าเขี้ยว สักพักปราณีก็เดินนำหน้าวุ้นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มก่อนบอกกับผู้เป็นพ่อว่า
“สวยมากจริงคะคุณพ่อ บรรยากาศก็ดี คุณน้าดูแลไร่อย่างดีมาก ผลไม้ก็น่ากิน แถมใส่ลังให้เราเอากับไปกินที่บ้านอีกหลายอย่างด้วยคะพ่อ”
ดิเรกยิ้มรับพร้อมกับมองนาฬิกา แล้วบอกว่า
“ได้เวลากลับแล้ว เดี๋ยวตกเครื่อง ผมไปก่อนนะ ขอบคุณกับทุกๆเรื่อง ไว้ว่างๆจะมาเยี่ยมใหม่ ไปละนะปราณี”
ประโยคหลังหันไปบอกกับอดีตน้องสะใภ้ที่เดินมาใกล้ๆพร้อมบอกว่า
“ว่าจะชวนให้อยู่กินข้าวเย็นกันก่อนแต่ไม่เป็นไรโอกาสหน้าก็ได้คะ พี่เหรก ไม่ต้องกังวลอะไรนะคะ ที่ผ่านมาแล้วก็ให้แล้วกันไปเราแก่ๆกันแล้วคะ”
“ขอบคุณมากนะปราณี ไปก่อนะ วุ้นลาแม่กับน้าเค้าด้วย อุตส่าห์ให้ผลไม้ไปกินอีก”
ระหว่างที่กำลังเดินไปที่ประตูบ้าน ทุกคนได้ยินเสียงรถอีกคันวิ่งเข้ามา อำไพจึงพูดว่า
“ สงสัยมิ่งกลับมาพอดีคะ”
วุ้นนั้นมีสีหน้าวิตกเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าพี่ชายต่างมารดานั้นจะมีทีท่าอย่างไร พอทุกคนไปถึงประตูบ้านเห็นมิ่งกำลังหยอกล้อกับเจ้าเขี้ยวที่ถูกล่ามอยู่ ชายหนุ่มหันมามองแล้วไม่สนใจหันไปเล่นกับสุนัขต่อ โดยทีผู้เป็นพ่อนั้นมีสีหน้าแสดงถึงความเสียใจอย่างยิ่ง ก่อนเดินลงมาที่รถ ซึ่งรถของมิ่งจอดปิดท้ายอยู่ ผู้เป็นน้าที่เดินไปยกลังผลไม้จากรถตนเองที่จอดอยู่ข้างๆรถของดิเรกที่เช่ามา ได้บอกกับหลานชายว่า
“มิ่งถอยรถให้พ่อเค้าหน่อยพ่อเค้ากำลังจะกลับแล้ว เค้ามาเยี่ยมนะ”
แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นคือ สีหน้าที่เรียบเฉยไม่แสดงอาการอะไรออกมา มิ่งเดินไปที่รถด้วยอาการปกติแล้วถอยรถออกไปนอกบ้าน ด้วยสายตาที่วิตกของแม่กับใบหน้าที่ซีดเผือดของผู้เป็นพ่อ ที่ภาวนาว่า
“มิ่งทำอะไรออกมาก็ได้ลูก ที่แสดงว่าเห็นพ่อมีตัวตน”
แต่สิ่งที่แสดงออกมานั้นไม่ใช่ ดิเรกหวังว่าอย่างน้อยมิ่งน่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างก็ได้ถึงจะทำออกแบบไม่พอใจ จะปิดประตูรถแรงๆ หรือเบิ้ลเครื่องด้วยความโกรธ แต่นี่ไม่ใช่ มิ่งทำเหมือนตนเองไม่ตัวตนไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น วุ้นนั้นมองพ่อด้วยความเป็นห่วงก่อนจะบอกว่า
“พ่อคะวุ้นขับให้ดีกว่าคะ”
ดิเรกพยักหน้า แล้วหันไปบอกทางเจ้าของบ้านทั้งสองคนที่มองมาด้วยสายตาที่วิตก
“อย่าไปว่าลูกเลยนะ ผมเองที่ทำให้เป็นแบบนี้ ไปก่อนนะ ดูแลสุขภาพกันด้วยละ”
ดิรกพูดพร้อมรับไหว้จากสองพี่น้อง ส่วนวุ้นเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วทำสิ่งที่ใครๆไม่คาดคิดคือเข้ามากอดทั้งคู่และกราบลาที่บนบ่า ทำให้อำไพถึงกับปลื้มในความน่ารักของลูกสาวคนโตของอดีตสามีก่อนบอกว่า
“เดินทางปลอดภัยนะลูกว่างๆก็มาค้างนี่ แม่กับน้ายินดีต้อนรับ ดูแลพ่อเค้าด้วย”
“คะคุณแม่”
หญิงสาวตอบก่อนแล้วเดินไปที่รถ ก่อนจะขับรถถอยออกไปนอกบ้าน ท่ามกลางความไม่สบายของฝั่งเจ้าของบ้านที่เห็นกิริยาของมิ่ง จนมิ่งขับรถเข้ามามิ่งนั้นไม่ถามอะไรเลยเดินไปปลดโซ่เจ้าเขี้ยวออกแล้วถือถือเป้ขึ้นไปบนบ้าน สองพี่น้องได้แต่สบตากัน ก่อนที่ปราณีจะบอกกับพี่สาวว่า
“รอก่อนคะพี่ มันคงต้องใช้เวลา เราก็รู้ๆกันอยู่ว่ามิ่งไม่เหมือนเดิมตั้งแต่กลับมาอยู่ที่นี่”
ผู้เป็นแม่ได้แต่พยักหน้าเพราะรู้ว่าสิ่งที่น้องสาวพูดนั้นหมายถึง ความเย็นชาความเงียบขรึมอาการเหม่อลอยของลูกชายที่ยังมีเห็นอยู่บ้าง ฝ่ายสองพ่อลูกที่ขับรถออกไปนั้น วุ้นหันมามองพ่อที่นั่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา แม้ใบหน้าจะแสดงความเสียใจอย่าเห็นได้ชัด เธอดูออกว่าตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น พ่อของเธอดูเครียดและทรุดโทรมไปมาก ผมขาวขึ้นเต็มศีรษะ แม้เธอกับแม่พยายามที่จะช่วยกันปลอบโยนและให้กำลังใจ สิ่งที่เธอพึ่งทำไป วุ้นทำด้วยความเต็มใจ เพราะแม่ของเธอก็เล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดไม่มีปิดบัง ทำให้เธอรู้สึกสงสารทั้งสองฝ่าย และพอมาเจอกับในวันนี้ ฝ่ายอดีตภรรยาของพ่อไม่มีอาการรังเกียจเธอ แถมผู้เป็นน้ายังพาเธอไปเที่ยวสวนและแนะนำให้คนงานรู้ว่าเธอเป็นหลานเป็นน้องสาวของมิ่ง ยิ่งทำให้เธอสนิทใจมากขึ้น แต่พอเธอเห็นพ่อที่แสดงความเสียใจออกมาเธอจึงถามว่า
“พ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
“พ่อไม่มีตัวตนสำหรับเค้าลูก เราก็เห็นกันอยู่ พี่ชายลูกไม่มองหน้าไม่พูดไม่มีอาการอะไรออกมา พ่อหวังว่าอย่างน้อยมิ่งทำกิริยาไม่พอใจออกมาบ้างก็ยังดี แต่นี่ไม่เลย ไม่มีอาการอะไรออกมาให้เห็น พ่อคงเป็นคนเลวจริงๆสำหรับเค้า”
วุ้นไม่รู้จะพูดอะไรออกมาเพราะความสงสารพ่อ ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ทำสัญญาที่เธอไม่ได้ไปด้วย ทั้งเธอและพ่อต่างพอจะได้ข้อมูลของมิ่งจากรอดที่เป็นคนสนิทของพ่อเธอ ที่ได้พยายามไปหาข้อมูลของมิ่งซึ่งรอดต้องใช้ความพยายามอย่างสูง เพราะข้อมูลของมิ่งค่อนข้างจัดอยู่ในชั้นความลับจนพอจะได้ข้อมูลจากเพื่อนหรือเจ้านายเก่าของรอดที่เคยได้รับการฝึกจากมิ่ง ว่ามิ่งนั้นเป็นทหารที่เก่งและมีความสามารถที่แสดงออกมาให้เห็นในตอนฝึก รวมถึงตอนที่มาเป็นหน่วยคุ้มกันด้วย ซึ่งข้อมูลได้มาเพียงเท่านี้ แต่รอดเดาว่ามิ่งนั้นคงลาออกมาแล้ว
ซึ่งมันก็ตรงกับที่แม่ของมิ่งบอก เรื่องการมาวันนี้ก็เช่นกัน พอพ่อเธอบอกว่าอยากจะไปเยี่ยมอดีตภรรยา แม่ก็เธอก็สนับสนุนเป็นอย่างดี ส่วนน้องชายเธอนั้นตอนนี้กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยพูดกับคนอื่น เพราะรู้ว่าการกระทำของตนเองทำให้บริษัทต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากทั้งเรื่องปรับที่คืน ทั้งเรื่องปิดข่าว ซึ่งพอจะดูออกว่าสำนึกในความผิดที่ทำลงไป แต่เธอก็ถามพ่อไปถึงเรื่องเงินที่จ่ายเป็นค่าเสียหายไปให้ วุ้นนั้นไม่รู้ว่าเงินจำนวนนี้ดิเรกตั้งใจจะมอบให้มิ่งอยู่แล้ว เธอถามพ่อไปว่า
“แล้วเรื่องค่าเสียหายที่พ่อจ่ายไปละคะ”
ดิเรกตอบบุตรสาวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าออกมาว่า
“ก็อย่างที่บอกนะลูก เค้าไม่เอาไปขึ้นเงินเลย เช็คยังอยู่ แม่ของมิ่งเค้าจะคืนให้พ่อก็ไม่รับ ถ้าเค้าจะเอาจริงๆมิ่งคงไปฝากเข้าบัญชีให้แม่ตั้งนานแล้ว แต่ไม่เป็นไร พ่อจะสั่งยกเลิกเช็ค แล้วโอนเงินเข้าบัญชีไปเลย เลขบัญชีของแม่พ่อมีอยู่แล้ว เพราะมีแนบในตอนทำสัญญาเรื่องค่าปรับนะลูก ถ้าเราล่าช้าเราต้องโอนเงินค่าปรับเข้าบัญชีเค้าทุกวัน”
“แปลว่าเค้าไม่ต้องการเงินจากเรา”
“ใช่ลูกแต่เราก็ต้องให้ เพราะมันเป็นสิทธิของเค้า”
“แล้วเรื่องพี่มิ่งละคะพ่อ”
ดิเรกถอนใจแล้วหลับตาไปชั่วครู่ก่อนบอกว่า
“ไม่รู้เหมือนกันลูก พ่อไม่มีสิทธิที่จะไปทำอะไรเลย ก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะให้อภัยพ่อบ้าง”
วุ้นถึงกับสะอื้นเมื่อได้ยินผู้เป็นพ่อบอกมาแบบนี้ ทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรกันอีกจนถึงสนามบิน ฝ่ายมิ่งนั้นแทบจะไม่สนใจอะไรเพราะตนเองเดาออกว่าพ่อต้องมาที่บ้านสักวัน มิ่งนั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้รับแขก ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะมานั่งฝั่งตรงข้ามส่วนน้าสาวเดินเอาแก้วไปล้างปล่อยให้สองแม่ลูกคุยกัน
“มิ่ง อภัยให้พ่อเค้าเถอะลูกยังไงเค้าก็เป็นพ่อ แม่ก็ไม่ติดใจแล้ว พ่อเค้าเสียใจมากนะวันนี้เค้าตั้งใจมาขอโทษทุกเรื่อง”
“ต่างคนต่างอยู่จะเหมาะที่สุดครับ เค้าก็มีชีวิตของเค้า เราก็มีชีวิตของเรา เส้นทางมันไม่บรรจบกันอีกแล้ว”
“อ่อนลงบ้างเหอะลูก แม่ไม่รู้ว่าทำไมมิ่งถึงเป็นแบบนี้ หรือเป็นเพราะลูกเป็นทหารผ่านการบมามาก จนใจแข็ง แต่อย่าลืมเค้าเป็นคนให้กำเนิดลูกนะ ลูกก็น่าจะรู้ว่าพ่อเค้าห่วงเราขนาดไหน ไม่งั้นเค้าไม่มาหาถึงที่นี่หรอก ช่วยอ่อนให้พ่อเค้าบ้างเหอะลูก”
มิ่งมีสีหน้าที่นิ่งเฉยก่อนยืนยันคำเดิมว่า
“ต่างคนต่างอยู่ดีแล้วครับ จะได้ไม่ลำบากใจ ไม่เจอกันมา 20 ปีเกือบ 30 ปีแล้วครับจู่ก็โผล่มาเรียกร้องความเป็นพ่อ เค้าไม่ได้เลี้ยงดูอะไรเราเลยนะครับแม่ตั้งแต่เค้าไปแต่งานใหม่”
“แม่ก็ไม่ได้เลี้ยงมิ่งเหมือนกันนะ ถ้ามิ่งพูดแบบนี้ ลุงกับป้าเป็นคนเลี้ยงมิ่ง”
ผู้เป็นแม่เริ่มเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง แต่ลูกชายลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า
“แม่เลี้ยงมิ่งครับ ไม่ใช่ไม่เลี้ยง แต่แม่อยากให้มิ่งลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นแม่เลยส่งมิ่งไปอยู่กับลุง ลุงกับป้ามีบุญคุณกับมิ่งยังไงมิ่งไม่เคยลืมครับ และคิดว่าทดแทนได้ไม่หมดแน่ แต่แม่ไม่เคยทิ้งมิ่งครับในวันที่เราลำบากตอนที่เหลือแค่สองคนแม่ก็เป็นคนดูแลมิ่งมาตลอดนี่ครับ”
ลูกชายพูดก่อนเดินขึ้นไปบนห้องปล่อยให้มารดานั่งถอนใจกับทิฐิของผู้เป็นลูก ที่ไม่ยอมลดลงมา