ความเดิม กังปังตอนที่หนีลงมาจากง้อไบ๊เป็นผู้ที่มีความจำเสื่อม จึงทำให้เคว้งคว้างด้วยไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ใด
และต้องทำอะไรต่อไป จึงอาศัยหลบซ่อนตัวตามศาลเจ้า ระหว่างทางกลับรับทราบว่าตัวเองเป็นใครแล้ว
แต่แม้กระนั้นก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองก็เหมือนดั่งมันขาดๆเกินๆไป เพราะมีความทรงจำของอึ้งย้งมา
ซ้อนทับความทรงจำเกี่ยวกับมันอยู่ มันรับทราบว่าตัวมันเองเป็นคนที่เลวมาก่อนก่อเรื่องไว้มากมาย
รู้สึกเสียใจที่เคยทำตัวเช่นนั้น แต่กลับไม่ทราบว่าอะไรคือต้นเหตุที่ทำให้ตัวมันเป็นคนเลวร้าย
มันกลับคิดได้ว่า มันเคยมาจากซินเกียง เลยต้องการไปที่เมืองนี้เพื่อหาความจริงของตัวเองให้กระจ่างชัด
มันจึงยังคงใช้วิธีหลบซ่อน อาศัยขโมยเสื้อผ้าและของกินตามบ้านต่างๆ
และใช้ศาลเจ้าเป็นที่หลับนอนระหว่างเดินทาง โดยเก็บงำประกายไม่แสดงฝีมือให้ใครล่วงรู้
หรือก่อเรื่องใดขึ้นมาอย่างระวังตัวเองด้วยความรอบคอบ
ขณะกำลังจะเดินทางเข้าเมืองซินเกียง กลับมีม้าตัวหนึ่งคล้ายกำลังแตกตื่นสิ่งใดจึงควบตะบึงมา
บนหลังม้ากับมีสตรีรูปร่างอ้วนฉุราวหมูตอนนางหนึ่ง กำลังส่งเสียงร้องอย่างตกใจ
ด้วยกำลังจะตกมิตกแหล่จากหลังม้า
“ช่วยด้วย ๆ ใครก็ได้ช่วยที ช่วยด้วย ๆ “
กังปังใช้วิธีควบคุมม้าจากหันป้อกือ(หนึ่งในเจ๊ดตัวประหลาดกังหน่ำ) ซึ่งเป็นอาจารย์คนหนึ่งของก๊วยเจ๋ง กังปังตอนนี้มีทั้งวิชาตัวเบาและกำลังภายในที่สูงยิ่ง จึงสามารถวิ่งคู่ไปกับม้าที่แตกตื่นคอยเอามือตบปลอบม้าที่แตกตื่นให้สงบได้ พร้อมกับคอยดูท่าทีของสตรีอ้วนบนหลังม้า ม้าที่แตกตื่นพลันสงบลงพร้อมกับสตรีอ้วนที่เสียหลักตกลงจากหลังม้าพอดี
กังปังจึงอ้าแขนโอบอุ้มนางไว้ไม่ให้ได้รับอันตราย สตรีนางนั้นทั้งอ้วนทั้งน้ำหนักมากแต่กังปังยังสามารถอุ้มนางได้สบาย
“ข้าขอบคุณท่านมาก แต่เอ๊ะ...”
สตรีอ้วนที่กำลังโดนกังปังช่วยเหลืออุ้มอยู่ พอเห็นหน้ากังปังชัดๆ กลับยกมือที่กำลังโอบรอบคอมันตวัดมือตบหน้ากังปังดังเพี้ยะ เต็มฝ่ามือ
กังปังกำลังจะกล่าวคำว่า “มิเป็นไร” กลับโดนสตรีอ้วนตบหน้าแบบกระทันหัน
ตอนนี้กลับมีรถม้า และมีคนอื่นที่ขี่ม้าตามมาอีกหลายคนมาถึง
“เป็นเจ้าจริงๆ”
กังปังกำลังงุนงง ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใด กำลังมีคนหนึ่งลงจากหลังม้าเดินเข้ามา
“กังปัง ๆ เจ้าใข่กังปังน้องเราจริงๆ”
กังปังคล้ายคุ้นหน้าคนนี้ผู้นี้พยายามเค้นสมองนึก ภาพในวัยเด็กพลันวิ่งกลับเข้ามาในสมอง
กังปังสูญเสียความจำไปชั่วคราว หากมีสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นก็จะทำให้ความจำค่อยๆกลับมาได้
แม้ยังไม่หมดในคราวเดียว
กังปังมองเห็นชายชราผู้หนึ่งถือไม้เท้าอันใหญ่พร้อมกับหญิงสาวผู้หนึ่งประคองลงจากรถดูจากลักษณะ
ก็ทราบว่า หญิงผู้นี้มีสามีแล้ว(หญิงจีนสมัยก่อนจะมีการแต่งกายเกล้ามวยผมเพื่อบกพร่องสถานภาพของตนให้คนรู้)
“ งักแป๋ (พ่อตา)เป็นกังปังที่ช่วยม่วยเล็กไว้”
เจียงปิงกับฟู่หลิง
“กังปัง ไฉนเป็นเจ้าวายร้ายนั้น ขอข้าดูให้ชัดๆหน่อยเถอะ”
“เจ้ารีบคุกเข่า สำนึกผิดต่อหน้า ต่อย แป๋(บิดาบุญธรรม) ให้ยกโทษด้วย” ชายผู้นั้นรีบกล่าวแนะนำกังปัง
ด้วยสัญชาติญาณและจิตใต้สำนึกกระตุ้นเตือนให้กังปังรีบทำตามโดยไม่รอช้า
“ไหนเงยหน้าให้ข้าดูชัดๆซิ”
ผู้เฒ่าพูดพร้อมกับเอาไม้เท้าเชยคางกังปังให้เงยขี้น
กังปังพอสบตากับผู้เฒ่าชรากลับรู้สึกมีก้อนจุกขึ้นมาในอกส่งเสียงสั่นเครือไปเบาๆ
“ค่อย แป๋ (บิดาบุญธรรม)”
ผู้เฒ่าพอเห็นรู้แน่ว่าคือกังปังจริง กลีบมีความรู้สึกหลายอย่างประดั่งเข้ามาทั้งเอ็นดูทั้งชิงชังสารพัด
แต่กล้ำกลืนเอาไว้
“ยังจำข้าได้หรือ เจ้าวายร้าย แล้วนี้เจ้ากลับมาทำไม ตั้ง 16 ปีแล้ว”
กังปังคล้ายเป็นเด็กที่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ รู้สึกสลดไม่มีคำพูดใด
“ข้าได้ข่าวเรื่องไม่ดีของเจ้าตั้งมากมาย เจ้าทำอะไรมาถึงมาที่นี้ ไหนดูห่อผ้าของเจ้าซิ”
ผู้เฒ่าพูดพร้อมกับเอาไม้เท้าเขี่ยดูห่อผ้าที่กังปังวางไว้ข้างตัว กลับพบแต่หมันโถสามลูก
ผลส้มขนมไหว้เจ้าไม่กี่อัน ดูเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็คล้ายไปเอาของใครมา นอกนั้นตลอดทั้งตัวไม่มีอะไรเลย
ลักษณะคล้ายคนร่อนเร่พเนจรไม่ผิดกับพวกขอทาน
“สมบัติเจ้ามีเพียงเท่านี้หรือ กงจื้อ(คุณชาย)กังปัง หากเป็นเมื่อสิบปีก่อนข้าคงเอาไม้เท้าฟาดเจ้าตายไปกับมือแล้ว”
ผู้เฒ่าพูดพร้อมถอนหายใจ ไร้คำพูดต่อเหมือนได้ปลงใจในเรื่องกังปังแล้ว
“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านไปตั้งนานแล้ว ขอบใจเรื่องที่เจ้าช่วยฟู่หงส์ไว้แล้วกัน”
ผู้เฒ่าพูดพร้อมกับหันหลังจะก้าวขึ้นรถม้าจากไป แต่กลับเปลี่ยนใจหันกลับมาหากังปังอีกครา
“ไหนๆเจ้าก็มาแล้ว หากไม่อกตัญญูจนเกินไป พวกเราเตรียมจะไปไหว้หลุมศพ มารดาบุญธรรมเจ้า
นางตายตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว วันนี้ครบรอบวันตายของนาง”
ว่าแล้วผู้เฒ่าก็ขึ้นไปบนรถม้า สั่งให้ฟู่หงส์ขึ้นไปนั่งบนรถม้า ให้เจียงปิงคือชายคนที่เข้ามาทักกังปังให้เอาม้าตัวที่ฟู่หงส์ขี่มาเอาให้กังปังขี่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน
ในรถม้าฟู่หงส์คล้ายไม่พอใจจึงถามบิดาว่า
“ปา ปา(บิดา)ไฉนให้เจ้าเลวกังปังร่วมเดินทางไปด้วยเล่า ท่านไม่เจ๊บใจมันแล้วเหรอ”
“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้
อีกอย่างข้าอยากรู้เช่นกันว่ามันกลับมาทำไม เจียงปิงคงสอบถามมันได้ความเอง”
ฟู่หงส์จึงเงียบเสียง เช่นเดียวกับฟู่หลิงพี่สาวที่นั่งเงียบตลอดเวลาไม่ได้ส่งเสียงอะไร
ในระหว่างเดินทางไปฮ้วงจุ้ยเจียงปิงจึงเริ่มสอบถามกังปัง
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหรือ จึงกลับมาในสภาพเช่นนี้”
กังปังตอนนี้พอเริ่มจะจดจำได้แล้วว่าเจียงปิงกับมันต่างเป็นเด็กกำพร้าที่ผู้เฒ่าฟู่เซิ่งเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก
ด้วยพ่อแม่ของกังปังและเจียงปิงต่างถูกทหารมงโกลฆ่าตายหมด ผู้เฒ่าฟู่เซิ่งเดิมเป็นทหารมาพบทั้งคู่จึงสงสารจึงพากลับไปเลี้ยงดูที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นฟู่เซิ่งเองก็มีบุตรสาวสองคนอยู่แล้วคือ ฟู่หลิงและฟู่หงส์ แต่ก็ให้ความรักใคร่เจียงปิงกับกังปังดุจดั่งลูกในไส้ของตัวมาตลอดโดยเจียงปิงมีอายุมากสุดจึงให้เป็นพี่ใหญ่ รองลงมาคือกังปัง และฟู่หลิง และฟู่หงส์ ตามลำดับ
“ข้าขอเรียนพี่เจียงตามตรง ข้าได้รับอุบัติเหตุกระทบกระเทือนทางสมอง จึงจดจำเรื่องตัวเองได้ไม่กระจ่าง ต้องขออภัยให้ข้าด้วย”
เจียงปิงเลิกคิ้วทำท่าฉงน
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ แล้วเจ้าจำอะไรได้บ้าง”
“ข้าจำได้กระท่อนกระแท่น แต่กลับที่นี้ข้าคล้ายจำอะไรไม่ค่อยได้ จึงอยากให้ท่านชี้แนะเพื่อฟื้นฟูความจำ”
เจียงปิงลอบระบายลมหายใจ ว่าไฉนเรื่องของกังปังจึงแปลกประหลาด แต่ดูจากแววตาและท่าทางของกังปังแล้ว ดูเหมือนสิ่งที่พูดจะเป็นความจริง
“ประหลาดแท้ เอ...หากเจ้าว่าเป็นเรื่องจริง เอ้อ...เอาไงดีละ”
เจียงปิงล่าวพร้อมกับคิดไม่รู้จะเริ่มยังไง เพราะไม่รู้ว่าหากกังปังรู้เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับตัวจะเป็นผลดีหรือผลเสียยังไง
“เจ้าจำอะไรที่นี้ได้บ้าง..”
กังปังค่อยนึกและเล่าสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาได้ให้เจียงปิงฟัง
“ข้าจำได้ว่าเราต่างเป็นเด็กกำพร้าที่บิดาบุญธรรมนำมาเลี้ยง และมีม่วยใหญ่และม่วยเล็กลูกสาวที่แท้จริงของบิดาที่โตมาด้วยกัน
สตรีที่ประคองผู้เฒ่าลงมาคาดว่าคงเป็นม่วยใหญ่(ฟู่หลิง) แต่ไม่เห็นม่วยเล็ก(ฟู่หงส์)
เจียงปิงหัวเราะแล้วกล่าวว่า
ฟู่หงส์ในวัยเด็ก
“ก็คนที่ตบหน้าเจ้านั้นแหละคือ ม่วยเล็กฟู่หงส์”
“หญิงอ้วนนางนั่นหรือคือ ฟู่หงส์”
กังปังแปลกใจพยายามนึกถึงฟู่หงส์ กลับนึกไม่ออก
“ก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าจะจำนางไม่ได้ เพราะนางเปลี่ยนไปมาก จากดรุณีแน่งน้อยกลายเป็นสาวอ้วนใหญ่แบบนั้น”
กังปังนึกถึงฟู่หงส์ในวัยเด็กออกมาได้แต่กลับคิดไม่ถึงเวลาผ่านไปสิบกว่าปีกลับทำให้นางเปลี่ยนรูปร่างไปได้ขนาดนี้
แต่พิจารณาจากใบหน้านางก็คือฟู่หงส์จริงๆ
“อา..ข้านึกถึงฟู่หงส์?ออกแล้ว แต่ทำไมรูปร่างถึงเปลี่ยนไปขนาดนั้น
“เพราะนางเสียใจจากความรักเช่นเจ้ากระมัง”
“เสียใจจากความรัก ข้าด้วยหรือ”
กังปังแปลกใจ เจียงปิงเหมือนรู้ตัวว่าเล่าอะไรพลาดไป จะเป็นชนวนให้เรื่องไม่ดีกลับมาหรือเปล่า
จึงชงักค่อยนึกหาทางเล่าอะไรที่ไม่ให้กระทบกระเทือนเกินไป
“แต่เดิมเจ้าหลงรักฟู่หงส์จนแทบหัวปักหัวป่ำ แต่นางกลับไม่ชอบเจ้า แถมหลอกลวงกลั่นแกล้งเจ้าประจำ
เจ้าทั้งอับอายและผิดหวังอย่างรุนแรง ต้องเสียผู้เสียคน จึงก่อเรื่องไม่ดีขึ้นนาง และหนีเตลิดไป “
“ข้าเป็นเช่นนั้นหรือไม่อยากเขื่อเลย”
“กังปังเรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว หากแม้นเจ้าจดจำอะไรขึ้นมาได้ หวังว่าเจ้าคงไม่กลับมาแก้แค้นกับใครอีกนะ
“ฟู่หงส์เองนางก็คล้ายได้รับการลงโทษภายหลังผู้ชายที่นางชอบก็ทอดทิ้งนางจึงเสียใจ กลับมาเอาแต่กินเพื่อลืมทุกข์ จนติดนิสัยเอาแต่กิน จนมีรูปร่างอ้วนใหญ่ตามที่เห็น อโหสิให้แก่กันเถอะ”
กังปังได้ฟังแล้วต้องตกใจอย่างมาก นึกไม่ถึงว่าเรื่องแต่หนหลังตัวเองจะเป็นแบบนี้
(ผู้หญิงอ้วนฉุแบบนี้นะหรือ คือคนที่ตนหลังรักหัวปักหัวป่ำ จนต้องทำให้กลายเป็นคนไม่ดีไปได้
หากกาลก่อนได้รู้ว่าอนาคตของฟู่หงส์จะมีรูปร่างอ้วนฉุแบบนี้ คงไม่ไปหลงนางจนเสียผู้เสียคนขนาดนี้
นี้หรือคือต้นเหตุทั้งหมดของข้า กังปังกลับคิดสังเวชในใจตัวเอง)
เผอิญมาถึงฮ้วงจุ้ย เจียงปิงจึงหยุดการสนทนาต่างพากันมาที่หน้าหลุมศพช่วยกันจัดเตรียมข้าวของไหว้
กังปังมาหยุดยืนเซื่องซึมอยู่ที่หน้าหลุมศพสลักชื่อว่า “ฟู่หนี่เอ๋อ”
ความทรงจำในวัยเด็กปรากฎภาพขึ้นในหัว
“ท่านแม่ โตขึ้นข้าจะเป็นวีรบุรุษ เป็นจอมยุทธที่ทรงคุณธรรม
จะใช้เพลงกระบี่ขจัดภัยของตระกูลเราปราบเหล่าร้ายให้สิ้นแผ่นดิน”
กังปังก็เป็นเช่นเด็กน้อยทั่วไปที่มีความฝันที่สวยงามเป็นวีรบุรุษที่มีชื่อเสียง
“ตอนนี้แม้เจ้ายังไม่ได้เป็นวีรบุรุษของใคร แต่ก็เป็นวีรบุรุษของแม่ แต่วีรบุรุษก็ต้องกินข้าว และเรียนหนังสือนะ”
“หยุดเล่นก่อน มากินข้าวก่อนแล้วมาหัดอ่านหนังสือกับแม่นะ”
กังปังนึกถึงภาพในวัยเด็กยามที่นางฟู่หนี่เอ๋อมีชีวิต ที่เอ็นดูรักใคร่ตนมากกว่าลูกคนไหน
เพราะกังปังเป็นเด็กฉลาด พูดจาอ่อนน้อมอ่อนหวาน รู้จักประจบประแจง ยิ่งกว่าใคร
กังปังอดน้ำตาหลั่งรินไม่ได้ ที่จากไปนานและไม่มีโอกาสได้พบนางอีกต่อไปแล้ว
จึงก้มลงโขกศรีษะคำนับร้องไห้ออกมา
“มารดาลูกช่างอกตัญญูยิ่งนัก ไม่สามารถเป็นวีรบุรุษได้ดั่งให้สัญญาแก่ท่าน ฮือ...”
กังปังส่งเสียงสอึกสอื้นแผ่วเบาสูดน้ำมูกที่ไหลออกมา อย่างเศร้าโศกและปวดใจยิ่งนัก
จนผู้เฒ่าฟู่เซิ่งที่มองอยู่ก็รู้สึกสเทือนใจไปด้วย เพราะอากัปกริยาของกังปังที่แสดงอย่างจริงใจไม่ได้แสร้งทำแต่อย่างใด ในใจให้อภัยและมองเห็นกังปังในยามที่เป็นเด็กน้อยน่ารัก และเชื่อมั่นว่ากังปังคงกลับตัวกลับใจได้ ผู้เฒ่าได้ถามสิ่งที่เจียงปิงได้พูดคุยกับกังปังจึงทราบความว่ากังปังได้สูญเสียความจำบางอย่างไปก็นึกเห็นใจ แต่ก็อดวิตกไม่ได้ว่าที่กังปังดูเหมือนเป็นคนดีในตอนนี้เพราะความจำยังไม่สมบูรณ์ หากความจำกลับมาได้หมดยังจะกลับไปเป็นคนที่มีแต่ความเกลียดชังอยู่หรือไม่
“ท่านพ่อไฉนยังให้กังปังกลับไปกับพวกเราอีก ตอนนี้มันอาจแค่ดีเพราะความจำเลอะเลือนก็ได้นะ “
“อืม...ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่ข้าก็คิดว่า กอ(พี่)กังปังอาจเปลี่ยนเป็นคนดีได้แล้วนะ ที่ผ่านมาอาจแค่หลงทางไป”
เป็นฟู่หลิงออกความเห็นมาบ้าง
“ฮึ..เจ๊ยังไปนับถือมันเป็นกอกออีกทำไม”
“เอาละเจ้าไม่ต้องโต้เถียงกัน ขอข้าดูมันเองแล้วกัน กังปังก็คือคนในครอบครัวเรา แม้ทำผิดก็ยังคงเป็น
มารดาเจ้าก็ขอไว้ก่อนตายว่าให้อภัยให้กังปัง วันนี้ครบรอบวันตายของนางทำเพื่อนางสักวันเถอะ”
ฟู่หลิงจึงหุบปากเงียบ
“ผู้เป็นบุตรควรทราบ ในใจพ่อแม่ทุกคนย่อมรักและห่วงใยลูกเสมอไม่ว่าจะเติบใหญ่แค่ไหนก็ตามก็ยังเห็นเป็นเด็กที่น่ารักอยู่ร่ำไป แม้ทำผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหนก็ตามจะกี่ร้อยกี่พันครั้ง ถึงจะเป็นเรื่องเดิมๆที่ซ้ำซากอาจมีความโกรธบ้างในใจ แต่ก็ยินดีที่จะให้อภัยทั้งร้อยทั้งพันครั้ง..ขอเพียงที่ให้อภัยจะมีเพียงสักหนึ่งครั้งที่ลูกได้รู้สำนึก และเริ่มใหม่ในทางที่ถูกก็คุ้มค่าแล้ว”
ในใจของผู้เฒ่าฟู่เซิ่งที่รู้สึกต่อกังปังก็เป็นเช่นเดียวกัน
ในตอนเดินทางกลับกังปังจึงได้สนทนากับเจียงปิงจึงทราบว่า ตอนนี้บ้านที่อยู่ไม่ใช่สำนักกดูแลความปลอดภัยของหมู่บ้าน(ยาม) และส่งสินค้าอีกต่อไป เพราะมีครั้งหนึ่งตอนที่กังปังจากไปได้มีโจรมาปล้นแย่งชิงของสำคัญที่ต้องจัดส่งไป
ผู้เฒ่าฟู่เซิ่งสู้โจรไม่ได้แถมโดนดูถูกว่ามีฝีมืออ่อนด้อยไม่คู่ควรมาทำงานนี้เกิดท้อแท้ใจมาก และต้องจ่ายค่าสินค้าจนต้องขายทรัพย์สินสมบัติทั้งหมดจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ภาวะทางบ้านต้องประสบความลำบากไม่เลิกกิจการก็ต้องเลิกเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างคนงานจนแทบจะต้องขายบ้านช่องทั้งหมดเพราะไม่มีรายได้อะไร แต่กลับเป็นฟู่หงส์ที่มีพรสวรรค์ด้านการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าตั้งแต่เด็กที่ช่วยครอบครัวไว้ได้
ซึ่งกังปังพอจะจำได้ที่ฟู่หงส์มักทดลองตัดเสื้อผ้ามาให้กังปังเป็นหุ่นใส่แสดงเสื้อผ้าเป็นที่ขบขันแก่ผู้พบเห็นในสมัยก่อน
แต่ต่อมาการออกแบบเสื้อผ้าของนางกลับพัฒนาขึ้น เป็นที่ชอบใจของผู้พบเห็น จากขายได้เพียงหนึ่งตัว เป็นสองตัว แล้วในที่สุดคนกลับนิยมเสื้อผ้าที่นางออกแบบมากขึ้นด้วยความแปลกตาสวยงามกว่าใคร จนบัดนี้กลายเป็นร้านตัดเสื้อผ้าชื่อดังไม่เพียงเฉพาะตำบล ยังแพร่หลายไปยังต่างถิ่น ฟู่หลิงกับฟู่หงส์จึงมีความคิดริเริ่มจัดทำเป็นหนังสือภาพ(แคตตาล็อก) ให้คนเลือกแบบซึ่งไม่เคยมีร้านไหนจัดทำสมุดภาพมาก่อนเป็นความแปลกใหม่ที่ไม่เคยมี
ตระกูลฟู่ที่กำลังตกอับพลิกฐานะขึ้นมาใหม่กลายเป็นเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่ากาลก่อนที่เป็นสำนักรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(เทียบได้กับบริษัทยามในสมัยนี้) ทุกคนติดใจเรียกหาให้แต่ฟู่หงส์ออกแบบเสื้อผ้า มีชื่อเสียงเลื่องลือไปถึงเมืองหลวง
เทียบแล้วฟู่หงส์คือดีไซน์เนอร์ในสมัยนี้นี่เอง
กังปังได้ฟังแล้วอดทึ่งไม่ได้ ออกปากชมฟู่หงส์อย่างจริงใจ
“อย่างนี้ต้องขอบใจโจรกระมั่งที่มาปล้นทำให้ฟู่หงส์นำพรสวรรค์ที่มีมาใช้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ ฮ่า ๆ”
กังปังพูดไม่ทันคิดอะไร ทำให้เจียงปิงต้องชงักไม่กล้าบอกว่า คนที่ชักนำโจรมาปล้นที่ทำให้ตระกูลฟู่ต้องตกระกำลำบากก็คือตัวกังปังนั้นเอง
“มีอีกเรื่องที่สำคัญเกี่ยวกับตัวข้า ที่ลืมบอกไป...”
“คือ ท่านกับม่วยใหญ่ฟู่หลิง ได้ลงเอยเป็นสามีภรรยากันแล้ว”
เจียงปิงยิ้มไม่นึกว่ากังปังจะเดาถูก
“ข้ารู้ตั้งแต่ท่านเรียกบิดาบุญธรรมเป็นพ่อตา และเห็นฟู่หลิงที่ลงจากรถม้ามาก๋คาดเดาออกแล้วละ”
“เจ้าบอกได้ถูกต้อง “
"หากการมาครั้งนี้ของเจ้าเพียงเพื่อต้องการฟื้นฟูความจำเท่านั้น เรื่องสำตัญเกี่ยวกับตัวเจ้าที่ผ่านมาข้าก็เล่าให้เจ้าฟังหมดแล้วละ ไม่รู้จะช่วยอะไรเจ้าได้หรือไม่ และนับจากนี้เจ้าจะทำไงต่อก็อยู่ที่เจ้าแล้ว แต่เราก็คิดว่าเจ้าคือคนในครอบครัวเราตลอดนะ”
ตอนนี้เริ่มจะเข้าเมืองแล้วกังปังมองไปที่ลานเด็กเล่น คล้ายมีความรู้สึกผูกพันกับที่ตรงนี้จึงบอกเจียงปิงว่าตนอยากใช้เวลาอยู่ตรงนี้สักหน่อย ร้านหลิงหงส์หาง่ายใครก็รู้จัก เสร็จธุระแล้วค่อยตามไปแล้วกัน เจียงปิงกล่าว กังปังจึงคืนม้าให้เจียงปิง
แล้วเดินมาที่ลานเด็กเล่น ก้มลงเก็บกิ่งไม้ได้ท่อนหนึ่งเดินไปยืนบนแท่นไม้ที่ตอนเด็กตนชอบมายืนตรงนี้
กังปังพบเห็นตัวเองเป็นเด็กอีกครั้ง ยกมือถือกิ่งไม้ต่างกระบี่ประกบนิ้วชี้และนิ้วกลางยื่นไปข้างหน้า ในมือขวาถือกิ่งไม้ดันข้อศอกไปทางด้านหลัง ตามองเล็งปลายกระบี่ไปตามนิ้วมือข้างซ้ายเป็นเครื่องเล็งชี้นำ
“เหล่าร้ายต้องสยบเมื่อพบกงจื้อกังปัง ระวังกระบี่ขจัดภัยของเราให้ดี”
“กระบวนท่าแรก เทอดฟ้าคำนับดิน ยากส์...”
เด็กน้อยกังปังพูดจบพร้อมกระโดดตัวลอยลงมาจากแท่นไม้ ใช้กระบี่ทิ่มแทงเหล่าร้ายในจินตนาการต้องตกตายไปหลายคน ที่เหลือก็ไม่อาจหลุดรอดเมื่อกังปังพลิกกระบี่ในมือแปรเปลี่ยนกระบวนท่า เพียงแค่สามกระบวนท่าเท่านั้นเหล่าร้ายก็ตายจนหมดสิ้น สามารถขจัดภัยในยุทธภพทำให้เกิดความสงบขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยฝีมือของจอมยุทธกังปัง
“ใครอยู่หลังต้นไม้นั้นออกมาซะดีๆ เป็นพวกเจ้านั่นแหละข้าเห็นว่าพวกเจ้าติดตามข้ามาตั้งแต่ออกจากฮ้วงซุ้ยแล้ว”
พลันปรากฎคนหลังต้นไม้ออกมา 3 คน หนึ่งในนั้นตบมือแปะ ๆ
"กงจื้อกังปังยอดเยี่ยมยิ่ง เจ้ามาที่นี้ตั้งแต่เมื่อไร แถมมาเล่นเป็นเด็กๆอีก"
คนที่ก้าวออกมารูปร่างสันทัด ท่าทางเป็นพวกนักเลงอันธพาลที่หว่างเอวมีกระบี่เหน็บไว้ 2 เล่ม อีก 2 คนท่าทางจะเป็นลูกน้อง
“เมื่อเดือนก่อน ที่ร้านอาหลงมีคนถูกฆ่าตายหมด แม้แต่สหายเจ้าเปียกน่ำเฮาะ ก็ถูกตัดคอหัวขาด แต่ไม่พบเจ้า ยังเข้าใจว่าเจ้าอาจตกเขาตายไปแล้วกระมั่ง”
คนพูดเดินเข้าหาพร้อมจับมือกังปังอย่างสนิทสนม กังปังกลับจดจำคนผู้นี้ออกโดยทันทีว่ามันคือ
หัวหน้าอันธพาลใหญ่หม่าหยง ที่ถูกทางการจับกุมไปเมื่อสามปีก่อน ตอนกังปังหนีออกมาจากตระกูลฟู่ก็ได้คนผู้นี้ช่วยเหลือ เข้าสู่เส้นทางอธรรม เป็นพวกมิจฉาชีพ จึงภือว่าหม่าหยงเป็นทั้งคนดีและคนร้ายสำหรับกังปัง เพราะที่รอดชีวิตเติบใหญ่ขึ้นมาก็เพราะคนผู้นี้เช่นกัน
"พี่หม่า ท่านมาได้ยังไง ไม่เจอกันนานทีเดียว"
"ฮ่า ๆ ๆ "หม่าหยงหัวเราะเสียงดัง
“มันคงเป็นชตาที่ต้องกันของเราสองคนอีกครั้ง ที่ทำให้เจอกันในจังหวะพอดี ข้ากำลังวางแผนจะปล้นร้านหลิงหงส์ในคืนนี้ เจ้ามาได้ช่วยทำเรื่องให้ง่ายขึ้น”
ชักเขียนชักยาวแหะ ว่าจะเขียนตอนนี้ให้จบลวดเดียว เพื่อจะได้เข้าเรื่องในตอนใหม่สักที
แต่ก็กลัวว่าหากผู้อ่าน อ่านยาวๆแบบยังไม่มีบทพิศวาสจะเบื่อก่อน เลยขอแบ่งเป็นตอนหน้าอีกตอน
ดูท่ากังปังจะย้อนรอยเดิมอักหรือไม่ ที่เจียงปิงเล่าให้กังปังฟังถึงอดีตมีแค่นี้หรือ
เจียงปิงเล่าไม่หมดหรือไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยอื่นที่ทำให้กังปังแค้นเคืองใดนักหนา
เชื่อว่าผู้อ่านคงเดาออกว่า สุดท้ายกังปังจะตัดสินใจเช่นไร
จึงจะขอเสนอในตอนหน้าว่า ตอนกระบี่กลับหลัง กังปังกลับใจ เป็นตอนจบของเรื่องในอดีตของกังปัง
(ช่วงนี้คอมมีปัญหาเปิดไม่ได้ขึ้นจอฟ้าบ่อยมาก ยังแก้ไม่ตก กลัวงานหายหมดอีก)