bride lust สะใภ้สายหื่น
อภิญพร
บทที่สอง นวัตกรรมแห่งความร่ำรวย
ถึงแม้จะเคยผ่านอารมณ์นี้เรื่องราวทำนองนี้มาไม่รู้ต่อกี่ครั้งทั้งที่มันควรจะเป็นความชาชินไปแล้ว แต่ผ่านจำนวนนับนิ้วมือนิ้วท้าวมารวมกันไปไม่เท่าไหร่ครองภพก็มั่นใจว่ามันจะไม่เลือนหาย เขายังจำทุกใบหน้าของร่างที่นอนรอให้ศัลยแพทย์ระดับแนวหน้าของโลกลงมีดได้ รอยกรีดเปิดบาดแผลผ่านชั้นผิวหนังบ่งบอกความมั่นใจของผู้ลงมีด เขากดมีดลงไปบนร่างไร้วิญญาณอย่างรวดเร็วแม่นยำทำอย่างคุ้นชินเหมือนกำลังลงมีดไปบนหัวใจตัวเอง ศัลยแพทย์หนุ่มใหญ่วัยต้นสี่สิบถอดแว่นตาวางลงบนโต้ะทำงานพยายามทำใจให้สงบคุมน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ
"ตอนนี้ศพของเด็กอยู่ที่โรงพยาบาลไหน.. แล้วพ่อแม่เด็กล่ะ อืม ตามนั้น พอดีเดี๋ยวผมติดเคส อืม.." ครองภพกดวางโทรศัพท์พอดีจังหวะที่ลูกค้าวีไอพีระดับที่ตั้งใจมาต้อนรับด้วยตัวเองเปิดประตูห้องเข้ามา "สวัสดีครับท่านรัฐมณตรี" ครองภพยืนขึ้นยกมือไหว้
"เอ้า ไหว้พระครับ สวัสดีครับคุณหมอเด็กๆสวัสดีคุณหมอด้วย"
"แล้วคนไข้คนเก่งของผมคนไหนครับผมแยกไม่ออก"
"คนนี้ครับ" หนึ่งในสองเด็กฝาแฝดหน้าตาน่ารักยกมือขึ้นดูร่าเริงสดใสดีทั้งที่เพิ่งผ่าเปลี่ยนหัวใจไป พักฟื้นเพียงไม่ถึงปีเสียงดังฟังชัดสามารถดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขได้
"ผมดูสรุปชาร์ตการรักษาแล้วคุณอาหมอท่านให้ยืดระยะการตรวจครั้งต่อไปเป็นช่วงละสามปีเราเจอกันครั้งนึงครับท่านรัฐมณตรี"
"คุณหมอเชื่อมั้ยผมนี่ไปมาทั่วโลกที่ไหนเค้าว่าศักดิ์สิทธิ์ก็ไปบนบานซะจนแทบจะจำไม่ได้เลยว่าไปที่ไหนมาบ้าง ขอแค่ให้หาหัวใจเปลี่ยนให้เจ้าตัวเล็กนี่ได้ไวๆ ของแบบนี้ไม่เจอกับตัวเองไม่รู้นะ"
"หึๆ ..ครับ"
"อ้าว ฟังแล้วเหมือนผมพูดเพ้อเจ้อนะแต่ผมรอหัวใจมาเปลี่ยนให้หลานผมเนี่ยเป็นปีๆแล้วนาคุณหมอ จนมีคนแนะนำให้ผมไปไหว้ที่ฮ่องกง คืนนั้นน่ะมีคนหาเบอร์โทรคุณหมอมาให้ผมจนได้ อีกไม่ถึงเดือนคุณหมอก็หาหัวใจดวงใหม่ให้หลานผมได้อีก ไม่ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วครับคุณหมอ"
"ระดับท่านถ้าอยากจะได้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของผมก็คงไม่ได้ยากอะไร"
"ถ้าย้อนเวลาไปได้นะ วันนั้นในที่ประชุมคณะรัฐมณตรีผมจะเชียร์คุณเต็มที่เลยไอ้ชิ้ปติดตามตัวอะไรของคุณน่ะ"
"อ๋อ.. ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็น้อมรับข้อติติงของท่านมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น"
"โอ้ย!! ไม่ต้องๆ ไม่ต้องเลย เอาอันเดิมนั่นแหละ เดี๋ยวผมให้ลูกน้องชงเรื่องมาให้เราคนกันเองคุณหมอ
"ขอบพระคุณท่านมากครับ ผมว่าเจ้าของหัวใจดวงเล็กๆดวงนี้ก็คงจะมีความสุขที่ได้ไปอยู่กับเจ้าของคนใหม่ครับ"
"ว่าแต่ คุณหามาได้ยังไงอ่ะ ผมกับหลานเรารอคอยกันมาเป็นปีๆแล้วจริงๆนะ"
"ท่านเซ็นต์สัญญากับสถาบันของเราแล้วนะครับว่าจะไม่มีคำถามใดๆ" ครองภพสบตาย้ำข้อความในสัญญากับท่านรัฐมณตรี
"ถ้าวันไหนผมวางหัวโขนไอ้รัฐมณตรีสาธารณสุขนี่ลงกลายเป็นตาแก่ธรรมดา ในวันนั้นคุณหมอจะบอกผมได้ไหม"
"ถ้าผมบอกก็คงไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้วน่ะสิครับท่าน"
"คงเพราะมันเป็นความลับน่ะสินะคุณถึงได้เรียกราคาได้ขนาดนี้" ท่านรัฐมณตรีไล่จับเด็กที่เริ่มจะซนจับโน่นหยิบนี่
"ไม่ใช่หรอกครับ ถ้าท่านจะโฟกัสที่ราคาผมว่าการที่เรายอมจ่ายแพงๆก็เพราะเรายอมจ่ายเพื่อคนที่เรารักมากกว่า บางทีถ้าเป็นตัวเราเองเดินไปซื้อยากินเองร้อยเดียวก็หายแล้ว จริงมั้ยครับท่าน"
"เอาเถอะ อีกสามปีแล้วเราค่อยมาเจอกันอีกที"
"แต่ยังไงก็ขอโอกาสให้ผมได้เสนอนวัตกรรมตัวนี้ให้ทางรัฐบาลลองตัดสินใจดูอีกสักทีนะครับ"
"เห้ย!! ได้เลย อะไรนะที่มันติดตามตัวได้ ใช่มั้ย"
"ครับ มันจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องเด็กหายเรื่องการลักพาตัวและเรื่องค้ามนุษย์ ถ้าเราให้เด็กๆในประเทศนี้ทุกคนได้มีโอกาสกินแคปซูลนี้ก็จะไม่มีลูกใครหายไร้ร่องรอยไปเฉยๆอย่างเด็ดขาดร้อยเปอร์เซนต์ครับ"
"แถมคุณหมอก็จะทำเงินได้มหาศาลโดยใช้ประเทศเราเป็นงานแสดงสินค้าของคุณ แต่คุณก็รู้ว่ามันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลใช่มั้ยมีคนจ้องจะถล่มผมเยอะแยะมากมายขนาดไหนคราวที่แล้วน่ะ ผมคนเดียวก็ใช่ว่าจะทำให้ผ่านไปได้ง่ายๆ แต่ถึงยังไงก็จะช่วยนะ ว่าแต่..มันยังไงนะ"
"ก็เหมือนพวกชิ้ปคลื่นวิทยุติดตามตัวสัตว์ป่าน่ะครับ แต่อันนี้ประสิทธิภาพสูงกว่ามากมายทั้งสืบค้นสถานที่ได้ส่งข้อมูลความดันเลือดได้ส่ง.."
"พอๆ ผมเคยอ่านในรายงานแล้ว ถ้าหลานผมโดนลักพาหรือหายตัวไปอย่างเด็กๆที่มูลนิธิ.. มูลนิธิอะไรนะที่เค้าช่วยกันตามหาน่ะ"
"กระจกเงาครับ"
"ใช่.. ถ้าผมเป็นพ่อเป็นแม่ผมเองก็คงตรอมใจตายแน่ๆ นี่ตบปากตัวเองนะเนี่ย ไม่น่าพูดเลย" ท่านรัฐมณตรีลูบหัวหลานรักวัยห้าขวบตบปากตัวเองเบาๆไปด้วย
"เป็นคำพูดของท่านเองไม่ใช่เหรอครับที่ว่าไม่คุ้มค่าถ้ารัฐจะลงทุนฝังชิ้ปรับส่งคลื่นวิทยุในเด็กที่เกิดใหม่"
"คุณจะประชดจะด่าว่าผมยังไงก็ได้ขอเพียงให้สินค้าของคุณมันทำงานได้จริงสมราคาของมันก็แล้วกัน นั่นมันเด็กในชาติแต่เจ้าสองคนนี่มันหลานผม"
"อืม.. ครับท่าน ก็มีแบบเป็นแคปซูลทานเข้าไปแล้วไปฝังเกาะอยู่กับผนังกระเพาะกับอีกแบบเป็นนาโนบอลฉีดเข้าไปวนเวียนในกระแสเลือดครับ"
"แบบไหนดีล่ะ"
"แบบไหนก็ดีครับ เทคโนโลยีนี้กำลังใช้ควบคุมการโยกย้ายถิ่นฐานและจำกัดวงพื้นที่ของค่ายผู้อพยพในสงครามชนกลุ่มน้อยแถบอเมริกาใต้ที่ยูเอ็นซื้อเราไปใช้ เท่าที่ติดตามผลก็ไม่มีปัญหาเรื่องความคุ้มค่าหรือละเมิดสิทธิอะไรแต่อย่างใดนะครับ"
"นี่คุณหมอกำลังด่าผมอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย"
...
"ทำไมมึงไม่มานี่ก่อนแล้วค่อยไปบอสตันวะไอ้ติ ไอ้ห่า!! กูจะได้ไปด้วย"
"ขืนกูมาเจอมึงก่อนแล้วมึงคิดว่ากูจะได้ทำธุระของกูมั้ย" มีไม่กี่คนในโลกที่ปิติจะขึ้นมึงขึ้นกูด้วยอย่างสนิทใจ อย่างน้อยก็พี่วินนักศึกษาแพทย์รุ่นพี่ที่อยู่ดีๆก็จบเส้นทางอาชีพย้ายตัวเองมาอยู่ไกลบ้านถึงอเมริกา
"แล้วมึงไปทำอะไรที่บอสตันวะ"
"กูไปคุยกับที่ปรึกษาคนเขียนบทเรื่องไอรอนแมน" ปิติยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ
"นี่กูว่ากูเลิกบ้าแล้วมึงเสือกมาบ้าแทนกูอีกทำเชี่ยอะไรเนี่ย"
"บ้าเหี้ยอะไร นี่กูมาคุยกับมันจริงจังเลยนะ เรื่องไอ้แหล่งพลังงานของไอ้ตัวไอรอนแมนอ่ะมันให้คำปรึกษาไอ้คนเขียนบทยังไงคิดยังไงฝันไว้แบบไหน"
"แล้วมันบอกมึงว่าไง ได้เรื่องมั้ย"
"มันบอกให้กูไปถามคนที่ออกแบบอุลตร้าแมนอีกที"
"ห้าๆๆควาย เย็ดแม่กูขำไอ้สัส เออ.. เหี้ย แม่งมีไฟตรงหน้าอกเหมือนกันเลยนี่หว่า"
"นี่ถ้ากูทำให้มันมีจริงได้นะก็จะได้ไม่ต้องมีใครตายห่ากันอีก"
"ใครต้องตายวะ" พี่วินสงสัย
"ชั่งแม่งเหอะว่าแต่พี่วินเถอะ เห็นลือกันไปว่าอยู่ในป่าเป็นฤาษีไม่ออกมาเลยนี่หว่า"
"ไอ้เชี่ยพูดแล้วแม่งขำ ตอนก่อนมานะดูในเน็ตแม่งก็ดีอ่ะนะมึงคิดดูขนาดพระแม่งยังสึกแล้วมานี่กับพวกกูอ่ะ"
"ทำไมวะ ลัทธิเค้าห้ามพระด้วยเหรอวะพี่วิน"
"ห้ามดิ.. มึงอย่าเรียกแม่งลัทธิเลยไอ้สัสมึงเรียกแม่งศาสนาเลยก็ได้นะในอเมริกานี่คนนับถือแม่งเป็นแสนๆนะมึง"
"แล้วมันสอนอะไรวะถึงขนาดพี่วินเลิกเป็นหมอขนาดพระยังต้องสึก"
"มันสอนให้มึงเคารพกฏของธรรมชาติ แม่งบอกว่าที่มนุษย์เราต้องเจ็บป่วยสังคมวุ่นวายเพราะเราไม่เข้าใจไม่บำบัดรักษาตามกฏของธรรมชาติฟังไปฟังมาแม่งบอกตัวเหี้ยของโลกใบนี้ก็คือหมออย่างมึงกับกูนี่ล่ะ
"จะว่าจริงมั้ย ก็มีส่วนถูกนะ"
"เออ.. สรุปว่าแม่งให้แดกแตงกวาซูกินี่เหี้ยอะไรเนี่ยแทะแดกกันเป็นกระต่ายเลยสัส กูกับไอ้แอ๋มแดกกันไปสบตากันไปไม่มีใครกล้าพูดเหี้ยซักคำ" พี่วินยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม
"เออใช่ พี่แอ๋มมากับพี่วินด้วยนี่หว่า"
"แอ๋มอ่ะนะ หนีกลับเมืองไทยไปตั้งแต่ยังไม่เดือนแรกเลยมั้ง"
"อะไรวะเจ๊แม่งใจไม่ถึงเลย แค่กินแตงกวาก็ถอดใจแล้วเหรอวะ"
"ใจถึงเหรอใจถึงก็กูนี่ไงควย สี่ปี ป่า ล้วนๆ" พี่วินเพยิดหน้าอวดตัวนิดๆ "ลัทธินี้แม่งบูชาหมี.. หมีกริซลี่อ่ะที่ตัวแม่งใหญ่ๆอ่ะ แม่งบอกมีหมีมาใกล้ๆแค้มป์ให้พวกกูออกไปสังเกตุการณ์ตามดูหมีแม่งบอกหมีเป็นสัตว์ที่น่านับถือทำตัวกลมกลืนกับธรรมชาติ กูไม่ไปอ่ะกูก็เดินดูเหี้ยอะไรไปเรื่อยส่วนนังแอ๋มมันก็ออกไปตามดูหมีแม่ลูกอ่อนคู่นึงอยู่สองสามวันแม่งบอกอย่างกับดิสคัฟเวอรี่ชาแนล หมีมันคงจำกลิ่นนังแอ๋มได้ตอนกลางคืนแม่งบุกเข้ามาในแคมป์จะพังห้องนังแอ๋มให้ได้ นั่นล่ะ อีกวันมันกลับเมืองไทยไปเลย"
"สรุปว่าลัทธินี้ก็ยังไม่โดนใจพี่วิน ว่างั้น"
"หลักการมันได้นะ แต่เอาเข้าจริงๆ.. เออชั่งแม่งเหอะกูชินกับพวกเหี้ยนี่แล้ว"
"แล้วมึงไม่กลับเมืองไทยวะ"
"กลับไปก็ต่อไม่ติดแล้วว่ะนี่เดือนหน้าพ่อแม่น้องกูก็จะบินมาเยี่ยม"
"แล้วอยู่นี่พี่วินทำมาหากินอะไรอ่ะ"
"กูก็ทำอะไรไปเรื่อย อยู่ที่นี่มันต้องเก็บเล็กผสมน้อยว่ะเข้าไปดูพวกในป่ามั่งเดือนนึงสองครั้งไปดูหมู่บ้านพวกคนลาวทำไร่กัญชาส่งบริษัทผลิตยาที่เฟรสโนอีกสองครั้งมึงน่าจะเห็นนะแม่งปลูกกันเป็นพันๆเอเคอร์เขียวปี๋เลยสัส กับพวกคนไทยที่นี่เจ็บป่วยนิดๆหน่อยๆมีก็ให้บ้างไม่ให้บ้างกูก็พออยู่ได้ แบบหมอชุมชนอ่ะแต่หมอเถื่อนนะ" พี่วินที่เคยเป็นคนอ้วนเกือบร้อยกิโลตอนนี้เปลี่ยนเป็นคนผอมเกร็งหล่อจนแทบจำไม่ได้
"เอาเรื่องมึงดีกว่าไปไงมาไงวะมึงถึงกับจะสร้างไอรอนแมนเหี้ยอะไรเนี่ย"
"ไม่ได้จะสร้าง.. แค่ไปคุยกับเค้าเอาไอเดียแปลกๆใหม่ๆมุมมองในแบบที่บางทีเรานึกไม่ถึง"
"มึงเข้าไปอยู่ในป่าแบบกูมั้ยล่ะสัสจะได้เปิดโลกทัศน์แบบที่มึงนึกไม่ถึง"
"อะไรวะ"
"อ้าว.. เดี๋ยวนี้มึงไปดูพวกแม่ครัวแม่งผัดไปตดกันปู้ดป้าดยาลดกรดไม่ต้องแดกแดกแค่ใบชากู เมกาแม่งก็มีสมุนไพรแบบเรานะเว่ยกูอยู่ในโน้นวันๆดูแต่ต้นเหี้ยอะไรมั่งก็ไม่รู้ คนพื้นเมืองแม่งสอนกูพากูเดินดูปีนเขาเป็นลูกๆเลยนะมึง เออไอ้สัสมุมนี้ตอนอยู่ที่ไทยกูก็ไม่ได้นึกถึงใช่ป่ะ ใครเป็นเหี้ยอะไรมาถึงก็เจอหมอตี๋สั่งยาแม่งอย่างเดียว มึงลองเข้าไปดิช่วงตอนหน้าหนาวนะหนาวอย่างเหี้ย โถ..ชีวิตเลยสัส แต่แม่งก็ทำให้คิดอะไรได้หลายอย่าง"
"ตอนนี้กูติดว่ะ ติดอยู่ตรงนี้มาหลายเดือนแล้วด้วย"
"ติดเหี้ยอะไรวะนี่กำลังจะเข้าเรื่องเครียดแล้วใช่มั้ยเนี่ยเหี้ยเอ๊ย.." พี่วินนั่งยืดหลังตรงทำมือประสานกันกิริยาท่าทางแปลกๆ
"อะไรขอมึงเนี่ยพี่"
"แอลกอฮอล์กับความเครียดเจอกันแม่งไม่เวิร์ค แม่งเป็นสารตั้งต้นของมะเร็งและกูก็แดกเข้าไปแล้วตอนนี้มึงกำลังจะทำให้กูเครียด"
"พี่วินมึงเชื่อแบบนั้นจริงๆเหรอวะ"
"มึงอย่าลืมสิ กฎธรรมชาติ ชาวอินเดียนพื้นเมืองสอนกู"
"หึๆ ควย.. คำเดียวเลยพี่" ปิติเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหมอหนุ่มรุ่นพี่ที่เคยเป็นข่าวฮือฮาเรื่องขับเฟอรารี่ไปใช้ทุนประจำอยู่โรงพยาบาลศูนย์ทางภาคอีสานถึงได้ละวางทรัพย์สมบัติระเห็ดข้ามฟ้ามาอาศัยอยู่ในอาศรมชายป่าอุทยานแห่งชาติโยเซมิตีได้นานถึงสี่ปีอย่างที่ใครๆในวงการแพทย์พยาบาลเค้าเอาไปเล่ากันสนุกปาก
"เน็กซ์เจนเมดิคอลรับงานคิดค้นสูตรยาตัวนึงให้กับกองทัพโบลิเวีย.. "
"นี่มึงยังทำงานกับไอ้เหี้ยภพอยู่อีกเหรอ บาปกรรมคำนี้พวกมึงเคยรู้จักกันบ้างมั้ย" พี่วินบ่นแทรกขัดจังหวะไม่มองหน้าปิติ
"มึงเคยเห็นหน้ามันเหรอบาปกรรมน่ะ"
"เคยดิ บาปกรรมแม่งก็หน้าตาเหมือนหน้าไอ้เหี้ยภพนั่นไง ไอ้ติ กูว่าหน้ามึงแม่งก็เริ่มๆแล้วนะ"
"มึงจะฟังมั้ยเนี่ย"
"เออ ว่ามา"
"จริงๆในแคปซูลนั่นไม่ใช่ยา"
"กูว่าแล้ว.. ซื้อล๊อตโต้แม่งไม่ถูกแบบนี้วะ ให้กูเดาต่อมึงต้องเอาเครื่องเหี้ยอะไรยัดใส่ลงไปให้เค้าแดกใช่มั้ย"
"มึงจำเรื่องกระแสไฟฟ้าสมองได้ใช่มั้ย"
"เออ ทำไม"
"เน็กซ์เจนซื้อเทคโนโลยีนาโนมาจากบริษัทเล็กๆของนักศึกษาจบใหม่สุดเพี้ยนคนนึงแต่แม่งเวิร์ค กูลองจับคู่แผงกระตุ้นเซลล์ของกูกับตัวอินเวิร์ทเตอร์นาโนของมัน ไฟฟ้าอ่อนๆที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเรามากพอที่จะทำให้มันทำงานได้ตลอดชีวิตของคนคนนั้น"
"แล้วปัญหาของมึงคือ.."
"บริษัทคู่แข่งกูไปยุรัฐสภาโบลิเวียกดดันกองทัพให้ยอมเปิดเผยข้อมูลประกอบ"
"เกมส์ จบข่าว"
"เออ กูก็ถอนตัวเลยแต่กูยังเก็บข้อมูลที่สำคัญได้ไม่มากพอ ตอนนี้กูโดนห้ามเข้าประเทศแม่งแล้วจนกว่ากูจะยอมเปิดเผยข้อมูล แต่ถ้ากูถอนตัวหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้เน็กซ์เจนจะเสียเงินไปเป็นพันล้านฟรีๆ"
"แล้วไอ้แคปซูลเหี้ยอะไรของมึงเนี่ยแดกเข้าไปแล้วมันจะดียังไงวะ เท่าที่กูฟังมึงน่าจะได้พลังงานมาแค่พอจุดไม้ขีดว่ะ วันนึงมันจะพอกระตุ้นสร้างเซลล์ใหเหี้ยอะไรได้นักหนา"
"จากเวลาเท่าที่กูมีถึงจะยังไม่ได้เก็บข้อมูลในช่วงสุดท้ายแต่กูมั่นใจว่าเครื่องกระตุ้นสร้างเซลล์ใหม่สามารถเอาไปใช้เฉพาะจุดเพื่อรักษามะเร็งกระเพาะอาหารมะเร็งลำใส้ได้โดยไม่ต้องผ่านการทำเคมีบำบัดแน่นอน แค่แดกเข้าไป"
"ถ้าเป็นงั้นได้จริงก็ดีสิวะ"
"เป็นได้จริง แต่ถึงยังไงเน็กซ์เจนก็คงไม่ยอมให้ขายราคาถูกกว่าเคมีบำบัดหรอกทั้งที่ต้นทุนถูกกว่ามาก"
"อ้าว.. เออ กูก็ไม่แปลกใจ"
"ข้อมูลที่กูมีไม่พอคือกลุ่มตัวอย่างใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ระดับเหนือน้ำทะเลมากๆ ซึ่งถ้ากูยังยืนยันข้อมูลตรงนี้ไม่ได้กูก็ไม่มั่นใจพอถ้าจะผลิตแคปซูลนี้เป็นจำนวนมากๆลงตลาดใหญ่อย่างเม็กซิโกหรืออเมริกาที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลต่ำกว่ามาก หรือแม้กับประเทศเรา"
"ที่นี่เมกาไม่ใช่โบลิเวียนะเว่ย ต่อให้ไอ้ภพมันมีแบ็คระดับโลกแต่ถ้ามึงทดลองกับคนที่นี่พวกมึงก็มีสิทธิ์จบ"
"กูว่าพวกมะเร็งปากมดลูกที่ผู้หญิงเป็นกันเยอะถ้าฝังชิ้ปตัวนี้ไว้จะลดเปอร์เซนต์เสี่ยงลงได้แทบจะศูนย์"
"จากกระเพาะอาหารเนี่ยนะ"
"กินไม่ได้ ในกรณีมะเร็งปากมดลูกต้องให้ชิ้ปเกาะตัวอยู่ใกล้กับมดลูกให้ได้มากที่สุด"
"มึงได้หนูทดลองเมื่อไหร่บอกกูนะเดี๋ยวกูส่งให้ใกล้ๆมดลูกเลย"
"กูทดลองกับผู้หญิงคนนึงไปแล้ว"
"หืมมม.." พี่วินมองด้วยความประหลาดใจ
"กูใส่ไปแล้ว"
"ตามสไตล์มึงเลย.. ทำเหี้ยอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง แล้วหนูทดลองผู้โชคดีของมึงเป็นใครวะ แล้วไหนมึงบอกว่ามึงยังขบไม่แตกปัญหาเรื่องระดับความสูงจากน้ำทะเลเหี้ยอะไรของมึงอยู่"
"เธอเป็นแอร์ว่ะ เรื่องการใช้ชีวิตบนระดับความสูงผิดมนุษย์มนาเค้ามึงไม่ต้องห่วงเลย และเธอก็น่าจะอยู่ให้กูเก็บข้อมูลแถมยังได้ทดลองอะไรเล่นๆอีกสักพักใหญ่ๆเลยล่ะ"
"มึงกำลังพูดถึงคนใช่ป่ะ.. นี่เค้าลือกันว่ามึงมีเมียเป็นตุ๊กตายางนะ" พี่วินชูแก้วเปล่าให้บริกรเห็น
...
"อ้ะ.. อื้มมม ซื้ดดด พี่นาโอโตะ.. " ในหลืบมุมอับระหว่างทางเดินห้องจัดเลี้ยง ชายหนุ่มวัยทำงานกำลังย่อตัวกอดรัดซ้อนด้านหลังของสาววัยรุ่นสองมือปัดป่ายจนชุดกิโมโนสวยหลุดรุ่ยเคล้นคลึงขยำขยี้ล้วงเข้าไปในชุดชั้นในทั้งบนทั้งล่างไม่บันยะบันยังอย่างกับคนหลงทางเจอบ่อน้ำกลางทะเลทราย
"พี่เพิ่งเคยเห็นเธอแต่งตัวแบบนี้ มันอดใจไม่ได้จริงๆ"
"แต่นี่มัน.. ซื้ดดด..อ่าา"
"ก็งานฉลองแต่งงานของพี่กับพี่สาวเธอไง" หนุ่มใหญ่ในชุดพื้นเมืองแบบเป็นทางการโชว์ปลายสองนิ้วที่มีน้ำรักกลั่นข้นจากห้วงอารมณ์หนืดยืดเป็นสายให้เด็กสาวดู
"แต่ถ้าพวกเราไม่รีบออกไปพวกญาติๆจะสงสัยนะและพี่สาวหนูก็จะสงสัยด้วย ระหว่างเราหนูขอร้องให้พี่เขยช่วยหยุดความสัมพันธ์ไว้แค่ตรงนี้เถอะค่ะผู้หญิงของพี่ขอให้มีแค่พี่สาวหนูคนเดียวได้มั้ย"
"งั้นเอางี้ได้ไหม เอ่อ.. พี่ขอกางเกงในของเธอเก็บไว้ที่พี่ได้ไหม"
"อะไรนะคะ"
"กางเกงชั้นในของเธอน่ะ"
"ถ้าพี่อยากจะได้เดี๋ยวกลับไปถึงบ้านแล้วหนูจะเอาให้นะคะ"
"เธอถอดให้พี่ตอนนี้เลยได้ไหมล่ะ เดือนหน้าเธอก็จะแต่งงานเหมือนแล้วกันไม่ใช่เหรอ พี่อยากมีของอะไรซักอย่างของเธอเก็บไว้น่ะ"
หญิงสาวโยกตัวออกมามองไปตามทางเดินซ้ายขวาเห็นไม่มีใครหันกลับไปมองสบตาพี่เขยรู้สึกคล้อยตามที่พี่เขยย้ำว่าเดือนหน้าเธอก็จะต้องเข้าสู่พิธีวิวาห์กับคู่มั่นคู่หมายของเธอเช่นกัน ถ้าความสัมพันธ์อันน่าอึดอัดจะจบลงอย่างน่าประทับใจด้วยกางเกงชั้นในของเธอก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง
"นี่ค่ะ.." ชิอากิค่อยๆบรรจงถอดกางเกงชั้นในสีขาวแบบเด็กๆยื่นให้
"มานี่เลย!! นังตัวดี!! แกคิดว่าแกมายั่วยวนชั้นทุกวันๆสนองอารมณ์แกแล้วจะเก็บพรหมจรรย์ของแกไปถวายไอ้หนุ่มคู่หมั้นคู่หมายของเธอนั่นน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ!! คนที่ได้จะเป็นเจ้าของแกตลอดไปก็คือชั้นคนนี้นี่เองงงงง" พี่เขยชั่วหลอกให้น้องเมียสาวถอดกางเกงชั้นในออกแล้วใช้กำลังดันตัวเธอเบียดติดกับกำแพงจัดการกับกางเกงของตัวเองลงไปกองกับพื้นยัดท่อนเนื้อขนาดเขื่องพรวดเดียวมิดเข้าไปในรอยแยกแล้วซอยเข้าออกเร็วแรงแบบไม่มีปราณีปราศรัย
"ไอ้หนุ่มนั่นมันจะได้แค่ของพังๆไปใช้ ดีมั้ยล่ะชิอากิ ห้าๆๆ
หญิงสาวหลับตาปี๋ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่นานนักเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดก็เริ่มเป็นจังหวะจะโคนคล้ายจะมีสำเนียงแห่งความสุขเจือปนค่อยๆแทรกขยายตัวจนเปี่ยมล้นแก้ว เดาจากโทนเสียงที่เปลี่ยนไปของชิอากิ
"แล้วใครเล่นเป็นพี่เขยล่ะคะพ่อ"
"เห็นว่าเจ้าเท็ตสึมันจะมาเล่นให้นะ" ชายญี่ปุ่นวัยเกษียณผมสีขาวตรงยาวเลยต้นคอเงยหน้าจากกองเอกสาร
"โอ้.. นี่คุณอาเท็ตสึดาราดังก็จะมาเล่นให้พวกเรา ฟรีใช่มั้ยคะพ่อ ฟรีเนอะ..ก็เค้ามาช่วยเรานี่นา"
"เริ่มมีเสียงบ่นแล้วนะว่าธุรกิจกองถ่ายของเราทำไมงกเหลือเกิน" คุณพ่อสุดแนวแซวลูกสาววัยเพียงสิบเจ็ดที่นอกจากจะเล่นเป็นนางเอกแล้วยังคอยควบคุมธุรกิจการเงินด้วย
"ดีจังเลยนะคะพอทุกคนรู้ว่าคุณพ่อจะทำหนังก็มาช่วยแสดงให้ฟรีๆกันเต็มเลย แสดงว่าพ่อเราก็มีคนรักเยอะเหมือนกันนะเนี่ย"
"ชั้นว่าพวกหื่นนี่มาเพราะเธอมากกว่านะเฟิร์สจัง" ซาโตะอยู่ดีๆก็โพล่งขึ้นมา
"แกพูดอะไรให้มันระวังปากหน่อยได้มั้ย" พ่อหันไปปรามลูกชาย
"แล้วบทที่เฟิร์สจังอ่านเมื่อกี๊นี่มันหนังคนบ้าชัดๆไม่เห็นมันจะใกล้เคียงกับคำว่าหนังอาร์ตตรงไหนเลย"
"แล้วแกมายุ่งอะไรกับบทของหนังชั้นล่ะ ของแกน่ะท่องได้รึยังเพลงประกอบได้รึยัง!! ก่อนแกจะวิจารณ์งานของคนอื่นชั้นว่าแกทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จก่อนดีกว่านะ!!"
"ไอ้พ่อบ้า!!" ซาโตชิหยิบกีตาร์ไฟฟ้าและกระดาษพิมพ์บทพูดที่เฟิร์สทำไฮไลท์ข้อความไว้ให้แล้วเดินออกนอกห้องไป
...
บ้านหลังใหญ่ท้ายซอยตึกสามชั้นตกแต่งสไตล์วิกตอเรียนกลิ่นไอของระเบียบเรียบร้อยส่งแผ่ผ่านเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้ที่จัดวางเป็นระเบียบ แสงไฟสีส้มหลายดวงค่อยๆทะยอยกันเปิดทำหน้าที่ของมันในยามพลบค่ำมองจากนอกรั้วคล้ายบ้านเจ้าหญิงเจ้าชายในเทพนิยายอังกฤษ
"แล้วอย่างถ้าพี่จะดูจากโทรศัพท์แต่ให้มันออกจอทีวีทำไงอ่ะ" สมาชิกวัยกลางคนสองคนซุบซิบกันระหว่างมื้ออาหารเย็น
"เดี๋ยวพี่อ้ายมาที่บ้านผมดีกว่า มาดูสองร้อยนิ้วสะใจดี"
"อย่าคิดว่าไม่ใช่ลูกชั้นแล้วชั้นจะไม่กล้าด่านะนายอ้าย จะเขยจะสะใภ้ชั้นก็ด่าได้ทั้งนั้นถ้ากฏระเบียบของชั้นมีคนอยากจะท้าทาย ป้าเคยบอกว่าไงตานนท์" คุณหญิงป้าหันไปทางเด็กชายวัยประถม
"คุณยายไม่ให้เล่นโทรศัพท์ระหว่างกินข้าวคับ" เจ้านนท์หลานคนโปรดตอบตาใส
"ร เรือ!!"
"ครับ.. ครับ"
"อื้ม.. ดีมากลูก แล้วนี่เจ้าเปิ้ลเจ้าป๊อปไปไหน"
"ไปรับตาติกับลูกสะใภ้คนใหม่ของคุณแม่น่ะค่ะ" สะใภ้ใหญ่ของคุณหญิงป้าตอบ
"แล้วใครขับรถไปล่ะเมื่อกี๊ชั้นยังเห็นนายแหวนคนขับรถมันยังเดินเล็มต้นไม้อยู่เลย"
"แม่แอร์สาวสะใภ้ล่าสุดของคุณแม่เค้าขับไปเองค่ะ"
"ไม่เข้าเรื่องจริงๆแม่คนนี้ แล้วนี่ดันเอาหลานชั้นไปเสี่ยงด้วยทำไม กลับมาจากโรงเรียนได้กินข้าวกินปลากันรึยังก็ไม่รู้"
"แหม คงไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณแม่ไปสุวรรณภูมิแค่นี้เอง"
"แค่ไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละเธออย่ามาพูดคำว่าไม่เป็นไรหรอกกับชั้นเด็ดขาดดูซิยัยเกษแม่เจ้านนท์ยังนอนไม่ฟื้นเลย"
...
"เหรอ.. โหย เศร้าอ่ะ" เฟิร์สหันไปคุยกับเปิ้ลหลานสาวคนโตของคุณหญิงป้า
"ก็คือใครที่ไปยุโรปทริปนั้นอ่ะ หมดเลย เหลืออาเกษคนเดียวแต่ก็ยังไม่ฟื้น" เปิ้ลเล่าโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่พรากชีวิตของสมาชิกส่วนใหญ่ในครอบครัวซึ่งรวมถึงพ่อของพวกเธอทั้งสองคนด้วยให้เฟิร์สฟัง
"จริงๆคุณยายก็ต้องไปด้วยแต่พาสปอร์ตหายทำใหม่ไม่ทันก็เลยไม่ไป รอดทำไมก็ไม่รู้" ประโยคหลังเหมือนเปิ้ลรำพึงกับตัวเอง
"พ่อของนนท์ก็ไม่เป็นไร" เสียงป๊อปน้องสาวที่วันๆไม่พูดจากับใครเอาแต่เขียนรูปการ์ตูนในไอแพด
"อ้าวทำไมล่ะ" เฟิร์สสงสัย
"อึแตก เลยเลี้ยงน้องนนท์อยู่ที่โรงแรม" เปิ้ลช่วยเฉลย
"อ่าว แต่คุณพ่อน้องเปิ้ลเสีย" เฟิร์สเลียบๆเคียงๆไม่กล้าถามตรงๆ
"หนูสองคนกับแม่อยู่อังกฤษอยู่แล้ว พวกคุณยายคุณพ่อกับอาๆจะขับจากสวิสมาหาแล้วเกิดอุบัติเหตุ"
"ก็เลยต้องย้ายกลับมาเรียนเมืองไทย" ป๊อปน้องสาวเสริมจากเบาะหลัง
"พี่เฟิร์สอยู่ญี่ปุ่นเป็นดาราเหรอ"
"อุ๊ย ใครบอก พี่จะไปเป็นดารงดาราอะไรที่ไหน"
"ก็แม่บอก ถามแค่นี้ก็ก็ต้องโกหกกันด้วย" เปิ้ลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น
"ก็ไม่ได้โกหกอะไรหรอกพี่เล่นหนังเล็กๆสามเรื่องเอง ไม่ได้ดังด้วยถ้าเป็นดาราก็ต้องดังสิ"
"ไม่รู้สิ เห็นพวกคนใช้ก็ดูกัน"
"เดี๋ยวอาปิติต้องดีใจแน่ๆเลยที่พวกเราไปรับ เนอะ" เฟิร์สเปลี่ยนเรื่องพูดชวนให้หลานๆรู้สึกสนุกกับการขับรถไปรับปิติที่สนามบิน
"อาติเหรอ แทบไม่รู้จัก ตอนอยู่บ้านอาเค้าก็อยู่แต่ในบ้าน หน้าตาดีก็จริงอ่ะนะแต่ท่าทางแปลกๆพี่เฟิร์สชอบได้ไงอ่ะเปิ้ลยังไม่เห็นอาติเค้าเคยมีแฟนซักคน ที่เปิ้ลมารับด้วยก็แค่ขี้เกียจกินข้าวกับคุณยายแค่นั้นหรอก"