เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องแต่ง บุคคลภายในเรื่องเป็นบุคคลในจินตนาการไม่ได้มีเค้าโครงจากเรื่องจริงแต่อย่างใดตอนนี้เป็นเพียง 40 % ของทั้งตอน เอาไว้คอมเม้นกันโดนใจ ถามตอบกันพอหอมปากหอมคอให้ผมได้เขียนต่อจบเมื่อไหร่ผมจะเอาตัวเต็มมาลงต่อให้จบเลยครับ เอาเป็นว่าพอดีบทที่แล้วมีคนให้ทำ โพลแต่ตัวละครมันเยอะผมขี้เกียจกลับไปนั่งรันเลยจะให้ผู้อ่านคอมเม้นกันเลยครับว่าชอบคนไหนเพราะอะไร
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
บทที่9
 
“ว่าไงนะ!!! ตอนไหนแพร!!”ผมถึงกับสะดุ้งโหยงดีดตัวลุกจากเก้าอี้ด้วยความตกใจไม่นึกว่าช่วงเวลาแห่งความสุขจะหายไปเร็วขนาดนี้
“เมื่อกี้เองพี่ กำลังจะเลิกเรียนยัยมายด์ลุกไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียวหายไปเลย พวกเราพยายามโทรหากันแล้วนะแต่มายด์ไม่รับสายเลยพี่”
“แล้วตอนนี้อยู่ใหนเดี๋ยวพี่ไปหา”
“ตึกคณะวิทยาศาตร์พี่ รีบมานะแพรห่วงยัยมายด์”
ผมรีบออกจากห้องชมรมในทันที หัวใจกระวนกระวายมาก อยากจะขับรถไปตึกวิทย์ให้เร็วที่สุดแต่ดันคืนกุญแจรถให้เหนิงไปแล้วเลยต้องวิ่งไปแทน ยังดีที่ตึกมันไม่ได้ไกลจากห้องชมรมมากแค่ประมาณครึ่งกิโลได้ โดยมีเส้นทางวิ่งของสวนหย่อมที่คั่นอยู่ระหว่างพื้นที่หมู่บ้านชมรมกับตึกคณะวิทย์ตลอดระยะครึ่งกิโลผมเลยวิ่งเลาะไปตามทางคดเคี้ยวนั้นด้วยความร้อนใจ แต่วิ่งมาได้ไม่ทันถึงครึ่งทางผมก็เจอกับสาวน้อยเจ้าปัญหากำลังเดินเล่นเรื่อยเปื่อยดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยสักนิด
“มายด์!!!”ผมตะโกนเรียกก่อนจะวิ่งมาหอบแฮกๆต่อหน้า
“อ้าวพี่ มายด์ว่าจะไปหาพอดีเลย”
“พี่...พี่นึกว่าเราจะโดนจับตัวไปอีกซะแล้ว”
“เปล่านะคะ ก็แค่รู้สึกอึดอัดที่มีแต่คนตามมายด์ก็เลยหนีมาซะเลย อย่าห่วงมายด์เลยนะ มายด์ระวังตัวเองได้ ว่าแต่พี่อยู่ห้องชมรมจริงๆด้วย มายด์ว่าจะไปหาพอดี มายด์อยากหนีเพื่อนไปอยู่ห้องชมรมสักพักจะได้รู้สึกโล่งหน่อยที่ไม่ต้องมีคนคอยจับตามองตลอด”
“เรานี่นะทำพี่เป็นห่วงเรื่อยเลย”ผมค่อยรู้สึกโล่งใจหน่อยที่มายด์ไม่ได้โดนลักพาตัวไปแบบในคราวก่อน
“แหมก็เพื่อนมายด์ตามติดแจย่างกับว่ามายด์จะหายไปทุกครั้งที่ลับสายตานี่คะพี่ มายด์ก็อึดอัดน่ะสิ”
“แต่มันดีกว่าเราหายไปนะ”
“เป็นพี่ พี่ก็ต้องอึดอัดเหมือนกันแหละ”สาวน้อยน่ารักเถียงด้วยแววตากระเง้ากระงอด แต่มันก็จริงอย่างที่มายด์บอกนั่นแหละ ถ้าผมโดนตามตลอดอย่างนี้บ้างมันก็คงอึดอัดน่าดูเหมือนกัน “สรุปพี่ผิดเพราะงั้นเลี้ยงกาแฟมายด์ไถ่โทษได้มั้ยคะ”สาวหน้าหวานเอียงคอมอง ยิ้มแผละอย่างน่ารัก แก้มนุ่มๆขาวๆสองข้างแทบปริชวนให้ผมต้องเผลอยิ้มออกมาด้วยอีกคน
“จ้าๆ พี่เลี้ยงเอง ไปกินร้านหน้า ม.ละกัน”
“ไม่ดีกว่าร้านหน้า ม. มายด์ไปกับพวกแพรบ่อยแล้วเดี๋ยวโดนตามเจอ เอางี้ดีกว่ามายด์มีร้านแนะนำ ตามมายด์มาเลยอยู่ไม่ไกลนี่แหละ”แม่สาวน้อยผู้ร่าเริงจับแขนผมจูงเดินลักไปตามทางเดินหินอีกสายเข้าไปภายในสวนหย่อมมืดครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เย็นฉ่ำ
“อย่าบอกนะว่าร้านกาแฟริมน้ำ”
“พี่รู้จักด้วยเหรอ มายด์นึกว่ามายด์รู้จักคนเดียวนะเนี่ย เห็นร้านออกจะเงียบๆแต่บรรยากาศดีเท่านั้นเอง”
“อย่างว่าแหละพี่อยู่มาตั้งนานก็ต้องเคยกินอยู่แล้วล่ะ ร้านนั้นคนไม่ขาดหรอกก็บรรยากาศดีขนาดนั้น แค่เจ้าของร้านหน้าตาไม่เป็นมิตรเท่านั้นเอง”
“ฮ่ะๆๆ ใช่เลยพี่ หน้าบูดหน้าบึ้งแต่เพราะกาแฟอร่อยกับบรรยากาศดีมั้งร้านถึงยังอยู่ได้”มายด์หัวเราะไปกับผมและแอบนินทาเจ้าของร้านตลอดทางจนไปถึงร้านนั่นแหละเราถึงได้เงียบเสียงกลั้นขำกันเข้าไปหาชายหน้าบึ้งตึงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของร้านแล้วสั่งกาแฟกันคนละแก้ว
บรรยากาศของร้านร่มรื่นไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดจากสวนหย่อมที่อยู่ด้านหนึ่งของชาน ส่วนอีกด้านก็ให้บรรยากาศสงบเงียบของบึงน้ำขนาดใหญ่ชวนมองทำให้เราสองคนรู้สึกผ่อนคลายมากๆแม้ว่าวันนี้ร้านจะมีคนเข้ามาใช้บริการพอสมควรก็ตาม
“บรรยากาศอย่างนี้น่ามาบ่อยๆเนอะ”ผมพูดไปจิบกาแฟไปรู้สึกเขินนิดๆที่มีสาวสวยในดวงใจมานั่งตรงหน้า “พี่ไม่นึกเลยว่าพี่จะพูดแบบนี้ในร้านนี้เลยนะ”
“นั่นสิพี่ ร้านนี้น่ามานั่งบ่อยๆจริงๆนั่นแหละ”มายด์พูดเบาๆราวกับไม่ได้พูดกับผม ในมือถึอถ้วยกาแฟแล้วจ้องมองไปยังบึงน้ำข้างกายอย่างสงบ “ถ้ามีแฟนมายด์จะให้พามาที่นี่ทุกวันเลย”
ผมถึงกับสะอึกกับคำนี้...ถ้ามีแฟน...เหรอ ถ้าคนๆนั้นเป็นผมก็คงดี ถ้าผมได้อยู่ตรงนั้น อยู่ในตำแหน่งที่ชายทุกคนฝันถึงมันคงจะดีไม่น้อย
“แต่คงหวังยากนะ พ่อหวงมายด์อย่างกับไข่ในหินเลย เพราะงั้นมายด์ถึงทนไม่ไหวไงพี่ที่เพื่อนมายด์มาทำตัวเหมือนพ่อกันหมด พี่คิดดูนะพ่อหวงมายด์ขนาดนี้เมื่อไหร่มายด์จะได้มีแฟนก็ไม่รู้...”
...แฟน...เอ็งชอบถึงขนาดนี้ทำไมไม่ขอเป็นแฟนไปเลยวะ ฟันผู้หญิงมาก็ตั้งหลายคนแล้วกับอีแค่หยอดนิดหยอดหน่อยให้สาวมาติดใจข้าคงไม่ต้องสอนมั้ง...
เสียงในหัวผมเริ่มดังขึ้นมาอีกครั้งกลบทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปหมดสิ้น
...หยุดเลยนะถ้าคิดจะมาคุมร่างแล้วใช้พลังล่ะก็ คนนี้ห้ามโว่ย คนนี้ห้ามแตะห้ามใช้พลังอะไรบ้าๆทั้งนั้นโอเค๊?...
ผมรีบตอบกลับไปทันทีพร้อมกับพยายามเพ่งสติควบคุมตัวเองไว้เพราะกลัวไอ้แกงเกอร์จะทำอะไรบ้าๆหื่นๆกับมายด์เข้า
...คนนี้รักจริงว่างั้นสิ เอาน่ะข้าไม่ทำอะไรก็ได้แต่ยังไงเอ็งก็ควรบอกไปได้แล้วว่าคิดยังไงกับเจ้าหล่อน ถ้ามัวชักชาแบบนี้เมื่อไหร่จะได้แอ้มวะ...
...ไม่ ไม่ๆๆๆ ไม่มีทาง จะให้บอกได้ไงรันคนละชั้นกันเลยนะ นางฟ้าแบบนี้เหรอจะมาชอบผู้ชายบ้านๆจนๆแบบนี้ ไม่เอาน่ะปล่อยผ่านไปเถอะอย่าเข้ามาจุ้นจ้านนักเลย...
ผมไล่แบบปัดๆกับแกงเกอร์ไป รู้ว่าใจคงไม่กล้าและไม่มีทางสารภาพรักกับนางฟ้าผู้แสนสวย น่ารักและใจดีคนนี้ได้อย่างแน่นอน ยิ่งพ่อดุด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ผมคงไม่มีทางได้เป็นลูกเขยบ้านนี้แน่...บ้าเอ้ยยิ่งคิดยิ่งกังวล!
“...นี่พี่! ฟังมายด์อยู่รึเปล่าคะ เบื่อฟังมายด์บ่นเรื่องพ่อเหรอ”
“พี่ชอบมายด์นะ!!”เสียงที่เปล่งออกไปทำให้ผมถึงกับเหวอ เจ้าตัวแกงเกอร์มันใช้ช่วงจังหวะที่ผมสะดุ้งตกใจที่มายด์เรียกแล้วเข้ามาเสียบแทนที่ผมซะอย่างนั้น ยิ่งคำที่มันพูดออกมาก่อนจะปล่อยให้ผมควบคุมร่างกายได้แล้วหายเข้ากลีบเมฆไปยิ่งทำให้ผมลำบากใจเข้าไปอีกเพราะนแกจากสาวน้อยหน้าหวานตรงหน้าจะตกใจแล้วคนในร้านที่นั่งร่วมชานอยู่ไม่น้อยยังหันมามองผมเป็นตาเดียวอีกต่างหาก
“เอ่อ...พี่...เอ่อ...คือ...พี่ไปส่งมายด์ที่ห้องเรียนดีกว่า”ผมรู้สึกเขินกับสภาพที่มีแต่คนจ้องจนต้องลุกขึ้น มายด์ก็คงไม่แพ้กันถึงได้รีบลุกออกจากร่นตามผมมาติดๆ
ระหว่างทางเดินในสวนหย่อมมันช่างยาวไกลยิ่งกว่าเดินจากมหาลัยไปบ้านผมซะอีก ใจลุ้นให้มายด์พูดอะไรสักอย่างเพื่อทำลายความอึดอัดนี้หรือให้ผมคิดคำพูดอะไรได้สักอย่างแต่ไม่เลย ทุกอย่างนิ่งเงียบ ผมคิดอะไรไม่ออกและมายด์ก็ได้แต่เดินตามผมมาอย่างเงียบๆ...เราสองคนไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรกันสักคำอีกเลย นั่นแหละมันทำให้ผมคิดเตลิดไปไกลว่ามายด์คงทำตัวไม่ถูก คงอึดอัดที่ถูกสารภาพรัก หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ชอบผมเลยสักนิดก็ได้
พอเดินมาถึงหน้าห้องเรียนมายด์ก็เดินแข็งๆผ่านผม นั่นมันทำให้ผมได้เห็นพวงแก้มแดงก่ำด้วยความเขินของสาวผิวขาวสะอาดเป็นครั้งแรกและนั่นทำให้ผมตัดสินใจพูดอะไรออกไปอีกประโยค เพราะถ้ามายด์ไม่ชอบผมจริงอย่างน้อยผมก็ได้บอกความในใจออกไปให้มายด์ได้รับรู้และอยากให้รู้ว่าที่พูดไปมันคือความจริง
“มายด์...”ผมเรียกทำเอาสาวน้อยในดวงใจหยุดมือข้างที่กำลูกบิดเอาไว้ชั่วครู่ “พี่ขอโทษนะเรื่องที่พี่พูดไปเมื่อกี้...แต่อยากให้มายด์รู้...พี่ชอบมายด์จริงๆนะ แค่ได้บอกมายด์ตรงๆพี่ก็สบายใจแล้วล่ะ” นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนที่สาวน้อยในดวงใจของผมจะเปิดประตูเข้าห้องไปเงียบๆและทำให้สติผมหมุนคว้างสับสนไปตลอดทั้งบ่าย...
กว่าจะรู้ตัวกลับมามีสติอีกครั้งผมก็กำลังไขประตูบ้านโดยมีไอ้ตัวการของเรื่องมาส่งเสียงกวนประสาทผมอีก
...ไง สบายใจได้ละ เจ้าหล่อนก็ได้รู้ความรู้สึกละจะได้ไม่ต้องมาค้างคาใจอีก...
...หุบปากไปเลย แกนี่หาเรื่องชัดๆ เกิดมายด์ไม่ชอบขึ้นมาแล้วจะทำไง มองหน้ากันไม่ติดนะเว่ย เวรเอ้ยชาตินี้หมดหวังแล้ว!!... ผมโอดครวญนึกเสียใจขึ้นมาจริงๆที่มีไอ้ตัวบ้านี้มาอาศัยอยู่ในหัว
...หยุด!! หยุดคิดว่าข้าเป็นส่วนเกินเลยนะข้าก็เจ้าของร่างครึ่งนึงนะ ดีด้วยซ้ำที่กล้าพูดในสิ่งที่คนขี้ขลาดอย่างแกไม่กล้า แกต้องขอบคุณข้าที่พูดถึงจะถูก อีกอย่างนะถ้าแม่นั่นไม่สนใจเอ็งก็จะได้ตัดใจไปซะเลยแต่เนิ่นๆไง จะไปรอคนที่ไม่รักทำไมสาวๆก็มีอีกตั้งเยอะ...
...ไอ้ที่เยอะนั่นมันโดนมนต์สะกดมั้ยล่ะ แบบนั้นใครเขาก็ทำได้ ใครเขาก็เอามาทำเมียได้แต่นี่ไม่ใช่นะ แกจะทำให้คนที่ชั้นรักต้องมาถอยห่างไม่กล้าสู้หน้าชั้นนะเว่ย!!!...
...อะไรก็มายด์ๆๆ ในหัวมีแต่แม่นี่เยอะไปหมด ถามจริงเถอะถ้าแม่นี่รักแกจริงคงไม่พูดว่า “ถ้ามีแฟน” ต่อหน้าเอ็งหรอก ๆม่เห็นจะเหมือนแฟนเอ็งเลย คนนั้นรักเอ็งจะตาย มนต์สักบทก็ไม่ได้โดนสักนิด...
...แกจะไปรู้อะไร!! ก่อนแกจะมีตัวตนไอ้งูนั่นมันทำอะไรสักอย่างให้เหนิงมารักชั้นโว่ย เหนิงไม่ได้รักชั้นจริง ก็แค่โดนมนต์อีกคนเท่านั้นแหละ...
...เฮอะ! ไอ้เด็กน้อยรู้ไว้ด้วยนะ คีพเปอร์อย่างเราน่ะบันดาลให้ใครมารักไม่ได้ ยิ่งตอนท่านชินไร้พลังนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะมีปัญญาเสกใครให้มารักได้...
“ชินเหรอ...”ผมเพิ่งได้ยินชื่อไอ้งูบ้านั้นครั้งแรกก็คราวนี้แหละ “มันชื่อชินเหรอ ไอ้งูผีนั่นมัน!!!”แล้วผมก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นมือตัวเองโปร่งใสขึ้นมาเฉยๆ หายไปต่อหน้าต่อตาซะอย่างนั้น “น-นี่มันอะไรอีกวะเนี่ย นี่ชั้นจะหายไปเหรอ!!!”ผมตกใจเผลอโวยออกมา ยังดีที่อยู่ในบ้านไม่งั้นคงขายหน้าแย่
...เฮ่ย!!! นี่เป็นแบบนี้มานานรึยังเนี่ย!!...
“สักพักแล้ว...มันค่อยๆจางมากขึ้นกว่าคราวก่อนที่เห็นอีก...มันคืออะไรน่ะ”ผมถามทั้งกลัวทั้งสงสัย...กลัวว่าคำตอบที่ได้มันจะเป็นเหมือนอย่างที่ผมคิด
...เพราะแกโดยขโมยตัวตนไปน่ะสิ แต่ละคนจะมีระยะเวลาที่ตัวคนจะหายไปต่างกันแต่นามันเร็วมาก เร็วเกินไป...
“แล้วทำไมแกไม่บอกตั้งแต่แรกวะ”
...ก็คิดว่าถ้าแกเร่งสะสมพลังแล้วมันจะไม่มีปัญหาน่ะสิ แบบยิ่งมีพลังมากขึ้นมันจะยิ่งหายไปช้าลงแต่นี่มัน...
“แล้วแบบนี้จะทำยังไง แกมีวิธีแก้มั้ย”ผมถามด้วยความร้อนใจ
...วิธีน่ะมันมี แต่แกจะกล้าทำมั้ยเท่านั้นแหละ...
“มีอะไรก็รีบๆบอกมาเถอะน่ะ”
...ขโมยตัวตนคนอื่น...
“ว่าไงนะ”
...ขโมยตัวตนคนอื่นมาอีกที เราจะกลับมามีตัวตนบนโลกใบนี้ ประวัติ ชื่อ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวตนของเอ็งจะกลับมาเหมือนเดิม ส่วนคนที่เราขโมยตัวตนมาจะไม่มีใครรู้จักและค่อยๆหายไปแบบที่เอ็งเป็นอยู่นี่ไง...
“แต่ว่าแบบนั้น...”
...ถึงไม่อยากบอกตั้งแต่แรกไง คิดว่าบอกแล้วเอ็งจะกล้าทำรึไง ข้ารู้ว่าไม่ไงเลยไม่บอกและให้เร่งสะสมพลัง แต่นี่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย อ-ข-ข้า วันนี้ข้าคงใช้พลังมากไปหน่อยกับการเป็นพี่เลี้ยงเด็กอย่างเอ็ง ขอตัวไปพักก่อนแล้วคราวหน้าข้าจะมาบอกวิธีขโมยตัวตนให้ไม่ว่าเอ็งจะชอบหรือไม่ก็ตาม
“เฮ่ย! เดี๋ยวสิ เฮ่ย! อย่าเพิ่งไป เฮ่ย!!”ผมโวยวายแต่กลับพบแต่ความเงียบจากในหัวอันว่างเปล่า อันที่จริงวันนี้ผมก็เหนื่อยเหมือนอย่างที่ไอ้แกงเกอร์มันเหนื่อยนั่นแหละ แม้จะรู้ดีว่าอันตรายมันมีอยู่ทุกลมหายใจแต่วันนี้คงต้องขอพักผ่อนก่อน
ช่วงนี้เพิ่ม 60% ครับ แสงตะวันขึ้นจากขอบฟ้าเกือบเต็มดวงเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย “เชี่ยเอ้ย! สายแล้วๆๆ ไม่น่าดึกเลยกู”ผมสบถออกมาก่อนจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักศึกษา ฉีดน้ำหอมแบบซักแห้งแล้วคว้ากระเป๋าออกจากห้องแถวโทรมๆวิ่งกระหืดกระหอบไปสุดซอย โชคยังดีที่รถเมล์กำลังจะออกตัวผมเลยคว้าที่จับพุ่งขึ้นไปก่อนประตูจะปิดอย่างฉิวเฉียด...แม่งเอ้ย! เหนื่อยแต่เช้าเลย...ผมรำพึงกับตัวเองก่อนจะควักเงินออกมาจายกระเป๋ารถเมล์อย่างยากลำบากกับสภาพคนแน่นๆในตอนสายแบบนี้
“ฟู่ววว”ผมถอนหายใจ พยายามทำตัวให้เหนื่อยน้อยที่สุดจะได้ไม่ต้องมีเหงื่อออกมาให้เหนียวเหนอะหนะเพราะแค่สภาพอัดกันเป็นปลากระป๋องแบบนี้มันก็ทรมานใจมากเกินพอแล้ว
ยังไม่ทันจะหายเหนื่อยดีผมก็เห็นใครคนหนึ่งยืนถัดจากผมไปข้างหน้าอยู่สองสามคน ด้วยหุ่นที่คุ้นตาทำให้ผมรู้ทันทีว่าคนๆนั้นคือใครผมเลยจัดแจงค่อยๆแทรกตัวผ่านความแออัดเข้าไปอย่างยากลำบากจนคนข้างหน้าผมถึงกับมองมาแบบเคืองกับความไร้มารยาท แต่ใครจะสนล่ะในเมื่อพี่แต้วยืนอยู่ข้างหน้านี่เองจะให้ไปยืนเบียดเสียดกับลุงๆป้าๆน่ะเหรอ ขอมาเบียดกับเมียสาวคนสวยคนนี้ดีกว่า...เอ๊ะ! หรือว่าจะทำอะไรมากกว่าเบียดดี...
ผมนึกไปนึกมาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจแกล้งครูสาวให้ตกใจเล่นด้วยการจิ้มนิ้วชี้ไปยังชายโครงครูสาวเบาๆ “อย่าหันมาถ้าไม่อยากโดนเหล็กเสียบ”เสียงแหบพร่าที่ถูกดัดขึ้นกับการถูกนิ้วจิ้มเอวทำให้ครูสาวถึงกับสะดุ้งโหยงแต่ทำนิ่งไว้ นั่นยิ่งทำให้ผมได้ใจขึ้นไปอีก “อยู่นิ่งๆอย่าโวยวายเดี๋ยวจะเจ็บตัว”ผมกำชับก่อนจะเลื่อนมืออีกข้างลงจากราวจับมาจับเอวเธอแทน
พี่แต้วดูจะตื่นๆไม่น้อยถึงกับพยายามเบี่ยงสะโพกหลบแต่พอโดนผมกดนิ้วแรงขึ้นเลยต้องหยุดและปล่อยให้ผมค่อยๆลูบไล้บั้นท้ายงอนงามชวนเคลิ้มภายใต้กระโปรงพรีสสีดำสั้นแค่เข่า “นิ่งๆไว้ขอแค่นิ้วพอ แต่ถ้าโวยวายได้โดนเหล็กเสียบแน่” เสียงข่มขู่อันแหบพร่าของผมทำให้ครูสาวถึงกับตัวสั่นน้อยๆไม่กล้าแม้แต่จะขยับมันทำให้ผมยิ่งลูบคลึงบั้นท้ายงอนๆนั้นด้วยความย่ามใจก่อนจะล้วงมือหายเข้าไปใต้กระโปรง
“!!!”
 
พี่แต้วสะดุ้งกับสัมผัสมืออันหยาบกระด้างของผมที่ลูบไล้บนก้นเธอโดยมีแค่กางเกงในผ้าฝ้ายบางๆขวางไว้ ซึ่งผมไม่ได้รีบร้อนอะไรมากมายค่อยๆจับค่อยๆบีบก้นเนียนนิ่มนั่นช้าๆ ป่ายมือลากผ่านร่องเนินเนื้อทีละน้อยให้เธอคุ้นชินอยู่สักพักก่อนจะเปลี่ยนเป็นวางนิ้วลงไปบนกรีบเนินอวบอูม
พี่แต้วหนีบขาเข้าชิดกันในทันทีด้วยความหวาดกลัวแต่มีหรือจะพ้นมือผม แค่ผมอาศัยจังหวะที่รถเบรคติดไฟแดงจนเราเซด้วยกันทั้งคู่ ตวัดเตะส้นเท้าเธอเบาๆให้แยกขาออกแล้วยืนสกัดขาไว้อย่างนั้นไม่ให้หุบได้ทุกอย่างก็เข้าทางผมหมด ครูสาวจึงถูกผมถูไถนิ้วขึ้นลงช้าๆผ่านร่องแคมอันแฉะเยิ้มขึ้นมาถึงร่องก้นเรียกน้ำรักของเธอให้ออกมาเปียกลื่ยกางเกงในมาขึ้นเรื่อยๆ “ขอเข้าไปหน่อยนะ” ผมกระซิบเบาๆพอให้เธอได้ยินก่อนจะแหวกกางเกงในเยิ้มๆสอดนิ้วเข้าไปในร่องรักเปียกลื่นอย่างง่ายดายในทันที
“อุ...”ครูสาวเผลอตัวอุทานเบาๆออกมาก่อนจะก้มหน้าลงข่มเสียงครางเอาไว้ระหว่างที่ถูกผมไชนิ้วเข้าไปเล่นสนุกในร่องสาวอย่างเมามันจนขาเธอสั่นพร้อมกับแรงตอดขมิบที่มีมากขึ้นและแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“แฉะมากแล้วนะ ป้ายหน้าลงกันดีกว่า”ผมกระซิบแต่ผิดคิดเธอกลับส่ายหน้าช้าเหมือนจะปฎิเสธ ผมเลยเอานิ้วจิ้มเอวเธแรงขึ้นอีก “จะลงดีๆหรือจะลงไปกองดีล่ะ” แต่คำขู่ผมกลับไม่ได้ผล พี่แต้วกลับยิ่งขืนตัวหนีบขากลับอีกครั้งโดยไม่สนใจเลยว่านิ้วผมยังคาในร่องเธออยู่ “พี่แต้ว ลงป้ายหน้ากันเถอะนะ หันมาสิ”ผมกลับมาใช้เสียงปกติเรียกเธออีกครั้งพร้อมกับชักมือออกจากร่องสาวปล่อยให้เธอหันกลับมามอง พอครูสาวเห็นว่าคนข้างหลังเธอเป็นใครก็ถึงกับเม้มปากถลึงตาใส่แม้ใบหน้าจะยังแดงก่ำอยู่ก็ตาม
“เรานี่นะ!!”
“ขอโทษน้า...ลงป้ายหน้ากันก่อนเถอะ”ผมขอแกมบังคับด้วยการจูงมือเธอฝ่าคนไปกดกริ่งรถเมล์ ไม่นานนักรถก็จอดสนิทปล่อยให้ผมลงโดยมีพี่แต้วตามมาแต่โดยดี
“นี่ทำอะไรเนี่ยเกิดมีใครเห็นบนรถเมล์นั่นเราน่ะจะโดนนะ”
“ห่วงเหรอ”ผมถามยิ้มๆแล้วจับมือพาเดินเข้าสวนสาธารณะหลังป้ายรถเมล์ พี่แต้วเดินตามผมมาต้อยๆอีกครั้งอย่างว่าง่าย
“ห่วงสิถามได้”
“เมื่อกี้ตอนชวนลงมาแล้วพี่ไม่ยอมลงผมดีใจมากเลยนะ จะเก็บความสาวไว้ให้ผมคนเดียวใช่รึเปล่า”ผมรุกถามต่อจนครูสาวหน้าแดงก่ำ
“พูดบ้าๆ ห่วงลูกในท้องต่างหาก ใครจะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาทำให้ลูกพี่เจ็บล่ะ”
“แล้วถ้าเป็นพ่อของลูกชวนล่ะพี่จะให้ทำมั้ย”ผมถามก่อนจะดึงมือเธอขึ้นมาจูบอย่างอ่อนโยนทำเอาครูสาวหน้าแดงถึงใบหูเม้มปากหลยตาเป็นระวิง
“บ้า! เมื่อคืนแอบมาหาพี่แล้วยังไม่พออีกเหรอ”
“ก้มีเมียสวยจะให้รู้จักพอได้ไงล่ะจริงมั้ย”ผมขโมยหอมแก้มเธออีกฟอดทำเอาครูสาวรีบเบี่ยงหน้าหลบ
“ว้าย! ตาบ้านี่เดี๋ยวคนอื่นเห็นหรอก”
“งั้นเข้าห้องน้ำไปหอมกันคนจะได้ไม่เห็น”
“ไม่เอาๆๆ”พี่แต้วรีบปฎิเสธแต่กลับไม่ได้ขัดขืนสักนิดเมื่อผมจูงเธอไปยังห้องน้ำหญิงภายในสวนสาธารณะ
โขคดีที่เข้าไปแล้วยังไม่มีคนเข้ามาใช้ผมเลยเลือกไปเข้าห้องในสุด ปิดประตูล็อคกลอนอย่างรวดเร็ว “ทีนี้ก็ไม่มีคนเห็นแล้วจริงมั้ย”ผมถาม กอดครูคนสวยเข้ามาแนบชิดโย้มตัวเข้าไปหอมแก้มทั้งสองข้างฟอดแล้วฟอดเล่า “อืม...หอดดีจัง”
“พอแล้วตาบ้า”พี่แต้วอมยิ้มขวยเขินภายในอ้อมกอด เอามือสองข้างมายันอกผมไว้ “หอมพอรึยังจะได้ไปรอรถเมล์ นี่พี่จะสายแล้วนะ”
“รู้อยู่ว่าผมพาเข้ามาทำอะไร”ผมกระซิบเสียงแหบโหยด้วยความต้องการล้ำลึก พี่แต้วได้ฟังแล้วถึงกับเม้มปากน้อยๆก่อนจะถูกผมดันร่างเธอไปติดประตูแล้วตามไปประกบจูบขบเม้มแผ่วเบา
ครูสาวไม่แม้แต่จะต่อต้านกลับยอมให้ผมขบเม้มริมฝีปากได้อย่างนุ่มนวลอ่อนโยนและค่อยๆเปิดปากส่งลิ้นออกมาหาผมเอง “อืมมมม อืมมมม”เสียงครางในลำคอเราสองคนดังแผ่วเบาแต่พอที่จะให้เราได้ยิน มันเหมือนเป็นเสียงกระตุ้นที่ทำให้มือเราทั้งสองคนเลื่อนลงมาช่วยกันปลดเข็มขัดแก้กางเกงผมลง
“ครูแต้วระวังไปทำงานสายนะครับ”
 
“ใครสนล่ะ ทำแต้วอยากรับผิดชอบเลย”เธอจับเอ็นเนื้อแข็งเป็นอิสระค่อยๆรูดเปิดหัวถอกแดงก่ำออก ก้มดูมันด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม “ชอบสีนี้จัง เห็นแล้วเสียวทุกทีเลย”เธอคุกเข่าลงแบบไม่สนใจสภาพพื้นห้องน้ำสักนิก ริมฝีปากแดงด้วยลิปสติกค่อยๆอ้าอมท่อนเนื้อแข็งเข้าไปทั้งแท่งช้าๆ ตวัดลิ้นเลียเคลือบน้ำลายให้ชุ่มโชก
“อา...เป็นครูมาทำแบบนี้มันไม่เหมาะสมมั้งพี่ อูยย เลียหัวแบบนี้ก็เสียวสิ...เมียจ๋า...”ผมครางออกมาด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย แกล้งเรียกเมียให้สาวสวยตรงหว่างขามีอารมณ์ร่วมไปด้วยพร้อมกับใช้สองมือจิกหัวครูสาวที่มัดผมหางม้ารวบตึงให้โยกเข้าโยกออกเพื่อสร้างความเสียวให้มากขึ้นไปอีก “อา...ทั้งดูดทั้งเลียแบบนี้แหละใช่เลย อา...แข็งจะแย่แล้วพอเถอะเมียจ๋า” ผมคลายมือออกจากผมที่เริ่มยุ่งเหยิงนิดๆปล่อยให้พี่แต้วได้คายท่อนเอ็นออกมาหอบหายใจนิดๆ
“แคกๆ ยาวเข้าไปในคอเลย เมียเกือบอ้วกแหนะ”ครูสาวบ่น ลุกขึเนดันผมให้นั่งลงบนฝาชักโครกก่อนจะอ้าขาขยับเข้าคร่อม ในตำแหน่งนี้มันทำให้หน้าผมอยู่พอดีกับทรวงอกอูมอิ่ม ซึ่งดูเหมือนเธอจะรู้ใจเพราะไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรเธอก็ดึงหน้าผมเข้าซบกลางอกหอมกรุ่นทันที แน่นอนว่าผมไม่มีทางปฎิเสธอยู่แล้วเลยยิ่งส่ายหน้าซุกไซ้กลางหว่างเต้าให้ครูสาวได้หลับตาครางอย่างเคลิบเคลิ้ม “อืมม ดีจัง เพิ่งเคยโดนแบบนี้เลยนะรู้มั้ย”
“เต้าเมียทั้งนุ่มทั้งหอมมากเลย คิดแล้วอยากให้ผัวของเมียไปทำงานเร็วๆจริงๆ”ผมเงยหน้าขึ้นรำพึงมองใบหน้าสวยที่ก้มลงมองผมกลับราวกับคุณแม่ผู้อบอุ่นอ่อนโยน แต่ในระหว่างที่เรามองตาหวานซึ้งกันอยูมือผมก็ล้วงเข้าไปใต้กระโปรงเพื่อแหวกขอบกางเกงในครูสาวเปิดช่องทางเข้าสู่ปากร่องหยาดเยิ้มเรียบร้อย “นั่งลงมาที่รัก”
พี่แต้วคลี่ยิ้มน้อยๆดูหวานล้ำ ย่อตัวลงมาช้าๆให้เนินสาวอันบอบบางค่อยๆคลี่ตัวเปิดอ้ารับเอาเอ็นเนื้อแข็งเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายเธอทีละนิด “...อุ...อูวว อืมมม”เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆหลับตาพริ้มและทิ้งน้ำหนักลงมากระทั่งแก่นกายจมหายเข้าไปในร่องเนื้อได้ทั้งแท่ง “ไม่ชินกับท่านี้สักที ขอช้าๆนะเมียจุก”
“ได้สิ”ผมยิ้มแสยะ ก่อนจะปล่อยตัวปล่อยใจให้ครูสาวคนสวยเผยอริมฝีปากบดจูบและเดินเครื่องควบขี่อย่างเชื่องช้า “อืมมม ข้างในตัวเมียมันอุ่นดีจัง...สบายควยผัวมากเลย”
“อา...อา...ย-อย่าหยาบคายต่อหน้าลูกสิคะ อา...ม-มัน...มันก็ทำเมียรู้สึกดีเหมือนกันนั่นแหละ อา...เหมือนมัน ย-ยาวเข้ามาถึงสะดือเลย”
“ของผัวที่บ้านยาวแบบนี้มั้ย”ผมถามระหว่างที่สองมือค่อยๆเลิกเสื้อและปลิ้นบราเธอออกไปด้วย
“ย-อย่าพูดถึงเขาตอนนี้สิ อูววว”พี่แต้วอุทาน เลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นมากดหัวผมไว้นิ่ง ปล่อยให้ทรวงอกกลมกลึงของว่าที่คุณแม่ถูกดูดเม้มด้วยอารมณ์รักคุกรุ่น “อา! ย-อย่าเลียสิ ม-มันเสียวนะ อ๊ะ!!”ครูสาวหลุดปากอุทานออกมาก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองทัน หน้านิ่วคิ้วขมวดกับการถูกฟันขบเน้นเบาๆที่ยอดอก และยิ่งนิ่วหน้าก้มมองมากขึ้นอีกเมื่อผมไม่ยอมหยุดปาก “อื้อ!! อื้อ!! อื้อ!!!”เธอจิกนิ้วเกร็งกับไหล่ผม ส่ายหน้าไปมาราวกับต้องการจะห้าม แต่ยิ่งถูกฟันแข็งๆขบคลึงเม็ดปทุมถันเธอกลับยิ่งส่ายเอวบดโยกหนักหน่วงขึ้นอีก ยิ่งเพิ่มดีกรีความร้อนแรงขึ้นหลายเท่า “อื้อ!! อื้อ!! อ๊ะ!! อี๊ยยยย!!!”ครูสาวที่กำลังเด้งสะโพกโยกหนักอย่างเมามันถูกผมดึงมือทั้งสองข้างของเธอลงมาแนบร่างไม่ให้ปิดปากได้อีกและยังโยกเอวขึ้นกระแทกกลับจึงยิ่งทำให้ครูสาวคนสวยเชิดหน้าขึ้นร้องครางอย่างคนใกล้หลุดโลก
“ร้องออกมาดังๆเลยเมียจ๋า เรามาเสร็จพร้อมกันเลยนะที่รัก!”ผมคำรามลั่นพยายามยกเอวกระแทกรับบั้นท้ายงอนสวยแรงขึ้น หนักขึ้นและถี่ขึ้นกระทั่งพี่แต้วทนกลั้นเสียงอีกต่อไปไม่ไหว
“อ๊ะ!! ผัว!! อ๊ะ!! อ๊ะ!! อ๊ายยย!!!!!”พี่แต้วร้องลั่น ทิ้งตัวลงอัดเนินเนื้อฉ่ำลงมารับเข้าไปสุดโคนเอ็น ภายในกลีบสาวกระตุกตอดระรัวเรียกเอาน้ำกามคาวข้นให้ต้องพ่นออกมาจากอาวุธแข็งแกร่งเข้าสู่โพรงสวรรค์อันเป็นเป้าหมายอย่างมากมายเหลือล้น
เรานิ่งซึมซับความซ่านสยิวกันอยู่ครู่สั้นๆก่อนจะผ่อนลมหายใจหอบหนักออกมาและค่อยๆกอดจูบกันอีกครั้งด้วยความแช่มชื่น
“สายแล้วไม่มีสอนเหรอครับครูแต้ว”
“แล้วที่สายนี่เพราะใครล่ะ...”ครูสาวกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะจูบประทับรอยลิปสติกกับแก้มผม “หมดแรงลุกเลยเนี่ย ช่วยหน่อยได้มั้ย”
“ได้สิ”ผมพยักหน้ายิ้มๆจับครูสาวยืนขึ้น ถอนลำเอ็นที่ถูกดูดจนกลายเป็นสุญญากาศออก
บล็อค!!
เสียงเบาแต่เร้าใจดังพอให้เราสองคนได้ยิน พี่แต้วหน้าแดงก่ำมองค้อนและตีไหล่ผมเป็นเชิงตัดพ้อ “ตาบ้า...ปล่อยน้ำเข้ามาซะเยอะเลย ไปซื้อผ้าอนามัยมาให้เลยนะ”
“ได้เลยครับครูแต้ว เดินไม่ไหวล่ะสิขาสั่นแบบนี้ นั่งพักก่อนนะเดี๋ยวไปซื้อมาให้”
“พาไปส่งโรงเรียนด้วยนะ”
“จ้าๆ”
เพิ่มเป็น 70% ครับ กว่าจะมาถึงมหาลัยก็เกือบ 10 โมง แถมวิชาเช้าเรียน 9 โมง ถึงเที่ยงอีก เท่ากับว่าผมมาสายไม่ทันคาบเช้าไปซะแล้ว พอคิดได้อย่างนั้นผมเลยจำใจเดินเอื่อยๆไปทางห้องชมรม หวังจะเข้าไปนั่งเล่นเพลินๆในห้องแอร์เย็นๆจนกว่าจะเที่ยงแล้วค่อยออกมาหาอะไรกินแล้วไปเรียนช่วงบ่ายแทน
มาถึงห้องชมรมผมก็เข้าห้องส่วนตัวไปเอนตัวลงนั่งพักเหนื่อยทั้งจากอากาศที่ร้อนและอาการวิงเวียนนิดๆของคนเพิ่งเสียน้ำมาหยกๆ กระทั่งค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นถึงตบหน้าตัวเองเบาๆ
“ตื่นๆๆ เฮ่ยตื่นสิวะ!!!”
เพี๊ยะ!!
“โอ้ย!!”ผมสะดุ้งโหยง ตื่นขึ้นมาด้วยอาการงงงวยกับความเจ็บปวดร้อนผ่าวบนแก้ม สายตาผมค่อยๆรับข้อมูลจากสภาพรอบข้างอย่างงงๆก่อนสมองจะเริ่มทำงานอีกครั้ง “เชี่ย!! สายแล้ว”
...เออ สายแล้ว อยู่ ม.แล้ว เอ็งน่ะตื่นสายข้าเลยพามา ม.เองเลย...
“ว่าไงนะ!?! นี่แกแอบใช้ร่างอีกแล้วเหรอ”
...นี่ช่วยนะเว่ย! ตื่นสายแล้วยังจะมาโวยวาย แต่ข้าก็ตื่นสายเหมือนกันว่ะ เข้าเรียนคาบเช้าไม่ทันแล้วเลยพามานั่งในนี้แทน...
“...เออๆ ขอโทษด้วยนะ ขอบใจมากที่พามา ม. ยังไงคาบเช้าก็ไม่ใช่วิชาสำคัญอะไรอยู่แล้วค่อยเข้าบ่ายๆก็ได้” ผมบอกออกไปอย่างไม่ค่อยรู้สึกซีเรียสนัก “แต่ช่วงนี้แปลกๆว่ะ เพลียเป็นบ้าเลย”
...ก็เล่นสาวซะไม่ได้พักอย่างนี้ แถมบอกให้เก็บอักษรก็ไม่ค่อยจะไปหามาเพิ่มมันก็ต้องเพลียสิวะ...
“แกนี่มันฮาว่ะ อย่างกับว่าจะไปหาง่ายๆ...เออ พูดถึงเรื่องนี้แล้วนึกขึ้นได้ เมื่อวานที่พูดเรื่องวิธีขโมยตัวตนนี่มันคือยังไงอธิบายมาหน่อยเถอะ”ผมถามไอ้ตัวแกงเกอร์ด้วยความสงสัย
...ก็อย่างที่เคยบอก เดิมทีเหล่าคีพเปอร์คือพ่อมดผู้รักษาอักษรแห่งโลกอีกมิติที่ช่วยใช้ถ้อยคำสร้างโลกนี้ขึ้นมาให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ในเมื่อเราเป็นพ่อมดเราก็ต้องใช้เวทย์ได้อยู่แล้ว...
“อธิบายซะยืดเลย เรื่องใช้เวทได้ไม่ได้ยังไงนั่นช่างมันเถอะ เข้าเรื่องได้แล้ว จะขโมยตัวตนใครได้ ในเมื่อตัวตนใครก็ตัวตนมันอยู่แล้ว ให้ไปแทนที่คนอื่นแล้วให้คนอื่นมารับกรรมแทนแบบนี้ไม่เอาด้วยหรอกนะ”
...เรื่องนั้นเอ็งก็ตัดสินใจเอาเองสิวะ ว่าจะขโมยตัวตนใคร แต่บอกไว้ตรงนี้ให้เข้าใจเลยนะว่าตัวตนมันไม่ใช่อัตลักษณ์ ตัวตนคือการคงอยู่ของสิ่งของหรือบุคคลบนโลกนี้ แต่อัตลักษณ์คือสิ่งที่แสดงออกถึงความแตกต่างของตัวตนในคนหรือสิ่งของนั้นๆ อย่างเอ็งที่ไม่มีตัวตน ประวัติหรือข้อมูลเอ็งที่เป็นอัตลักษณ์ของเอ็งจะไม่สามารถแสดงออกมาให้คนอื่นเห็นได้ รวมทั้งร่างกายที่เป็นอัตลักษณ์ของเอ็งก็จะค่อยๆจางหายไปเพราะไม่มีตัวตนให้แสดงออกมาบนโลกใบนี้ เพราะงั้นไม่ว่าเอ็งจะไปขโมยตัวตนใครมา ก็เหมือนเอ็งได้มีตัวตนเพื่อแสดงอีตลักษณ์ของเอ็งให้ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง เอ็งจะขโมยตัวคนใครมาก็ได้ไม่ได้หมายความว่าเอ็นต้องไปแทนที่คนนั้น...
“งั้นถ้าขโมยตัวตนของโต๊ะหรือเก้าอี้มาแทนได้มั้นล่ะ”
...ข้าว่าข้าเคยอธิบายให้เอ็งฟังแล้วนะไอ้กะโหลกหนา ตัวตนสิ่งไม่มีชีวิต ขโมยมาใช้ เอ็นก็จะค่อยๆเป็นสิ่งไม่มีชีวิตไงล่ะ แต่ถ้าเอ็งจะไปขโมยสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่คนมา เอ็งก็จะมีตัวตนเหมือนสิ่งมีชีวิตที่เอ็งขโมยมา สรุปนะ ถ้าอยากเป็นคน เอ็นต้องขโมยตัวตนของคนมาเท่านั้น ข้าไม่อธิบายซ้ำแล้วนะ หงุดหงิดโว้ย!...
“เอาน่ะๆ ใจเย็นๆก่อน” ผมรีบปลอบ ก็อย่างว่าแหละนะคนมันสงสัยถ้าทำคนอธิบายได้แค่คนเดียวโกรธก็ไม่ได้คำตอบอื่นพอดีน่ะสิ “ไม่ถามเรื่องพวกนั้นแล้วโอเคมั้ย”
...งั้นก็ดี เข้าเรื่องเลย วิธีขโมยตัวตนที่เอ็งต้องเรียนและต้องเรียนให้รู้เรื่องด้วยเพราะข้ามีหน้าที่ปกป้องชีวิตเอ็งกับข้าไว้...
จากนั้นแกงเกอร์ก็สอนเนเรื่องวิธีการขโมยตัวตน พื้นฐานการใช้มนต์ของคีพเปอร์มีหลักใหญ่อยู่ 3 อย่างคือ
1.วงเวทย์
2.เวทย์
3.ต้องเป็นผู้มีเลือดของผู้รักษาอักษร
การร่ายเวทย์ไม่จำเป็นต้องใช้วงเวทย์เพียงให้เงื่อนไขของการใช้คาถานั้นๆตรงกับที่คาถาต้องการก็พอแต่วงเวทย์จำเป็นต้องร่ายเวทปลุกเพื่อให้วงเวทย์ทำงานไม่ว่าเงื่อนไขนั้นจะครบหรือไม่เพียงแค่เป้าหมายอยู่ในวงเวทย์ก็จะสำฤทธิ์ผล
วงเวทย์จะมีหลายแบบหลายวิธีใช้แต่เวทที่ใช้ปลุกวงเวทจะมีเพียงคาถาเดียวคือ
“ข้าขอน้อมอัญเขิญทวยเทพแห่งอักษรปลุกปลอบและปลดปล่อยอักขราเวทย์ให้เป็นอิสระจากพันธกาลด้วยเถิด”
พอร่ายเวทย์เสร็จแล้วแค่เพ่งจิตไปยังวงเวทนั้น จะอยู่ที่ไหนขอแค่ให้จำได้และรู้ว่าเป็นวงเวทอะไรมันก็จะทำงานทันที
ผมฟังแกงเกอร์อธิบายแล้วออกจะมึนๆเหมือนโดนอัดข้อมูลจำนวนมากเข้าหัวในทีเดียวเลยต้องถามไอ้เจ้าอาจารย์ผู้กวนประสาทไปหน่อย “แล้วที่อธิบายมานี่มันสำคัญยังไงต้องจำอะไรบ้างเนี่ย”
...ที่ข้าสอนคืนพื้นฐานที่ต้องจำแต่เอาง่ายๆนะ เอ็งต้องจำเวย์บทนี้บทเดียวเพื่อเอาไปปลุกวงเวทย์ที่ข้าจะสอนให้เขียน จำแค่นั้นพอ ถ้าจำไม่ได้อีกข้าคงหมดปัญญาช่ายแล้วล่ะ...
“คาถามันยาวอยู่นะจะให้จำทีเดียวหมดได้ไง พอจะมีหนังสือแนะนำมั้ย แบบหนังสือเวทย์อะไรอย่างนี้น่ะ”
...เอ็งก็จดสิวะ ตำราเวทย์อย่างที่เอ็งว่าน่ะไม่มีหรอกนะ ความรู้มันถ่ายทอดกันทางสายเลือดคีพเปอร์เท่านั้นแหละ และข้านี่แหละคือความรู้ คือตำราเวทย์ที่จะสอนเอ็ง สรุปคือถ้าจำไม่ได้ไปหาอะไรจดซะ...
“โอเคๆๆ เดี๋ยวไปหากระดาษแป๊บ”ผมรีบหยิบ A4 ปึกนึงออกมาจากกระเป๋าจดตามที่มันสอนผมทันที
...จดแล้วท้องจำให้ขึ้นใจเร็วๆด้วยนะ แค่คาถาบทเดียวอย่าช้านักเพราะข้าไม่มีเวลามาเอ้อระเหยกับเอ็งมากหรอกนะ รีบๆจดข้าจะได้สอนเอ็งเขียนวงเวทย์ต่อ...
“เออๆเสร็จแล้วๆ ต่อเลย”
...งั้นจดแล้วจำให้ขึ้นใจนะ วงเวทย์เป็นศาสตร์แห่งรูปร่างที่มีมายาวนานแล้ว วงกลมคือความไม่สิ้นสุด ความมหาศาลหรือก็คือการเพิ่มพลังให้อักษรที่ไม่ได้เปล่งถ้อยคำออกมาให้มีพลังเทียบเท่ากับการร่ายเวทย์ปกติ
“ประมาณว่าเป็นวงจรทวีแรงดัน เพิ่มโวล์ตของไฟฟ้าอะไรทำนองนั้นสินะ”
...อ่า...เอาเป็นว่าอย่างที่เอ็งเข้าใจง่ายๆนั่นแหละ เรียกวงจรทวีแรงดันก็ได้ เพราะงั้นทุกครั้งที่วาดวงเวทย์ต้องมีวงกลมเป็นองค์ประกอบหลัก เป็นสิ่งที่ล้อมกรอบเวทย์คาถาที่ต้องการจะให้แสดงผล เข้าใจนะ...
“อ่า เข้าใจๆ”
...และที่ข้าบอกไว้ว่า การใช้วงเวทย์ไม่ต้องสร้างเงื่อนไขให้ครบอย่างตอนร่ายคาถาก็เพราะเอ็งต้องเขียนเงื่อนไขทั้งหมดของคาถาเอาไว้ในวงเวทย์แล้ว เงื่อนไขนั้นห้ามขาดเด็ดขาดแต่จะเขียนเกินก็ไม่ได้ไม่งั้นคาถาจะไม่เป็นผล...
“ไอ้เงื่อนไขนี่มันคือยังไง ไม่เห็นเข้าใจเลย”
...เออ ข้าจะอธิบายอยู่นี่ไง อย่างที่เอ็งโดนคาถาขโมยตัวตนมันมีเงื่อนไขคาถาว่า คนที่จะร่ายคาถาต้องสร้างรอยแผลและดื่มเลือดของเป้าหมายเข้าไปก่อนจะร่ายคาถา นั่นแหละเอ็งถึงจะโดนขโมยตัวตนได้ แต่ถ้าใช้วงเวทย์เอ็งต้องเขียนเงื่อนไขเช่นคำว่า รอยแผล เลือด การกินดื่ม อะไรประมาณนี้เพื่อให้ครบเงื่อนไขของคาถานี้...
“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง”ผมรีบจดกันลืมอย่างรวดเร็ว อันที่จริงก็จดไม่ต่อยทันหรอกเพราะมันไม่รอผมเลยสักนิดแต่ก็พยายามจะจดให้หมดทุกคำ
...ที่สำคัญ หลังจากที่เอ็งเขียนแล้ว เอ็งต้องจำวงเวทย์ที่เอ็งเขียนให้ได้ว่าอยู่ที่ไหน แค่จำได้หรือมองเห็นแล้วรู้ว่ามันคือวงเวทย์อะไรเอ็งก็สามารถสั่งให้มันทำงานเมื่อไหร่ก็ได้ตามแต่เอ็งจะพอใจ แต่ถ้าเอ็งจำไม่ได้หรือไม่รู้ว่ามันคือวงเวทย์อะไร ไม่ว่าเอ็งจะร่ายเวทย์ปลุกยังไงมันก็ไม่แสดงผลแน่นอน...
“คือ...ต้องวาดวงเวทย์ให้ได้แล้วยังต้องจำคาถาปลุกวงเวทย์อีก คือยากว่ะ จะให้จำหมดได้ไงวะ”ผมเริ่มจะหมดกำลังใจจะเรียนรู้ต่อเพราะจะวาดวงเวทย์วงนึงต้องจำคาถาที่จะท่องให้ได้ จำเงื่อนไขให้ได้แถมยังต้องจำคาถาปลุกให้ได้อีก สำหรับผมนี่มันอย่างกับต้องเรียนการเป็นพ่อมดด้วยวิธีลัดแบบไม่มีพื้นฐานเลยสักนิด ซึ่งแน่นอนว่าทำไม่ได้หรอก
...เอ็งนี่มันยุ่งยากจริง เอาเป็นว่าลืมๆพื้นฐานไปให้หมดเลยแล้วกัน แล้วให้ข้ายืมแขนเอ็งแป๊บ ข้าจะวาดวงเวทย์สำเร็จรูปให้เอ็งดูแล้วหัดวาดให้เหมือนด้วยล่ะ วงเวทย์ที่ข้าจะวาดข้าจะเขียนเวทย์ปลุกกำกับเข้าไปด้วยเพราะงั้นแค่เอ็งนึกถึงมันแล้วสั่งให้ทำงานมันก็จะทำงานทันทีไม่ต้องท่องคาถาอะไรให้ยุ่งยากละข้ารำคาญ...
“มีแบบสำเร็จก็น่าจะรีบบอก เอ้าเขียนให้ดูได้เลย”
...ก็ข้าไม่นึกว่าแค่พื้นฐานเอ็งจะจำไม่ได้นี่หว่า เออช่างเหอะข้าผิดเองที่นึกว่าเอ็งจะสอนง่าย เอาเป็นว่าเขียนให้เหมือนแล้วกัน...
แกงเกอร์ใช้แขนของผมค่อยๆวาดวงเวทย์ขึ้นมาอย่างประณีตบนกระดาษ A4 แผ่นใหม่ ยังดีที่ผมยังมีหัวศิลปะอยู่บ้างเลยคิดว่าพอจะลอกๆเอาได้แต่ก็ถือว่าผมตัดสินใจถูกจริงๆที่ไม่คิดจะเรียนอะไรยุ่งยากแบบนี้เพราะอักษรที่มันเขียนไม่ใช่อักษรภาษาไทยหรืออังกฤษเลยสักนิด มันดูเหมือนตัวขีดๆอย่างกับกิ่งไม้ยังไงอย่างนั้นมากกว่าแปลว่าถ้าผมคิดจะเรียนเขียนวงเวทย์ผมคงต้องเรียนภาษาอีกภาษาด้วยแน่
วงเวทย์ที่สวยงามค่อยปรากฏขึ้นอย่างสวยงามพอดีกับแผ่นกระดาษดูชัดเจน เรียบง่ายแต่ดูทรงพลัง ผมออกจะประทับใจไม่น้อยกับสิ่งที่เห็นและได้แต่จ้องมองมันกระทั่งถูกเขียนจนเสร็จ “สวยดีนะ”
...และทรงพลังด้วย เอาไปจำแล้วเขียนให้คล่องล่ะไอ้โง่ ข้าไม่ไหวล่ะขอตัวไปพักก่อนแล้วกัน...
“ไอ้...ไอ้นี่!!” ผมได้แต่เคืองกับคำด่าของมัน คิดแล้วหงุดหงิดจริงๆที่มัยออกมาที่ไรต้องคอยแขวะผมตลอดแต่ผมดันทำอะไรมันไม่ได้เลยสักนิด คิดแล้วหงุดหงิดจริงๆ
100%
ตรู๊ดดดด ตรู๊ดดดดดด ตรู๊ดดดดดดด
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋า
“ฮัลโหล ว่าไงวะเคน”
“ยังจะมีหน้ามาถามว่าว่าไงอีกเหรอ ห่าไม่ยอมมาเข้าเรียนทั้งเช้าเลยนะมึงน่ะ หายหัวบ่อยเลยนะพักนี้”
“โทษทีกูตื่นสายว่ะเลยไปเรียนไม่ทัน ว่าแต่เมื่อเช้ามีงานอะไรมั้ยวะ นี่กูเพิ่งมาถึง ม.”
“ไม่มี เหมือนเคยแหละ อ.บ่นๆแล้วก็เลิก มึงอยู่ ม.แล้วใช่มั้ย งั้นไปกินข้าวกันดีกว่า พีดีกูมีข่าวดีจะบอกมึงด้วย”
“ข่าวดีอะไรวะ”
“เออน่ะ รีบๆมาหากูมา กูกำลังจะออกจากห้องแล้วเนี่ย”
ผมวางสายแล้วรีบออกจ่กห้องชมรมไปหาไอเคน พอมาถึงหน้าห้องเท่านั้นแหละผมเข้าใจทันทีเลยว่าข่าวดีที่มันจะบอกคืออะไร
“อ้าวเฮ่ย! มาพอดีเลยมึง”เคนยิ้มกว้าง มีสาวสวยหุ่นเพรียวบางควงแขนอยู่ข้างตัวมัน “กูแนะนำให้รู้จัก คนนี้แฟนกู ชื่อจ๋อมแจ๋ม”
“สวัสดีครับ”ผมทัก ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็นคนที่คลั่งใคล้น้องมายด์อย่างมันจะยอมตัดใจแล้วไปหาแฟนใหม่แต่ก็ต้องยอมรับแหละว่าแฟนมันสวยน่ากินจริงๆ “นี่มึงมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย”
“เพิ่งคบกันเมื่อวานนี่แหละ ไงล่ะแฟนกูน่ารักล่ะสิ ห้ามมองนะเว่ยคนนี้ของกู”เคนตบไหล่ผมเป็นเชิงหยอกก่อนจะหันไปหาแฟนมัน “ไปกินข้าวกันดีว่าครับแจ๋มเดี๋ยวเคนแนะนำคนอื่นให้รู้จักด้วย”
“แนะนำ?”ผมถามมันงงๆ นี่มันจะไปกินข้าวกับใครอีกเนี่ย
“ต้องแนะนำสิวะก็กูจะไปกินข้าวกับพวกน้องมายด์ไง มึงนี่แปลกคน ทุกทีก็ไปกินข้าวเที่ยงกับพวกมายด์อยู่แล้วนี่หว่า”
“คือว่า...วันนี้กู...”ผมชักไม่ค่อยแน่ใจกับเรื่องที่จะไปกินข้าวกับน้องมายด์เท่าไหร่หลังจากที่ได้สารภาพรักไป มันทำให้ผมอึดอัดไม่น้อยเลยถ้าจะต้องไปกินข้าวกับสาวน้อยคนที่ผมเพิ่งสารภาพรักไป
“มาอ้ำอึ้งอะไรของมืง กูฝากน้องมายด์สั่งข้าวเผื่อไปแล้วไปกินกับกูนี่แหละ”ไอ้เคนตัดสินให้เรียบร้อย สุดท้ายผมเลยโดนมันลากมานั่งกินกับกลุ่มน้องมายด์จนได้
บนโต๊ะอาหารกลางโรงอาหารผมรู้สึกได้ถึงความอึดอัดเกินจะอธิบายแม้ว่าไอ้เคนจะชวนสาวๆให้เฮฮาไปกับการสนทนาไร้สาระเกี่ยวกับเรื่องของมันและแฟนแต่ผมรู้สึกได้ว่ามายด์ไม่ได้สนุกไปกับคำพูดของไอ้เคนเลยสักนิด ตรงข้ามกลับนั่งยิ้มแหยๆให้มุกของมันไปทีแล้วรีบตักข้าวเข้าปากราวกับจะให้ช่วงเวลาบนโต๊ะอาหารนี้จบไปอย่างรวดเร็วซะอย่างนั้นซึ่งนั่นคงไม่ได้ต่างจากผมเท่าไหร่เพียงแค่ผมไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้งขนาดนั้นและคอยลอบดูมายด์อยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเอง และแม้ว่าบทสนทนาบนโต๊ะอาหารจะครื้นเครงสักแค่ไหนแต่ผมกลับไม่กล้าแม้แต่จะชวนมายด์คุยเลยสักนิด
“นี่มายด์ เป็นอะไรเหรอดูไม่ร่าเริงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”น้องฝนเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นพร้อมกับจับไหล่เพื่อนสาวเขย่าให้มายด์รู้ตัว
“ป-เปล่านี่ฝน”
“ฝนเห็นนะว่ามายด์แปลกไปน่ะ เมื่อวานถามอะไรก็ไม่บอกสักคคำ ไปเจออะไรมาเล่าได้นะ พวกเราอยู่ข้างมายด์เสมอนะ”ฝนยังไม่วายปลอบเพื่อนสาวที่มีอาการซึมเซาต่อ
“นั่นสิ เมื่อวานไปเจออะไรมาไหนบอกว่าแค่ออกไปเดินเล่นเฉยๆไง เห็นพอแกกลับมาแล้วเหมือนแกอึ้งๆอย่างกับไปตกใจอะไรมางั้นแหละ”เหนิงถามเพื่อนต่อด้วยความสงสัยทำให้ผมได้สติขึ้นมาว่าบนโต๊ะไม่ได้มีแค่ผมกับน้องมายด์แต่ยังมีแฟนสาวขี้หึงคนนี้อยู่ด้วยอีกคนทำให้ผมรีบปรับตัวให้กลับมาปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทันที
“เปล่าๆ ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ช่วงนี้เพลียๆน่ะเดี๋ยวก็หาย”น้องมายด์รีบแก้ข่าว กลับมาปั้นยิ้มร่าเริมสดใสให้เพื่อนได้เห็นอย่างเดิม แต่ไม่ว่าใครมองก็รู้ว่าสาวน้อยหน้าหวานไม่ได้ร่าเริงสดใสอย่างที่แสดงออกเลยสักนิด
“เอาน่ะน้องมายด์ อย่ากังวลไปเลย ที่เครียดๆนี่เพราะกลัวโดยลักพาตัวไปอีกใช่มั้ย หลังจากนี้ไม่ต้องห่วงเลย มีพี่เคนคนนี้อยู่ทั้งคน รับรองพี่ไม่ให้มายด์เจอไอ้พวกบ้ากามมาลักพาตัวไปอีกแน่นอน”มันตบอกตัวเองด้วยความมั่นใจทำเอาผมขำไม่น้อยกับท่าทางอวดเก่งของมัน แต่ที่ฮากว่าคือ...
“แล้วทำไมต้องออกตัวซะขนาดนี้ฮะ! เดี๋ยวเถอะ มีแจ๋มแล้วยังจะไปทำเจ้าชู้กับน้องมายด์อีกนะ”เสียงจ๋องแจ๋มเอ็ดมันทันทีพร้อมกับบิดแขนหยิกมันด้วยความหมั่นใส้
“โอ้ย!!ๆ เปล่าเจ้าชู้นะแจ๋ม พี่น้องกันก็ต้องช่วยกันสิ เค้าก็รักแจ๋มคนเดียวนั่นแหละจะหึงเค้าไปทำไมล่ะ ต่อให้มีคนสวยกว่าน้องมายมายจีบเค้าก็ไม่ไปไหนหรอก”
“แหวะ!!”สาวๆทั้งโต๊ะถึงกับคลื่นใส้กับคนมีความรักอย่างไอ้เคนทันที ขนาดจ๋องแจ๋มยังตีไหล่มันแล้วยิ้มหน้าแดงด้วยความเขิน
“บ้า! เงียบไปเลยอีตานี่”
ผมหัวเราะไปกับภาพหยอกเย้าของคนมีความรักแต่ในใจกลับไม่ได้รู้สึกรื่นเริงดีใจไปอย่างที่แสดงออกเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีกกับทีท่าของมายด์ที่ดูจะอึดอัดใจเมื่ออยู่บนโต๊ะอาหารกับผม...นั่นอาจจะหมายความว่ามายด์ไม่ได้ชอบผมเลยสักนิดก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันก็อาจดีสำหรับผมที่ไม่ต้องรู้สึกผิดที่พลั้งปากสารภาพรักไปทั้งๆที่มีเหนิงอยู่ทั้งคนแล้วแต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บไม่น้อยเหมือนกันเพราะน้องมายด์เป็นรักแรกของผมและเป็นคนที่ผมแอบปลื้มมาโดยตลอดตั้งแต่ที่สาวน้อยหน้าหวานคนนี้ได้ย่างเท้าเข้ามาในมหาลัย
ระหว่างที่ผมอยู่ในห้วงความคิดนั้นผมรู้สึกได้ว่ามีใครคนหนึ่งกำลังใช้ขาสะกิดผมอยู่ใต้โต๊ะเรียกเอาสติผมกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว พอหันมองคนที่นั่งตรงข้ามถึงได้รู้ว่าเหนิงกำลังจ้องผมอยู่อย่างนิ่งเงียบด้วยสีหน้าไม่พอใจอะไรบางอย่าง
“ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะเดี๋ยวมา ถ้ามาช้าฝากเก็บจานด้วยเลยนะ”เหนิงหันไปพูดกับแพรก่อนจะลุกเดินออกจากโต๊ะไปทั้งอย่างนั้นทำเอาคนทั้งโต๊ะถึงกับหยุดมองด้วยความแปลกใจนิดๆ
“น้องเหนิงนี่หน้านิ่งตลอดเลยนะ พี่ถามจริงชีวิตนี้เคยยิ้มให้พวกน้องเห็นกันบ้างมั้ยเนี่ย”เคนแซวทันทีเมื่อสาวหน้านิ่งเดินออกไปพ้นโรงอาหารทำเอาแฟนสาวของมันทุบอีกทีพร้อมกับดุที่มันแซวรุ่นน้อง
ผมพอเดาได้ว่าเหนิงคงอยากคุยกับผมและคงไม่พอใจอะไรผมสักอย่างด้วยแต่จะให้ลุกไปเลยก็กลัวคนทั้งโต๊ะจะสงสัยเลยต้องนิ่งไว้ก่อนซึ่งทุกอย่างคงไม่พ้นสายตานักข่าวสาวประจำกลุ่มแน่ๆ
แพรวามองจ้องผมเป็นเชิงดุก่อนจะพยักเพยิดนิดๆให้ผมรีบไปหาเหนิงเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้และมันคงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแน่ๆ ผมเลยต้องรีบลุกตามด้วยความกังวล
“เฮ้ย! เคน กูลืมชีทวิชาตอนบ่ายไว้ที่บ้านว่ะ กลับบ้านแป็บนะ ไว้เจอกันในคาบเลย”
“เออๆ มาเรียนด้วยนะมึงอย่าขาดแบบคาบเช้าล่ะ ได้ข่าวว่า อ.นพมาสอนแทน อ.จ๋าด้วย”
“โอเคแล้วเจอกันในคาบ” ผมทิ้งท้ายก่อนจะลุกพรวดพราดออกมาจากโรงอาหาร ออกมาถึงก็เห็นเหนิงยืนรออยู่มุมตึกก่อนแล้ว พอเหนิงเห็นผมก็เดินลิ่วนำไปลานจอดรถทันที ส่วนผมน่ะเหรอแน่นอนต้องเดินตามคนหน้าบูดไปต้อยๆอยู่แล้ว “เป็นอะไรไปเหรอเหนิง บอกพี่หน่อยได้มั้ย”
“เปล่านี่ แล้วตามมาทำไม” สาวหน้านิ่งพูดเสียงแข็งชวนขนลุกก่อนจะขึ้นรถไปนั่งฝั่งคนขับ และแม้จะถามผมเป็นเชิงไล่แต่ก็ไม่ยอมออกรถจนผมขึ้นไปนั่งข้างๆนั่นแหละ...นี่แหละน้าที่เขาว่าผู้หญิงปากไม่ตรงกับใจ
 
“ก็พี่เห็นเหนิงทำหน้าแบบนี้พี่ก็ต้องเป็นห่วงสิ”
“แน่ใจนะว่าที่ตามมาเพราะห่วง เห็นจ้องยัยมายด์ตลอดเลยไม่ใช่เหรอ”เหนิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบขึ้นกว่าเดิมไปอีกทำให้ผมทั้งกลัวทั้งขนลุกไม่น้อย เหมือนกับเป็นเด็กที่ถูกแม่จับได้ว่าไปทำอะไรผิดมาก็ไม่ปาน “...พี่ยัง...รักยัยมายด์อยู่เหรอ”
นั่นเป็นคำถามสุดท้ายก่อนที่เราสองคนจะปล่อยให้เสียงเครื่องยนต์ของรถเข้ามาดังก้องกระหึ่มท่ามกลางความเงียบ ผมรู้ดีว่าถ้าตอบไปตามความจริงเหนิงคงโกรธมากแน่ๆแต่จะให้โกหกเหรอ...นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลยในเมื่อเหนิงสังเกตเห็นชัดๆว่าผมแอบมองน้องมายด์อยู่ตลอด สรุปคือยังไงก็ควรพูดความจริงไปก่อนเผื่อโทษหนักจะได้เป็นเบาแต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพูดความจริงซึ่งรู้อยู่เต็มอกว่ามันจะทำร้ายจิตใจสาวน้อยตรงหน้าอย่างแน่นอน
รถยนต์หักเลี้ยวเข้ามาจอดในบริเวณตึกร้างที่ผมมาช่วยน้องมายด์ไว้จากการถูกฉุดเหมือนกับจะยิ่งตอกย้ำให้ผมพูดความจริงยังไงอย่างนั้น “ว่าไงพี่ ยังรักยัยมายด์อยู่ใช่มั้ย”
“...ใช่ พี่ยังชอบมายด์อยู่”สัญชาตญาณบอกให้ผมยอมรับผิดแค่กึ่งเดียว แทนที่จะพูกว่ารักผมเลยพูดว่าชอบแทนอย่างไม่ค่อยเต็มปากนัก
“วันนี้พี่กับยัยมายด์ดูแปลกๆนะ มีอะไรจะเล่าให้เหนิงฟังรึเปล่า”สาวห้าวหน้านิ่งหันมามองผมด้วยสายตาดุดันสร้างความอึดอัดให้ผมไม่น้อย ยอมรับเลยว่ามันทำให้ผมคิดคำโกหกอะไรไม่ออกจริงๆ
“เหนิง พี่...”
“พอแล้ว เหนิงไม่อยากฟัง ไม่อยากรู้ด้วยว่าพี่ไปทำอะไรกับยัยมายด์มา แค่ตอบเหนิงมาสองอย่างพอ พี่แอบคบกับยัยยมายด์อยู่ใช่มั้ย”
“ไม่นะ พี่ไม่ได้แอบคบกับมายด์แน่นอน ...ถึงพี่จะยังชอบมายด์แต่พี่รับรองว่าไม่มีอะไรแบบนั้นแน่” ผมยืนยันหนักแน่น รู้สึกโล่งใจไม่น้อยกับคำถามที่ได้ฟังเพราะอย่างน้อยผมกับมายด์เราไม่ได้มีอะไรมากกว่าพี่น้องกันจริงๆ
“ก็ได้ เหนิงจะเชื่อพี่ แล้ว...เหนิงถามแค่คำเดียว ระหว่างเหนิงกับมายด์พี่จะเลือกใคร?”สาวห้าวทำหน้าจริงจังราวกับว่าคำถามนี้มันจะชี้ชะตาผม และสิ่งที่ทำให้ผมถึงกับใจหายคือ สาวน้อยหน้านิ่งของผมค่อยๆมีนำตาหน่วงคลอขึ้นมาพร้อมกับขอบตาค่อยๆแดงก่ำขึ้นด้วย นั่นมันทำให้ผมหัวใจกระตุกวูบ ตระหนักได้ทันทีว่าผมได้ทำร้ายจิตใจของสาวน้อยคนนี้ไปมากเกินไปแล้ว ผมกลับไปหลงไหลกับความรักลมๆแล้วของผมกับมายด์ทั้งที่มีคนตรงนี้อยู่ทั้งคน
“...พี่ขอโทษนะที่ทำร้ายจิตใจเหนิงแต่ยังไงพี่ก็รักเหนิงนะ”
“พี่จะไม่ทิ้งเหนิงไปคบกับยัยมายด์ใช่มั้ย”
“พี่สัญญา พี่จะไม่ทิ้งเหนิงแน่นอน ไม่ว่าเหนิงจะถามกี่รอบพี่ก็รับรองว่าจะไม่ทิ้งเหนิงแน่ เรื่องที่เกิดมันแค่อารมณ์ชั่ววูบจริงๆและพี่จะไม่ทำอีกแล้ว”ผมแทบจะเอาหัวรับประกันกับเหนิงได้เลยว่าระหว่างผมกับมายด์จะไม่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นอีกด้วยความสงสารแฟนสาวคนนี้แต่อีกใจก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่แม้ว่ากับมายด์ผมจะไม่ยอมให้เกิดแต่กับคนอื่นที่ผมแอบนอกใจเหนิงไปก่อนหน้านี้ผมไม่สามารถบอกหรือยอมรับได้จริงๆว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกในเมื่อสาวๆเหล่านั้นก็เป็นของผมไม่ต่างขากเหนิงเลยสักนิด
“ถ้างั้นเหนิงถามได้มั้ยว่าเมื่อวานพี่ทำอะไร ยัยมายด์ถึงแปลกไปแบบนี้”
“พี่...พี่เจอมายด์ตอนกำลังออกตามหามายด์ แล้วเราก็ไปนั่นเล่นที่ร้านกาแฟนกัน จากนั้นเพราะอะไรไม่รู้พี่ถึงได้...บอกว่าชอบมายด์ออกไป พอมายด์ได้ยินแบบนั้นมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
“...”เหนิงเบิกตานิดนึงราวกับอึ้งกับเรื่องที่ผมเล่า น้ำตาหยดน้อยๆค่อยๆไหลรินลงมาอาบสองข้างแก้มและค่อยมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้กับความเสียใจ “ถ้ายัยมายด์ตอบตกลงพี่คงจะทิ้งเหนิงไปแล้วใช่มั้ย พี่ไม่ได้รักเหนิงแล้วใช่มั้ย”
ผมพอจะรู้ว่าถ้าสารภาพความจริงเรื่องคงเกิดแน่แต่ขนาดว่าผมเตรียมใจมาแล้วพอเจออาการปล่อยโฮพร้อมกับคำพูดตัดพ้อผมก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน ได้แต่คดว่าจะทำยังไงให้เหนิงหยุดด้วยประสบการณ์การปลอบอันน้อยนิด ผลเลยกลายเป็นว่าผมโอบดึงเหนิงเข้ามาจูบนิ่งแทนการพูดปลอบ
เหนิงดิ้นอึกอักรัวกำปั้นทุบอกหนาครั้งแล้วครั้งเล่า น้ำตาหยดน้อยๆที่อาบชุ่มแก้มพาลทำให้ผมรู้สึกเปียกชื้นไปด้วยแต่ยังไงผมก็ไม่มีทางปล่อยริมฝีปากสาวหมวยให้เป็นอิสระแน่ มันรู้สึกราวกับว่าถ้าผมถอนจูบออกตอนนี้มันจะให้ให้ผมเสียสาวน้อยตรงหน้าไปตลอดกาลยังไงอย่างนั้น
“อื้อ!! อึ...อือ อืมมมมม”ยิ่งผมดึงรั้งร่างเพรียวบางเอาไว้นานสาวน้อยยิ่งค่อยๆหายพยศลงเรื่องๆ มือสองข้างค่อยๆทุบช้าลงกระทั่งหยุดนิ่งอยู่บนอกผม ริมฝีปากน้อยๆเผยอเปิดช้าๆเป็นโอกาสให้ผมสอดลิ้นเข้าไปทีละน้อยเพื่อหยั่งเชิง “อืมมม” เหนิงครางแผ่วเปิดปากให้กว้างขึ้นอีกนิดพร้อมทั้งส่งลิ้นเรียวบางหวานฉ่ำมาต้อนรับลิ้นผม
ผมช้อนสะโพกสาวในชุดนักศึกษาทรงเออุ้มจากเบาะคนขับให้มานั่งคร่อมเผชิญหน้ากันบนตักก่อนจะปัดเส้นผมยาวเคลียไหล่ไปข้างหลังเพื่อปาดเช็ดน้ำตาบนแก้มนุ่ม “...พี่ไม่อยากเห็นน้ำตาเหนิงเลยรู้มั้ย พี่รักเหนิงนะ และมั่นใจได้เลยว่าพี่จะไม่ทิ้งเหนิงไปไหนแน่”
เหนิงเม้มปากน้อยๆสบตาผมด้วยแววตาสดใสขึ้น “แล้วไปบอกชอบมายด์ทำไมล่ะ”
“พี่จะได้ตัดใจจากมายด์ได้ไง บอกให้ในใจพี่หายค้างคาไปเลยเพราะยังไงพี่ก็รู้ว่าพี่มีเหนิงเป็นตัวจริงของพี่อยู่แล้ว”ผมด้นสดไปทั้งอย่างนั้นแม้จะรู้สึกว่ามันดูแถไปนิดแต่สาวหมวยของผมดูจะไม่สนใจจะจับผิดเท่าไหร่
สาวหมวยค่อยๆยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะชี้นิ้วจิ้มมาบนอกผม“แล้วอย่าไปบอกชอบใครในกลุ่มเหนิงอีกนะ กับคนอื่นยังพอให้อภัยแต่ถ้ากับเพื่อนเหนิงล่ะก็พี่จบไม่สวยแน่”
พอเห็นเหนิงยิ้มออกผมเลยยิ้มออกมาบ้างด้วยความโล่งใจว่าในที่สุดก็เคลียจบสักที“พี่เข็ดแล้วจ้าแม่เสื่อ พี่ไม่ทำอักแล้ว”
“รู้ว่าเหนิงเอาจริงก็ดี” สาวหมวยจับแก้มทั้งสองข้างของผมไว้ ก้มเอาหน้าผากมาชนหน้าผาก ส่งสายตาหวานปนซุกซนมาให้ “ก่อนมีเหนิงน่ะเจ้าชู้ยังไงเหนิงไม่สนหรอกแต่มีเหนิงแล้วงดหื่นกับคนอื่นะ”
“แล้วหื่นกับเหนิงได้มั้ย”
สาวหมวยยิ้มไม่ตอบ เชิดหน้าผมขึ้นก่อนจะก้มลงประกบจูบหวานชื่นดุดัน ลิ้นเล็กๆของแม่เสือสาวสอดตวัดหาลิ้นผมเพื่อรัดพันมันอย่างโหยหิว สายตาซุกซนสานสายตากับผมราวกับจะบอกความต้องการที่มีออกมาให้ผมได้รับรู้ “...มีถุงมั้ย” เสียงถามแหบพร่าจากปากหญิงสาวในตอนนี้มันช่างทรงเสน่ห์สำหรับผมมากเหลือเกิน มันมากซะจนเจ้าท่อนล่างของผมแข็งไปหมด
“ไม่มี”
“...งั้นอย่าแตกข้างในนะ”เหนิงพูดราวกับถุงยางไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเธอเลยสักนิดก่อนจะก้มมองเป้ากางเกงผมเพื่อรูดซิปเปิดดึงเอาแท่งเอ็นดำเมี่ยมขนาดเท่าข้องมือเด็กสาวออกมาสู่ภายนอก ส่วนผมก็ไม่ยอมน้อยหน้าถลกชายกระโปรงทรงเอขึ้นถึงเอวก่อนจะแหวกขอบกางเกงในสีดำสนิทให้พ้นปากร่องอวบอูม เหนิงโหย่งตัวขึ้นใช้มือจับท่อนเอ็นแข็งกลางหว่างขาช่วยนำทางให้หัวบานจรดจ่อกับปากร่องลื่นก่อนจะค่อยทิ้งน้ำหนักลงมาทีละน้อยให้ปากร่องฟิตแน่นได้เข้าห่อหุ้มหัวถอกทีละน้อย “อ-อูวววว เข้ามาแล้ว ข-ของพี่เข้ามาข้างในเหนิงแล้ว”
“อูยยย ร่องฟิตกว่าเดิมรึเปล่าเนี่ยเหนิง หรือว่าเพราะไม่สวมถุงมันถึงฝืด”ผมถามไปก็จับสะโพกอาหมวยช่วยดึงกดลงมาด้วยอีกแรง
“ช-ช้าๆสิพี่เดี๋ยวของเหนิงพังหมด”สาวน้อยหน้านิ่งคราง ก้มมองท่อนเนื้อของผมที่ค่อยๆถูกกลีบเนื้ออวบอิ่มบวมแดงกลืนกินแบบไม่วางตา
“ก็เล่นใส่ทรงเอรัดๆมาขึ้นคร่อมแบบนี้ถึงไม่ใช่พี่ก็คงทนไม่ไหวล่ะ เซ็กซี่แบบนี้พี่จะเย็ดให้บานเลย”
“พ-พูดบ้าๆ ซี๊ดดด”เหนิงหลับปี๋ตาเม้มกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะตัดสินใจกดสะโพกทิ้งตัวลงรับเอาโคนเอ็นเข้าไปในร่างทั้งหมดทีเดียว “อูยยย เหนิงไม่ไปขึ้นคร่อมของผู้ชายคนอื่นหรอกนะเหนิงจะขึ้นให้แต่พี่คนเดียวเท่านั้นแหละ” สาวหมวยบรรจงจูบหน้าผากผมอย่างนุ่มนวลก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ “คนอะไรยาวเข้าไปชนข้างในเหนิงเลย ถ้าของเหนิงพังนะรับผิดชอบด้วย”
“ไม่พังพี่ก็รับผิดชอบ”ผมเลื่อนมือจากสะโพกสาวหมวยขึ้นมาค่อยๆแกะกระดุมเสื้อนักศึกษาออกทีละเม็ดเพื่อรอเวลาให้ร่องรักอ่อนนุ่มได้ปรับขนาดเข้ากับเอ็นเนื้อและหลั่งชโลมเมือกลื่นออกมาให้มากกว่านี้ซะก่อนและดูเหมือนเหนิงจะรู้ว่าผมอยากให้พักยกชั่วคราวเช่นกัน “เมื่อกี้ไอ้เคนมันแซวว่าเหนิงหน้านิ่งตลอด พี่อยากให้มันมาเห็นตอนนี้จังว่าเหนิงของพี่ยิ้มสวยแค่ไหน”
“ทำมาพูดดี”สาวหมวยแก้มแดงแทบหุบยิ้มไม่อยู่
“รู้มั้ยว่าตอนยิ้มเหนิงสวยมาก”ผมถามไปก็ค่อยๆแหวกเสื้อนักศึกษาออก ดึงรั้งเอาบราเซียสีเนื้อขึ้นให้เนินอกกลมกลึงพอดีมือหลุดเป็นอิสระออกมาชูชันต่อหน้า
“งั้นพี่ก็ควรจะดีใจนะที่ได้เห็นเหนิงยิ้มแค่คนเดียว อุ๊ย!! ตาบ้า”เหนิงอุทานด้วยความเสียวสยิวเมื่อทรงอกอวบอัดเต่งตึงถูกประกบดูด สาวน้อยหลับตาลงแอ่นทรวงอกเข้าหามากขึ้นอีกนิด รับแรงดูดเม้มเชื่องช้าชวนทรมานพร้อมกับส่งเสียงครางฮือๆเบาหวิว สองมือโอบกอดรอบลำคอกดหัวเข้าซบแน่นกับเนินอกขาว สะโพกน้อยๆเริ่มยกตัวขึ้นทีละน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงมารับท่อนเอ็นเข้าไปมิดครั้งแล้วครั้งเล่า “อา... พี่เป็นของเหนิงแล้วนะ...อา...ห้ามมีใคร...อา...ที่ไหนอีก...อา...แม้แต่คนเดียว อูว...”
ในไม่ช้าเสียงครางแผ่วเบาก็ค่อยๆลอยละล่องปนเปกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อของจังหวะรักอันหนักหน่วงท่ามกลางตึกร้างไร้ผู้คน ผมหลับตาลงปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ ให้เอ็นเนื้อแข็งเขม็งได้ถูกกระตุ้นจากแรงตอดดูดภายในตัวสาวหมวยมากขึ้นมากขึ้น สองมือช้อนก้อนเนื้อนุ่มของสองแก้มก้นเนียนราวกับแก้มเด็กเพื่อลดแรงกระแทกกระทั้นให้เบาลงในขณะที่ปากยังคงประกบดูดเม้มเม็ดประทุมถันสีชมพูอ่อนกลางอกทีละข้างด้วยความโหยหาราวกับไม่ได้ทำรักกับเรือนร่างนนี้มานานแสนนาน
“อูววว ส-เสียว แฮก-แฮก มันทำเหนิงเสียวไปหมด พ-พี่ช่วยเหนิงด้วย พี่...ซี๊ดดดด”สาวหมวยถึงกับตัวงอร้องแทบไม่เป็นภาษาเมื่อถูกผมเลื่อนมือกลับมาจับสะโพกอีกครั้งเพื่อช่วยดึงรั้งให้เหนิงกระแทกกระทั้นลงมาหนักหน่วงรุนแรงขึ้น ใบหน้าสวยจึงเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความเสียวซ่านเกินจะรับและตอบโต้ผมกลับด้วยแรงตอดรัดหนึบแน่น “ม-ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว! อี๊ยยยย”สาวหมวยตัวกระตุกทิ้งสะโพกลงมาอย่างแรงรับเอาท่อนเนื้อเข้าไปทั้งแท่งพร้อมกับกอดรัดผมไม่ให้ขยับด้วยร่างสั่นสะท้าน ผลร้ายมันจึงตกมาที่ผมที่กำลังจะแตกเพราะแรงตอดแต่จะจอดทั้งอย่างนี้ไม่ได้เลยต้องอั้นเอาไว้สุดกำลัง จับสะโพกนุ่มยกขึ้นให้มันหลุดเป็นอิสระอย่างฉิวเฉียด
ปรี๊ดดดดด พรืดดดด พรืดดดด
เมือกกามคาวข้นพุ่งพ่นออกมาเป็นสายกลับเข้าไปในร่องแคมที่ปากทางเข้าปิดลงมาไม่สนิทก่อนจะฉีดรดเปรอะเปื้อนเต็มกางเกงในและหว่างขาขาว
ผมปล่อยเหนิงกลับลงมานั่งบนตักด้วยความโล่งใจ “ฟูวววว เกือบไปแล้ว”
“...”สาวหมวยคลายกอดออกยังคงหอบหนัก สายตาหวานเยิ้มจ้องผมด้วยใบหน้านิ่ง “แฮก-แฮก...ม-มันไม่ได้แตกข้างในเหนิงใช่มั้ย”
“...พี่...พี่ว่ากินยาคุมกันไว้ก่อนดีกว่ามั้ย”ผมตอบไปอย่างนั้นเพราะไม่มั่นใจเหมือนกันว่าน้ำที่พ่นออกมามันเข้าไปข้างในเหนิงมากแค่ไหนแต่ที่แน่ๆคือผมชักออกมาทันแบบเฉียดฉิวจะเสียงพลังไปมากๆ
“ถ้ารู้ว่าต้องกินยาคุมอย่างนี้ปล่อยให้แตกในดีกว่าจะได้ไม่เลอะเทอะ”สาวหมวยยิ้มน้อยๆด้วยแววตาซุกซน ก้มหน้าลงมองเอ็นเนื้อกึ่งอ่อนกึ่งแข็งเปียกเยิ้มกลางหว่างขาก่อนจะคว้ามันไปรูดรีดเอาเมือกคาวภายในออกมารดบนกางเกงในผ้าลื่นสีดำ “น้ำเยอะแบบนี้เห็นแล้วหิวเลย”
“ยังไม่พออีกเหรอเหนิง”ผมถามมองดูนาฬิกาบนคอนโซลรถแล้วอดเสียดายไม่ได้...ถ้ามีเวลามากกว่านี้อีกหน่อยคงได้เพลินกว่านี้แน่
“ก็จะบ่ายแล้วไม่ใช่เหรอพี่ เวลาเข้าห้องน้ำไม่มีแบบนี้เหนิงก็ต้องช่วงล้างให้ด่วยปากสิ”
“ของเราก็เลอะเต็มกางเกงในเลยนะ อีกอย่าง...ไปหาซื้อยาคุมกันก่อนเถอะเดี๋ยวจะเข้าเรียนสาย”
“ก็ได้”เหนิงทำหน้าเสียดายนิดๆก่อนจะจับเอ็นเนื้อผมเข้ากางเกงรูดซิปปิด “เลอะมือไปด้วยเลยเนี่ย”สาวหมวยบ่นยิ้มๆ
เราสองคนจัดชุดกันแบบลวกๆให้พอเรียบร้อยก่อนที่เหนิงจะขับพาผมไปซื้อยาคุมมาให้ จากนั้นถึงมาส่งผมที่ตึกเรียน
“กางเกงในเลอะขนาดนั้นไม่ถอดเหรอ”ผมถามเป็นครั้งสุกท้ายก่อนจะก้าวลงจากรถ
“ให้เลอะน้ำพี่แล้วค่อยฉีดน้ำหอมเอายังดีกว่าปล่อยโล่งๆให้คนอื่นเห็นของเหนิงนะพี่”
“ก็เราใส่ทั้งสั้นทั้งรัดทำไมล่ะ”
“เพราะคนแถวนี้นั่นแหละเลยอยากใส่มาอวด”
ผมได้แต่ยิ้มด้วยความรู้สึกอบอุ่นในใจกับคำพูดของเหนิงแล้วเปิดประตูก้าวเท้าลงมายังตึกเรียน...เฮ้อ! ในที่สุดก็หมดปัญหา ชาตินี้ไม่ขอยุ่งวุ่นวายกับเพื่อนเหนิงอีกแล้ว...ผมรำพึงในใจแต่ไม่ทันได้โล่งใจเมื่อโทรศัพท์ผมกลับแจ้งเตือนข้อความจากแชตเฟสให้ผมต้องเปิดดู
‘นี่ฝนนะคะ ฝนอยากกินน้ำสลัดพี่แล้ว พรุ่งนี้เช้าเอามาให้ได้มั้ยคะพี่’
/>อย่างที่บอกไว้ตอนที่แล้วว่าจริงๆมันคือบทที่ 8 แต่โดนตัดมาเป็นบทที่ 9 เพราะมันยาว ตอนนี้เลยเป็นเหมือนบทที่ 8 ตัวเต็มและรอเอาบทที่ 9 เข้ามาใส่ในบทนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ...ก็อู้มานานขอฟื้นพลังเขียนสักแป๊บก่อนนะครับ มีอะไรก็คอมเม้นคุยกันมาได้ตอนนี้กลับมาเริ่มเครื่องติดอีกครั้งแล้ว จะพยายามตอบที่ถามกันมาครับ ส่วนที่ไม่ได้ถาม คิดชมอะไรกันมาก็ขอขอบคุณมากๆครับที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นกัน ส่วนรูปสาวๆขอซ่อนเหมือนเดิม ผู้แต่งขอตัวไปนอนก่อนละกันครับ...อ้อ ทิ้งท้ายด้วยการตอบคำถามจากบทที่ 8 ที่เม้นถามกันมาครับ บาย
20/10/60 แจ้งเพิ่มเติมเนื่องจากมีคอมเม้นขอให้ผมเอาส่วน 60 70 และ 100% ไปลงในบทที่ 10 ด้วยเพื่อในผู้อ่านที่ไม่รู้ว่าผมอัพเดทบทที่9ตอนไหนได้อ่านครบ เอาเป็นว่าผมจะรวบส่วนที่อัพเดทมาเพิ่มไปลงในบทที่ 10 ด้วยนะครับ ทั้งนี้จะแยกระหว่างบทที่9กับ10ให้ชัดเจนจะได้ไม่งงกัน
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
--------------------------------------------------------------------------------------------
เข้าสู่ห้องสารบัญหนังสือ
แสดงลิ้งค์เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน