ก่อนเริ่มเรื่อง บางคนอาจจะรอ อาถรรพ์ปลัดขิก ตอนที่ 11 อยู่ แต่ก็คงต้องสารภาพว่าจนถึงตอนโพสเรื่องนี้ ก็ยังไม่ได้ลงมือเขียนเลย
พอถึงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ว่าจะเริ่มลงมือ แต่ก็อย่างที่ผมเคยบอกไว้นั่นแหละ ถ้ายังไม่อยากเขียนคิดยังไงก็คิดไม่ออก
เอายังไงดีละทีนี้ ก็เลยตัดสินใจงัดเรื่องที่เขียนดองๆไว้มาตบแต่งใหม่ออกมาขัดตาทัพดีกว่า ไหนๆก็จะลงแล้วก็เลยตั้ง
ชื่อเป็น ชุดเรื่องสั้นคันอารมณ์ ซะเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 1 แล้วก็คงมี 2 3 4 มาเรื่อยๆ เวลาเบื่อหน่ายจากเรื่องหลัก
ก็ลองอ่านดูแล้วช่วยติชมหน่อยนะครับ หวังว่าคงให้ความสำราญบานกระเจี๊ยวของท่านไม่มากก็น้อย-------------
ณ. ปราสาทศรีจัมปา จังหวัดสุรินทร์ นักศึกษาคณะโบราณคดีของมหาวิทยาลัยศิลปากรกลุ่มหนึ่ง กำลังนั่งฟังเลคเชอร์
ภาคสนามอยู่บนทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ตัดไว้จนสั้นอย่างเรียบร้อย เบื้องหลังอาจารย์สาวสวยที่กำลังยืนอธิบายประวัติ
และความเป็นมาของปราสาทอยู่นั้น คือซากปรักหักพังของหน้าปราสาทที่คงเหลืออยู่ ตัวเรือนปราสาทและความยิ่งใหญ่
ของมันในอดีต เหลือเพียงเศษซากของฐานรากวางอยู่เป็นแนว พอเป็นประจักษ์พยานว่ามันได้เคยตั้งอยู่ ณ.ที่นี้
พลพีระ นักศึกษาหนุ่มปี 3 จับใจความจากถ้อยคำที่อาจารย์ จิรา อาจารย์ประจำภาควิชาโบราณคดี ได้ว่า
ปราสาทศรีจัมปานี้ สร้างขึ้นในอาณาเขตของอาณาจักรอิศานปุระ หรือ อาณาจักรเจนละ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็คือประเทศกัมพูชา
และดินแดนภาคอีสานตอนใต้ของประเทศไทย ในแผ่นดินที่พระเจ้าภววรมันเสด็จขึ้นครองราชย์
แผ่นดินในสมัยพระองค์มีสงครามภายในเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ และถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน คืออาณาจักรเจนละบก
และอาณาจักรเจนละน้ำ แต่พระองค์ก็ยังคงศรัทธาต่อศาสนาอย่างหนักแน่น
พระองค์เป็นนับถือศาสนาฮินดู ลัทธิไศวะ และทะนุบำรุงให้ความเคารพต่อพราหมณ์ของลัทธิเป็นอย่างยิ่ง
ลัทธิไศวะนับถือศิวะเทพเป็นเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว และมีรูปศิวลึงค์เป็นที่สักการะแทนองค์ศิวะเทพ
จึงมักมีการค้นพบรูปเคารพศิวลึงค์ตามโบราณสถานต่างๆที่ขุดพบ แม้ประชาราษฏรในสมัยของพระองค์ก็ล้วน
แต่เคร่งครัดในลัทธิไศวะ มีรูปเคารพศิวลึงค์ติดตัวอยู่ทั่วทุกตัวคน
พระเจ้าภววรมันทรงอภิเษกสมรสกับเจ้านางศรีลาวัลญ์ พระธิดาแห่งเมืองอมเรนทรปุระ และมีพระราชธิดาที่มีพระสิริโฉม
งดงามจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ ในวันที่พระนางถือกำเนิด ได้เกิดสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น นั่นก็คือมวลบุปผานาๆพันธ์
ในราชอาณาจักรพากันออกดอกและเบ่งบานไปทุกต้น ส่งกลิ่นหอมระรื่น ตลบอบอวลไปทั่วทั้งราชอาณาจักร
พระเจ้าภววรมันมันจึงให้พระนามพระธิดาของพระองค์ว่า สุคนธอัปสร
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
พระธิดาสุคนธอัปสรทรงมีกลิ่นหอมออกมาจากพระวรกายมาแต่กำเนิด ยิ่งเมื่อเจริญพระชันษาเข้าสู่วัยแรกรุ่น
กลิ่นหอมแห่งพระวรกายก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น จนหากแม้นบรุษใดแม้ได้สบพระพักตร์ และได้สัมผัสกลิ่น
จากวรกายของนางเข้านาสิกประสาท บุรุษผู้นั้นก็จะบังเกิดจิตสิเหน่หานึกรักในตัวพระนางจนลุ่มหลง
พระเจ้าภววรมันทรงหวงแหนพระธิดาพระองค์นี้เป็นยิ่งนัก จึงได้ตรัสสั่งให้สร้างประสาทสำหรับพระราชธิดาโดยเฉพาะ
โดยมีนางในและข้าทาสบริวารที่เป็นหญิงล้วนทั้งหมดคอยปรนนิบัติ และห้ามบรุษเพศทุกคนเข้าใกล้
อาณาบริเวณปราสาทโดยเด็ดขาด ทำให้พระราชธิดาไม่คุ้นเคยกับบุรุษเพศ และไม่เคยรับรู้เลยว่า บุรุษเพศนั้น
แตกต่างจากสตรีเช่นไร ปราสาทที่เจ้าหญิงสุคนธอัปสรใช้เป็นที่ประทับก็คือ ปราสาทศรีจัมปา นี่เอง
ยังมีเกร็ดประวัติศาสตร์เล่าว่า กิตติศัพท์ความงามและกลิ่นหอมของพระวรกายนี้ เลื่องลือไปถึงเจ้าต่างเมืองรอบนอก
อาณาขันธสีมา จนในครั้งหนึ่งเจ้าต่างเมืองเหล่านั้น พากันเดินทางมาเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีต่อพระเจ้าภววรมัน
แต่เหตุจูงใจอันแท้จริงแล้วมาจากใคร่จะได้ยลโฉมและสัมผัสกลิ่นแห่งพระวรกายของพระธิดาด้วยกันทั้งสิ้น
ครั้นเจ้าต่างเมืองเหล่านั้นถวายเครื่องราชบรรณาการแด่พระองค์แล้ว ก็พากันทูลขอพระราชโอกาสยลโฉม
พระธิดาสุคนธอัปสรกันโดยพร้อมหน้า แม้พระเจ้าภววรมันจะทรงพยายามบ่ายเบี่ยงเช่นใด แต่เจ้าต่างเมือง
เหล่านั้นก็พากันทูลอ้อนวอนขอ จนพระองค์เห็นว่าหากยังทรงปฏิเสธก็อาจทำให้เสียราชไมตรีอันดีต่อเจ้าต่างเมืองเหล่านั้น
ทั้งอาจยังให้เกิดเป็นชนวนสงครามสืบต่อไป พระองค์จึงตรัสรับสั่งเรียกพระธิดาให้เสด็จมายังท้องพระโรง
ครั้นองค์พระธิดาเสด็จมาถึง กลิ่นหอมแห่งพระวรกายก็ฟุ้งกระจายไปทั่วท้องพระโรง จนเจ้าต่างเมืองและข้าราชบริวาร
ที่เป็นบรุษเพศต่างตะลึงงันในงาม และบังเกิดสิเหน่หาต่อพระนางด้วยกันทั้งสิ้น เจ้าต่างเมืองพระองค์หนึ่งลุ่มหลงพระนาง
จนถึงกับบังอาจทูลขอพระธิดาไปเป็นนางห้ามแห่งตน ทั้งๆที่เจ้าต่างเมืองพระองค์นั้นมีมเหสีอยู่แล้ว จากนั้นเจ้าต่างเมืององค์อื่นๆ
ก็พากันทูลขอตามอย่างเซ็งแซ่ ทำให้พระเจ้าภววรมันทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ตรัสขับไล่เจ้าต่างเมืองเหล่านั้นออกจาก
เขตพระราชฐานโดยทันที
พออาจารย์จิราเล่าจบ พล นักศึกษาหนุ่มที่นั่งฟังอยู่อย่างตั้งใจ ก็ยกมือขึ้น พร้อมกับเอ่ยถาม
"อาจารย์ครับ เรื่องเจ้าหญิงสุคนธอัปสรเนี่ย เป็นบันทึกประวัติศาสตร์จริงๆ หรือนิทานครับ"
เพื่อนๆที่นั่งอยู่ใกล้ๆ พอได้ยินพลเอ่ยถาม ก็พากันหันมามอง รวมทั้งสหชาติเพื่อนที่สนิทที่สุดของพล
"ทำไมวะ...ไอ้พล...มึงอยากดมกลิ่นเจ้าหญิงฯมากเลยเหรอวะ กูว่าอย่างมึงไม่ต้องดมหรอก แค่นี้มึงก็หื่นจะแย่อยู่แล้วล่ะม้างงง"
สิ้นเสียงของชาติ นักศึกษาทุกคนรวมทั้งอาจารย์จิรา ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างครื้นเครง แล้วอาจารย์จิราก็พูดขึ้นว่า
"เรื่องของเจ้าหญิงสุคนธอัปสร เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น จะว่าไปมันก็เหมือนนิทานปรัมปรา นั่นแหละ อย่าคิดมากเลยพล"
แต่พลมีความรู้สึกผูกพันธ์กับเรื่องราวที่ได้ฟังเป็นอย่างมาก จนแม้ว่าเขาได้กลับจากการออกภาคสนามในครั้งนั้นแล้ว
เรื่องราวของเจ้าหญิงสุคนธอัปสรก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา
จนในวันหนึ่งขณะที่เขากำลังแปลบทความที่สำเนามาจากภาษาขอมบนแผ่นศิลา ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรโบราณแห่งนี้
จนผล็อยหลับไป ก็บังเกิดเป็นภาพเลือนลางในความฝัน ว่าเขาได้เดินทางไปยังปราสาทศรีจัมปาอีกครั้ง แต่ภาพของปราสาทในครั้งนี้
กลับสวยสดงดงาม และยิ่งใหญ่อลังการเหมือนกับว่าพึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ๆ เขาก้าวเท้าเดินเข้ามา แล้วหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าลานปราสาท
อันเงียบสนิทไร้ผู้คน และคิดที่จะย่างเท้าเข้าไปยังส่วนในของปราสาท แต่ก็ชะงักเท้าไว้แล้วหันหน้ากลับมายัง แท่งโลหะอันมีส่วนปลาย
กลมมนสีดำสนิทที่โผล่พ้นมาจากผืนดิน สีที่แต้มแต่งเติมเป็นขีดขวาง และกลีบดอกไม้ที่รายล้อมอยู่ ทำให้พลรู้ในทันทีว่านั่นคือ
ศิวลึงค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งไศวะนิกาย
พลตรงเข้าไปแล้วน้อมกายลงกระทำสักการะต่อรูปศิวลึงค์นั้น แล้วกล่าวความต้องการในใจของเขาออกมา
"ข้าแต่ ศิวลึงค์แห่งองค์ศิวะเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ หากเรื่องราวแห่งเจ้าหญิงสุคนธอัปสรมีอยู่จริง ขอจงให้ข้าได้พบ ได้เห็น ได้รู้จัก
พระนางด้วยเถิด"
แล้วพลก็พนมมือหลับตานิ่งอยู่เช่นนั้น
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น จนทำให้พลสะดุ้งตื่นแล้วคว้ามันมารับสายอย่างเหนื่อยหน่าย
"ฮัลโหล"
"ไอ้พล....เย็นนี้กูไปบ้านมึงนะ...แดกเหล้ากัน"
"เนื่องในวโรกาสอะไรของมึงวะ"
"วโรกาสที่ พณฯท่านชาติ อยากแดกว่ะ อากาศมันครึ้มๆดี กูซื้อเหล้ากับกับแกล้มไว้พร้อมแล้ว รอหน่อยนะ"
เย็นวันนั้นชายหนุ่มสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน ก็จัดการตั้งโต๊ะหลังบ้านเช่าของพล ที่มีวิวเป็นท้องนากว้างจากที่ดิน
ที่ปล่อยให้เช่าระยะยาวของเจ้าของบ้าน อากาศที่ขมุกขมัวและมีลมเย็นเอื่อยๆ ทำให้เหล้าที่ชาติเตรียมมา 1 ขวดเต็มๆ
พร่องลงไปอย่างรวดเร็ว
"ไอ้พล กูมาคิดๆดูนะ มึงกับกูเนี่ยไม่โง่ก็บ้าว่ะ เสือกเลือกมาเรียนโบราณคดี"
"ทำไมวะ...มึงจะโง่ก็โง่ไปคนเดียว ไม่ต้องเอากูไปเกี่ยวด้วย"
"เอ๊า.....ก็จบไปจะไปทำมาหาแดกอะไรวะ โบราณสถาน โบราณวัตถุบ้านเรา แม่งก็ไม่มีอะไรให้ต้องรักษา
เพราะมันชิบหายไปหมดแล้ว"
"เฮ้ย...ไม่จริงหรอก กูว่าประเทศเรายังมีของดีๆอีกเยอะที่ยังไม่ถูกค้นพบ เรียนจบเมื่อไหร่กูจะทำตัวเป็นอินเดียน่าโจนส์เว้ย"
"ถุยย!....ไอ้หน้าโจรสิไม่ว่า ถ้าจบมามึงไม่ได้รับราชการ รับรองไม่มีแดกเป็นโจรแน่ๆ"
"แต่กูก็รักที่จะเรียน ที่จะทำงานทางนี้นะเว้ย "
"ไหนมึงบอกกูหน่อยซิ ทำไมมึงถึงชอบวะ"
"มันสร้างจินตนาการว่ะ สิ่งปรักหักพัง ร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้จากอดีต มันสร้างความอยากรู้อยากเห็น จนกูรู้สึกตื่นเต้นที่จะค้นคว้า
อย่างเรื่องปราสาทศรีจัมปา ที่อาจารย์จิรา เล่าให้ฟังเนี่ย..... มึงว่าไหมว่ามัน.....น่าสนใจมากกกก.......แผล้บๆๆ"
พลพูดขึ้นมาพร้อมกับทำหน้าหื่นแล้วเลียลิ้นออกมารอบริมฝีปาก จนชาติยกเท้าถีบออกไปที่เก้าอี้ที่พลนั่งอยู่
"โธ่.....กูก็ฟังตั้งนาน ที่แท้มึงก็อยากดมกลิ่นเจ้าหญิง ....แหม...ไอ้บ้าหม้อเอ้ย....."
"มึงอะว่าแต่กู ตัวมึงอ่ะสุดหื่นเลย เวลาอาจารย์จิราเลคเชอร์ มึงอ่ะจ้องแกตาเป็นมันเลย กูเห็นนะเว้ย"
เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเพื่อนรักทั้งสอง ดังอยู่ไม่ขาดระยะระหว่างการสนทนากัน จนในตอนหนึ่งพลก็เอ่ยกับชาติขึ้นว่า
"ไอ้ชาติ กูอยากไป ปราสาทศรีจัมปา อีกซักครั้ง มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยนะ"
ชาติมองหน้าเพื่อนรัก เหมือนจะให้แน่ใจว่าพลเล่นมุกหรือเปล่า แต่พอเห็นหน้าที่จริงจังของพลก็เริ่มสงสัย"
"เฮ้ยย...พล....มึงเอาจริงเหรอเนี่ย.......จะไปทำไมวะ"
"กูอยากพิสูจน์อะไรบางอย่างว่ะ นะ...มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยนะ"
ชาติเห็นท่าทีของเพื่อนรัก ก็รู้ว่ามันเอาจริงแน่ๆ ก็เลยตอบรับไปอย่างรำคาญ
"เออๆๆๆ.....จะไปเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน....บอกไว้ก่อนนะเว้ย....ทั้งค่ารถค่ากินมึงออกล้วนๆ"
"เออ .....เสาร์นี้เลยแล้วกัน"
-------------
แล้ววันที่พลนัดหมายไว้ก็มาถึง พลจัดของที่จำเป็นลงกระเป๋าสะพายของเขา จนรู้สึกว่ามันยัดแน่นจนตุงไปหมด
แต่แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าสะพายของชาติ ที่ลืมเอาไว้เมื่อตอนมากินเหล้าที่บ้านในสองวันก่อน
เขาเห็นว่ากระเป๋าของชาติใบใหญ่ดี จึงคิดที่จะใช้กระเป๋าของชาติแทน แต่พอเขาคว้ากระเป๋าออกมาเปิดดู
ก็ต้องปล่อยเสียงหัวเราะก้ากออกมา เพราะนอกจากถุงยางหลายสิบอันแล้ว ก็ยังมี ไวเบรเตอร์ รูปร่างเหมือน
กับที่ใช้ในหนัง AV ไม่มีผิดเพี้ยน
"ฮ่าๆๆๆๆๆ.......ไอ้เหี้ยชาติ จังไรจริงๆเลยมึงนี่ จะพกไว้ทำไมวะ"
พลจับไวเบรเตอร์นั้นยัดใส่ไว้ในกระเป๋าของชาติตามเดิม แล้วเอาข้าวของของเขาถ่ายใส่ลงไปในกระเป๋าของชาติด้วย
จากนั้นก็สะพายใส่หลังเดินทางไปยังสถานีขนส่งตามที่นัดไว้กับชาติ
รถทัวร์ออกจากสถานีขนส่งในช่วงเช้า จนถึงจังหวัดสุรินทร์ก็เกือบจะเที่ยง ทั้งคู่แวะกินข้าวกลางวันที่สถานีขนส่ง
แล้วเหมารถสองแถวให้ไปส่งยังปราสาทศรีจัมปา พอไปถึง ชาติก็ลงจากรถด้วยอาการกระปกกระเปลี้ย แล้วเริ่มบ่นขึ้น
"โอยยย...ทั้งเหนื่อย....ทั้งร้อน......ถึงแล้ว...มึงจะทำอะไรก็ทำ กูไปหาที่งีบก่อนล่ะ เมื่อยชิบหาย"
"เฮ้ย...เดี๋ยวซิวะชาติ ช่วยกูก่อน มานี่ มึงมากับกูก่อน"
พลลากตัวชาติเดินเข้าไปยังบริเวณด้านหน้าของซากปราสาท แล้วตรงไปยืนนิ่งห่างจากประตูปราสาทราว 10 ก้าว
เขาเพ่งมองอย่างพิจารณาไปรอบตัว แล้วก้มหน้าเดินจากจุดที่ยืนอยู่ไปที่หน้าปราสาท พร้อมกับทำปากขมุบขมิบ
เหมือนกำลังนับก้าว พอถึงหน้าประตูปราสาท เขาก็หันกลับ แล้วเดินไปยังจุดเดิมทำปากขมุบขมิบแบบเดิมอีกครั้ง
จนชาติรู้สึกสงสัย
"มึงทำห่าอะไรของมึงวะพล..........แล้วมึงลากกูมาทำอะไรเนี่ย"
"ชาติ...มึงช่วยดูต้นทางให้กูหน่อย "
"ดูต้นทาง....ดูทำไม...มึงจะทำอะไร"
พลดึงเสียมพับออกมาจากกระเป๋าสะพายของเขาแล้วกางออก
"เฮ้ยๆๆๆ.....ไอ้พล.....มึงจะทำเหี้ยไรวะเนี่ย.....เก็บเลยมึง....เก็บเดี๋ยวนี้เลย หาคุกซะแล้วไหมล่ะ"
"เฮ้ยชาติ กูฝัน......แม่งเหมือนจริงมากๆ ตรงจุดนี้แหละที่เป็นที่ตั้งของศิวลึงค์ที่กูเห็นในฝัน ที่กูชวนมึงมาวันนี้
ก็เพื่อจะพิสูจน์ว่า สิ่งที่กูเห็นมันเป็นของจริงหรือเปล่า ช่วยกูหน่อยวะ ดูต้นทางให้กูหน่อย"
ชาติส่ายหน้าไม่เอาด้วย แต่พลก็อ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดเขาก็ใจอ่อนยอมเฝ้าดูต้นทางให้
พลเดินไปวัดจำนวนก้าวอีกครั้งว่าตำแหน่งที่จะขุด เป็นตำแหน่งเดียวกับที่เขาเห็นในความฝัน และเมื่อแน่ใจแล้ว
เขาก็ดันปลายเสียมฝังลึกลงไปทันที
ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่ปลายเสียมทิ่มแทงลงไปยังพื้นดิน จนเกิดเป็นหลุ่มลึกราวสองฟุต พลจึงวางเสียมลง แล้วใช้มือ
กอบเอาดินขึ้นมาวางกองที่ปากหลุม
"ไอ้พล...พอได้แล้ว เดี๋ยวก็ซวยกันหมดหรอก มึงจะหาอะไรของมึงกันแน่วะ"
"กูว่าศิวลึงค์ในฝันต้องพยายามบอกอะไรกูแน่ๆ"
พลพูดทั้งๆที่มือของเขายังคงกอบดินขึ้นจากหลุม และแล้วเขาก็รู้สึกว่า มือของเขาสัมผัสกับสิ่งที่เรียบลื่นสิ่งหนึ่งเข้า
พลรีบปัดเศษดินออกจากบริเวณนั้นจนเกลี้ยง และมองเห็นเจ้าสิ่งนั้นมีลักษณะเป็นวงกลมโค้งนูนจมอยู่ในดิน
พลคว้าเสียมมาแล้วพยายามแซะเอาสิ่งนั้นขึ้นมาจากดิน จนในที่สุดเขาก็ดึงมันขึ้นมาเป็นผลสำเร็จ
มันคือเศษซากโลหะที่ผุกร่อนและมีคราบดำๆเกาะอยู่อย่างเกรอะกรัง เขาจึงล้วงเอาค้อนเล็กๆในกระเป๋าสะพายมาเคาะลงเบาๆ
ที่แผ่นโลหะนั้น เสียงค้อนกระทบกับแผ่นโลหะเกิดเป็นเสียงดังกังวานใสคล้ายเสียงของระฆัง พลเคาะอยู่ครู่หนึ่งคราบสีดำ
ที่เกาะกินแผ่นโลหะนั้นก็เริ่มกระเทาะออกเผยให้เห็นเนื้อแท้สีมันวาวของมัน ยิ่งพลเห็นมันค่อยๆแสดงเนื้อในของมันออกมา
เขาก็ยิ่งเคาะลงไปอย่างดีใจจนถ้วนทั่วแผ่นโลหะนั้น และในที่สุดมันก็เผยโฉมที่แท้จริงของมันออกมา ว่ามันก็คือ
เศษเสี้ยวของส่วนโค้งมนแห่งศิวลึงค์โบราณนั่นเอง
เขายิ้มออกมาอย่างยินดี แล้วนำเศษซากของศิวลึงค์โบราณมาพิจารณาอย่างใกล้ชิดจนมองเห็นตัวอักษรขอมที่จารึกเป็นวงกลม
รายรอบซากศิวลึงค์นั้น เขาเพ่งมองมันแล้วพยายามอ่านออกเสียงออกมาทีละตัว ๆ จนหมดสิ้นข้อความ
ทันใดนั้น ชาติก็ส่งเสียงร้องขึ้นอย่างตกใจ
" ไอ้พล พ่อมึงมาแล้ว เร็ว...วิ่ง ! "
ชาติวิ่งเข้ามาหาพล แล้วติดตามมาด้วยผู้ชายในชุดสีกากีอีกสองคน แต่แล้วชาติก็หยุดชะงักอย่างตกตะลึง เมื่อเขาเห็นแสงสว่าง
วาบขึ้นแล้วแผ่ซ่านออกมารอบตัวของพล มันเจิดจ้าเสียจนเขาต้องหยีตาแล้วใช้สองมือบังหน้าของเขาเอาไว้
จนเมื่อรู้สึกว่าแสงสว่างจ้านั้นดับวูบลงแล้ว เขาก็ลดมือลง แต่...ไม่มีร่างของพลอยู่ ณ จุดนั้นแล้ว
ชาติเหลียวซ้ายแลขวามองหาเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง
"ไอ้พล......มึงอยู่ไหน.........ไอ้พล........"
---------
พลรู้สึกมึนงง เหมือนร่างของเขากำลังล่องลอยอยู่ในที่อันเวิ้งว้าง แล้วร่วงหล่นลงมาอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง
ร่างของเขานอนหงายอยู่กับพื้นที่ปูด้วยผ้าสีแดงสด บรรยากาศโดยรอบมีแต่กลิ่นควันไฟปะปนกับกลิ่นหอม
ของดอกไม้ เขาสะบัดความมึนงงออกไปแล้วมองไปโดยรอบอย่างแตกตื่น
"นี่มันที่ไหนกัน....กูมาอยู่ที่ได้ไงวะเนี่ย"
แต่แล้วเสียงเข้มแข็งก้องกังวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ด้วยภาษาที่เขาไม่คุ้นเคย
"พราหม์วราหะ นี่ละหรือตัวแทนแห่งองค์ศิวะเทพที่ท่านอัญเชิญมา"
เสียงก้องกังวานนั้น พลพอฟังออกว่าเป็นภาษาขอมโบราณ ดังออกมาจากผู้ที่อยู่ไกลออกไปเบื้องหน้าของเขา
แต่แล้วเขาก็พึ่งรู้สึกตัวว่า ที่ข้างกายของเขามีชายชราชุดขาวไว้เครายาวยืนอยู่ ชายชราคนนั้นยกมือพนมไว้ที่อก
แล้วเอ่ยตอบเสียงอันทรงอำนาจที่เขาได้ยินเมื่อสักครู่ว่า
"บุรุษท่านนี้ ปรากฏร่างขึ้นต่อหน้าองค์ศิวลึงค์หลังจากที่ข้าพระบาททำพิธีเสร็จสิ้น คงจะเป็นอื่นใดมิได้
นอกจากตัวแทนที่องค์ศิวะเทพประทานมาเป็นแน่แท้พระเจ้าข้า"
"แล้วเหตุใด ตัวแทนแห่งศิวะเทพจึงมิใช่พราหมณ์เฉกเช่นท่านเล่า บุรุษผู้นี้สวมใส่อาภรณ์แปลกประหลาด
ทั้งยังมีเส้นเกศาที่สั้นเกรียน หาใช่ผู้ที่อยู่ในวรรณะพราหมณ์เป็นแน่แท้"
พลหันไปมองดูต้นเสียงอันทรงอำนาจที่อยู่ต่อหน้าเขา แล้วก็ถึงกับตกใจจนเข่าแทบทรุด เพราะเขาผู้นั้นนั่งอยู่บนแท่นที่สูง
จากระดับพื้นดินอย่างงามสง่า ใบหน้าดูเคร่งขรึมดุดัน สวมใส่มงกุฏที่มียอดสูงสีทองสุกอร่าม แม้ลำตัวจะเปลือยเปล่า
แต่ก็มีทับทรวงที่มีอัญมณีสีน้ำเงินเข้มเม็ดใหญ่ประดับอยู่กลางอก คาดด้วยสร้อยสังวาลย์ระยิบระยับงามจับตา ซึ่งเขารู้อยู่แก่ใจว่า
มันคือเครื่องทรงของกษัตริย์ขอมโบราณชัดๆ
พลหันไปมองดูโดยรอบด้วยท่าทีที่แตกตื่น ก็พบว่ารอบตัวเขาก็มีแต่ผู้คนที่ล้วนแต่งกายประหลาด ปานประหนึ่งถอดออกมา
จากข้อเขียนของหนังสือประวัติศาสตร์ขอม เขาทั้งงุนงงสงสัยและคิดว่าเพื่อนๆคงวางแผนแกล้งเขา
"เฮ้ย...อะไรวะเนี่ย....เลิกแกล้งกูได้แล้ว....กูกลัว...กูยอมแล้ว"
ชายชราที่แต่งกายเป็นนักบวชนุ่งห่มผ้าสีขาว มุ่นมวยผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะก้าวเดินเข้ามาหาเขา
แล้วเอ่ยถามด้วยภาษาขอมว่า
"ท่านจะบอกกล่าวสิ่งใด เราไม่ล่วงรู้ภาษาของท่าน"
พลค่อนข้างแน่ใจแล้วว่า นี่ไม่ใช่การแกล้งของเหล่าเพื่อนๆตัวแสบของเขาแน่ๆ เพราะทั้งภาษาและการแต่งกายของคนที่นี่
มันบ่งบอกอย่างแน่ชัดว่าเป็นวัฒนธรรมของขอมโบราณอย่างไม่ผิดเพี้ยน พลทั้งตกใจ ทั้งหวาดกลัว แล้วก็ฝืนใจพูดภาษาขอม
ที่ร่ำเรียนมาอย่างงูๆปลาๆออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
"นี่คือที่ใด และทะ...ทะ...ท่านคือผู้ใด"
นักบวชชรา ยิ้มออกมาเล็กน้อยที่ได้ยินพลพูดภาษาที่ตนเองเข้าใจออกมา
"นี่คือดินแดนแห่งอาณาจักรอิศานปุระ ข้าคือ พราหมณ์วราหะ และนั่นคือ องค์เหนือหัวของอาณาจักรแห่งนี้
พระนามว่า พระเจ้าภววรมัน"
พราหมณ์วราหะ แนะนำตัวเองแล้วผายมือไปยังบรุษที่นั่งอยู่บนแท่นสูง พร้อมกับยกมือพนมไว้ที่อก ทำให้พลหันมองไป
แล้วสบพระเนตรกับ พระเจ้าภววรมัน แววตาอันทรงอำนาจแห่งพระองค์ทำให้เขายกมือพนมทำความเคารพดุจเดียวกับ
พราหมณ์วราหะ
ทันใดนั้นเอง พระเจ้าภววรมัน ก็ส่งพระสุรเสียงดังกังวานขึ้น
"ท่่านคือตัวแทนที่องค์ศิวเทพส่งมาเพื่อทำพิธิให้กับธิดาของเราใช่หรือไม่"
พอพลได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเบิกตากว้าง คิดอยู่แต่ในใจคนเดียว
"ตายห่าแล้วกู.......นี่มันขอมโบราณจริงๆด้วย........เอาไงดีวะ....อะไรหว่าตัวแทนศิวะเทพ....
ถ้าบอกไปว่าไม่ใช่....จะทำอะไรกูไหมเนี่ย.........."
แล้วพลก็ตัดสินใจพูดออกไป ด้วยเกรงว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับตัวเอง
"ใช่แล้วฝ่าพระบาท ข้าคือพราหมณ์พลพีระ มาตามคำบัญชาแห่งองค์ศิวะเทพ"
สิ้นคำของพล ก็เกิดเสียงฮือฮาของกลุ่มคนที่รายล้อมอยู่ จนในที่สุด พราหมณ์วราหะก็พูดขึ้น
"ทุกปี ที่ข้าเพียรทำพิธีพลีแด่องค์ศิวะเทพ เพื่อให้องค์ศิวะเสด็จมาทำพิธีให้กับพระราชธิดา ตั้งแต่พระองค์มีพระชันษา
สิบสี่ จนบัดนี้พระธิดามีวัยล่วงเข้าสู่ สิบแปดพระชันษา แล้วพระองค์ก็ส่งผู้ที่เหมาะสมมาทำพิธีให้กับพระธิดาแล้ว
ในวันนี้ โอววว...ศิวเทพ.....ข้ามีความยินดียิ่งนัก"
พลเห็นพราหมณ์เฒ่า มีท่าทีที่น้อมน้อมต่อตนเอง ก็ยืนขึ้น ฝืนทำท่าเป็นพราหมณ์ผู้ทรงภูมิ แล้วคิดอยู่ภายในใจว่า
"เอาวะ ...รับๆไปก่อนแล้วค่อยหาทางหนีทีไล่....ในเมื่อเล่นแล้ว....ต้องเล่นให้เนียน...เป็นไงเป็นกันวะ"
แล้วพลก็พูดกับพราหมณ์วราหะด้วยภาษาขอมที่พอพูดได้อย่างกระท่อนกระแท่น ว่า
"พิธีอะไรกันเล่า....ท่านวราหะ"
พราหมณ์วราหะจ้องหน้าพลนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
"ใยท่านจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ ก็ข้าวิงวอนต่อศิวะเทพให้มาทำพิธี เบิกพรหมจรรย์ให้กับพระธิดาอย่างไรเล่า"
พอได้ยินชื่อพิธี พลก็ตกใจจนเผลอทวนคำออกมาเสียงดังลั่น
"หา!......พิธีเบิกพรหมจรรย์"
พระเจ้าภววรมัน ทรงประทับนั่งรอคอยพราหมณ์วราหะ พูดคุยอยู่กับพลอยู่เป็นเวลานาน จึงส่งพระสุรเสียงขึ้น
"ท่านพราหมณ์ทั้งสอง เราจะเริ่มพิธีกันได้หรือยัง"
พอพราหมณ์วราหะได้ยินเจ้าเหนือหัวรับสั่ง ก็พนมมือถวายบังคม แล้วจูงมือพลเดินตรงไปยังเสลี่ยงที่ถูกตกแต่งไว้อย่างงดงาม
พลลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วโน้มตัวมุดเข้าไปในเสลี่ยง ทันใดเสียงสังข์ก็ถูกเป่านำขึ้น พร้อมกับบทสวดสรรเสริญองค์พระศิวะดังคลอติดตาม
ไปตลอดทางที่เสลี่ยงดำเนินเคลื่อนที่ไป
ขบวนนำโดยพราหมณ์จำนวนหนึ่ง ติดตามด้วยเสลี่ยงของพรามณ์วราหะ และพล และท้ายสุด เป็นเสลี่ยงพระที่นั่งขององค์เหนือหัว
เพียงครู่เสลี่ยงนั้นก็หยุดลงแล้วลดระดับลงสู่พื้น เมื่อเสลี่ยงถูกวางลงก็เหมือนเป็นสัญญาณโดยไม่ต้องบอกกล่าว
ว่าเขาจะต้องออกมายังภายนอก พลโผล่หัวออกมาแล้วโน้มตัวออกจากเสลี่ยงมายืนเด่นอยู่ที่หน้าปราสาทแห่งหนึ่ง
ซึ่งบริเวณทางเข้าถูกโรยไว้ด้วยดอกไม้บูชา เขาแลเห็นพราหมณ์วราหะยืนรอคอยอยู่แล้ว ที่หน้าทางเข้าปราสาท
ซึ่งถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
"นี่คือปราสาทที่ประทับของพระธิดา ขอเชิญท่านประกอบพิธีตามที่องค์ศิวะเทพบัญชามาเถิด"
พลไม่รู้จะเริ่มต้นอย่่างไร จึงตัดสินใจที่จะหลอกถามพราหมณ์วราหะให้หายสงสัย โดยแกล้งทำเป็นมีท่าทีขึงขัง ถามขึ้นว่า
"ท่านพราหมณ์ องค์พระธิดามีพระนามว่า เจ้าหญิงสุคนธอัปสรใช่หรือไม่"
พราหมณ์วราหะ พอได้ยินพลเอ่ยชื่อเจ้าหญิงออกมาทั้งที่ตนเองยังมิได้บอกกล่าว ก็ตาโต ยิ้มออกมาพร้อมกับพยักหน้าช้าๆ อย่างมั่นใจ
ว่าเขาคือ องค์ตัวแทนแห่ง ศิวเทพ โดยแท้
"พระองค์ทรงมีพระศิริโฉมงดงาม และมีกลิ่นหอมออกมาจากพระวรกาย จนแม้แต่ท่านเองก็อดมิได้
ที่จะเกิดสิเหน่หาต่อพระองค์ใช่หรือไม่"
คราวนี้พราหมณ์วราหะ ยิ้มออกมาอย่างยินดี พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
"ใช่แล้ว....ท่านพลพีระ เพราะเหตุนี้ เราจึงทำพิธีพลีพระธิดาแด่องค์ศิวะเทพ องค์ศิวะเทพจึงประทานท่านมาทำพิธีเบิกพรหมจรรย์
ให้แก่พระธิดาอย่างไรเล่า"
พอพลได้ยินอย่างนั้นก็ลอบยิ้มแล้วคิดกระหยิ่มอยู่ภายในใจ
"หึๆๆๆ.....อยู่ดีๆ ก็จะได้เบิกพรหมจรรย์เจ้าหญิงซะแล้ว....บุญอะไรของกูวะเนี่ย ในโชคร้าย มันก็มีโชคดีอยู่เหมือนกัน"
แต่แล้วพลก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นดังที่เขาคิด จึงแกล้งพูดหลอกล่อให้พราหมณ์วราหะบอกกล่าวสิ่งที่อยากรู้ออกมา
พลทำทีเป็นยืดอก สีหน้าเคร่งขรึม แล้วพูดขึ้นว่า
"ท่านวราหะ ก่อนที่เราจะเริ่มพิธี เราต้องการทราบว่าท่านได้เตรียมการแห่งพิธีเบิกพรหมจรรย์ได้ถูกต้องหรือไม่
ขอท่านจงลำดับขั้นตอนแห่งพิธีให้เราฟังว่าตรงต่อความต้องการแห่งองค์ศิวเทพหรือไม่"
พราหมณ์วราหะเป็นพราหมณ์อาวุโสแห่งอาณาจักร และรู้พิธีการทั้งปวงเป็นอย่างดี พอได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มที่จะได้แสดง
ภูมิรู้แห่งตน
"ได้สิ ...ท่านพลพีระ สตรีทุกนางในนิกายไศวะ จะต้องผ่านพิธีเบิกพรหมจรรย์เมื่อย่างเข้าสู่วัยสาว เพื่อเป็นการถวาย
ความบริสุทธิ์แด่องค์ศิวะเทพ ซึ่งกระทำโดยพราหมณ์ผู้ทรงภูมิรู้ มิเช่นนั้นจะเกิดอัปมงคลแก่นางผู้นั้น พิธีเบิกพรหมจรรย์
กระทำโดยนำองค์ศิวลึงค์มาเข้าพิธีอัญเชิญอำนาจแห่งศิวเทพ แล้วนำไปสอดใส่ในโยนีของนางผู้นั้น โดยห้ามมิให้นางผู้นั้น
ออกมาจากห้องที่ทำพิธีเป็นเวลาหนึ่งคืน เฉกเช่นว่านางได้ถวายตัวต่อศิวะเจ้าแล้ว"
พอพลได้ยินดังนั้นก็รู้สึกผิดหวัง แล้วคิดอยู่ภายในใจ
"อ้าว...ไม่ได้ใช้กระเจี๊ยวจริงๆเหรอ....ไม่น่าเลย"
แล้วพลก็เอ่ยถามต่อพราหมณ์วราหะขึ้นอีก
"ท่านเองก็เป็นพราหมณ์อันทรงภูมิ เหตุใดท่านจึงไม่ทำพิธีให้แก่พระธิดาด้วยตนเองเล่า"
พราหมณ์วราหะ ก้มหน้าลงอย่างละอาย แล้วถอนใจก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
"ท่านพลพีระ ตะบะของข้ายังไม่แก่กล้าพอ ข้า...ข้ายังหวั่นไหวต่อศิริโฉมของพระนางอยู่"
แล้วพราหมณ์วราหะก็เชื้อเชิญให้พลเข้าไปยังปรัมพิธีที่หน้าปราสาท เพื่ออัญเชิญอำนาจแห่งศิวเทพ
ลงสู่องค์ศิวลึงค์
"ท่านพลพีระ แล้วองค์ศิวะลึงค์ของท่านอยู่ที่ใดเล่า เหตุใดจึงมินำออกมาเข้าพิธี"
พลจ้องหน้าพราหมณ์เฒ่านิ่ง แล้วหันไปยังเบื้องหลังเหลือบเห็นพระพักตร์ขององค์เหนือหัวที่กำลังจ้องมองมายังตน
ก็คิดหาทางออกอย่างเร่งรีบ
"ท่านวราหะ ท่านมิได้จัดเตรียมองค์ศิวลึงค์ไว้ให้ข้ารึ"
"ท่านเอ่ยออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร พราหมณ์ทุกคนต้องมีองค์ศิวลึงค์ประจำตัว ข้าจะไปจัดเตรียมให้ท่านได้อย่างไรเล่า"
พอพราหมณ์เฒ่าพูดเช่นนั้น พลก็ตกใจจนหน้าซีด คิดหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ในทันที
แต่แล้วพลก็นึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจึงล้วงมือลงไปในกระเป๋าสะพาย หยิบไวเบรเตอร์ของชาติออกมา
พอพราหมณ์เฒ่าเห็น ไวเบรเตอร์ที่พลล้วงออกมาก็ถึงกับตกใจในรูปทรงของมัน
"โอ้ววว....เหตุใดศิวลึงค์ของท่านจึงมีรูปทรงแปลกประหลาดถึงเพียงนี้"
ไม่เพียงแต่พราหมณ์วราหะเท่านั้น แม้แต่องค์เหนือหัว และข้าราชบริพารที่อยู่ในที่นั้น ก็พากันแตกตื่นใจส่งเสียงพึมพำ
ไปทั่วบริเวณ
พลคิดจะทำให้องค์เหนือหัว และผู้คนที่รายล้อมอยู่มีศรัทธาต่อตัวเขา จึงนั่งลงหน้าปรัมพิธี ใช้สองมือโอบกำไวเบรเตอร์ไว้
แล้วกล่าวต่อพราหมณ์วราหะว่า
"ข้าจะสวดสรรเสริญศิวะเจ้า อัญเชิญอำนาจแห่งพระองค์ให้มาสถิตย์อยู่ในศิวลึงค์ของข้านี้"
พลปิดตาลงทำท่วงท่าเคร่งขรึม คล้ายกับร่ายบทสวด เพียงครู่เขาก็ใช้นิ้วกดปุ่มให้ไวเบรเตอร์ให้ทำงาน
ไวเบรเตอร์สีมันวาว ขนาด 8 นิ้ว สั่นกระพือจนเกิดเสียง พร้อมกับส่ายหมุนไปรอบตัวอย่างเห็นได้ชัด สร้างความประหลาดใจ
ให้กับองค์เหนือหัวและข้าราชบริพารที่รายล้อมจนจ้องมองนิ่งค้างไปตามๆกัน ครั้นพอได้สติ พราหมณ์วราหะก็กล่าวเสียง
นมัสการพระศิวะจนดังก้องไปทั่วบริเวณ
"โอม...นมัสศิวะ.....โอม....นมัสศิวะ"
แล้วเหล่าข้าราขบริพารที่รายล้อมอยู่ ต่างก็เปล่งเสียงตามโดยพร้อมกัน
ขณะนี้ทุกคนในอาณาจักรแห่งนี้เชื่ออย่างจริงใจแล้วว่า พราหมณ์พลพีระเป็นตัวแทนที่องค์ศิวะเทพส่งมาโดยแท้
พลมองไปโดยรอบเห็นผู้คนจ้องมองเขาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพศรัทธา ก็ภูมิใจที่แผนของเขาเป็นผลสำเร็จ
"ท่านวราหะ เราพร้อมที่จะทำพิธีให้กับพระธิดาแล้ว"
พราหมณ์วราหะยกมือพนมให้ความเคารพต่อ พล แล้วเดินนำขึ้นไปเปิดประตูให้พลเข้าไปยังภายในตัวปราสาท
โดยที่ตนเองยืนรออยู่ที่หน้าประตูนั้น ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก กลิ่นหอมระรื่นอ่อนๆก็โชยมาต้องจมูกเขา
พลหลับตายืนรับสัมผัสจากกลิ่นนั้นอย่างดื่มด่ำ จนพราหมณ์วราหะพูดเตือนขึ้น
"ท่านพลพีระ ก่อนที่ท่านจะก้าวเข้าไป ข้าขอเตือนท่านว่า อย่าได้เผลอไผลไปกับกลิ่นแห่งพระวรกายของพระธิดาเป็นอันขาด
มิเช่นนั้น ท่านอาจกระทำการอันเป็นล่วงเกินจนพระธิดาทรงกริ้ว ท่านคงไม่พ้นพระราชอาญาเป็นแน่"
พลกลับมามีสติขึ้นทันที เขายืดตัวตรงแล้วก้าวเท้าเข้าไปยังส่วนใน กวาดตามองไปโดยรอบ จนเสียงบานประตูประกบกัน
ปิดสนิทที่ด้านหลังของเขา พลเดินเข้าไปสำรวจยังภายในอันเป็นพื้นที่โปร่งโล่ง ที่ประกอบไปด้วยเสาขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งรายรอบ
ไปด้วยลวดลายอันวิจิตร ยิ่งเดินลึกเข้าไป กลิ่นหอมระรื่นจนชวนให้ความเป็นชายของเขาตื่นตัวก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น จนเขาเดินผ่าน
ผนังกั้นล่วงเข้ามายังปราสาทส่วนใน
และที่นั้นนั่นเองที่เขาได้พบกับพระราชธิดาอันเป็นต้นกำเนิดแห่งกลิ่นที่หอมระรื่นชวนดอมดมนั้น พระองค์ทรงประทับนั่งอยู่บนตั่ง
สวมใส่อาภรณ์เครื่องทรงอันงามสง่า พระเกศาดำขลับถูกรวบตึงจนมองเห็นพระนลาฏกว้างนูน พระขนงโค้งงามรับกับดวงเนตรหวาน
ดูงดงามยิ่งนัก พลนิ่งตะลึงสบตากับเจ้าหญิงที่เขาฝันว่าจะได้ยลโฉมพระองค์จริงๆสักครั้งจนตาค้าง แล้วพร่ำเพ้ออยู่ภายในใจ
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
"โอ้ววว...นี่หรือ เจ้าหญิงสุคนธอัปสร ช่างงดงามอะไรเช่นนี้ โอวว...ข้าหลงรักพระองค์เข้าแล้ว"
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร ทอดพระเนตรมายังผู้ที่ลุกล้ำเข้ามายังที่รโหฐานแห่งองค์ แล้วพระโอษฐ์งามอวบอิ่มก็เผยอขึ้นเปล่งวาจาออกมา
"ท่านคือผู้ใดรึ...เหตุใดจึงล่วงล้ำเข้ามายังที่แห่งเรา"
สุรเสียงอ่อนหวาน ทำให้พลได้สติคืนกลับมา เขายกมือที่กำไวเบรเตอร์ขึ้นพนม ทำความเคารพต่อเจ้าหญิงฯ
"ข้าพระบาทคือ พราหมณ์พลพีระ ตัวแทนแห่งองค์ศิวะเทพ เข้ามาเพื่อทำพิธีต่อพระองค์ ตามพระบัญชาขององค์เหนือหัวพะย่ะค่ะ"
"พราหมณ์รึ เหตุใดจึงสวมใส่อาภรณ์ประหลาดเช่นนี้ เรามิเคยเห็นมาก่อน แล้วเหตุใดจึงมิเป็นท่านวราหะ "
"ท่านวราหะทำพิธีเชิญข้าพระบาทต่อองค์ศิวะเทพ ให้มาทำพิธีนี้ตามบัญชาแห่งองค์เหนือหัวพะย่ะค่ะ"
"อัอ...กระนั้นรึ...แล้วสิ่งที่อยู่ในมือของท่านคือสิ่งใด"
พล แบมือให้พระธิดามองเห็นมันชัดๆ แล้วเอ่ยขึ้น
"นี่คือศิวลึงค์ของข้าพระบาท พะย่ะค่ะ "
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร เพ่งมองดูสิ่งที่อยู่ในมือของพล ด้วยพระพักตร์ที่เป็นกังวล
"ศิวลึงค์อันใดของท่าน ใยจึงมีรูปร่างประหลาด และใหญ่โตเช่นนี้.........เอ่อ......เอ่ออ...แล้วมันจะทำให้เราเจ็บหรือไม่"
พลเห็นสีพระพักตร์ของเจ้าหญิงสุคนธอัปสร ก็อดยิ้มไม่ได้ แล้วพูดตอบโต้ด้วยความกระหยิ่มใจว่า
"ไม่เลยพระองค์ แต่มันจะทำให้พระองค์ถูกพระทัยเป็นที่ยิ่ง พระองค์พร้อมที่จะทำพิธีแล้วหรือยัง พะย่ะค่ะ"
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร ถอนพระทัยยาวทอดหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
"แล้วเราต้องทำอย่างไรบ้างเล่า ท่านพราหมณ์ เราไม่ต้องการทำพิธีนี้เลย แต่พระบิดาทรงบังคับเรา"
พลลอบยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วคิดใช้แผนเดิมให้พระธิดาเชื่อในตัวเขา
"ข้าพระบาท จะทำพิธีอัญเชิญอำนาจแห่งองค์ศิวะเทพเข้าสู่ศิวลึงค์นี้ ขอพระองค์ทรงเปลื้องพระภูษาได้เลย พะย่ะค่ะ"
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร นั่งนิ่งไม่ยอมเปลื้องพระภูษา พลจึงแกล้งหลับตาคล้ายกำลังทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เจ้าหญิง
บังเกิดเกิดความศรัทธาและเชื่อถือ แล้วก็ลอบใช้นิ้วกดปุ่มให้ไวเบรเตอร์ทำงาน เจ้าแท่งหฤหรรษ์ในมือของพลก็แกว่งไกว
วนไปมาคล้ายกับมันมีชีวิต จนเจ้าหญิงสุคนธอัปสรจ้องมองดูด้วยความตื่นตระหนก ความเคารพศรัทธาที่มีต่อองค์ศิวเทพทำให้เจ้าหญิง
ยกมือกระทำสักการะต่อไวเบรเตอร์ในมือของพลอย่างนอบน้อมทันที
แล้วพลก็ลืมตาขึ้น กล่าวต่อเจ้าหญิงฯด้วยท่าทีที่เคร่งขรึมว่า
"เหตุใดพระองค์จึงยังไม่เปลื้องพระภูษาอีก องค์ศิวะเทพเสด็จมายังตัวแทนแห่งพระองค์แล้วนะ พะย่ะค่ะ"
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร ทรงยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วจึงเริ่มคลายพระปั้นเหน่งออก ดวงเนตรงามของพระนางจ้องมองมาที่พล
แล้วหยุดมือลง
"ท่านเอาแต่จ้องมองเขม็งเช่นนี้ เราจะเปลื้องออกได้อย่างไรเล่า"
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
พลรู้สึกทั้งขัดใจทั้งขัดอารมณ์ กลิ่นหอมของเจ้าหญิงก่อกวนอารมณ์ของเขาจนแทบจะอยากจะเข้าไปถอดให้อยู่แล้ว
"เช่นนั้นพระองค์ทรงเอนพระวรกายแล้วหลับพระเนตรเถิดพะย่ะค่ะ ปล่อยให้ข้าพระองค์กระทำให้เองจะดีกว่า"
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร ทรงคิดตามที่พลเสนอ หากพระองค์ไม่รับรู้เสียแล้ว ปล่อยให้พิธีดำเนินไปจนเสร็จสิ้น ความกระดากอาย
ก็คงจะไม่มีต่อพระองค์ จึงทรงเอนพระวรกายลงบนแท่นแล้วหลับพระเนตรจนสนิท ห้อยพระบาททั้งสองลงมาจากแท่นบรรทม
พลแสดงออกทางสีหน้าอย่างเต็มที่ เมื่อเห็นเจ้าหญิงฯหลับพระเนตรลงแล้ว มือทั้งสองที่เอื้อมไปยังขอบพระภูษาแสดงอาการสั่นเทา
ด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาทั้งสองของพลจ้องมองไปยังจุดที่เขาหมายตาไว้จนเบิกโพลง
มุ่นพระภูษาถูกคลายคลี่ออกจนหลวม แล้วดึงลงมาจนกองไว้ที่ข้อพระบาท เผยให้เห็นเนินพระโยนีนูนเด่นขาวผุดผ่อง ประดับด้วย
เส้นพระโลมชาติดำขลับอ่อนละเอียดเรียงตัวอย่างงดงาม พลจ้องมองเนินพระโยนีอันงดงามแล้วทรุดร่างลงคุกเข่า มือข้างหนึ่งถือ
ไวเบรเตอร์แต่ดวงตากลับจ้องมองเรือนพระวรกายส่วนล่างที่เปลือยเปล่าอย่างไม่วางตา
เขาไม่อยากจะใช้ไวเบรเตอร์ไปรบกวนเรือนร่างอันงดงามของพระนางเลยแม้แต่น้อย แต่เขาต้องการที่จะซุกไซ้ใบหน้า
เข้าไปเชยชมดอมดมความหอมหวานให้สาแก่ใจของเขามากกว่า พลเหลือบตาขึ้นมองพักตร์ของเจ้าหญิงฯ เห็นยังทรงปิดดวงเนตรสนิทอยู่
เขาจึงยื่นใบหน้าเข้าไปจนเกือบสัมผัสเรือนร่างแห่งวรองค์ แล้วสูดดมกลิ่นอันหอมหวลที่กรุ่นออกมาตั้งแต่เรียวพระอูรุทั้งสองจนถึง
เนินพระโยนีอันโคกนูน ตามการเรียกร้องจากที่อัดอั้นอยู่ภายใน
"ท่านพราหมณ์ ท่านกระทำสิ่งใดอยู่ เหตุใดจึงมิเร่งลงมือกระทำพิธี"
เจ้าหญิงเปล่งพระสุรเสียงออกมาทั้งๆที่ยังหลับเนตรอยู่
พลได้ยินดังนั้นก็ตัดสินใจใช้มือแยกเรียวพระอูรุให้อ้ากว้างจนสองกลีบบุปผาแยกออกจากกัน เผยให้เห็นช่องพระโยนีสีชมพูระเรื่อ
แล้วยื่นส่วนหัวของไวเบรเตอร์จ่อลงไปทันที
"โอ๊ะ...ท่านพราหมณ์"
เจ้าหญิงสะดุ้งพระวรกายพร้อมกับยกหัตย์ขึ้นอย่างตกพระทัย พลเปิดไวเบรเตอร์ให้สั่นในระดับต่ำสุด แล้วเลื่อนส่วนหัวของมัน
ไล่ไปตามร่องหลืบ พร้อมกับค่อยๆดันเข้าไปทีละน้อย เจ้าหญิงขมวดพระขนงกัดพระทนต์นิ่ง พลเห็นเช่นนั้นก็เกรงว่าเจ้าหญิง
จะทรงเจ็บ จึงตัดสินใจเอ่ยออกมาว่า
"เพื่อมิให้พระองค์รู้สึกเจ็บ ขอทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ใช้มือสัมผัสด้วยเถิด พะย่ะค่ะ"
เจ้าหญิงทรงขยับพระพักตร์เป็นเชิงอนุญาต ทั้งที่ยังหลับเนตรอยู่ พลจึงยิ้มออกมาด้วยความสมใจแล้วยื่นมือเข้าไปสัมผัส
เนินนูนโยนีของเจ้าหญิงฯอย่างแผ่วเบา แล้วเกาะกุมเนินนูนของเจ้าหญิงฯไว้ในอุ้งมือของเขาพร้อมกับทาบทับนิ้วกลางกดลง
ไปในช่องแห่งพระโยนี
ทั้งกลิ่นแห่งพระวรกาย ทั้งรูปโฉมอันงดงามและรสสัมผัสอันนุ่มละมุนมือ ทำให้พลเกิดอารมณ์แห่งความต้องการจนแทบจะบ้าคลั่ง
ท่อนเอ็นของเขาแข็งตัวจนคับแน่นไปหมด จนต้องใช้มืออีกข้างปลดตะขอกางเกงให้คลายออก นิ้วมือของพลแหวกเส้นพระโลมชาติล่วงล้ำ
เข้าไปยังภายในร่องหลืบจนสัมผัสเข้ากับติ่งแห่งพระโยนีแล้วหมุนวนอย่างแผ่วเบา
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร เผยอโอษฐ์ออกเล็กน้อย แล้วเริ่มส่ายบั้นพระองค์ด้วยความรู้สึกวาบหวามพระทัยในรสสัมผัสของนิ้วมือพราหมณ์หนุ่ม
จนพระองค์เริ่มรู้สึกต้องการให้ มือของพราหมณ์ลงน้ำหนักมากขึ้นจนถึงกับยกบั้นพระองค์ลอยขึ้นอย่างลืมองค์
พลเห็นพระอาการของเจ้าหญิงฯ ก็ยิ่งคิดที่จะแกล้งให้พระนางมีความต้องการยิ่งขึ้นไปอีก จึงแหย่ไวเบรเตอร์จี้เข้าไปที่ติ่งแห่งพระโยนีนั้น
เจ้าหญิงฯถึงกับสะดุ้งพระวรกายอย่างแรง แล้วบิดองค์พร้อมกับส่งพระสุรเสียงร่ำร้อง ออกมา
"โอ๊ววว.............โอ๊วววววว......................โอ๊ววววววว....."
พลเร่งไวเบรเตอร์ให้สั่นอย่างสุดแรงแล้วจึ้วนลงไปยังร่องหลืบโยนีของพระนางอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้เจ้าหญิงสุคนธอัปสร
ทรงรู้สึกเสียวกระสันต์ที่ร่องพระโยนีเป็นอย่างยิ่ง บั้นพระองค์ลอยส่ายไม่ติดพื้น ส่งพระสุรเสียงร่ำร้องครวญครางไม่ขาดโอษฐ์
"อ๊ายยยย........อ๊ายยยยยยยย.........อ๊ายยยยยยย............"
ยิ่งพลเห็นพระนางส่ายร่อนบั้นพระองค์ พร้อมกับร่ำร้องพระสุรเสียงเช่นนั้น ความอดทนอดกลั้นของเขาก็สิ้นสุดลง
ความคิดวูบหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว เกิดเป็นคำพูดที่หลุดจากปากออกมาโดยไม่ยั้งคิด
"โอวว...พระนาง องค์ศิวะเทพจะเข้าสถิตย์ในร่างของข้าพระองค์แล้ว พระองค์มีพระประสงค์จะเบิกพรหมจรรย์ของพระนาง
ด้วยองค์เอง.....โอววว..."
ทันใดนั้นพลก็สะบัดไวเบรเตอร์ออกจากมือ ทำทีเป็นตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วยืนขึ้น เพ่งมองไปยังเจ้าหญิงฯที่ตอนนี้
ลืมพระเนตรขึ้นมาจ้องมองด้วยความตื่นตระหนก
"สุคนธอัปสร เราคือ ศิวะ เจ้ายังไม่สักการะเราอีกรึ"
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร มีพระชันษาเพียงสิบแปด ไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของพล ก็ยันร่างลุกขึ้นกระทำวันทาโดยทันที
พลเห็นเจ้าหญิงฯ เชื่อเขาอย่างสนิทใจ ก็เริ่มถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน แล้วเริ่มแผนการทันที
"สุคนธอัปสร เราจะเริ่มทำพิธีให้เจ้า อย่างแรกเจ้าจงรับเอาลึงค์แห่งเราเข้าไว้ในโอษฐ์ของเจ้า ณ บัดนี้"
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร เบิกพระเนตรกว้าง แล้วส่งสายพระเนตรไปยังลำเอ็นที่กำลังชี้แข็งออกมาอย่างยืดยาวของพล
"แต่....แต่...ลึงค์นั่นเป็นของพราหมณ์ผู้นี้มิใช่หรือเพคะ"
"เราเป็นเทพเจ้าแห่งสามโลก แม้สถิตย์อยู่ที่ใด ที่นั่นก็เป็นเรา เจ้าอย่าได้มีข้อเคลือบแคลงเลย"
แล้วพลก็ก้าวเท้าไปยืนอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ของเจ้าหญิงฯ ด้วยความต้องการที่อัดอั้นอย่างที่สุด
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร เหลือบสายพระเนตรมองไปยังใบหน้าของศิวะเทพจอมปลอม แล้วลดองค์จนพระพักตร์อยู่ในระดับเดียวกับ
แท่งเอ็นของพลอย่างฝืนพระทัย ก่อนที่จะเผยอโอษฐ์งามจดจ่อไปที่ปลายลำเอ็นของพล
พลไม่รอช้ารีบดันท่อนเอ็นของเขาสวนเข้าไปในโอษฐ์งามของเจ้าหญิงฯทันที
"โอ้วววว.........."
พลอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงครางออกมาอย่างสาแก่อารมณ์ เมื่อสัมผัสถึงช่องโอษฐ์อันนุ่มนวลอบอุ่น ที่โอบรัดรอบแท่งเอ็นของเขา
แล้วเผลอไผลใช้สองมือยึดจับเศียรแห่งพระนางเอาไว้ พร้อมกับดันท่อนเอ็นให้ผลุบเข้าผลุบออกที่โอษฐ์ของพระนาง
"ซี๊ดดดดดดดดดดด...........เสียวดีจริงๆเลยเว้ยปากของเจ้าหญิงเนี่ย.....อ้าาาา......"
เจ้าหญิงฯ ทรงพยายามอดทนด้วยเกรงว่าองค์ศิวะจะพิโรธ ปล่อยให้พลกระแทกแท่งเอ็นผลุบเข้าผลุบออกจากโอษฐ์งามของนาง
เอาตามอำเภอใจ แต่เนื่องจากพลอดกลั้นต่อความต้องการมาเป็นเวลานาน เพียงได้รับสัมผัสอันนุ่มนวลจากโอษฐ์ของพระนาง
เพียงไม่นาน จังหวะหนึ่งเขาก็ส่งแท่งเอ็นเข้าไปลึกเข้าไปจนเกือบถึงลำพระศอแล้วแช่ค้างนิ่งเอาไว้
"โอ๊ะ...โอ๊ะ.....แตกแล้ว......โอ้วววววววววว............"
น้ำรักขาวขุ่นแตกทะลักพุ่งออกมาจากปลายลำเอ็น ล่วงล้ำลงสู่ลำคอของพระนางจนทรงสำลัก พลได้สติรีบถอนลำเอ็นออกมาจาก
โอษฐ์งาม ทันใดนั้นน้ำรักสีขาวขุ่นก็ล้นทะลักติดตามออกมาจากโอษฐ์แห่งนาง
"สุคนธอัปสร จงกลืนกินน้ำแห่งลึงค์ของเราลงไป "
พลไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่ากล้าพูดออกไปได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้พูดออกมาแล้ว จึงมีแต่ต้องปั้นสีหน้าให้ดูสมจริง
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร จึงทรงปิดริมพระโอษฐ์มิให้น้ำรักของพลไหลกลับออกมา แล้วกลืนกินลงไปตามคำแห่งศิวะเทพจอมปลอม
จนพลเห็นแล้วก็อดที่ภาคภูมิใจเสียไม่ได้ แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่า เขายังไม่ได้ทำพิธีเปิดพรหมจรรย์จนเสร็จสิ้นก็น้ำแตกไปก่อนซะแล้ว
จึงคิดหาวิธีถ่วงเวลาให้ลำเอ็นของเขากลับมามีความพร้อมอีกครั้ง
"สุคนธอัปสร เจ้าจงนอนลง เราจะทำพิธีขั้นต่อไป"
พอพระนางเอนร่างลงตามคำสั่ง พลก็จับข้อพระบาททั้งสองแหกอ้าออกแล้วเอื้อมมือไปหยิบไวเบรเตอร์จ่อลงไปที่โยนีแห่งพระนางอีกครั้ง
เจ้าหญิงสุคนธอัปสร ก็ถึงกับแอ่นบั้นพระองค์ด้วยความซ่านเสียว พร้อมกับส่งพระสุรเสียงคร่ำครวญขึ้นอีกครั้ง
"อ๊ายยยย........อ๊ายยยยยยยย.........อ๊ายยยยยยย............"
ยิ่งผ่านไปนานขึ้น ร่องพระโยนีก็เริ่มชุ่มชื้นมากขึ้นเรื่อยๆ ดุจดังสุรเสียงครวญครางด้วยความกระสันต์ซ่านเสียวที่บังเกิดขึ้นแก่พระองค์
เป็นคราแรก ก็ดังขึ้นด้วยเช่นกัน
สุรเสียงที่ร่ำร้องคล้ายดั่งพระองค์กำลังเจ็บปวด แต่หางสุรเสียงกลับแหบพร่า ส่ายบั้นพระองค์ร่อนไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน
พลเห็นพระนางมีอาการเช่นนั้น ก็ยิ่งหมั่นเขี้ยวยิ่งจี้ไวเบรเตอร์เน้นเข้าไปที่ติ่งโยนีของพระนางหนักแน่นยิ่งขึ้น
"อ๊ายยย.....อ๊ายยยย.......พอก่อนเถิดท่านศิวะเทพ.....อ๊ายยยย....หม่อมฉันจะไม่ไหวแล้วเพคะ ...อูยยยย.....เสียวเหลิอเกินเพคะ
ฮูยยยย..........อ๊ายยยย..........อ๊ายยยย..........อ๊ายยยย.......พอ..พอ...หยุดก่อน.."
แต่แล้วบั้นพระองค์นั้นก็ยกสูงแล้วนิ่งค้าง ปลดปล่อยพระบังคนเบาพุ่งแตกกระจายออกเป็นฝอยด้วยความซ่านเสียว
"....โอ๊ะ....โอ๊ะ....โอ้ววววววววววว....."
พระนางเคลิบเคลิ้มกับความสุขอันเป็นสุดยอดที่พึ่งเคยพานพบ พระวรกายสั่นกระตุกอย่างมิอาจควบคุม
แล้วจึงแผ่พระวรกายลงราบอย่างเหนื่อยอ่อน พลไม่รอช้าอีกต่อไป แท่งเอ็นของเขากลับมาแข็งแล้วพยักหัวหงึกๆ
เหมือนกับจะบอกว่ามันพร้อมแล้ว
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน