ถึงจะไม่ได้ฉลาดอะไรมากมายนักแต่ผมก็ไม่ได้มีปัญหาด้านสติสัมปชัญญะความยับยั้งชั่งใจว่าสถานการณ์ใดควรหรือไม่ควรไว้วางใจ นับจากเหตุการณ์ในวันไหว้ครูคราวนั้นผมเลือกที่จะปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดผ่านไปดั่งสายลมเปลี่ยนฤดู ไม่โทรหาไม่ดูไอจีไม่สานต่อกรณีอะไรใดๆทั้งสิ้น ไม่อยากเจอะเจอเรื่องราวให้ต้องเสี่ยงกับประวัติเสีย ขอแค่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นครูที่ดีไปจนถึงวันเกษียณอายุปิดฉากอาชีพอย่างสวยงาม ชีวิตผมขอแค่นั้น
จิตใต้สำนึกของผมถูกเขียนข้อมูลซ้ำมาซ้ำไปคล้ายร่องลึกบนจานแผ่นเสียงไวนิลที่เล่นวนบทเพลงเดิมๆตลอดหกปีโดยที่ผมก็ไม่ทันรู้ตัวเอง ท่ามกลางนักเรียนเกือบสามพันคนแต่กลับมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมตั้งอกตั้งใจสแกนกรรมสอดส่ายสายตาค้นหา ตาหูจมูกปากทรงผมเสื้อผ้าถุงเท้ารองเท้าแม้กระทั่งเล็บมือ ผมมั่นใจว่ารู้จักตั้งแต่หัวจรดเท้าของลูกศิษย์สาวน้อยคนนี้มากกว่ากลุ่มเพื่อนสนิทของเธอด้วยซ้ำ
ศันสนีย์ทำเพื่ออะไรซักอย่าง เธอฝ่าฝืนกฏข้อบังคับของโรงเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเบื่อหน่ายหรือเข็ดหลาบกับบทลงโทษ เธอท้าทายความรับผิดชอบโดยตรงเพราะผมเป็นหัวหน้าผู้ดูแลรักษากฏ และพยามให้มันศักดิ์สิทธิ์เคร่งครัด
“เอ่อ อาจารย์ อาจารย์วิรัตน์ครับ”
“อ๋อ.. ครับ” เสียงของคู่สนทนาดึงผมออกจากวังวนของความคิด
“ตั้งแต่เป็นครูบาอาจารย์สอนลูกศิษย์ลูกหามาเนี่ย ผมยังไม่เคยคิดจะให้เด็กคนไหนเรียนไม่จบซักคนเลยนะครับ “ผอ.โรงเรียนประถมประจำอำเภอถอนหายใจ “กรณีของเด็กหญิงธิดารัตน์ลูกสาวอาจารย์นี่บอกตามตรงว่าผมลำบากใจมากจริงๆ”
“ครับ..”
“เด็กเรียนอ่อนมาก นี่จะจบป.หกมะรอมมะร่ออยู่แล้วแค่ซีเอทีแคทบีเอทีแบทยังท่องไม่ได้เลย” ผอ.โรงเรียนประถมเว้นจังหวะหายใจ “วิชาอื่นก็แย่ เรื่องความประพฤตินี่ไม่ต้องพูดถึง ถึงผมแกให้ผ่านไปได้แต่ความรู้แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปสอบแข่งขันเรียนต่อที่ไหน”
“ผมคงให้ลูกสาวไปเรียนต่อที่โรงเรียนน่ะครับ คราวนี้จะได้ดูแลใกล้ชิดใกล้หูใกล้ตาหน่อย” ผมบอกไปตามตรง
“แบบนี้แหละที่เค้าว่ากันว่า มีเส้นก็โชคดีไป” ผมเกลียดรอยยิ้มแสยะนั่นมาก “คอรัปชั่นนี่แทรกซึมอยู่ทุกระดับชั้นของสังคมไทยจริงๆ”
“ผอ.หมายความว่าไงครับ ใครมีเส้น ใครคอรัปชั่น”
“แหม สองสามปีมานี้โรงเรียนประจำอำเภอของเราผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาสูงติดระดับท็อปของประเทศแบบก้าวกระโดด ขนาดเด็กจังหวัดอื่นพ่อแม่ยังต้องส่งลูกหลานมาเรียน อย่างเด็กหญิงธิดารัตน์เนี่ยถ้าผู้ปกครองแกไม่ได้เป็นอาจารย์ล่ะก็โรงเรียนดีๆแบบนี้อย่าหวังเลยว่าจะได้เข้า อาจารย์วิรัตน์ลองวิเคราะห์ดูว่าผมพูดจริงมั้ย”
“จริงครับ แต่ผมไม่เข้าใจว่าผอ.จะพูดเรื่องนี้หาพระแสงอะไรทำไม ผมเป็นพ่อและก็เป็นครูที่นั่นเมื่ออายุถึงเกณฑ์ก็เอาลูกไปเรียนที่เดียวกันนี่มันผิดแปลกเหรอครับ”
“ใจเย็นๆอย่าเพิ่งโมโหสิครับอาจารย์ ผมยังไม่ได้บอกซักคำว่ามันเป็นเรื่องผิด ผมกำลังจะพูดว่ามันเป็นเรื่องธรรมด๊าา.. ธรรมดาต่างหาก เรื่องแบบนี้ใครๆเค้าก็ทำกัน” ผอ.ส่ายหน้า
“ลูกสาวของผมก็จบชั้นป.หกปีนี้เหมือนกันกับลูกสาวของอาจารย์ แต่แกเป็นเด็กเรียนดีมีความรับผิดชอบนะ ด้านกิจกรรมก็เยี่ยมผมส่งเรียนเปียโนในอำเภอเมืองสอบได้ทรินิตี้เกรดสองพวกประกาศนียบัตรเยอะแยะ”
“ก็ดีนี่ครับ..” ผมตั้งใจฟัง
“เอาเป็นว่า.. ผมจะยอมให้เด็กหญิงธิดารัตน์ลูกสาวของคุณจบการศึกษาชั้นประถมปีที่หกพร้อมเพื่อนๆในรุ่น แลกกับการการันตีว่าเด็กหญิงนลินลูกสาวของผมจะได้เข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งที่โรงเรียนประจำอำเภอ”
“แฟร์ๆ วินๆ อาจารย์ว่ามั้ย”
“จริงๆคุยตรงกับท่านผอ.สมเดชผมว่าน่าจะดีกว่านะครับ เพราะท่านเป็นคนตัดสินใจฝากผมไปผมก็ต้องไปเรียนกับท่านอีกทีอยู่ดี ซ้ำซ้อนโดยใช่เหตุ”
“อืม.. ดอกเตอร์สมเดช อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศนักวิชาการนักวิจารณ์การศึกษาชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นผู้อำนวยการหนุ่มไฟแรงที่ประกาศว่าจะเปลี่ยนโรงเรียนประจำอำเภอเล็กๆของเราให้ก้าวขึ้นสู่โรงเรียนระดับประเทศในเวลาเพียงสามปีน่ะเหรอ”
“ครับ”
“คนรุ่นใหม่หัวนำสมัยขนาดนั้นคงคุยกับผมไม่รู้เรื่องหรอก ผมฝากฝังเรื่องให้อาจารย์วิรัตน์รับผิดชอบนี่ล่ะดีแล้ว” ผอ.วัยใกล้เกษียณยังยืนยัน “เด็กหญิงนลินเป็นลูกสาวคนสุดท้องน่ะ รบกวนหน่อยนะอาจารย์”
“ผมก็แค่ห่วงไม่อยากให้ลูกสาวผิดหวัง สมัยนี้ถึงจะเรียนดีกิจกรรมเด่นแต่มันก็คงไม่หนักแน่นเท่ารู้จักคนวงใน อาจารย์ว่ามั้ย”
“..ครับ”
………………..
ผมจอดรถเสร็จก็รีบเดินเร็วลัดเลาะไปตามทางหลังอาคารผ่านบริเวณที่เคยพบกับศันสนีย์เมื่อวันไหว้ครูปีที่แล้ว นี่ถ้าไม่รีบร้อนรับคำผ่านทางโทรศัพท์สายตรงจากท่านผอ.สมเดชผมคงแวะจัดการเจ้าพวกแก๊งค์ม.หกที่มาแอบมั่วสุมสูบบุหรี่ แต่ก็ชั่งเถอะถึงพวกมันจะวิ่งกันป่าราบแต่ผมก็จำหน้าได้รู้ตัวทุกคน เดี๋ยวค่อยเรียกมาจัดการทีหลัง
“เชิญ..” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นหลังจากที่เลขาเคาะประตูกระจกสีขุ่นสามที นับเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมคนแรกที่มีเลขาส่วนตัวคล้ายองค์กรเอกชน อย่างน้อยก็ตั้งแต่ผมมีอาชีพเป็นครูมาสิบกว่าปีก็เพิ่งเคยพบเคยเจอนี่ล่ะ
“ผอ.โทรเรียกผม” ผมถาม
“ผมไม่ค่อยแฮปปี้นะเวลาที่นึกอะไรไม่ออกแล้วคุณไม่อยู่ให้ถาม เมื่อเช้าอาจารย์หายไปไหน” ดร.สมเดชเอนตัวกับพนักเก้าอี้หนังนุ่มตัวใหญ่
“ผมส่งใบลาแล้ว ลากิจครึ่งวัน”
“ส่งใบลา .. จะส่งใบลาทำไมอ่ะทำไมอาจารย์ไม่โทร ก็มีเบอร์ตรงผมอยู่แล้วนี่” ผอ.ดร.สมเดชทำหน้างง
“ผมแค่ลาช่วงเช้าไปธุระน่ะครับพอดีไม่มีสอนคาบเช้า ไม่คิดว่าจะสลักสำคัญอะไรขนาดต้องโทรไปเรียนให้ท่านผอ.ทราบ”
“สำคัญสิ สำคัญเพราะเวลาผมเกิดไอเดียบรรเจิดขึ้นมาเมื่อไหร่คุณต้องอยู่กับผมตลอด อย่างเนี่ย..มีเรื่องที่ผมต้องการคำตอบแต่อาจารย์ก็ไม่อยู่ให้ผมถามซะนี่”
“ถ้างั้นก็ถามทางโทรศัพท์สิครับ ทีให้เลขาโทรไปตามให้ผมรีบมายังโทรได้อยากรู้อะไรทำไมไม่ถามไปเลยล่ะ”
“อาจารย์ไม่เก็ตเดอะพ้อยท์ ก็ถ้าอาจารย์โทรมาลาผมตั้งแต่แรกผมอยากรู้อะไรก็จะได้ถามเลยไงนี่เล่นหายไปเลยแบบนี้มันไม่ถูก จบป่ะ” ดร.สมเดชมองลอดแว่น
“แต่ผมส่งใบลาล่วงหน้าตามระเบียบแล้วนะครับ ดอกเตอร์อาจไม่ได้สนใจดูเอง” ผมยังไม่อยากจบกับไอ้ตี๋หน้าอ่อนนี่ง่ายๆนัก
“ไอ้ใบลาเนี่ยผมขอทีเหอะให้เป็นเรื่องของโลกเก่าได้ป่ะ นี่โลกใหม่สี่จุดศูนย์แล้วอาจารย์ปรับตัวหน่อยสิ ผมกำลังทุ่มเทพยามปรับปรุงเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาอยู่นะไอ้พวกขนบธรรมเนียมรกรุงรังเอกสารเป็นตั้งๆประเภทใบลาป่วยลากิจเนี่ยพอเถอะ ผมว่าเปลืองกระดาษว่ะ โทรเลย พิมพ์ทิ้งไว้แอพพลิเคชันไลน์กลุ่มของโรงเรียนก็ยังดีเลขาผมจะได้รู้”
“แล้วตกลงว่าเรื่องด่วนที่เรียกให้ผมรีบกลับมาคืออะไรครับ” ผมสะกดน้ำเสียงให้ราบเรียบปราศจากอารมณ์
“ไม่รีบแล้ว ผมตัดสินใจไปแล้ว”
“ตัดสินใจอะไรครับ” ผมสงสัย
“ก็บอกว่าไม่รีบแล้วไง ทำไม!! คุณรีบเหรอ” น้ำเสียงของไอ้ตี๋แว่นที่นั่งเล่นโน้ตบุ้คไปด้วยยียวนกวนประสาท
“งั้น.. ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ มีสอนคาบบ่าย”
“ผมให้เลขาเช็คดูแล้ว วิชาหน้าที่และคุณธรรม ม.ห้าห้องเจ็ดใช่มั้ย”
“ครับ ขอตัวนะ” ผมตัดบท
“เดี๋ยว!! อย่าเพิ่งไปสิครับเรายังคุยกันไม่จบเลย” ผอ.สมเดชคว้าข้อมือ
“แต่ผมมีสอน”
“วิชาหน้าที่และคุณธรรม ผมให้อาจารย์คนใหม่ไปทดลองสอนแล้ว อาจารย์วิรัตน์ไม่ต้องห่วงครับ”
“แต่นั่นมันคลาสของผม!! นักเรียนผม!!” ผมขึ้นเสียง จริงๆอยากกระโดดข้ามโต้ะไปต่อยแม่งด้วยซ้ำ
“ผมก็แค่ให้เค้าลองสอนดูไม่ได้ตั้งใจจะให้สอนแทนอาจารย์วิรัตน์เลยซะเมื่อไหร่ล่ะ” ผอ.สมเดชยิ้มมุมปาก
“ถ้าจะฝึกสอนก็ไปฝึกวิชาอื่นสิครับนักเรียนของผมไม่ใช่หนูทดลองนะ และนี่ก็ใกล้วันสอบสอนแทบจะไม่ทันอยู่แล้ว” ผมอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ซ่อนข่มอารมณ์
“ชาร้อนมั้ยครับอาจารย์ หรือกาแฟ เดี๋ยวให้จอยเอามาให้” ดร.สมเดชยิ้มเชิญชวน
“ไม่ดีกว่าครับผมมีชั่วโมงสอน จะรีบไป” ผมตั้งท่าจะลุก
“ม.ห้าห้องเจ็ด ห้องนี้เด็กเหี้ยทั้งห้อง เพียงแค่คลาสแรกก็เจองานหินซะแล้ว” ผอ.สมเดชส่ายหน้าหัวเราะในลำคอ
“ไม่ว่าคุณส่งใครไปผมขอแนะนำว่าอย่าเลยดีกว่า เอาไว้คลาสพวกห้องหนึ่งห้องสองค่อยทดลองสอน หรือจะให้เป็นครูผู้ช่วยผมไปก่อนก็ได้” ผมเสนอ
“จริงนะ!! ตกลงอาจารย์วิรัตน์รับปากกับผมแล้วนะว่าจะให้เมษาเป็นครูผู้ช่วย โอเคนะ” ดร.สมเดชเลิกคิ้วประหลาดใจ
“เมษา .. เป็นครูผู้หญิงเหรอ” ผมถาม
“ใช่ ผู้หญิง”
“โห.. ถ้างั้นผมว่ารีบๆโทรไปหยุดเพื่อนคุณเอาไว้ก่อนดีกว่า ห้องเจ็ดนี่มันไม่ใช่เลย!!” ผมเสนอ
“เมษากำลังทำปริญญาเอกที่พริ้นซตัน เธอจะมาอยู่กับพวกเราหนึ่งปีเพื่อทำปริญญานิพนธ์เรื่องจิตวิทยาเด็กวัยรุ่นที่มีต่อสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ค ผมว่าแค่สอนวิชาหน้าที่และคุณธรรมคลาสเด็กมัธยมคงไม่เกินความสามารถของเธอหรอกมั้ง” ดร.สมเดชเอนหลังกับพนักเก้าอี้หนังตัวใหญ่ “หรืออาจารย์วิรัตน์จะลองเดินไปแอบดูสไตล์การสอนของว่าที่อาจารย์ผู้ช่วยก็ได้นะ แต่อย่าไปกดดันเธอล่ะ”
“จะระดับโลกอัจฉริยะเด่นดังเก่งกาจมาจากไหนผมว่าก็ไม่ควรจะเริ่มสอนครั้งแรกที่ม.ห้าห้องเจ็ด” ผมยังยืนยัน
“เด็กห้องเจ็ด .. ผมรู้จักเด็กนักเรียนของผมดีน่าอาจารย์ พนันกันมั้ยผมว่าเมษาเอาอยู่”
“เอ่อ.. ไหนๆก็มาแล้วผมอยากรบกวนถามผอ.เรื่องนึงครับ” ผมกลั้นใจพูด
“ต้องแบบนี้สิอาจารย์ แบบนี้ล่ะใช่ คนกันเองมีอะไรพูดเลยถามเลยไม่ต้องมีแบบฟอร์มระบ่งระเบียบอะไรชักช้า ถามได้เลยครับ” ดร.หนุ่มตั้งใจฟัง
“เอ่อ.. ลูกสาวผมจบป.หกเทอมนี้ ผมอยากจะเอาลูกมาเรียนต่อที่โรงเรียนเรา”
“โอเค ได้เลย ไม่มีปัญหา อาจารย์วิรัตน์ไปบอกจอยเลขาผมให้คุยกับสมาคมผู้ปกครองได้เลย” ดร.สมเดชตอบทันควัน
“คือ.. ถ้าผมสละสิทธิลูกสาวให้เด็กคนอื่นได้มั้ยครับ” ผมถาม
“อ้าว ทำไมจะไปยกสิทธิ์ให้คนอื่นซะล่ะ สงสัยลูกสาวไม่อยากมาเรียนกับพ่อละมั้ง”
“เปล่าครับ คือ..” ผมไม่รู้จะพูดต่อยังไง
“เชื่อผม!! อย่าไปยกสิทธิ์ให้คนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้า อาจารย์รู้มั้ยว่าข้างนอกเค้าคุยกันว่าไง สามแสน!! ผมว่าเก็บสิทธิ์ไว้ให้ลูกเราเรียนดีกว่า แหม ที่เรามันก็ไม่ใช่มันจะเรียนยากเย็นอะไรนักหนาขนาดนั้น”
“เอ่อ .. แล้วถ้าผมขอพาเด็กเข้าสองคนล่ะครับ” ผมกลั้นใจถาม
“คือ.. ยังไงเด็กบุคคลที่สามอาจารย์วิรัตน์ก็จะต้องฝากเข้าให้ได้ใช่ป่ะ” ดร.สมเดชเบะปากมองบน
“ครับ..”
“วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าๆ เอาเป็นว่าอาจารย์ขายสิทธิ์ของลูกสาวได้ผมอนุญาต จะกระซิบเบาๆนะ..ยังไงอย่าให้ได้ต่ำกว่าสามแสนนะอาจารย์”
“สามแสนอะไร!! เรื่องเด็กเข้าเรียนแค่นี้ทำไมดอกเตอร์ต้องดูถูกผมด้วยครับ” ผมชักไม่อยากจะทนแล้ว
“ผมเดาว่าอาจารย์วิรัตน์น่าจะอายุมากกว่าผมน่าจะราวๆสิบปีเห็นจะได้ จริงๆก็ไม่ใช่เดาหรอกผมเช็คในใบทะเบียนประวัติอาจารย์ทุกคนแล้ว” ดร.สมเดชมองลอดแว่น “ผมสนใจประวัติของลูกน้องทุกคน”
“ทำไม!! มึงจะบีบให้กูลาออกหรือขอย้ายเหมือนคนอื่นๆหรือไง!! ไม่ง่ายหรอกไอ้สัสกูสอนอยู่ที่นี่มานานกว่ามึงหลายปี!!” ผมพร่างพรูความรู้สึกในใจตลอดมาที่รับใช้ไอ้ตี๋แว่นจอมยะโสนี่มาสามปี
“แหม่.. ตบะแตกง่ายดีจังนะครับอาจารย์ นี่ผมกำลังจะชมอยู่เลยนะว่าคนอายุห้าสิบกว่าแต่ยังเสือกอดทนพินอบพิเทาเลียแข้งเลียขาเด็กรุ่นน้องอยู่ได้ ความอดทนแม่งเป็นเลิศจริงๆ”
“ไอ้สัส!!” ผมเผลอลุกขึ้นสาวหมัดออกไปแต่ดร.ผู้อำนวยการหนุ่มฉากท่อนบนหลบทัน
“กูว่าไอ้วิชาหน้าที่และคุณธรรมมึงอย่าสอนดีกว่าว่ะ!!ไม่เห็นจะควบคุมอารมณ์ส้นตีนอะไรได้เลย!! ครูเหี้ยๆโง่ๆอย่างมึงสอนเด็กโรงเรียนกูได้เหรอวะ!!” ดร.สมเดชสบถตอบ “อย่างมึงเป็นแค่ยามเฝ้าประตูก็พอแล้วว่ะ!!”
“ไอ่เหี้ย!! ยามพ่อมึงสิ” ผมคิดคำด่าไม่ทันรู้ว่าทะเลาะกันไปก็รังแต่จะแพ้คนการศึกษาสูงอย่างมัน
“มีอะไรกันรึเปล่าคะ.. เอะอะเชียว” เลขาจอยถือวิสาสะเปิดประตูโผล่หน้ามาถาม
“ไม่มีอะไรค่ะ ผมกำลังซ้อมบทละครเวทีปีนี้กับอาจารย์วิรัตน์ เสียงดังไปถึงข้างนอกเลยเหรอ” ดร.สมเดชยิ้ม “ถ้าอาจารย์แสดงเข้าถึงบทบาทแบบนี้รับรองว่าละครโรงเรียนเราปีนี้เด็กๆต้องกรี๊ดอาจารย์ถล่มทลายแน่ๆ”
“ควยเหอะ!!” ผมลุกขึ้นยืนเดินออกไปนอกห้องสบตากับยัยจอยเลขาสาว “ควยมึงด้วย อีแรด!!”
“หืม.. ควยอะไรกันคะบอส” เลขาสาวยิ้มหัวเราะเบาๆ
“ผมว่าจอยปิดประตูแล้วเดินเข้ามานั่งนี่ให้กอดก่อนทีนึงดีกว่า แล้วเดี๋ยวผมจะบอกให้ว่าควยอะไร” ดร.สมเดชยิ้มละมุนเลื่อนถอยเก้าอี้รับเลขาสาว "หรือจะเปิดประตูไว้ก็ได้นะ"
"ตอนนี้เลยเหรอคะบอส"
"ทำไมล่ะ อย่าลืมคอนเสพท์ของเราสิคะ ทุกที่ทุกเวลา" ดร.หนุ่มยักคิ้วข้างเดียว
………………..
เสียงกดล็อกลูกบิดประตูดังคลิ๊ก ผมหลับตานั่งลงบนชักโครกอย่างอ่อนใจไม่รู้ว่าหนึ่งหมัดที่จั่วลมไปนั้นจะส่งผลต่ออนาคตของผมกับโรงเรียนนี้เพียงใด ดีที่ต่อยไม่โดนจังๆไม่งั้นป่านนี้ผมคงต้องไปนั่งแกร่วสำนึกผิดอยู่บนโรงพักแล้ว ใบหน้าและน้ำเสียงของไอ้ตี๋แว่นยังคงวนเวียนอยู่ในโสตประสาท มันดูถูกหาว่าผมประจบสอพลอเดินตามก้นมันต้อยๆ
ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดึงก้อนขยุ้มผ้าเนื้อเนียนนุ่มออกมาโปะจมูกตัวเองอย่างไม่นึกรังเกียจทั้งที่ยังไม่เคยซักเลยสักครั้งตั้งแต่ศันสนีย์ให้มานัยว่าเป็นสาส์นท้ารบ สูดดมกลิ่นจางๆที่คุ้นเคยชัดเจนในโสตประสาทรับกลิ่น ผมแทบจะพกมันไว้กึ่งเครื่องรางของขลังยามใดก็ตามที่อยากปลดปล่อยจิตใจให้ล่องลอยหลุดพ้นจากโลกมนุษย์บูดๆเบี้ยวๆใบนี้ ผ่านสัมผัสเนื้อผ้านุ่มเนียนมือ
หวนนึกถึงตอนที่ศันสนีย์เลิกชายกระโปรงนักศึกษาที่สั้นมากอยู่แล้วให้สูงขึ้นไปอีก สูงจนภาพอะไรต่อมิอะไรของอดีตลูกศิษย์สาวปรากฏอยู่ตรงหน้า เธอกำลังยืนยันว่ากางเกงในที่ใส่ให้ในมือผมพร้อมดอกกุหลาบขาวคือของจริง