••• สองวันก่อน •••
หลังจากที่เหล่าภูติในบ้านซึ่งนำด้วย อินุงามิ อีกทั้งขบวนทัพร้อยอสูรที่นำโดยนูระริเฮียง ได้ไปตามเก็บกวาดพวกที่เหลือเพื่อเตรียมส่งตำรวจนั้น พวกยามิก็ถูกไต่สวนทันที โดย 1 ในคำสารภาพนั้นทำให้คิราระถึงกับช็อค
[ ยามิ ] : ตอนแรก พวกข้าเพียงต้องการที่จะเข้าไปเพื่อหาหลักฐานเอาผิดผู้หนุนหลังกลุ่มอาคะโทระ และ ทำให้เกิดเหตุวุ่นวาย จนเป็นข่าวขอรับ
[ อินุงามิ ] : เพื่ออะไร เจ้าจงอธิบายมาให้ชัดเจน ซึบาสะมารุ
[ ยามิ ] : เพื่อที่สื่อหลายๆสำนักจะได้ติดตามเรื่องของกลุ่มอาคะโทระขอรับ พวกข้าหวังว่าจะใช้สื่อต่างๆเป็นกระบอกเสียงให้เรื่องนี้เป็นที่สนใจ แต่พอเข้าไปจริงๆ พวกข้าจึงได้รู้ว่าพวกมันทำการค้ามนุษย์ด้วย
[ คิวบิ ] : สารเลว จิตใจหยาบช้า เกินมนุษย์ไปแล้ว
[ โคฮาคุ ] : ข้ากับนายน้อยได้เข้าไปยังชั้นใต้ดินที่คฤหาสน์ของพวกมัน และพบว่ามีหญิงสาวเกือบ 20 คนถูกพวกมันจับมาขอรับ มีคนหนึ่งอาการป่วยกำเริบและเกือบหัวใจวายตาย โชคดีที่นายน้อยช่วยนางไว้ได้ และคิดจะพาพวกนางไปที่หมู่บ้านสายหมอกขอรับ แต่... แต่...
[ คาราสึ เทนงู ] : แต่อะไร โคฮาคุ จงพูดมาให้หมด
[ โคฮาคุ ] : แต่ระหว่างที่กำลังวางแผนเคลื่อนย้ายผู้เคราะห์ร้ายและเตรียมถอนกำลังออกมา ข้ากับนายน้อยก็ได้รับการติดต่อมาจากท่านพี่ซึบาสะมารุขอรับท่านพ่อ ว่า.. ว่า.. ว่าคิราระเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกมัน มันคิดจะจับตัวคิราระเพื่อเอาไปขายให้ผู้มีอิทธิพลขอรับ
[ คาราสึ เทนงู ] : บัดซบ ไอ้พวกมนุษย์สวะ มันบังอาจทำเรื่องชั่วช้าขนาดนี้ได้ยังไง มิหนำซ้ำยังกล้าหมายตาลูกสาวข้าด้วยงั้นเรอะ
[ ภูติหิมะ ] : แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ โคฮาคุ
[ โคฮาคุ ] : พอนายน้อยทราบเรื่องที่คิราระตกเป็นเป้าหมาย ท่านก็โมโหมากขอรับ ท่านสั่งให้ข้าพาผู้เคราะห์ร้ายหลบหนี ส่วนตัวเขาจะทำลายล้างวงจรอุบาศให้พังพินาศ
•••••
นั่นคือเหตุการณ์บางส่วนจากการไต่สวนเหล่าจตุรภูติเมื่อสองวันก่อน เมื่อได้ฟังดังนั้นคิราระจึงรู้ได้ทันทีว่าที่ริวกะบาดเจ็บเพียงนี้ เป็นเพราะเขาทำเพื่อเธอ คิราระวิ่งออกมานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวไม่ยอมหยุด ริวกะต้องตาบอดเพราะเธอแท้ๆ ส่วนด้านในนั้นริวกะพยายามป่ายมือไปมาราวกับหาอะไรบางอย่าง มิไรเห็นดังนั้นจึงรีบจับไว้ทันที
[ ริวกะ ] : ขอโทษครับพี่มิไร ผมแค่หิวน้ำ
[ มิไร ] : นายริว หิวทำไมไม่บอกล่ะ พี่หยิบให้
[ ริวกะ ] : ไม่เป็นไรครับพี่ อุ้ !!
อยู่ดีๆ มิไรก็พุ่งตัวจูบริวกะทันที จนริวกะเหวอตกใจไปหมด มิไรอยากทำแบบนี้มานานแล้ว แต่ก็ได้แต่ข่มใจทุกที เธอดีใจที่คิราระมาใกล้ชิดมาช่วยดูแลริวกะ แต่ลึกๆเธอก็แอบน้อยใจเหมือนกัน ที่ไม่ได้แสดงความรักแบบนี้บ้างเลย
[ ริวกะ ] : เหวอออออ พี่มิไรเดี๋ยวคนก็มาเห็นหรอก
[ มิไร ] : ช่างสิ่ ก็แค่บอกว่า จูบกันฉันท์พี่น้อง
[ ริวกะ ] : แต่พี่น้องเขาไม่ดูดลิ้นกันแบบนี้นะครับ
[ มิไร ] : นายริวใจร้ายมากนะ ฮึ๊ ต่อจากนี้พี่จะดูแลนายริวเอง พี่จะเป็นดวงตาให้นายเอง
[ ริวกะ ] : ไม่เป็นอะไรหรอก พี่อย่าตัดโอกาสตัวเอง ที่จะได้เจอคนดีๆสิ่ครับ
[ มิไร ] : ก็นี่ไงคนดีๆ อยู่ตรงหน้าพี่แล้ว พี่กับคิราระจะดูแลนายไปชั่วชีวิต พี่จะช่วยนายตามหารุ้งพลอย
[ ริวกะ ] : สัญญาแล้วนะครับ ผมคงมีความสุขมากๆเลยล่ะ ถ้ามีพี่และพลอยอยู่ข้างๆ
[ มิไร ] : อื้อ พี่สัญญาพี่จะรักนายคนเดียว พี่จะอยู่ข้างๆนาย
[ ริวกะ ] : อีกราวๆ 24 ช.ม. ผมก็มองเห็นแล้วครับพี่ ไม่เป็นอะไรหรอก ที่ตอนนี้มองไม่เห็นคงเพราะผลข้างเคียงจากเพลิงสุริยะ แหละครับ
มิไรฟังก็สะดุ้งโหยงเลย เธอทั้งตกใจทั้งดีใจที่ชายคนที่ตนรัก จะสามารถมองเห็นได้อีกครั้ง
[ มิไร ] : จิ จิ จริงเหรอนายริว นายจะมองเห็นพี่อีกครั้งเหรอ
[ ริวกะ ] : ครับ หยุดร้องเถอะพี่มิไร เดี๋ยวเครื่องสำอางเลอะหมด
[ มิไร ] : ฮึกก นายริวบ้า พี่ไม่ได้แต่งหน้ามานะ ฮึกกก
[ ริวกะ ] : โห !!! เสียดายอยากเห็นหน้าพี่มิไรตอนไม่แต่งหน้าจัง ผมชอบแบบนี้มากกว่านะ ผมชอบตอนพี่มิไรหน้าสดครับ พี่มิไรสวยมากเลย
[ มิไร ] : ชอบแบบสดๆเหรอ มิน่าล่ะวันนั้นไม่ยั้งเลย พี่อืมมม พี่เสร็จเป็นสิบแน่ะ
[ ริวกะ ] : ผมหมายถึงหน้าสด ไม่ใช่สดแบบนั้น อ่ะเฮื้ออ อย่าพูดถึงตอนนั้นสิ่ค๊าบบบบ
มิไรหัวเราะลั่นเลย ใช่ เธอหมายถึงคืนที่เธอกับริวกะ ร่วมรักกันอย่างถึงพริกถึงขิง ถึงตอนนั้นริวกะจะอายุแค่ 14 แต่ก็ทำให้สาวสวยแบบเธอเสร็จแล้วเสร็จอีกยันเช้าเลยทีเดียว แต่นั่นก็เมื่อปีครึ่งก่อน เพราะนับจากคืนนั้นเธอกับริวกะก็ไม่ได้มีโอกาส ที่จะรีแมตช์กันอีกเลย เพราะริวกะนั้น ไม่กล้า อีกทั้งมิไรก็ยังวางตัวราวกับจะบอกเขาว่าห้ามทำอีกนะ
[ มิไร ] : ว๊ายๆ เขินหน้าแดงเลย
[ ริวกะ ] : พี่มิไรอย่าแซวผมสิ่ครับ เอ้อ พี่มิไรผมวานหน่อยได้มั้ยครับ คือผมอยากกินชาเขียวมากเลย พี่มิไรไปซื้อให้ผมหน่อยได้มั้ย
[ มิไร ] : ได้สิ่ งั้นรอแแปปนะ ม๊วฟ
[ ริวกะ ]. : เหวอออ
มิไรก้มจูบริวกะอีกครั้งจนเขาถึงกับเหวอ ส่วนมิไรนั้นก็หัวเราะชอบใจที่แกล้งนายริวกะได้สำเร็จ เธอเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดีด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ต่างกับคิราระที่นั่งเสียใจร้องไห้ฟูมฟาย แต่ทันทีที่เธอเห็นมิไรเดินออกมา เธอก็รู้ทันทีว่าริวกะอยู่คนเดียว เธอทำใจอยู่นานกว่าจะเดินเข้าไปในห้องได้
เพล้ง !!! แค่แวปแรกที่เปิดประตูเข้าไปเธอก็เห็นภาพที่บาดหัวใจสุดๆ ริวกะล้มกลิ้งลงกับพื้น พร้อมกับเหยือกน้ำที่แตกกระจาย เธอพุ่งหาริวกะทันทีเพื่อจะช่วยเหลือเขา
[ ริวกะ ] : ขอโทษนะครับ คุณพยาบาล พอดีผมจะกินน้ำ แถมปวดฉี่กระทันอีก แฮ่ๆๆ
คิราระได้แต่ กลั้น กลั้นน้ำตาเอาไว้ เธอค่อยๆพยุงริวกะลุกขึ้น จนยืนได้เหมือนเดิม
[ ริวกะ ] : เอ่อ คุณพยาบาล ผมรบกวนพยุงผมไปหน้าห้องน้ำหน่อยได้มั้ยครับ
ตึ้กๆ ๆ คิราระพยุงริวกะไปเข้าห้องน้ำตามที่เขาขอ แต่เดินได้นิดเดียวเขาก็ทรุดอีกครั้ง
[ คิราระ ] : ว๊ายย ริวกะ เป็นไงมั่ง
คิราระเผลอตัวร้องออกเสียงจนได้ ทำให้ริวกะรู้เลยว่าคนที่พยุงเขาไม่ใช่คุณพยาบาล จะทำยังไงดีล่ะ ตลอด 2 ปีมานี้ยามที่เขาพักจากการฝึก เขาก็จะคิดถึงพลอย คิดถึงคิราระตลอด เขาตั้งใจว่าจะพูดคุยกับเธอดีๆ แต่พอมาเจอสถานการณ์ตรงๆแบบนี้ เขาก็ไปไม่เป็นเลยทีเดียว
[ ริวกะ ] : เอ่อ.. เออ ไงโนโซมิ ไม่ได้เจอกันตั้งสองปี เอ้ย ไม่ได้เจอกัน 5 วัน สบายดีมั้ย
คิราระนั้นถึงกับน้ำตาคลอจะร้องไห้ เพราะตอนนี้ตัวริวกะเกร็งไปหมด เหมือนกับว่าไม่ชินกับเธอ ขาก็สั่นมือก็สั่นราวกับไร้เรี่ยวแรงเลยก็ว่าได้
[ ริวกะ ] : เอ่อ ชั้นขอโทษนะ
ริวกะเอ่ยคำขอโทษคิราระก่อนที่จะพยายามป่ายมือไปมาเพื่อหาทางลุกขึ้น เขาค่อยๆลุกขึ้นเช่นเดิมและจะไปเข้าห้องน้ำคิราระเองก็พยายามจะพยุงช่วย แต่ริวกะก็ดูเกร็งๆไปหมด
[ ริวกะ ] : ถึงประตูห้องน้ำแล้ว เดี๋ยวชั้นเข้าไปเอง เธอรอตรงนี้ก็ได้
[ คิราระ ] : ไม่ ชั้นจะเข้าไปด้วย
[ ริวกะ ] : ไม่เอา ชั้นอาย รอตรงนี้แหละ
แต่มีเหรอที่คิราระจะยอมฟังแค่โดยดี เธอนั้นไม่ยอมง่ายๆ หลังจากยื้อยุดกันไปๆมาๆ ริวกะก็ต้องยอมแพ้ ถึงจะชนะแต่คิราระก็ไม่ได้รู้สึกยินดีเลย เพราะสิ่งที่เธอเห็นคือริวกะหาแววตาเหม่อลอย เธอเจ็บปวดเหลือเกินจนไม่ได้มีอารมณ์วาบหวามอะไรเลยด้วยซ้ำถึงแม้บ้องข้าวหลามจะอยู่ตรงหน้าก็ตาม หลังจากออกมาจากห้องน้ำคิราระก็พาริวกะมายังเตียงของเขา เธอยังไม่รู้ว่าตาของเขาจะกลับมามองได้ภายใน 24 ช.ม. ถึงจะเข้มแข็งยังไงเธอก็ยังเด็ก มันจึงไม่แปลกที่เธอจะร้องไห้เสียใจ ถึงจะแอบสะอึกแต่ริวกะก็รับรู้ได้
[ ริวกะ ] : เธอกลับบ้านเถอะ โนโซมิ นี่ก็เย็นมากแล้ว
[ คิราระ ] : ฮึกกก ริวกะรู้ได้ไง ก็.....
[ ริวกะ ] : อ๋อ อุณหภูมิมันลดลงน่ะ ถึงจะมืดไปหมด แต่ก็รู้สึกได้อยู่
ยิ่งได้ฟังคิราระก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ไหว เธอร้องไห้จนเสียงดัง ริวกะก็ตกใจนึกว่าไปพูดอะไรผิดใจเธอ
[ ริวกะ ] : เอ้ย !!! ชั้นขอโทษ ชั้นทำอะไรให้ไม่พอใจรึเปล่า หรือมีนัดที่ต้องไป ถ้า.... ถ้ามีนัดเธอไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่มิไรก็มาแล้ว ชั้นอยู่ได้ ฮี่ๆๆ
ริวกะยิ้มให้คิราระ กะว่าจะให้เธออารมณ์ดี แต่พี่แกดันไปยิ้มคนละฝั่งกับที่คิราระนั่ง นั่นจึงทำให้คิราระเศร้ากว่าเดิมอีก
[ คิราระ ] : ชั้นไม่มีนัด ชั้นจะไปนัดกับใคร คนที่ชั้นรักมองไม่เห็นอยู่แบบนี้จะให้ชั้นไปที่ไหน ฮืออ ริวกะคนใจร้าย ไม่ฟังชั้นอธิบายก่อนเลย ไอ้นั่นมันเอาดอกไม้มาให้ ชั้นไม่ได้ตั้งใจรับนี่นา ฮึ้กกก ชั้นต้องโดนมันจูบมือ แล้วยังมาโดนริวกะเข้าใจผิดอีก ฮืออ ฮึ๊กก ริวกะคนใจร้าย ฮือออ
คิราระร้องไห้พรั่งพรูความรู้สึกนึกคิด ความอัดอั้นตันใจออกมาทั้งหมด น้ำตาเสียงและเสียงร้องนั้นบ่งบอกได้ถึงความรู้สึกของเธอได้ดีจริงๆ ริวกะนั้นก็รู้สึกไม่ดีเช่นกันที่ไปตัดสินเพียงสิ่งที่เห็นโดยไม่สอบถามเธอให้ดี คิราระก้มกอดเอวของริวกะที่นั่งอยู่บนเตียง ริวกะรับรู้ได้ถึงเหงื่อจากตัวคิราระ ถ้าเป็นปกติเขาคงจะหยิบรีโมทเปิดแอร์แล้วล่ะ แต่ตอนนี้ตายังมองไม่เห็นเขาจึงต้องให้ลมแทน ป๊อก !!! ริวกะดีดนิ้ว 1 ครั้งเบาๆ ทำให้เกิดลมพัดในห้องนั้นทันที แต่มันเป็นสายลมที่อ่อนโยนมากๆ ไม่นานคิราระก็ค่อยๆหลับลงทั้งๆที่ยังกอดริวกะอยู่
[ ริวกะ ] : หลับซะนะยัยบ๊องของชั้น
ริวกะนั้นลูบหัวคิราระที่ค่อยๆหลับลง หลับลง หลับลง ไม่นานนักมิไรก็เปิดประตูเข้ามา เพียงแค่เปิดประตูเข้ามาริวกะก็ทักก่อนเลย
[ ริวกะ ] : อ๊ะ พี่มิไร เย้ ชาเขียวมาแล้ว อ้าว พ่อกับอาฮายาเตะมาด้วยเหรอ
[ มิไร ] : หือ ?
มิไรถึงกับงงเลย ทำไมริวกะรู้ว่าเธอเดินเข้ามาในห้อง ทั้งๆที่ตามองไม่เห็น อีกทั้งยังรู้ได้ยังไงว่ารินกับฮายาเตะมาด้วย
[ มิไร ] : เอ๋ นายริว นายรู้ได้ไงว่าพี่ มากับคุณพ่อและอาฮายาเตะ
[ ริวกะ ] : เออ ? ผมรู้ได้ไงหว่า จะว่ากลิ่น มันก็จางๆ อือแต่รู้สึกถึงรูปร่างผ่านสายลม
[ ริน ] : ริวกะ ตาเป็นไงมั่งลูก
[ ริวกะ ] : ตอนนี้ยังมองไม่เห็นครับพ่อ มืดตื๋อเลย
[ ฮานาเตะ ] : ใครทำร้ายนายน้อยครับ ผมจะไปถล่มมัน
[ ริวกะ ] : เดี๋ยวๆอาฮายาเตะ ใจเย็นๆ ผมฆ่ามันไปแล้ว
[ ริน , มิไร , ฮานาเตะ ] : ฮ๊ะ !!! ฆ่าไปแล้ว
ทุกคนตกใจทันที เพราะริวกะพูดว่าฆ่า นี่ริวกะโหดเหี้ยมขนาดฆ่าคนได้เชียวเหรอ
[ ริวกะ ] : ใจเย็นครับ ที่ผมฆ่าไปนัันน่ะ คือ วิญญาณที่สิงมันอยู่ ในร่างของคาเงะยามะนั้นมีวิญญาณสิงอยู่ครับ
[ ริน ] : แล้วที่ลูกตาบอดนี่ล่ะ
[ ริวกะ ] : เป็นผลกระทบจากเพลิงสุริยะครับพ่อ
[ ริน ] : ลูกเลยตาบอดแบบนี้สิ่นะ ถ้างั้นริวกะพ่อขอสั่งห้ามลูกนะจนกว่าลูกจะแข็งแกร่งมากกว่านี้ ห้ามลูกใช้เพลิงพิสุทธิ์เด็ดขาด เพราะถ้าลูกโมโหจนขาดสติ มันจะเป็นเหมือนคราวนี้
[ ริวกะ ] : ขอโทษที่ผมจัดคำสั่งครับพ่อ ถ้าร่างกายผมไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองผมแย่แน่ เฮ้ย !!! อาฮายาเตะครับ ล็อคประตูทีครับ
ฮายาเตะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็รีบไปล็อคประตูทันที สิ่งที่ฮายาเตะเห็นนั้นคือ กองทัพนักเรียนที่รู้ว่าริวกะนั้นป่วย จึงได้ออกมาเยี่ยมริวกะกันหลายสิบคน ดีนะที่ริวกะเตือนไว้ไม่งั้นงานหยาบแน่นอน
[ ฮานาเตะ ] : โห เกือบไปแล้วนะครับ นายน้อย ถ้านายน้อยไม่ทัก.... หือ ทัก เฮ้ย !!! นายน้อยรู้ได้ยังไงครับ ว่าจะมีคนมา ขนาดผมมองเห็น ผมยังไม่รู้สึกถึงคนที่จะมาเลยครับ
พอฮายาเตะทักขึ้นมามิไรก็อ๋อตามทันที เพราะเธอนั้นก็แปลกใจเช่นกันที่ริวกะนั้นทักเธอทันทีที่เดินเจ้าประตูมา ทั้งๆที่มองไม่เห็นด้วยซ้ำ
[ ริวกะ ] : เออ นั่นสิ่ครับ ทำไมผมรู้ได้ก็ไม่รู้ แค่รู้สึกว่าลมรอบๆตัวมันขยับแปลกๆครับ
[ ริน ] : ลมงั้นเหรอ เมื่อกี้ลูกได้ควบคุมลมรึเปล่า
[ ริวกะ ] : ครับพ่อ พอดีผมหารีโมทแอร์ไม่เจอ แถมยัยนี่ก็ท่าทางจะร้อน ( ลูบหัวคิราระ ) ผมก็เลยทำให้ลมพัดนิดหน่อยครับ
[ ริน ] : อ๋อ อืมๆ จำความรู้สึกนี้ไว้นะ
[ ริวกะ ] : หืออ คืออะไรครับพ่อ
[ ริน ] : ลูกต้องเรียนรู้เองริวกะ พ่อบอกใบ้ให้แค่นี้แหละ
รินนั้นเหมือนจะรู้ว่าทำไมริวกะจึงสามารถสัมผัสสิ่งรอบตัวได้แม้ตาจะมืดบอด แต่เขาก็ไม่ได้บอกไปตรงๆ แต่ให้ริวกะไปหาคำตอบเอง เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้ริวกะนั้นแข็งแกร่งมากๆ แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม
[ ริวกะ ] : เอ้อ พวกยามิล่ะ ( ส่งกระแสจิต ) ซันบะการาสึ , กัปปะ จงมาตามเสียงเรียกของชั้น
วู๊บบบ ทันที่ที่เรียก ภูติทั้ง 4 ก็มาทันที ทั้ง 3 นั้นยังคงมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย แต่กัปปะนั้นจะหนักกว่าเพื่อนหน่อย เพราะมีแผลพุพองเพราะเขาใช้กำแพงวารีป้องกันไฟของริวกะเพื่อยื้อให้ทั้ง 3 ตนหนีไป ทำให้เขาโดนนำร้อนลวกเข้าอย่างจัง
[ ริวกะ ] : พวกเจ้าเป็นไงมั่ง
ริวกะนั้นป่ายมือไปมาราวกับว่าจะหาภูติคนสนิททั้ง 4 ภาพดังกล่าวมันสร้างความสะเทือนใจให้ภูติทั้ง 4 ตนมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะยามิ เขาเฝ้ามองริวกะเติบโตมาตลอด ทั้งทุกข์ ทั้งสนุก เขาจะอยู่ข้างๆริวกะตลอด แต่ตอนนี้ภาพตรงหน้ามันทำให้เขาถึงกับจะร้องไห้ ทั้ง 4 นั้นเดินไปหาริวกะ แต่กัปปะก็ได้หยุดเดินไว้แค่นั้น เพราะมือของเขามันพุพองจนไม่สามารถจับต้องอะไรได้เลย
[ ริวกะ ] : กัปปะ กัปปะล่ะ กัปปะไปไหน ทำไมมาแค่ 3 ตนล่ะ
[ ยามิ ] : มือของกัปปะได้รับบาดเจ็บขอรับ ตอนนี้อาจจะเจ็บได้ ถ้าถูกท่านสัมผัสมือขอรับ
[ ริวกะ ] : บาดเจ็บ บาดเจ็บ จากอะไร
[ กัปปะ ] : ข้าไม่เป็นอะไรขอรับนายน้อย
[ ริวกะ ] : ตอบชั้นมากัปปะ
กัปปะนั้นนิ่งเงียบไม่กล้าพูดอะไร เพราะถ้าพูดไปริวกะคงรู้สึกแย่ ถ้ารู้ว่าตัวเองมีส่วนทำให้เขาบาดเจ็บ
[ โคฮาคุ ] : เพราะกัปปะใช้ม่านวารี ป้องกันเพลิงของท่านขอรับ กัปปะใช้มันเพื่อยื้อเวลาให้พวกข้า 3 ตนหนีออกมา แต่เพราะพลังเพลิงของนายน้อยรุนแรงเกินจินตนาการ ทำให้กำแพงวารีของกัปปะเดือดจนกลายเป็นน้ำร้อน จนลวกมือของกัปปะขอรับ
[ กัปปะ ] : เห้ย !!! โคฮาคุ
กัปปะเหวอเลย เพราะไม่คิดว่าโคฮาคุที่เป็นคนที่พูดน้อย จะพูดออกมาแบบนี้ ส่วนริวกะเองก็สะอึกเลยทันที เพราะตัวเขาที่กระจอก เพราะตัวเขาที่อ่อนเกินไป เพราะตัวเขาที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ จึงทำให้เพลิงสุริยะนั้นทำร้ายคนสนิทของเขาจนได้ ฮิคาริเองนั้นก็รู้สึกผิดที่ดื้อรั้นจะอยู่ต่อ ทำให้เสียเวลาในการหลบหนีจนกัปปะต้องออกหน้ารับเพลิงนั้นแทน เธอรู้สึกผิดมาตลอดห้าวันจนไม่อาจจะข่มตาหลับได้เลย
[ ฮิคาริ ] : เป็นเพราะข้าเจ้าค่ะ ถ้าข้าไม่ดื้อรั้น กัปปะคงไม่บาดเจ็บแบบนี้
[ ยามิ ] : ข้าด้วยขอรับ ถ้าข้าเชื่อมั่นในตัวท่านมากกว่านี้กัปปะ ก็คงไม่บาดเจ็บแบบนี้เช่นกัน
[ ริวกะ ] : พอเถอะ !!! ทั้งหมดเป็นความผิดชั้นเอง ที่ไม่สามารถควบคุมพลังนั้นได้ จึงทำให้พวกนายต้องลำบากกัน ขอโทษด้วยนะ
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็รีบคุกเข่าทันที พวกเขาไม่อาจจะรับคำขอโทษจากริวกะได้ เพราะทั้งหมดนั้นพวกเขาก็มีส่วนผิดไม่ใช่น้อย ฮิคาริ ยามิ นั่นถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา ทั้งที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ พวกเขาควรจะเชื่อใจริวกะมากกว่านี้
[ ริวกะ ] : กัปปะ มานี่ ยื่นมือนายมาหน่อย
ริวกะเรียกกัปปะเข้าไปหา ส่วนกัปปะก็ลุกขึ้นทันที ริวกะคงไม่เห็นว่ามือของเขานั้นพุพองจนเกือบจะไหม้ ขนาดคาราสึ เทนงู ผู้เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ ยังหนักใจถึงกับบอกว่าต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะหาย เพราะเพลิงที่กัปปะโดนเป็นเพลิงที่ไม่ใช่ทั้งเพลิงพิสุทธิ์และเวทย์จักรพรรดิเพลิง เขาจึงต้องใช้เวลาในการศึกษาวิธีรักษานานกว่าปกติ
[ กัปปะ ] : อึ้กก !!!
เพียงริวกะป่ายไปโดนเบาๆเท่านั้น เขาสะดุ้งเจ็บทันที ริวกะจึงต้องพยายามสัมผัสอย่างแผ่วเบากว่าเดิม และยกมือทั้งสองข้างประคองมือของกัปปะไว้
[ ริวกะ ] : ตอนที่ชั้นหลับไป ชั้นได้เห็นความทรงจำของ คุณปู่ทวด กับ ท่านเซย์เมย์ ตอนที่สาบานเป็นพี่น้อง ท่านปฏิญาณต่อฟ้าดินว่า ถ้าลูกหลานของ อิซานางิ ผู้ใดเป็นคนดีมีจิตใจที่เมตตา จะสามารถใช้เวทย์มนต์ทุกอย่างที่ท่านคิดค้นขึ้นมาได้ หวังว่าคนเลวๆอย่างชั้นจะพอหลงเหลือความดีไว้มั่งนะ
วู๊มมมม สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะเรียกว่า มหัศจรรย์ก็ว่าได้ เพราะตอนนี้ตรงหน้านั้น มือของริวกะที่ประคองมือของกัปปะไว้ ได้เกิดแสงละอองสีเหลืองขึ้นมาล้อมรอบมือของกัปปะไว้ ริวกะที่สายตามองไม่เห็นก็พยายามเพ่งมองไปตามที่จินตนาการ เพียงครู่เดียวเมื่อแสงสว่างนั้นดับลง ปาฏิหารย์ก็บังเกิด มือของกัปปะที่พุพองนั้นได้หายสนิทแล้ว สิ่งตรงหน้ามันทำให้ทุกคนอ้าปากค้างกันไปหมด ทำไมริวกะถึงทำแบบนั้นได้ล่ะ
[ กัปปะ ] : ขะ ขะ ข้าหายแล้ว มือข้าหายแล้ว
ยามิ ฮาคาริ รีบลุกขึ้นมาดูกัปปะ ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง ตอนนี้มือของกัปปะกลับไปเป็นปกติแล้ว กัปปะสามารถกำมือ แบมือได้โดยไม่เจ็บปวดแล้ว กัปปะร้องดีใจจนลืมตัวเลยก็ว่าได้ ทำให้คิราระที่หลับอยู่ถึงกับตื่นขึ้นมาเลย ทันทีที่ตื่นมาเธอก็ต้องตกใจ เพราะตอนนี้คนเต็มห้องไปหมด อีกอย่างเธอก็กอดริวกะเอาไว้ด้วย
[ คิราระ ] : งืออ มากันเมื่อไรคะเนี่ย ( เด้งตัวออกจากการกอด )
[ ยามิ ] : มือ มือ กัปปะ มือเจ้าหายแล้ว
[ ฮิคาริ ] : ขะ ข้าดีใจเหลือเกิน ข้าคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ถ้ามือเจ้าไม่หายเป็นปกติ
[ ริวกะ ] : โคฮาคุ นายก็มานี่ด้วย
[ โคฮาคุ ] : คือ...
[ ริวกะ ] : บอกให้มานี่ !!!
ทุกคนตกใจกันหมด เพราะริวกะนั้นถึงกับขึ้นเสียงเพื่อเรียกโคฮาคุ เขาทำอะไรผิดกันนะริวกะถึงต้องเรียกมาแบบนี้ โคฮาคุค่อยๆลุกอย่างช้าๆ ซึ่งมันผิดปกติอย่างมาก อีกทั้งการเดินก็ดูไม่สง่าผ่าเผยเหมือนเช่นทุกครั้ง เหมือนกับเขาพยายามเดินช้าๆเพื่อไม่ให้บางอย่างกระทบกับร่างกายของเขา
[ ริวกะ ] : ถอดเสื้อเจ้าออก
[ โคฮาคุ ] : คือว่า.....
[ ริวกะ ] : ยามิ ฮิคาริ ถอดเสื้อของโคฮาคุออก
ืัทันทีที่ริวกะสั่งนั้น ทั้งสองก็เดินไปยังน้องชายของตน เพราะทั้งสองก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น โคฮาคุเองก็ไม่กล้าขัดขืนพี่ชายพี่สาวของตน จึงยอมให้ถอดเสื้อและความลับหลังแผ่นหลังนั้นก็ปิดเผยออกมา
[ กัปปะ ] : ..... ( พูดไม่ออก )
[ โคฮาคุ ] : อึ้ก !!! ( ทรุด )
[ คิราระ ] : พี่โคฮาคุ หลังของพี่ !!!
[ ยามิ ] : โคฮาคุ นี่เจ้า !!!
[ ฮิคาริ ] : โคฮาคุ !!! ฮึกกก ฮืออ
มันไม่แปลกที่ทั้งสองจะตกใจ จนฮิคาริหลั่งน้ำตา เพราะแผ่นหลังของโคฮาคุนั้น เต็มไปด้วยบาดแผลไฟไหม้ โคฮาคุนั้นอุ้มยามิและฮิคาริหนี โดยใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังเพลิงสุริยะของริวกะ นั่นจึงทำให้แผ่นหลังของเขานั้นโดนลวกเต็มๆ และด้วยเหตุนี้ทั้งโคฮาคุและกัปปะจึงเก็บไว้เป็นความลับ เพราะไม่อยากให้ทั้งสองรับรู้
[ ริวกะ ] : นายชอบเป็นแบบนี้ตลอด ชอบเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นเสมอ นายใส่ใจคนรอบข้าง แต่ไม่นึกถึงตัวเองเลย ในบรรดาภูติทั้ง 4 นายแข็งแรงมากที่สุดแต่ก็อ่อนโยนที่สุดเช่นกัน แต่ว่านะโคฮาคุ นายไม่ต้องทำทุกอย่างเพื่อพวกเราหรอก นายยังมีพี่ๆอีก 3 ตน ยังมีพี่มิไร ชั้นกับคิราระเป็นน้องของนายนะ โคฮาคุ
วู๊มมมม ..ริวกะแตะฝ่ามือไปที่หลังของโคฮาคุ อีกครั้ง แสงจากมือของริวกะ ค่อยๆสมานแผลที่หลังของโคฮาคุ อย่างรวดเร็ว ไม่นานนักแผลไหม้นั้นก็สมานเป็นปกติ โคฮาคุสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะห้าวันที่ผ่านมา เขาต้องทนเก็บอาการไม่ให้พี่ๆของตนได้รับรู้เลย และเขาก็ทำได้ดีมากๆ แต่ทำไมริวกะรู้ล่ะทั้งๆที่มองไม่เห็นด้วยซ้ำ
เหวอออ โคฮาคุนั้นร้องตกใจทันที เมื่อพี่ๆทั้งสองโผกอดเขาอย่างกระทันหัน น้ำตาของฮิคาริพรั่งพรูออกมาไม่หยุด
เธอโอบกอดน้องชายตัวโตของเธอด้วยความรัก ไม่ว่าจะกี่ร้อยปีผ่านมาเขาก็ยังปกป้องเธอแบบนี้เสมอ ส่วนยามินั้นก็เช่นกัน ในบรรดาพี่น้องสามคน เขาเป็นคนที่ควรมีความเป็นผู้นำมากกว่านี้ แต่ในเวลาที่วิกฤต กลับเป็นโคฮาคุที่ใจเย็นมากกว่าเขา ถ้าตอนนั้นเขาตัดสินใจยอมถอยออกมา โคฮาคุและกัปปะ คงไม่บาดเจ็บขนาดนี้ คิราระที่เห็นพี่ๆของตนกอดกันกลมจึงได้เอาบ้าง เธอลากกัปปะให้เข้ามาในวงและโอบกอดทั้ง 3 ตนไปด้วยกัน
ริวกะแม้จะมองไม่เห็น แต่ก็รับรู้ว่าสิ่งที่เกิดตอนนี้มันจะเป็นอะไรที่อบอุ่นมากๆเลยล่ะ เขาได้แต่ก้มหน้าเสียใจ ในความอ่อนหัดของเขาที่ไม่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้นั้น ได้ทำร้ายภูติที่เป็นดั่งพี่ชายของตนลงไป มั่บ !!! มิไรจับมือริวกะไว้ราวกับว่าต้องการส่งความรู้สึกความอบอุ่นไปให้ ถึงเธอจะไม่พูดแต่ริวกะก็รู้ว่าเธอคงจะพูดว่า ไม่มีใครโทษนายนะนายริว
[ ริน ] : ริวกะ ลูกสลายรอยเพลิงได้แล้วเหรอ
[ ริวกะ ] : ครับ ตอนสลบไปและอยู่ที่โยมะ อาจารย์บอกว่าถึงเวลาที่ผมจะได้รับรู้เรื่องราว และทำให้ผมได้เห็นช่วงเวลานั้นครับ
[ คิราระ ] : สลายรอยเพลิงคืออะไรเหรอคะ ?
[ ริน ] : แผลของกัปปะและโคฮาคุเกิดจากเพลิงสุริยะ เพลิงนั้นมันจะฝังและติดที่บาดแผล ทำให้ไม่สามารถฟื้นฟูหรือรักษาได้ สิ่งที่ริวกะทำเมื่อกี้คือการสลายรอยเพลิง เพียงเท่านี้ร่างกายของกัปปะและโคฮาคุก็จะรักษาตัวเองได้
[ มิไร ] : นะ นายริว นายทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ
[ ริวกะ ] : พึ่งทำได้ครับ เพราะว่าในความทรงจำสุดท้ายก่อนจะฟื้น ผมได้ยินว่า จงลบล้างเพลิงด้วยตัวเอง ผมเลยลองทำดู
[ โคฮาคุ ] : ขอบพระคุณขอรับนายน้อย
[ กัปปะ ] : ขอบพระคุณขอรับนายน้อย
ทั้งสองก้มหัวขอบคุณริวกะด้วยความทราบซึ้ง จริงอยู่ที่พวกเขาไม่ได้คิดโทษริวกะเลย แต่ริวกะน่ะคิดว่าตัวเองผิดเต็มๆ
[ ริวกะ ] : โนโซมิ เธอกลับบ้านพร้อมกับพวกยามิเถอะ ช่วยทำอะไรอร่อยๆ ให้กัปปะกับโคฮาคุกินหน่อยนะ
[ คิรานะ ] : แต่....
[ มิไร ] : เดี๋ยวพี่จะเฝ้านายริวให้นะคิราระ คิราระกลับไปกับพวกยามิเถอะ เมื่อคืนคิราระก็นอนเฝ้าแล้ว พักผ่อนบ้างสิ่
[ คิราระ ] : ค่ะพี่มิไร
คิราระจำใจกลับบ้านเพราะมิไรพูดขอไว้ ทั้งที่ใจอยากอยู่ต่อ โคฮาคุนั้นอาสาอุ้มคิราระบินกลับไปเอง โดยบอกว่าไม่ได้ออกกำลังมา 5 วันจึงอยากใช้แรงบ้าง ทำให้วันนั้นคิราระได้บินกลับพร้อมกับพวกพี่ๆของเธอ ด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ถึงจะไม่ได้เฝ้าริวกะ แต่ก็ได้วิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนทดแทน มันก็ไม่เลวเลย เมื่อทั้ง 5 กลับไปแล้ว รินก็ได้สอบถามริวกะเรื่องที่เกิดขึ้นทันที
[ ริน ] : ริวกะ ลูกฆ่า อมรณาตนนั้นไปแล้วแน่ใช่มั้ย
[ ริวกะ ] : ครับพ่อ ผมใช่คาถาพันธการอสูรของปู่ทวดครับ วิญญาณของมันสลายหายไปแล้วครับ
[ ริน ] : อื้ม ดีแล้วริวกะ ตำราเวทย์ของคุณปู่ทวดลูกได้ศึกษาบ้างไหม
[ ริวกะ ] : ศึกษาบ้างครับพ่อ
[ ริน ] : ต่อจากนี้ไป พ่ออยากให้ลูกศึกษามันอย่างจริงจัง ตำราเวทย์นั้น เป็นตำราที่คุณปู่ทวดฮิเดโมโตะ ได้เขียนไว้เพื่อส่งต่อมาให้ลูกหลาน
[ ริวกะ ] : ครับพ่อ ผมสัญญา ผมจะหมั่นศึกษาตำราของคุณปู่ทวดครับ
[ ริน ] : อื้มดีมาก งั้นพ่อคงต้องกลับบ้านก่อนนะ มิไรจะกลับบ้านพร้อมพ่อมั้ย
[ มิไร ] : หนูขอเฝ้านายริวนะคะคุณพ่อ
[ ริน ] : อื้มงั้นเหรอ งั้นพ่อกลับก่อนนะ จะกลับไปบอกปู่กับย่าของลูกที่บ้านใหญ่ก่อน
[ ริวกะ ] : หะ หา ? ย่าคิเคียวมาเหรอครับ
[ ริน ] : ใช่ ตอนนี้อยู่ที่บ้าน แกเตรียมตัวโดนเชือดได้เลย เพราะย่าของแก ยั๊วะ มากด้วย
[ ริวกะ ] : ม่ายยยยย
หลังจากนั้น 2 วัน คุณย่าคิเคียวก็มาเยี่ยมริวกะ แต่อย่าเรียกว่าเยี่ยมเลย เรียกว่ามาเทศน์ดีกว่า ริวกะโดนคุณย่านั้นบ่นยับ ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย รวมๆแล้ว 4 ชั่วโมงเรียกได้ว่าหูชาเลยทีเดียว อีกทั้งคุณย่าคิเคียวยังยื่นคำขาดด้วยว่า ทุกๆ 1 เดือน ริวกะต้องไปที่หมู่บ้านสายหมอกเพื่อเรียนรู้ศาสตร์เร้นลับต่างๆที่ใช้กำราบภูติพรายจากเธอด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าริวกะจะไม่มีทางเลี่ยงได้เลย เพราะคุณย่าได้บอกมาว่าได้นั่งทางในและได้รับสารจากเทพีเบ็นไซเท็นมาว่าให้เคี่ยวเข็ญริวกะด้วย
[ ริวกะ ] : หะ หาา โอย อาจารย์หญิงเล่นผมซะแล้ว
[ ย่าคิเคียว ] : เงียบเดี๋ยวนี้ริวกะ หลานมีบุญขนาดที่สามารถท่องโยมะและกลับมาภพมนุษย์ได้ อีกทั้งยังมีท่านจ้าวเอ็นมะ และ เทพีเบ็นไซเท็นเป็นอาจารย์ เจ้าจะมาทำตัวเหลาะแหละไม่ได้ ย่าขอยื่นคำขาด หลานต้องมาฝึกกับย่าทุกเดือน ไม่เช่นนั้นไม่ต้องพูดกัน
[ ริวกะ ] : ข่ะ ข่ะ ครับคุณย่าคิเคียว
อีก 1 วันให้หลังคุณย่าคิเคียวก็กลับหมู่บ้านสายหมอกทันที เมื่อสายตาของริวกะหายดี คิราระก็ถึงกับร้องไห้ด้วยความดีใจ ตอนแรกเธอก็งอนเพราะคิดว่าริวกะตั้งใจปิดบังเธอ แต่เขาก็อ้างว่าไม่มีโอกาสได้บอก และดีใจที่ได้เห็นหน้าคิราระอีกครั้ง เจอแบบนี้เข้าไปคิราระถึงกับระทวยและหายงอนทันที 1 อาทิตย์ต่อมาริวกะออกจากโรงพยาบาล เขาได้รับการรักษาจากทั้งหมอทาดายูกิ และ คาราสึ เทนงู นั่นจึงทำให้เขาหายอย่างรวดเร็วแถมยังแข็งแรงมากกว่าเดิมอีก และก็กลับมาเรียนและปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
แต่เขาก็ต้องพบกับปัญหาเพราะว่าพรจากท่านอาจารย์นั้นทำพิษอีกแล้ว ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นได้แม้กระทั่งเสี้ยววิญญาณ และสามารถสัมผัสได้ถึงวิญญาณที่อยู่ห่างออกไปได้หลายกิโลเมตร เขาใช้เวลาเป็นอาทิตย์ในการฝึกเปิดปิดประสาทสัมผัสนี้ ซึ่งมันเกินของเขตขององเมียวจิไปแล้ว หรืออาจจะเรียกได้ว่ามันคือสัมผัสที่7 ก็ว่าได้ แต่ริวกะได้บัญญัติความสามารถที่แสนวุ่นวายนี้ว่า เนตรยมฑูต
••••••
1 เดือนผ่านไป
กิ๊ง กอง กิ๊ง ก่อง
เสียงสัญญาณเลิกเรียนช่วงเช้าดังขึ้น คิราระกับเพื่อนๆก็ตรงไปที่ โรงอาหารทันที แน่นอนว่าความสวยสะพรั่งของคิราระนั้น สะกดสายตาได้ดีจริงๆ แต่ตอนนี้คิราระนั่นแทบจะไม่กล้ามีใครเข้ามาจีบเลย เพราะภาพที่เธอหวดไอ้รูปหล่อนั่นยังคงติดตาตรึงใจทุกคนเป็นอย่างดี
[ เนเนะ ] : เฮ้อออ สบายดีจังเลย วันนี้อากาศดีมากๆ เลย
[ คิราระ ] : ใช่ๆ อื๊ออออ เฮ้อออ เหนื่อยแน่ๆเลย วันนี้ต้องกลับไปเก็บของที่บ้านอีก
[ เนเนะ ] : อ้าว คิราระเธอจะเก็บของไปทำไมเหรอ
[ คิราระ ] : งือ ชั้นกับแม่จะย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านของริวกะแล้ว
[ เนเนะ ] : หา ย้ายเข้าไปในบ้าน
[ คิราระ ] : อื้อ คุณท่านบอกว่า สงสารคุณแม่ที่ต้องไปมาไปมา ระหว่างบ้านกับที่ทำงาน บางวันก็ต้องกลับดึก คุณท่านเลยให้แม่ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านนั้นเลย จะได้สะดวกมากขึ้น
[ เนเนะ ] : โห ดีจังเลย แบบนี้ คิราระก็จะได้เดินทางสะดวกกว่าเดิมงั้นสิ่ เย้
[ คิราระ ] : อื้ออ จะได้มาโรงเรียนพร้อมเนเนะได้ด้วย
ในขณะที่เสียงจอแจได้ดำเนินไปตามปกติ เพราะมันเป็นช่วงพักทานข้าวของโรงเรียน อยู่ดีๆ บรรยากาศในโรงอาหารก็เงียบซะดื้อ พร้อมเสียง ฮือฮา ที่ดังขึ้นแทน คิราระมองไปตามเสียงก็ถึงกับต้องสะดุ้งเพราะพี่มังกรแกมาอีกแล้ว แถมมาครั้งนี้ก็มาแบบหล่อเหี้ยๆ ทั้ง set ผม ทั้งเสื้อผ้าที่เป็นเครื่องแบบของตัวแทนรัฐบาลแห่งภูมิโตเกียวอีกด้วย
[ คิราระ ] : เง้อ ตาบ้ามาทำไมเนี่ย
คิราระกำลังจะหาทางแอบหนีริวกะ เพราะตัวเธอนั้นกลัวว่าจะเก็บอาการเขินไม่ได้แน่ๆ แต่ในระหว่างที่กำลังจะหนีริวกะก็มานั่งดักหน้าเสียแล้ว
[ ริวกะ ] : จะไปไหนไม่ทราบ คุณ โนโซมิ
[ คิราระ ] : เง้อออ ตาบ้าริวกะมาทำไมเนี่ย
[ ริวกะ ] : มารอรับกลับบ้าน
ฮือฮาเฮ้อ กันเลยทีเดียวพอ อิซานางิ ริวกะ บอกว่าจะมารับ โนโซมิ คิราระ กลับบ้าน เอ๊ะอะไร ยังไง ทำไมซิ๊ มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ หรือว่า โนโซมิ จะเป็นเมดของริวกะจริงๆ
[ คิราระ ] : รับ รับอะไร รับกลับบ้านอะไร เง้ออ ของยังไม่ได้เก็บเลย
[ ริวกะ ] : ตอนนี้น้าคุรุมิกับคนที่บ้าน กำลังไปช่วยกันย้ายของอยู่เธอ ไม่ต้องกลับไปเก็บหรอก เลิกเรียนแล้วรอกลับพร้อมชั้น
[ คิราระ ] : อ๊าาาาา ไม่เอานะ ของในห้องจะให้ใครเห็นไม่ได้ เง้ออออ
[ ริวกะ ] : ของในห้องเธอ ชั้นให้ฮิคาริ ไปช่วยเก็บแล้ว ผู้หญิงด้วยกันคงไม่เป็นไรใช่มะ
[ คิราระ ] : ฮืออ ริวกะใจร้าย เผด็จการเกินไปแล้วนะ
[ ริวกะ ] : ก็ชั้นกลัวเธอเหนื่อย อีกอย่างจะได้กลับพร้อมกันไง
[ คิราระ ] : เง้อออออออ
ในระหว่างนั้นที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน ไอ้พวกผู้ชมก็ยืนมึนกันไปหมดว่า อิหยังวะ สองคนนี้จะไปอยู่บ้านเดียวกันเหรอ ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ใช่ ไอ้รูปหล่อหน้าหม้อที่เคยให้ดอกไม้คิราระนั้น มันกลับมาอีกครั้ง มันกะว่าจะมาทำให้คิราระอับอาย มันไม่สนใจว่าคิราระจะเป็นใคร ยังไงก็แค่ลูกคนใช้จะมีปัญญาทำอะไรได้ แน่นอนมันกะว่า จะเอาคัทเตอร์ในมือนั้นมีกรีดเสื้อผ้าของคิราระให้ขาด เธอจะต้องอับอายเมื่อเต้านมอันมโหฬารนั้นได้เปิดเผยต่อหน้าทุกคน มันกับเพื่อนอีกสองคนนั้น เตรียมการมาอย่างดี ว่าอีก 2 คนจะล็อคและมันจะลงมือกรีดเสื้อผ้าเอง
[ ไอ้เวนนั่น ] : มึงทำกูอับอาย มึงโดน จับมัน
ในระหว่างที่เพื่อนทั้งสองของมันกำลังจะจับตัวคิราระนั้น สายตาของพวกมันก็ได้เหลือบไปเห็น สายตาของริวกะมองมาที่พวกมันอย่างเขม็งราวๆกับว่า สัตว์ป่ากำลังล่าเหยื่อ พวกมันถึงกับทรุดลงทันที ส่วนไอ้เวนนั่นพอเห็นเพื่อนมันทรุดลงก็ถึงกับตกใจ มันมองไปที่คิราระอีกครั้งและต้องตกใจ เมื่อริวกะนั้นยืนขึ้นมาและเดินมาที่พวกมันทันที
[ ริวกะ ] : ข้อหาคุกคามทางเพศมันไม่ใช่เรื่องเบาๆนะ อยากติดคุกสารวัตรนักเรียนเหรอ แล้วส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำผิดก็ต้องได้รับโทษไม่ต่างกันนะ
ในระหว่างที่พวกมันกำลังเหวอกันอยู่นั้น แชะ แชะ แชะ ริวกะได้ถ่ายรูปพวกมันทั้งสามคนไว้ และเอ่ยขึ้นทันที
[ ริวกะ ] : รูปของพวกนายทั้งสาม จะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของผู้เฝ้าระวังการก่อเหตุ ทันทีที่พวกนายทั้งสามก่อเรื่องเหมือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะแทะโลม หรือ คุกคามทางเพศ ทุกกรณี ชั้นจะเป็นคนไปจับพวกนายด้วยตัวเอง และคงรู้นะถ้าพวกนายขัดขืน ผลมันจะออกมาเป็นยังไง
พวกมันทั้งสามถึงกับเยี่ยวแตกเลย พอได้เจอริวกะตัวเป็นๆแบบนี้ อีกทั้งคำพูดขู่ธรรมดาๆของเขากลับทำให้พวกมันนั้นเยี่ยวแตก เพราะริวกะนั้นได้ใช้จิตฆ่าฟันข่มขู่พวกมันด้วย นั่นจึงทำให้พวกมันมองเห็นริวกะนั้นเปรียบดั่งมัจจุราชที่กำลังจะสังหารพวกมันนั่นเอง พวกมันทั้งสามวิ่งหนีทั้งที่กางเกงเปียกๆ จากนี้ไปพวกมันคงไม่กล้าทำแบบนี้อีกแล้ว
นักเรียนหญิงที่อยู่ในบริเวณนั้น ก็เข้ามาขอบคุณริวกะหลาย ต่อหลายคน เพราะพวกเธอนั้นถูกมันแอบแต๊ะอั๋งบ้าง จับมือบ้าง เหมือนที่คิราระโดน ที่ริวกะรู้นั้นเพราะหลังจากที่เขาออกมาจากโรงพยาบาล เขาก็ประสานงานขอภาพจากกล้องวงจรปิด และก็พบว่าภาษากายของคิราระนั้นบ่งบอกว่าเธอไม่ได้เต็มใจ
อีกทั้งหลังจากสืบข้อมูลดูก็พบว่าไอ้เวนนั่นทำแบบนี้กับหลายคนและหลายครั้งแล้ว นั่นจึงทำให้เขาสามารถเดินเรื่องได้ทันที เพราะนี่เป็นหนึ่งในงานของเขา คือ จับตาเฝ้าระวังภัยเล็กๆน้อยๆ ที่พวกผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมองข้ามนั่นเอง
[ คิราระ ] : ริวกะแล้วโดดเรียนมาเหรอ
[ ริวกะ ] : เปล่า มาธุระ เลยแวะมาหา
อ่ะเฮื้อ โดนดอกนี้เข้าไปคิราระถึงกับทำตัวไม่ถูกเลย ส่วนคนรอบข้างนั้นก็ได้แต่อิจฉาที่ริวกะพูดตรงๆออกมาแบบนั้นกับคิราระ แต่อีกใจนึงพวกเขาก็ชื่นชมริวกะ ที่วางตัวได้ดีมากจริงๆ
[ เนเนะ ] : นี่ๆ ริวกะ สบายดีไหม
[ ริวกะ ] : อ้าวรุ่นพี่เนเนะ สบายดีครับ สงสารรุ่นพี่จังเลยครับ
[ เนเนะ ] : เอ๋ สงสาร สงสารทำไมเหรอ
[ ริวกะ ] : สงสารครับ ที่ต้องมีเพื่อนอย่างยัยบ๊องนี่ พี่คงเหนื่อยและปวดหัวมากสิ่นะครับ
วื๊ดด เผี๊ยะ !!! ยังไม่ทันได้พูดจบ คิราระก็หวดหมัดใส่ริวกะทันที ที่ทั้งเขินทั้งอายที่ริวกะพูดแบบนี้ แต่ริวกะก็คว้ามั่บไว้ได้ทัน จนคนที่อยู่แถวนั้นตกใจ
[ ริวกะ ] : เหวออ ยัยบ๊องจะฆ่ากันรึไง
[ คิราระ ] : เง้ออ ตาบ้า ตาบ้า ตาบ้าริวกะ
วื๊ด วื๊ด วื๊ด คิราระหวดหมัดใส่ริวกะไม่ยั้ง จนทุกคนตกใจ นี่ไม่ได้แค่เล่นๆนี่หว่า คิราระต่อยกะว่าโดนแล้วหลับแน่นอน
[ ริวกะ ] : เดี่ยวเด้ ใจเย็นๆ ชั้นขอโทษ
[ คิราระ ] : ฮึ๊ ชิส์
คิราระตีหน้างอนและเดินหนีไปทันที ส่วนริวกะนั้นถึงกับถอนหายใจดังเฮือก เขาไม่คิดว่า คิราระจะเก่งได้ขนาดนี้ เนเนะเห็นเพื่อนตัวเองงอนตุ๊บป่องเดินไป เธอก็ได้แต่หัวเราะและวิ่งตามไป พร้อมกับโบกมือบ๊ายบายให้ริวกะ หลังจากทุกอย่างผ่าน หลังจากทุกคนเข้ามาพูดคุยกับริวกะได้สักพัก เสียงสัญญาณแจ้งเตือนเข้าเรียนก็ดังขึ้น พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปเรียน
ณ. เวลา 15.00
คิราระเลิกเรียนลงมา ก็มองหาริวกะทันที แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอเลย เธอก็ได้แต่คิดในใจว่า ริวกะคงจะกลับไปแล้ว แต่สักพักนึงริวกะก็เดินออกมาพร้อมกับผู้อำนวยการโรงเรียน ดูเหมือนว่าทั้งสองกลังจะคุยเรื่องอะไรบางอย่าง
[ ผู้อำนายการ ] : เอ้อริวกะเรื่องที่คุยกันอย่าลืมนะ แล้วก็อย่าลืมล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่บอก หลานเองต้องหมั่นศึกษาตำราของท่านฮิเดโมโตะนะ
[ ริวกะ ] : ครับคุณอา
[ ผู้อำนวยการ ] : อื้ม โชคดีหลานชาย
ริวกะนั้นเดินมาหาคิราระที่รออยู่ ทั้งคู่จึงขอตัวกลับซึ่งในระหว่างกลับนั้นคิราระก็ยังมีงอนเล็กน้อย เพราะริวกะนั้นแซวเธอต่อหน้าทุกคน แต่ริวกะเองก็แอบยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้แกล้งเธอบ้าง เขาชอบเวลาเธอนั้นงอนมันดูน่ารักมากๆเลย ทั้งคู่นั้นเดินมาถึงย่านการค้าสุมิเระ
และทันทีที่ทั้งคู่เดินเข้ามา เหล่าพ่อค้าแม่ค้าก็เข้ามาทักกันมากมายเลย ตอนนี้ย่านการค้าสุมิเระถูกจัดอันดับให้เป็นสถานที่น่าท่องเที่ยวจาก บล็อคเกอร์สายชิม และ ยูทูปเบอร์หลายคนแล้ว ทำให้รายได้นั้นเข้ามามากกว่าเดิม พ่อค้าแม่ค้าก็มีความสุข ถึงจะไม่ได้ขายดีทุกวันแต่มันก็ดีกว่าเดิมมากมาย
[ ริวกะ ] : เอ... ขอโทษนะครับ ในย่านการค้ามีร้านเนื้อวัวขายไหมครับ A5 ไม่ก็วากิว
[ พ่อค้า ] : โอย ไม่ต้องซื้อหรอกครับ พวกเรายินดีให้ฟรีเลยครับ นายน้อย
[ ริวกะ ] : ไม่ได้ครับ ต่อให้เป็นผมก็ห้ามให้ฟรี ที่นี่คือย่านการค้า พวกเราต้องสร้างมาตรฐานให้มันเหมือนกันทุกคน
[ พ่อค้า ] : ก็ได้คับนายน้อย
[ คิราระ ] : ริวกะจะซื้อเนื้อ A5 ไปทำไมเหรอ
[ ริวกะ ] : จะซื้อไปฝากโคฮาคุน่ะ เจ้านั่นบาดเจ็บหลายวัน คงต้องหาอะไรไปปลอบใจหน่อยแล้ว เอาล่ะ ไปหาแตงกวากัน
[ คิราระ ] : จะเอาไปให้พี่กัปปะเหรอ งั้นมาร้านนี้ ร้านนี้แตงกวาอร่อยมากเลย
ริวกะและคิราระจูงมือกันเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ เพื่อซื้อของฝากมากมาน คิราระมีความสุขมากๆ เธอได้ไปไหนมาไหนกับเขาอีกแล้ว และแทบจะทุกร้านเธอจะถูกแซวว่า คุณเมด คุณเมด คุณเมด จนเธอนั้นเขินไปหมด พรึ่บบ !!! พอทั้งคู่เดินออกมาทางที่ไม่ค่อยมีคน ยามิก็วาร์ปมาหาทันที
[ ริวกะ ] : ยามิมีอะไรรึเปล่า
[ ยามิ ] : ขอรับ วันนี้หัวหน้าใหญ่ จะจัดอาหารมื้อใหญ่ต้อนรับท่านนูระริเฮียง จึงให้ข้ามาแจ้งนายน้อยขอรับ
[ ริวกะ ] : อ๋อ พอดีเลย ชั้นซื้อของมาเผื่อโคฮาคุและกัปปะด้วย
[ ยามิ ] : ทั้งสองคงต้องดีใจมากๆเลยขอรับ
[ คิราระ ] : เย้ งั้นรีบกลับกันเถอะคะ เหล่าอีกา จงมาเดี๋ยวนี้
ก๊าๆๆๆๆ เสียงอีกาบริวารนั้นมาตามคำเรียกของคิราระทันที ริวกะคิราระนั้นกระโดดขึ้นอีกา และเข้าสู่การพรางตัวทันที ส่วนยามิได้กลับที่บ้านใหญ่เช่นกัน
ในวันนั้นถือว่าเป็นมื้ออาหารที่พิเศษมากๆ เพราะชินดูท่าทางมีความสุขเหลือเกินที่ได้ดื่มชาพร้อมกับสหายเก่าแก่ อย่างนูระริเฮียง ส่วนนูระริเฮียงนั้นก็เช่นกัน นอกจากจะเป็นนายใหญ่แล้ว ชินนั้นก็ยังถือว่าเป็นสหายของเขาเช่นกัน มื้ออาหารมื้อนั้น ทั้งอร่อย ทั้งเลิศรส แต่สิ่งที่ริวกะเตรียมไว้นั้นมันเซอร์ไพรส์มากกว่า
[ ริวกะ ] : โคฮาคุ กัปปะ ชั้นมีของมาให้พวกนาย
[ โคฮาคุ - กัปปะ ] : ของของพวกข้า อะไรเหรอขอรับ
ทันทีที่ริวกะพูดจบ คุรุมิ ก็ได้เข็นรถเสิร์ฟอาหารเข้ามา นั่นคือ สเต๊กเนื้อวากิวของโปรดของโคฮาคุ และ สลัดแตงกวา ราดด้วยน้ำสลัดแบบงาญี่ปุ่น ทั้งสองเห็นอาหารตรงหน้าก็ถึงกับตาลุกวาวเป็นประกายเลยทีเดียว
[ ริวกะ ] : ชั้นจำได้ว่าตอนไปนางาซากิ นายชอบน้ำสลัดอันนี้มากๆ กินให้อร่อยนะกัปปะ
[ กัปปะ ] : ชะชะ ใช่ขอรับ เอื๊อกกก แตงกวาพันธุ์นี้กินเปล่าๆก็ เลิศรสแล้ว แต่ถ้าได้น้ำสลัดงา มันจะเลิศรสกว่าขอรับ
[ ริวกะ ] : โคฮาคุ วันนี้ถือว่าเป็นวัน ชีทเดย์นะ เอาให้หนำใจ ชั้นสั่งมาให้นายพิเศษเลย
[ โคฃฮาคุ ] : ขอบคุณขอรับนายน้อย
ทั้งคู่นั้นสวามปามเลยก็ว่าได้ กัปปะนั้นแทบจะใช้มือเปล่ากินเลย เพราะว่าแตงกวานั้นอร่อยมากๆๆๆๆ อีกทั้งยังมีแตงกวาดองไว้ตัดเลี่ยนอีก นั่นจึงทำให้กัปปะกินได้เรื่อยๆเลย ส่วนโคฮาคุนั้น เจอวากิว A5 เข้าไปก็ถึงกับฟินเลยทีเดียว แต่เขาไม่เหมือนกัปปะ เขาค่อยๆเคี้ยวเพื่อจะค่อยๆสัมผัส รสเนื้อชั้นเลิศนี้ ส่วนริวกะน่ะเหรอแค่เห็นพี่ชายทั้งสองมีความสุขเขาก็สุขแล้ว คิราระเองนั้นก็เช่นกันเธอมีความสุขมากๆ เธอไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้มีช่วงเวลาที่ดีแบบนี้เลย แต่แล้วทันใดนั้นก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันเกินขึ้น
[ นูระริเฮียง ] : เอ้า นี่เจ้า คุรุมิใช่มั้ย
อยู่ดีๆนูระริเฮียงก็ทัก คุรุมิขึ้นมา ทำให้ทุกคนนั้นหันไปมองเป็นเสียงเดียวกัน ว่าใช่ใช่มั้ย เป็นอย่างที่คิดใช่มั้ย
[ ชิน , ริน , ริวกะ ] : นูระริเฮียง อย่าบอกนะ ว่าเจ้า
[ คุรุมิ ] : เอ๋ คุณเจ้าของบ้านเช่านี่นา
[ นูระริเฮียง ] : อึ้ก !!! ( หันควั่บไปมองที่ ชิน ริน ริวกะ จนคอแทบหัก )
[ ชิน ] : เฮ้ออออ
[ ริน ] : นั่นไงข้าว่าแล้ว
[ ริวกะ ] : นูระริเฮียง นี่เจ้าเข้าไปกินข้าวบ้านน้าคุรุมิ ใช่มั้ย
นูระริเฮียงถึงกับไปไม่เป็นเลย เพราะสิ่งที่อิซานางิทั้งสามพูดออกมา มันเป็นเรื่องจริง เมื่อหลายปีก่อน นูระริเฮียง กลับมาที่โตเกียวเพื่อเยี่ยมชิน สหายเก่า ในตอนนั้นเขาได้ถูกใจครอบครัวนี้จึงได้เข้าไปพูดคุยกับครอบครัวนี้ และครอบครัวของคุรุมิก็คิดว่านูระริเฮียงนั้นเป็นเจ้าของบ้านเช่า จึงได้ชวนมากินข้าว ถึงพื้นที่จะแคบ แต่ก็มีความสุขมากจริงๆ
นูระนิเฮียง วนเวียนกินข้าวบ้านคุรุมิอยู่หลายสัปดาห์จนเกิดเป็นความคุ้นชินและผูกพันธ์ แต่ด้วยนิสัยที่ชอบท่องเที่ยวไปทั่วจึงทำให้นูระริเฮียงได้ออกเดินทางตามเดิม ทิ้งไว้เพียงความทรงจำว่า เขาคือเจ้าของห้องเช่านั่นเอง
[ คิราระ ] : อ๋อ หนูจำได้แล้ว คุณลุงเจ้าของบ้านเช่านี่เอง งื้อออ นึกตั้งนานตั้งแต่ที่นางาซากิแล้วค่ะคุณแม่
[ นูระริเฮียง ] : เอ๋ นี่หนูคิราระเหรอ โอ้โหจำไม่ได้เลย โตเป็นสาวแล้วนี่นา แล้วเจ้ามาชิบะล่ะไปไหน
พอพูดถึงมาชิบะ พ่อของคิราระ ทั้งคู่แม่ลูกก็เงียบทันที ก่อนที่คิราระจะเป็นฝ่ายที่ยิ้มแย้มและพูดออกมา
[ คิราระ ] : คุณพ่อเหนื่อยมามากแล้ว คุณพ่อเลยไปพักผ่อนบนสวรรค์หลายปีแล้วค่ะ
คำพูดของคิราระไร้ซึ่งความเศร้า เธอพูดอย่างเข้มแข็ง ราวกับว่าไม่ใช่เธอคนเดิม คุรุมิเองก็ยิ้มอย่างหมดกังวล เพราะตลอดมาเรื่องพ่อนี่แหละที่เป็นปมด้อยของคิราระ แต่ตอนนี้เธอไม่กังวลแล้ว เพราะลูกสาวของเธอนั้นเติบโตมามากเลยทีเดียว
[ นูระริเฮียง ] : อื้ม ข้าเข้าใจละ เอาล่ะเพื่อเป็นการ ตอบแทน อาหารที่พวกเจ้า พ่อแม่ลูก มีน้ำใจชวนข้าเข้าไปกินข้าวที่แสนจะอร่อย ข้าจะมอบบางสิ่งให้
วื๊ดด ในบัดดลนั้น นูระริเฮียงได้จำแลงกายต่อหน้าทุกคน ความตกตะลึง ความตกใจ ได้ตกไปอยู่ที่แม่ลูกโนโซมิ ทันที เพราะสิ่งที่นูระริเฮียงมอบให้ นั่นคือความทรงจำที่คิดถึง นุระริเฮียงได้จำแลงกายเป็น โนโซมิ มาชิบะ สามีของคุรุมิ และพ่อของคิราระ นั่นเอง ทันใดนั้นน้ำตาแห่งความคิดถึงของทั้งคู่ก็เอ่อล้นมาจากตาทันที หลายปีแล้วที่ไม่เจอ หลายปีแล้วที่คิดถึง ความรู้สึกของทั้งสองแม่ลูกถูกสื่อออกด้วยน้ำตาทันที
[ คุรุมิ ] : คุ คุ คุณคะ
[ คิราระ ] : ฮึก ฮึกก คุณพ่อ ฮือออออ
คิราระรีบวิ่งไปหานุระริเฮียงทันที เธอจับที่แขนที่ตัวของนูระริเฮียง ที่กลายเป็นรูปร่างของพ่อเธอไม่มีผิด
[ นูระริเฮียง ] : นี่คือ รูปลักษณ์ของเจ้ามาชิบะ ในความทรงจำของข้า เขาเป็นผู้ชายที่ใจดี โอบอ้อมอารี เป็นมิตรและอบอุ่น
ไม่ใช่แค่รูปร่าง แม้แต่เสียงนูระริเฮียงเองก็สามารถเลียนแบบมาชิบะได้ด้วย สิ่งนี้ยิ่งทำให้ คิราระถึงกับร้องไห้หนักกว่าเดิม เธอมองร่างจำแลงตรงหน้าไม่วางตา ใช่ ใช่ ใช่ นี่คือพ่อของเธอ พ่อของเธอที่อยากเจอสักครั้ง
[ คาราสึ เทนงู ] : อยากกอดก็กอดสิ่ลูกคิราระ ยังไงซะ ลูกก็เรียกนูระริเฮียงว่าคุณลุงไม่ใช่เหรอ การกอดญาติผู้ใหญ่สักคนมันไม่ใช่เรื่องน่าอายนะ
สิ้นคำของคาราสึ เทนงู คิราระก็กอดทันทีโดยไม่ลังเล เธอกอดเธอร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็ก เธอกอดนูระริเฮียงในร่างมาชิบะ อย่างเหนียวแน่น ราวกับว่าคิดถึง ราวกับว่าไม่อยากให้ไปไหนเลย ส่วนคุรุมิเองนั้นก็เดินมาที่นูระริเฮียงเช่นกัน เธอจ้องมองที่ลูกสาวของตัวเอง ที่ร้องไห้ฟูมฟายอย่างไม่อายเลย แต่เธอนั้นก็ได้แต่เก็บอาการ เก็บอาการ มั่บ !!! แต่ว่านูระริเฮียงนั้นได้ใช้มืออีกข้างโอบกอดที่ไหล่ของคุรุมิเข้ามาแนบตัวอีกคนและพูดว่า
[ นูระริเฮียง ] : ข้ารับรู้ได้ถึงความเข้มแข็งในใจของเจ้าคุรุมิ คงเหนื่อยมากสิ่นะที่ต้องสู้มาตลอดเพื่อคิราระ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะปิดบังซ่อนเร้นอีกแล้ว ถ้าอยากร้องอยากระบายก็ทำเถอะ คิดซะว่าข้าคือญาติผู้ใหญ่คนนึงที่หน้าตาเหมือนเจ้ามาชิบะ สามีของเจ้าเถอะ
เพียงเท่านั้นแหละ คุรุมิที่พยายามอดกลั้นความรู้สึก พยายามอดกลั้นความเหงา อดกลั้นความเจ็บปวด ก็ได้ระเบิดอารมณ์ที่เก็บไว้ ร้องไห้ฟูมฟายออกมาไม่อายใครเช่นกัน เธอกอดนูระริเฮียงและลูกสาวของเธอไว้แน่นเลย ภาพดังกล่าวไม่ได้หาดูง่ายๆเลยนะ คุรุมิที่มีภาพลักษณ์เป็นหญิงแกร่งต่อหน้าทุกคน ใครจะรู้ว่าภายในเธอนั้น อ่อนแอเพียงใด ตอนนี้ความอ่อนแอนั้นได้แสดงออกมาผ่านเสียงร้องและน้ำตาได้เป็นอย่างดี
มิไรเองนั้นก็สะเทือนใจยิ่งนัก เธอไม่เคยรู้เลยว่าญาติของเธอคนนี้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ต้องอดทนเลี้ยงคิราระมาด้วยตัวคนเดียวเพียงใด ในวันนั้นที่คุรุมิกำลังหางานทำ มิไรก็มาเห็นด้วยความบังเอิญ เอาจริงๆว่า มิไรนั้นจำคุรุมิไม่ได้ แต่มันมีความรู้สึกบางอย่างที่มิไรรู้สึกผูกพันธ์กับคุรุมิมากๆ มิไรจึงได้คุยกับเธอและเมื่อรู้ว่าเธอคือ single mom ที่ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงลูกสาวด้วยตัวคนเดียว เพียงเท่านั้นแหละ มิไรจึงตัดสินใจรับคุรุมิรับทำงานที่บริษัทในตำแหน่งแม่บ้านทันที
แต่ว่าด้วยความสามารถของคุรุมิด้านการทำอาหาร และ ความรู้สึกถูกชะตา เธอจึงให้คุรุมิย้ายไปทำงานแม่บ้านที่บ้านใหญ่ทันที พอนานเข้า นานเข้า มิไรเริ่มคุ้นหน้า เริ่มจำคุรุมิได้ลางๆ เธอจึงได้ใช้เส้นสายที่มีแอบสืบประวัติของครอบครัวโนโซมิ จึงได้รู้ว่า โนโซมิ คุรุมิ เป็นคนๆเดียวกับ ซาวาดะ คุรุมิ ญาติของเธอที่ถูกตัดออกจากกองมรดกเพราะไปตกหลุมรักชายหนุ่มไร้สกุลนั่นเอง
นั่นจึงทำให้เธอได้รู้ว่าคิราระนั้นเป็นญาติผู้น้องของเธอนั่นเอง จากปกติที่มิไรเอ็นดูคิราระอยู่แล้วกลับยิ่งรักยิ่งเอ็นดูเข้าไปใหญ่ มิไรจึงพยายามผลักดันให้คิราระมาดูแลริวกะแทนเธอที่ต้องทำงานจนไม่ค่อยมีเวลาว่างนั่นเอง แต่ในระหว่างนั้นกลับมีเรื่องที่น่ายินดีเกิดขึ้นอีก เมื่อนูระริเฮียงได้นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง
[ นูระริเฮียง ] : เอ้ เดี๋ยวๆนะ วันนี้วันที่เท่าไร ใครบอกข้าที
[ ชิน ] : 23 กันยายน วันศารทวิษุวัต ทำไมเหรอนูระริเฮียง
[ นูระริเฮียง ] : อื้ม เดี๋ยวนะ อื้ม วันนี้เมื่อ 7 ปี ที่แล้วข้าอยู่ที่บ้าน บ้านโนโซมิ วันเกิด เอ้อใช่ วันนี้เป็นวันคล้ายเกิดของหนูคิราระนี่นา ตอนนั้นนาง 11ขวบ งั้นตอนนี้นางก็ 18 ปีแล้วสิ่
[ ริน ] : หาา วันเกิดหนูคิราระเหรอ
[ มิไร ] : อ้าว นี่ทุกคนลืมได้ไงคะเนี่ย หนูนึกว่าทุกคนรู้หมดแล้ว
[ ยามิ ] : น้องข้าเป็นสาวแล้ว สุขสันต์วันเกิดนะคิราระน้องพี่
[ ฮิคาริ ] : จริงเหรอเนี่ย Happy Birth day My Sis
[ โคฮาคุ ] : มีความสุขมากๆคิราระ อย่าต่อยท้องพี่อีกนะ หมัดของเจ้ามันหนักเกินไป
[ กัปปะ ] : ถึงวัยเจริญพันธุ์แล้วสิ่นะ คิราระ สุขสันต์วันเกิด
[ คาราสึ เทนงู ] : วันคล้ายวันเกิดงั้นเหรอ สุขสันต์วันเกิดนะคิราระลูกพ่อ อยากได้อะไรเป็นของขวัญ ว่ามาเลยว่า
[ คุรุมิ ] : อ๊า ใช่ ใช่ วันนี้วันเกิดคิราระนี่นา วันเกิดครบ 18 ปี โอ๊ย แม่ขอโทษนะคิราระ วันนี้แม่ยุ่งจนลืมไปเลย ไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรไว้ให้หนูเลยลูก
สารพัดคำพูด คำอวยพรถูกเอ่ยขึ้นมาไม่ขาดสาย ตัวเธอเองก็ลืมเช่นกันว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเธอ คิราระยิ้มไม่หุบเลย นี่เป็นครั้งแรกในรอบกี่ปีกันนะที่เธอรู้สึกว่าวันนี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน
[ คิราระ ] : ก็นี่ไงคะ ของขวัญวันเกิดของหนู หนูได้อยู่ในที่ที่อบอุ่น หนูได้อยู่ทานข้าวกับคุณแม่ทุกวัน หนูได้มีคุณพ่อบุญธรรมที่รักหนูเหมือนลูกแท้ๆ หนูมีพี่มิไรคอยอบรมสั่งสอนหลายๆเรื่อง หนูมีพี่ๆทั้ง4ตน ที่รักหนู และหนูยังได้เจอหน้าคุณพ่อ ( มองนูระริเฮียง ) อีกด้วย นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดของหนูแล้วค่ะ
คิราระพูดแล้วก็กอดนูระริเฮียงอีกครั้ง ทุกคำพูดของเด็กสาววัย18 นั้นออกมาด้วยความจริงในทุกคำพูด ทุกๆคน ทุกๆตนที่อยู่ในที่นั้นต่างยิ้มด้วยความเอ็นดูในตัวเด็กสาวคนนี้จริงๆ
ริวกะมองภาพตรงหน้า ด้วยใจที่อิ่มเอม เขาอยากเห็นคิราระมีความสุขแบบนี้แหละ นี่มันก็ปีกว่าๆแล้วสิ่นะ ตั้งแต่วันที่เขาเจอ กับคิราระ วันแรกเธอดูไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตเลย แต่พอเธอได้เข้ามาในบ้านแห่งนี้ เธอนั้นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเธอดูมีความสุขขึ้น เธอดูยิ้มแย้มมากขึ้น และเธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้วจริงๆ
[ ริวกะ ] : ชั้นไม่อยากพรากความสุขไปจากเธอ ขอโทษนะคิราระที่ชั้นรับรักเธอไม่ได้
เขาเอ่ยขึ้นในใจพร้อมกับมองที่คิราระด้วยสายตาที่มีความหมายมากกว่าคนที่หวังดี จากนั้นริวกะนั้นได้เดินออกมาจาก ห้องอาหารและเดินกลับไปยังเขตอาคมทันที และทันทีที่ก้าวออกมาจากบ้านนั้น ก็ได้มีใครบางคนเดินมาหาเขา
[ ริวกะ ] : พี่คิสสึเนะ ออกมานอกเขตอาคมด้วยเหรอครับ
[ คิวบิ ] : อาการเป็นอย่างไรบ้างนายน้อย
[ ริวกะ ] : ร่างกายผมก็หายเป็นปกติแล้วครับ
[ คิวบิ ] : ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว นายน้อยข้ามีเรื่องต้องบอกท่าน
[ ริวกะ ] : ครับพี่คิสสึเนะ
[ คิวบิ ] : ตอนนี้มหาเวทย์จักรพรรดิเพลิงได้สถิตย์ในกายของท่านแล้ว ท่านต้องหมั่นฝึกฝนและศึกษาจนแตกฉาน จนได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิแห่งเพลิงที่แท้จริง จากการต่อสู้ที่ผ่าน ท่านจำมนต์อัคคีได้หรือไม่
[ ริวกะ ] : จำได้ครับ ทุกกระบวนท่าเกี่ยวพระอาทิตย์ทั้งนั้นเลย ทั้งภาพมายาตะวัน เปลวเพลิงเริงระบำ พายุมังกร เพลิงปีศาจ เอ๊ะ ไม่ใช่สิ่ ไม่ใช่ นอกจากกระบวนท่าดวงตะวัน ยังมีดาบเพลิงโลกันต์และเพลิงปีศาจครับ มันยังไงกันครับพี่คิสสึเนะ
[ คิวบิ ] : ฟังข้าให้ดี จักรพรรดิเพลิงนั้นแบ่งเป็น 2 มนต์บท นั่นคือบทแรกจักรพรรดิเพลิงนภา เซย์เมย์บัญญัติเวทย์มนต์นี้โดยอ้างอิงจากเพลิงตะวัน ส่วนจักรพรรดิเพลิงโลกันต์นั้นเป็นเวทย์เพลิงชำระล้างดุจไฟจากนรถ ดาบเพลิงชำระ 7 วิถีก็เป็น 1 ในบทจักรพรรดิเพลิงโลกันต์
[ ริวกะ ] : หะ หา !!!
[ คิวบิ ] : จงจดจำไว้นะนายน้อย บัญญัติเปลวอัคคีนั้นสามารถผนวกกับจักรพรรดิเพลิงได้ ตัวท่านเองนั้นเป้นผู้ที่มีพรแสวงมากกว่าพรสวรรค์ ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องก้าวข้ามเซย์เมย์ได้แน่ จงฝึกฝนและขึ้นเป็นจักรพรรดิที่สมศักดิ์ศรีและกำราบเหล่าอมรณาทุกตน
ริวกะ : ทุกตนเหรอครับ ?
[ คิวบิ ] : ใช่ ทุกตน และความกล้าแกร่งของเวทย์มนต์ของเซย์เมย์นั้นขึ้นอยู่จิตใจที่บริสุทธ์ และมีจิตใจที่มุ่งมั่นจะทำดี แต่จะมากน้อยมันก็อยู่ที่การฝึกตนของแต่ละคนด้วยเจ้าค่ะ
[ ริวกะ ] : ครับ เฮ้อ ผมจะทำได้เหรอ เพราะผมเคยฆ่าคนมาแล้วนะครับ ผมคงไม่ใช่คนที่มือบริสุทธ์แล้วนะครับ
[ คิวบิ ] : นายน้อย ท่านฆ่าเพราะไม่มีสติ ท่านฆ่าเพราะพวกมันถึงฆาต ถ้าท่านไม่ทำแบบนั้น ท่านคิดว่าถ้าท่านไม่ได้ฆ่าไอ้พวกนั้น ท่านคิดว่าจะมีอีกกี่คนที่จะต้องทุกข์ทนถ้าพวกมันรอดชีวิตไป
[ ริวกะ ] : .... เฮ้อ
[ คิวบิ ] : นายน้อย ท่านคือสายเลือดของอิซานางิ ท่านอย่าลืมว่าท่านต้องทำอะไร ท่านคงรู้แล้วใช่ไหมว่า ตลอดเวลาที่ท่านหัวหน้าใหญ่และนายท่าน เฝ้าฝึกให้ท่านแข็งแกร่งจนเลือดตาแทบกระเด็นนั้นเพื่ออะไร
[ ริวกะ ] : แล้วมันจะอีกนานไหมครับ กว่า อมรณา อย่างชิโตะจะโผล่มาอีก
[ คิวบิ ] : ข้าไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้หลังจากที่โดนท่านทำลายวิญญาณไปแล้ว พวกมันคงรู้ตัวกันแล้ว ว่าบนโลกมนุษย์มีองเมียวจิที่ทรงพลังอยู่ ถ้านับตามเวลาของปรภพ ราวๆ 5-6 ปี พวกมันสักคนที่อยู่บนโลกถึงจะสำแดงเดชออกมาอีก
[ ริวกะ ] : เฮ้อ โชคดีแท้ๆ ที่ฝึกองเมียวโด ไม่งั้นคงตายในมิติเยือกแข็งนั่นแล้ว บรื๋ออออ โชคดีนะครับที่ขอให้จูกะถักชุดนินจาไว้ให้ ไม่งั้นชุดคงไหม้ไปแล้วแน่ๆ
[ คิวบิ ] : นายน้อยข้ามีบางอย่างจะมอบให้ท่าน รับไว้
คิวบิยื่นบางอย่างมาให้ริวกะ มันเหมือนหนังสือตำราโบราณที่เขาไม่สามารถประเมินอายุได้ แต่ข้างในนั้นมีแต่ บทเวทย์มนต์ คาถาต่างๆมากมาย ริวกะอ่านเจอมนต์บทหนึ่ง เขาพยายามอ่านมันแต่ก็อ่านไม่ค่อยออก เพราะมั้งหมดนี้ถูกเขียนด้วยหมึกและเพราะอายุนานแล้ว ทำให้อักษรคันจิบางตัวอ่านยากมาก และเขาก็ไม่รู้จักด้วย
[ ริวกะ ] : นี่คืออะไรหรือครับ พี่คิสสึเนะ
[ คิวบิ ] : ตำรา โฮวคิ ไนเด็น
ริวกะนึกได้ทันทีว่า เขาได้ยินไอ้ชิโตะพูดถึงโฮวคิไนเด็นเหมือนกัน ว่าแต่มันคืออะไรกันนะ ทำไมไอ้จิโตะถึงดูแตกตื่นมากๆ ยิ่งตอนที่ริวกะใช้คาถาเพลิงของเซย์เมย์ มันก็พูดว่ามาจาก โฮวคิไนเด็น
[ ริวกะ ] : โฮวคิไนเด็นคืออะไรครับ ผมจำได้ว่าพอชิโตะ เห็นเวทย์ ดาว5แฉก ก็โวยวายว่า มาจากตำรา โฮวคิ ไนเด็น
[ คิวบิ ] : ตำรานี้เป็นตำราเวทย์มันที่เซย์เมย์ได้สืบทอดมาอีกทอดหนึ่ง และตัวเขาก็ได้ศึกษาเวทย์มนต์ต่างๆจากตำรานี้ รวมถึงบัญญัติเวทย์มนต์บางส่วนลงไปด้วย
[ ริวกะ ] : หะ ตำราของท่านเซย์เมย์
[ คิวบิ ] : ใช่ ที่ตัวท่านก็มีตำราของ ฮิเดโมโตะใช่ไหมล่ะนายน้อย
พรึ่บบ !!! ริวกะวาดมือในอากาศและปรากฏตำราเล่มหนึ่งออกมาทันที นั่นคือตำราเวทย์มนต์ของฮิเดโมโตะปู่ทวด ๆ ๆ ๆ ของเขานั่นเอง เมื่อตอนอายุ 15 ตัวเขาเองก็ได้รับตำราเล่มนี้มาจากริน โดยที่รินบอกว่า ตำราเล่มนี้มีชีวิต สามารถเรียกออกมาได้ตลอดเวลา นั่นจึงทำให้ริวกะนั้นสามารถเรียกออกมาได้นั่นเอง
[ คิวบิ ] : ก่อนเซย์เมย์จะสิ้นบุญ เขาเดินทางมาหาข้าและฝากตำราเล่มนี้ไว้ ให้กับท่าน นายน้อย
[ ริวกะ ] : เดี๋ยวๆๆ พี่คิสสึเนะ นั่นเมื่อ 1 พันปีก่อนนะครับ ทำไมพี่ถึงบอกว่าท่านเซย์เมย์ฝากมาให้ผมล่ะ ถ้าบอกว่าฝากให้ลูกหลานของอิซานางิก็ว่าไปอย่าง
[ คิวบิ ] : ไม่ !!! เซย์เมย์ระบุว่า ขอฝากโฮวคิไนเด็น ให้แก่ราชาแห่งฟากฟ้าผู้เติบโตด้วยผืนป่าและมีหัวใจของผู้นำคอยค้ำชู
[ ริวกะ ] : เดี๋ยวครับ มันเหมือนคำทำนายนะครับพี่คิสสึเนะ และทำไมถึง
[ คิวบิ ] : นายน้อย !!! ไม่รู้เหรอเจ้าคะ ว่าสตรีไม่ชอบบุรุษที่เซ้าซี้นะเจ้าคะ
[ ริวกะ ] : โหยย
คิวบิเล่นตัดบทซะดื้อๆเลย เพราะเธอคงตอบอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เธอต้องการให้ริวกะนั้น เรียนรู้ด้วยตัวเอง
[ คิวบิ ] : นายน้อย ข้าจะกลับเข้าเขตอาคมแล้วนะ ท่านไปเยี่ยมข้าบ้างสิ่ หรือท่านไม่คิดถึงพี่สาวผู้นี้แล้ว
[ ริวกะ ] : คร๊าบ ๆ ๆ ๆ ผมจะเข้าไปนะครับ
[ คิวบิ ] : เอาล่ะนายน้อย ท่านจงแสดงตนด้วยการใช้เลือดของท่านสัมผัสที่ตำรามหาเวทย์นั่นเถอะ
ริวกะนั้นยืนมองตำราเวทย์มนต์ โฮวคิ ไนเด็น ตรงหน้าราวว่าสัมผัสอะไรจากตำราเล่มนั้น เขาจึงพยายามนึกถึงเสี้ยวความทรงจำในระหว่างที่สลบอยู่ทันที ฉึบ !!! ริวกะใช้สายลมที่บางและคมกริบพัดผ่านที่มือของตนจนเกิดเป็นบาดแผลทันที เขาวาดนิ้วที่เปื้อนเลือดเป็นรูปดาว 5 แฉกไปที่ตำรานั้นทันที
[ ริวกะ ] : ถ้าข้า อิซานางิ ริวกะ ผู้สืบเชื้อสายของ อิซานางิ ฮิเดโมโตะ เป็นผู้ที่ได้รับเลือกจากท่านเซย์เมย์ให้ได้ครอบครองตำรามหาเวทย์ โฮวคิ ไนเด็น เล่มนี้ ข้าก็จะขอ อนุญาตใช้ตำราเล่มนี้เพื่อศึกษามหาเวทย์ต่างๆด้วยเถิด
ทันทีที่ริวกะเอ่ยเสร็จ วงแหวนเวทย์ ดาว 5 แฉก ก็เปร่งประกายส่องแสงทันที รวมถึงตำราเวททย์มนต์ ของฮิเดโมโตะก็เช่นกัน ทั้ง สองเล่มนั้นลอยขึ้นมาพร้อมกันต่อหน้าริวกะราวกับว่าต้องการจะสื่อว่า เจ้าได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ พรึ่บบบ !!! ตำราทั้งสองเล่มหายวับไปทันที ซึ่งริวกะก็รู้ได้ทันทีว่า ตัวเองเป็นคนที่ท่านเซย์เมย์เลือกจริงๆ ในขณะที่ริวกะกำลังจะร่ายเวทย์บางอย่างเพื่อลองวิชานั้น ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทันที
[ คิราระ ] : ทำอะไรตาบ๊องริวกะ
[ ริวกะ ] : จ๋า เปล่าจ้า อึ้ก !!!
[ คิวบิ ] : อุ๊ย !!!
ริวกะตอบไปแบบลืมตัว ทำคิราระที่ได้ยินถึงกับหน้าแดงไปหมดแล้วตอนนี้
[ คิราระ ] : งืออออออออ
[ ริวกะ ] : โนะ โนะ โนโซมิ มีอะไรงั้นเหรอ
[ คิราระ ] : ป่ะ เปล่าแค่จะมาตามหา ชอบหนีออกมาตลอดเลย ทำไมกันเนี่ย
[ ริวกะ ] : เอาะ อ๋อเปล่าๆๆๆ เอ้อ ชะ ชั้นไปทำการบ้านก่อนนะ เธอก็อย่าลืมทำการบ้านล่ะ
ริวกะรีบบึ่งไปจากตรงนั้นทันที เขาเผลอพูดหวานๆไปเสียแล้ว ไม่ได้ไม่ได้ เดี๋ยวยัยนั่นจับได้ ริวกะบ่นกับตัวเองและรีบเดินไปทันที ส่วนคิราระก็ได้แต่ยืนงง ว่าอิหยังวะ เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลย
[ คิราระ ] : เฮ้อออ ทุกทีเลย เป็นอะไรของเขานะ ชอบหนีออกมาเวลานั้นตลอด ฮึ้ย !!! ตาบ๊องริวกะ
[ คิวบิ ] : นายน้อย ท่านทำตัวไม่ถูกน่ะ อย่าไปถือสาเลยคิราระ
คิวบิที่อยู่ตรงนั้นก็ได้พูดบางอย่างออกมา ทำให้คิราระนั้
นหันไปมองและฟังด้วยความตั้งใจ อะไรคือทำตัวไม่ถูก อะไรคือสิ่งที่ริวกะเป็น
[ คิราระ ] : คะ ? อะไรเหรอคะพี่คิสสึเนะ หนูไม่ค่อยเข้าใจเลยค่ะ
[ คิวบิ ] : ที่นายน้อยชอบหนีออกมา เวลาเจ้ากำลังยิ้มมีความสุขอยู่กับคุรุมิน่ะ เพราะนายน้อยทำตัวไม่ถูก
[ คิราระ ] : ทำตัวไม่ถูกเหรอคะ ?
[ คิวบิ ] : ใช่ นายน้อยนะเกิดมาโดยที่ไม่เคยเห็นหน้าแม่เลย เขาไม่เคยถูกปฏิบัติอย่างอ่อนโยน เขาไม่เคยได้รับอ้อมกอดจากมารดา เขาจึงทำตัวไม่ถูกเวลาเห็นคนอื่นๆ มีความสุขกับแม่ นายน้อยจึงเลือกเดินหนีออกมา
[ คิราระ ] : อะไรนะคะ ริวกะไม่มีแม่เหรอคะ พี่คิสสึเนะ
[ คิวบิ ] : อื้ม นายน้อยถูกเลี้ยงมาโดยนายท่านเพียงลำพังเท่านั้น ถึงพวกข้าที่เป็นภูติเพศหญิงจะช่วยเลี้ยงดู
แต่มันก็ทดแทนไออุ่นจากมารดาไม่ได้หรอก เพราะแบบนั้นอุปนิสัยของนายน้อยจึงแปลกๆและผิดเพี้ยนไปบ้าง เจ้าอย่าถือสาเลยนะ ยังไงนายน้อยก็เป็นคนที่เจ้ารักใช่มั้ย
[ คิราระ ] : ง๊าาาา กำลังซึ้งๆเลยพี่คิสสึเนะ ทำไม วกเข้าเรื่องนี้ล่ะคะ งือออออ
[ คิวบิ ] : 555 เฮ้ออ น่ารักจริงจริ๊ง นังหนูคนนี้ ทำเป็นเหนียมอาย เจ้าไม่ใช่เหรอที่รุกหานายน้อยแบบนั้นในเขตอาคมของข้า
คิวบิย้ำถึงเรื่องคืนน้ำแตกวันนั้นอีกครั้งจนคิราระนั้นหน้าแดงหูแดงไปหมดแล้ว วันนั้นเธอเป็นฝ่ายรุกจริงๆนั่นแหละ
[ คิราระ ] : เง้ออ ฮือออ หนูเป็นคนเด็กไม่ดีใช่มั้ยคะ ฮืออออ
[ คิวบิ ] : ใช่ เจ้าเกือบจะเป็นเด็กไม่ดี ( คิราระหน้าเสีย ) แต่ข้าก็พอจะให้อภัยได้ เพราะในช่วงเสี้ยววินาทีแห่งตัฯหาราคะนั้น เจ้ายังมีสติเอ่ยปากห้ามนายน้อยไว้ ไม่ปล่อยให้ความต้องการครอบงำจิตใจ
[ คิราระ ] : ค่ะ ....
[ คิวบิ ] : คิราระ เจ้าจะทำใจได้เหรอ ถ้ารู้ว่าในอนาคตนายน้อยที่เจ้ารัก จะต้องรักหญิงคนอื่นด้วย
เรียกได้ว่านี่คือคำถามวัดใจเลยทีเดียว แน่นอนว่าคิราระรู้ว่าคิวบิหมายความว่ายังไง และหมายความถึงใคร เอาตามตรงใครจะทำใจได้ถ้ารู้ว่าชายที่ตัวเองรัก ไม่ได้รักเราแค่คนเดียว สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่เขาจะรักคนอื่น แต่เขาจะหมดรักในตัวเราหรือเปล่านั่นแหละที่น่ากลัว คิราระถึงกับเงียบเลยทีเดียว เธอปากหนักพูดไม่ออกเลยทีเดียว แต่นั่นก็ถูกใจคิวบิไม่ใช่น้อย
นางปีศาจจิ้งจอกอยากรู้ว่าตอนนี้คิราระรักหรือหลงริวกะกันแน่ เพราะต้องยอมรับว่า นายน้อยริวกะนั้นหน้าตาถือว่าหล่อเหลาไม่ธรรมดา การที่คิราระจะหลงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่คิวบิต้องการคืออยากให้คิราระรักนายน้อยของเธอจริงๆ ซึ่งไอ้อาการอึกๆอักๆ นี่แหละเป็นคำตอบได้ดีว่า คิราระไม่ได้หลงริวกะเพียงอย่างเดียว
[ คิวบิ ] : เอาเถอะๆ ค่อยๆถามหัวใจของเจ้าไปแล้วกัน นังหนูคิราระ แต่ข้าจะบอกความลับอะไรบางอย่างให้เจ้าฟัง
คิวบิยื่นหน้าไปกระซิบข้างๆหูคิราระ และเดินกลับเข้าไปในเขตอาคมทันที ทิ้งให้คิราระยืนนิ่งเพียงลำพัง
ลึกเข้าไปในเขตอาคมหลังจากคิวบิเดินเข้าไปแล้ว นางก็ได้ผ่านถ้ำๆหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนางปีศาจแมงมุมจูโรคุโมะ เพียงก้าวแรกที่ย่างกรายผ่าน จูโรคุโมะก็รับรู้ได้และออกมาต้อนรับทันที
[ จุโรคุโมะ ] : น่าแปลกใจ น่าแปลกใจ ที่เจ้าเดินผ่านมาทางนี้คิวบิ
[ คิวบิ ] : ข้าไปแวะดูอาการของนายน้อยมาน่ะ นายน้อยพึ่งหายป่วย
ตึ้กๆ ๆ ๆ ๆ เพียงเอ่ยว่านายน้อยไม่สบายนางแมงมุมก็ตกใจทันที จากร่างแมงมุมขนาดมหึมา นางก็ได้จำแลงกลายกลับมาเป็นหญิงสาวหน้าตาคมเข้ม แววตาแหลมคมไม่ต่างจากคมเขี้ยวของนางเลย ร่างอ้อนแอ้นอรชรยืนประจันหน้ากัน ราวกับนางงามที่ประชันกันตอนไฟนอลวอล์ค ใครเห็นภาพตอนนี้รับรองว่ามีหัวใจวายตายแน่นอน 1 ปีศาจจิ้งจอก 9 หางที่ผิวขาวสวยราวกับหิมะ แววตาแหลมคมชวนให้สบตา หน้าตาสะสวย ขาวผ่องแม้ยามราตรีก็มิอาจบดบงรัศมีความงามได้
กับ 1 ปีศาจแมงมุมร่างมนุษย์ของนางนั้นสวยสะกดราวกับว่า ชายใดที่ได้สบตาต้องหลงสเน่ห์ของนางจนไม่อาจหักห้ามใจ ราวกับแมลงตัวน้อยๆที่ติดอยู่ในวังวนใยแมงมุม ที่รอวันโดนขย้ำเท่านั้น อีกทั้งชุดโกธิคโลลิต้าสีดำนั้นก็ยิ่งทำให้นางปีศาจแมงมุมตนนี้น่ามอง น่าค้นหายิ่งนัก แม้แต่ความมืดมิดยามราตรีก็ถูกความงามของนางกลืนกินไปจนสิ้นเช่นกัน
[ นางแมงมุม ] : นายน้อยเป็นเล่นไรบ้าง คิวบิ
[ คิวบิ ] : สาหัสเลยล่ะ ถึงขั้นตาบอดเลยทีเดียว
[ นางแมงมุม ] : ห้ะ !!! ( เตรียมวิ่ง )
[ คิวบิ ] : ( ดึงไว้ ) เดี๋ยวก่อนจูโรคุโมะ ตาของนายน้อยกลับมามองได้แล้ว เจ้าใจเย็นๆสิ่
คิวบิดึงนางแมงมุมไว้ก่อนที่จะทำอะไรกะโตกกะตาก จากนั้นคิวบิก็เริ่มพูดคุยและเล่าทุกอย่างให้นางแมงมุมสหายปีศาจพันปีได้ฟัง นางยิ่งฟังอาการก็ยิ่งออก แววตาของนางดูเป็นห่วงริวกะเอาซะมากๆเลย
[ นางแมงมุม ] : นายน้อยจะไม่เป็นอะไรแล้ว ใช่มั้ยคิวบิ
[ คิวบิ ] : อื้ม กลับมาแข็งแรงแล้ว แต่ข้าว่าเจ้ามีงานใหญ่แล้วล่ะ
[ นางแมงมุม ] : งานใหญ่ งานอะไรงั้นเหรอ
[ คิวบิ ] : หลังจากนายน้อยใช้เพลิงสุริยะ และ จักรพรรดิเพลิงนั้น ชุดของนายน้อยไม่ถูกเผาไหม้ไปด้วย เพราะมันทำมาจากใยแมงมุมของเจ้า ต่อไปนี้ชุดทุกชุดของนายน้อย คงต้องรบกวนเจ้าแล้วล่ะจูโรคุโมะ ใช้ความรู้ด้านแฟชั่นที่ไปเรียนมาให้เต็มที่ล่ะ อุสส่าห์ฝืนใจไปเรียน เพื่อใครกันน๊าาา
[ จูโรคุโมะ ] : คิ คิ คิวบิ พูดอะไรเนี่ย
[ คิวบิ ] : เมื่อ 1 พันปีก่อนทั้งเจ้าและข้า ถูกขอร้องจากเจ้าหนูเซย์เมย์ ยังจำได้รึเปล่า
•••• ภาพ Flash Back ••••
[ จูโรคุโมะ ] : จอมเวทย์ผู้ใดที่ย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตของข้า แสดงตนออกมาเดี๋ยวนี้
[ เซย์เมย์ ] : ข้าเองขอรับ ท่านจูโรคุโมะ
[ จูโรคุโมะ ] : เหตุใด มหาองเมียวจิเฉกเช่นเจ้า ถึงเดินทางมาพบข้าเช่นนี้ล่ะ เซย์เมย์
[ เซย์เมย์ ] : ท่านจูโรคุโมะ ในภายภาคหน้า ข้าอยากให้ท่านช่วยดูแลเด็กในคำทำนายของข้าด้วย มหาอัคนีเวทย์ของข้า และ เปลวเพลิง ของเด็กคนนั้นจะไม่สามารถเผาไหม้เส้นใยแมงมุมของท่านได้ ข้าขอฝากท่านด้วยนะ
[ จูโรคุโมะ ] : อย่าทำแบบนี้ มหาองเมียวจิ อย่ามาผลักดันภาระให้ข้า
[ เซย์เมย์ ] : ไม่เลยท่านจูโรคุโมะ นี่ไม่ใช่ภาระ เด็กคนนั้นจะเติมเต็มบางอย่างให้กับตัวท่านในภายภาคหน้า ข้าเห็นแบบนั้น
•••• ปัจจุบัน ••••
นางแมงมุมจูราคุโมะ นึกถึงอดีตที่ อาเบะ โน เซย์เมย์ ได้เดินทางมาหานางและกล่าวคำๆนั้น แรกนั้นนางก็ไม่เข้าใจ แต่พอมาวันนี้นางได้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าสิ่งที่เซย์เมย์พูดเมื่อ 1 พันปีก่อนนั้นหมายความว่าอย่างไร
[ นางแมงมุม ] : ได้เลย ให้ข้าจัดการเอง แล้ว.....
[ คิวบิ ] : อยากเจอนายน้อยก็ออกไปสิ่
[ นางแมงมุม ] : ข้าไม่ชอบโลกข้างนอก มันวุ่นวาย กลิ่นก็เหม็นสาบ เจ้าก็รู้
[ คิวบิ ] : ข้ากับคาราสึ เทนงู กางเขตอาคมไว้ เจ้าก็รู้ อีกอย่างทั้งเขตบริเวณบ้านใหญ่ภายนอกเขตอาคม ข้ายังกางเขตอาคมทับไว้อีกชั้น พวกเราเหล่าภูติสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระอยู่แล้ว เจ้าน่ะควรออกไปข้างนอกบ้างนะ
[ นางแมงมุม ] : อย่าว่าแต่ข้าเถอะ เจ้าก็เหมือนกั~ ( เจ้าก็เหมือนกันที่อยู่แต่ในเขตอาคม )
[ คิวบิ ] : อ๊ะๆๆ ( พูดแทรก ) นี่ไงข้าพึ่งกลับเข้ามา ไม่เหมือนบางตน คิดถึงใจจะขาดแต่ไม่ยอมออกไปซักที 5555 ข้าไปดีกว่า ได้เวลาอาบน้ำแล้ว
[ นางแมงมุม ] : เดี๋ยวสิ่ แล้วนายน้อยแข็งแรงดีรึเปล่า ชุดที่ข้าถักทอให้นายน้อยชอบรึเปล่า
[ คิวบิ ] : นี่นางแมงมุมเอ๋ย ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเอง เจ้าน่ะถึงอายุจะเท่าข้า แต่เพราะด้วยสายพันธ์ุและวงจรชีวิต จึงทำให้เจ้าต้องจุติทุกๆ 400 ปี ถึงความทรงจำของเจ้าจะมีมานับพันปี แต่ตอนนี้ถ้าให้นับๆแล้ว เจ้าพึ่ง 200 ปีเองนะ จะมีความรักแบบเด็กๆก็ไม่แปลก 555
[ นางแมงมุม ] : ไม่ ไม่ ไม่ใช่นะ
[ คิวบิ ] : โอ๋ๆ ๆ ๆ น่ารักจริงเชียวนางแมงมุมตัวน้อยๆ
[ นางแมงมุม ] : ไม่ใช่แบบนั้นนะ ไม่ใช่ๆ ๆ ๆ ๆ ท่านเป็นถึงนายเหนือหัวของเรา จะให้ข้าคิดแบบนั้นได้ยังไง
คิวบิหัวเราะยกใหญ่เลยพอเจออาการของจูราคุโมะแบบนี้ นางเดินกลับไปหาและลูบหัวของนางแมงมุมทันทีก่อนจะกระซิบว่า
[ คิวบิ ] : ถ้าถึงเวลาที่สมควร เดี๋ยวเจ้าจะรับรู้ว่าท่านเป็นมากกว่าเจ้านาย เหมือนที่ 5 ปีก่อน นังหนูฮิคาริรับรู้ด้วยร่างกายตนเองยังไงล่ะ
นางปีศาจแมงมุมสุดสวยถึงกับหน้าแดงแจ๋ไปหมด นางได้แต่อ้ำๆอึ้งๆพูดไม่ออก แต่นางจิ้งจอกกลับหัวเราะชอบใจใหญ่เลย นางปล่อยให้ปีศาจแมงมุมเขินหน้าแดงอยู่ตนเดียว ส่วนนางก็เดินกลับไปยังบ้านพักของนางทันที ปีศาจแมงมุมนั้นยืนมองไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นทิศของทางออกจากเขตอาคมนี้ นางมองและแอบยิ้มอยู่ในใจก่อนจะบอกตัวเองว่ายังไม่ถึงเวลา ก่อนที่จะค่อยๆเดินกลับเข้าไปในถ้ำเพื่อพักผ่อนและนั่งสมาธิบำเพ็ญภาวนา
•••••
หลังจากที่คิราระได้ฟังเรื่องที่คิวบิกระซิบเธอก็เดินอ๊องๆ เหม่อลอย หน้าแดงกลับมาทันที โดยที่ไม่กล้าเลี้ยวเข้าไปหาริวกะเลย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย และไม่นานเธอก็กลับมาที่บ้านใหญ่อีกครั้ง ซึ่งตอนนี้นูระริเฮียงกับคาราสึ เทนงู ( รินสะกดไว้ในร่างมนุษย์เพราะถ้าหลับจะคืนร่าง ) ก็เมาแอ๋กันเรียบร้อย
ชินก็ไปนั่งสมาธิ ส่วนรินกับมิไรก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนแล้ว ยามิและโคฮาคุหลังจากช่วยคุรุมิเก็บพวกจาน และภาชนะต่างๆก็พากันไปพักนั่งสมาธิที่ตำหนัก กัปปะก็นอนหลับไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงคุรุมิ และแม่บ้านคนอื่นๆที่กำลังเก็บกวาดห้องอาหารอยู่
[ คิราระ ] : หนูช่วยนะคะแม่
[ คุรุมิ ] : ไม่ต้องๆ ลูกไปจัดห้องนอนเถอะ
[ คิราระ ] : ก็ช่วยแม่ก่อนไงคะ แล้วค่อยไปจัดห้อง
[ คุรุมิ ] : จ้าจ้า ลูกคนนี้ มามา ช่วยแม่กับน้าๆ ( แม่บ้านคนอื่น ) เก็บของหน่อย คุณคุโระ กับคุณเจ้าของบ้านเช่า เอ้ย คุณนูระ เมาหลับไปแล้ว ระวังๆหน่อยละลูก ( เอ่ยชื่อจริงไม่ได้ แม่บ้านคนอื่นอยู่เพียบ )
[ คิราระ ] : ค่ะ แม่
ทั้งสองแม่ลูกและแม่บ้านอีก 3 คน ช่วยกันเก็บกวาดห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน วันนี้คิราระมีความสุขมาก เธอได้อยู่กับแม่ เธอได้เจอหน้าพ่อ เธอได้อยู่ใกล้ชายคนที่รัก อะไรมันจะสุขใจไปมากกว่านี้ และสองแม่ลูกก็ช่วยกันจัดห้องหับ จัดที่นอนจนเกือบถึงเที่ยงคืน ถึงจะเหนื่อยจะเพลียจะง่วง แต่สองแม่ลูกก็มีความสุขมากจริงๆ
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าชินไปนั่งสมาธิ คาราสึ เทนงู นูระริเฮียงเมาหลับ รินพักผ่อน มิไรพักผ่อน ยามิ โคฮาคุ กัปปะ หลับหมด แล้วฮิคาริล่ะ ฮิคาริไปไหน
••• ในเขตอาคม •••
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน