จากคนเขียน "ตอนที่ 2" นี่บอกก่อนนะครับว่าซ่อนเนื้อหาไว้เยอะพอสมควร
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากคืนนั้น นันได้เข้ามาอยู่ในชีวิตของทิมมากขึ้น เธอมาค้างที่ห้องของทิมบ่อยครั้ง ชีวิตรักของทั้งคู่เป็นไปด้วยดี รวมถึงการมีเซ็กส์ที่ต่างฝ่ายต่างมอบความสุขอย่างเต็มเปี่ยมให้อีกฝ่าย ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี นันไม่เคยเร่งรัดให้ทิมแต่งงานกับเธอเพราะรู้ดีว่าทิมนั้นกำลังสร้างฐานะ เช่นเดียวกับเธอ ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันอย่างดี จนวันหนึ่งหลังจากเลิกงานนันกลับมาที่ห้องของทิม จากที่คุยกันเรื่องทั่วๆไปจนกลายมามีเซ็กส์กัน ทิมนั่งอยูริมเตียงส่วนนันนั้นนั่งกับพื้นก้มหน้าไปที่กลางลำตัวของทิมกำลังใช้ปากอมควยให้กับทิม ทิมครางออกมาเป็นระยะกับความเสียวที่มาจากปากของแฟนสาว นันทั้งอมทั้งเลียจนพอใจก่อนจะลุกขึ้นยืนและมานั่งคร่อมทิมเธอใช้มือคล้องที่คอทิม ขาทั้งสองคล้องไปรอบเอวเหมือนกับทิมที่ใช้มือทั้งสองโอบรอบเอวที่คอดกิ่วของนัน นันค่อยๆขยับตัวเอาหีไปครอบที่ควยของทิมแล้วโยกตัวดันไปจนสุดก่อนจะเป็นเริ่มเป็นฝ่ายขย่ม เสียงโหนกเนื้อของทั้งคู่กระทบกันพร้อมกับเสียงครวญคราง นันหลับตาพริ้มแล้วขย่มตัวอย่างต่อเนื่อง เซ็กส์ของเธอกับทิมนั้นเร่าร้อนตลอดทั้งคู่ไม่เคยเบื่อทั้งๆที่เอากันมาตลอด2-3 ปี ต่างฝ่ายต่างแสวงหาสถานที่หรือท่ารักใหม่ๆมาตลอด แทบทุกวันหยุดทั้งคู่ต่างไปหาสถานที่ใหม่ตามต่างจังหวัด เพื่อเพิ่มรสชาติให้ชีวิตรัก เธอขย่มไม่หยุด ช้าสลับเร็วจนเริ่มจะถึงจุดหมายเธอเร่งจังหวะขึ้นจนน้ำกามของทิมพุ่งเข้าในรูหีของเธอพร้อมการตอดรัดนันเกร็งไม่ทั้งตัวแต่กดหน้าของทิมให้มาซบทรวงอกของเธอ
เธอชอบให้ทิมหลั่งในมากกว่าใช้ถุงยาง ส่วนมากเธอจะกินยาคุมกันไว้ก่อนมีบางครั้งถ้าไม่ทันจริงๆก็ใช้ถุงยาง ครั้งนี้ก็เช่นกันที่น้ำกามของทิมทะลักเข้าไปในรูหีของเธอ ลมหายใจอุ่นๆและถี่ๆของทั้งคู่ ดังไม่หยุดจนทิมเอนกายลงไปนอนบนเตียง นันที่อยู่ข้างบนเอาปากไปทาบกับปากของทิมทั้งคู่แลกลิ้นกันชั่วครู่ ทิมเลื่อนกายไปที่หัวเตียงแล้วหนุนหมอน นันนั้นนอนซบอกของทิมทั้งคู่ต่างเงียบจนนันเป็นฝ่ายถามขึ้น
“พี่ทิมเป็นอะไรหรือเปล่าเห็นดูเงียบๆ นันว่าพี่ทิมนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว”
ทิมกอดนันแน่นขึ้นก่อนจะตอบ
“มีบริษัทที่อเมริกาติดต่อพี่มา ทางนั้นเสนองานให้ ทุกอย่างสูงขึ้นหมดทั้งตำแหน่งทั้งเงินเดือน มีบ้านพักมีรถให้”
“แล้วพี่ทิมว่ายังไงคะ”
นันถามด้วยความตกใจพร้อมผงกหัวขึ้นมาสบตาแฟน ทิมถอนหายใจก่อนจะบอก
“พี่ยังคิดอยู่ เพราะถ้าไปจริงๆมันก็ต้องห่างนัน แต่ทุกอย่างของพี่จะดีขึ้นอนาคตเราจะสบายขึ้น ทางนี้นอกจากนันแล้วพี่ก็ไม่ต้องมีอะไรห่วงพี่กุ๊กก็มีครอบครัวไปแล้ว พี่คิดหนักเหมือนกัน”
หญิงสาวไม่ตอบอะไรแต่พลิกกายลงไปบนเตียงแล้วนอนหันหลังให้ เธอเริ่มหวั่นไหวเหมือนกัน ทิมนั้นเวลามีอะไรแล้วดูออกง่ายเธอสงสัยมาหลายวันแล้ว นันรู้ว่าช่วงหลังทิมนอนไม่ค่อยหลับ ตอนแรกเธอนึกว่าทิมเครียดเรื่องงาน วันนี้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเพราะอยากให้ทิมผ่อนคลาย แต่พอรู้ความจริงมันทำเอาเธอไม่สบายใจเพราะพอจะเดาออกว่าสุดท้ายทิมต้องเลือกที่จะไป เพราะทิมนั้นรักความก้าวหน้า พยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองไปสู่ความสำเร็จเพราะปมด้อยเรื่องความกำพร้าทิมเหมือนจะเดาความคิดของนันออก จึงเอามือมาโอบกอดแล้วดึงร่างเธอเข้าชิดพร้อมจูบไปที่ผมของหญิงสาว นันปล่อยให้ทิมกอดก่อนจะหลับไปทั้งที่ยังนอนเปลือยกายอยู่ทั้งคู่ด้วยความอ่อนเพลีย จนช่วงดึกนันตื่นขึ้นมาแล้วหันไปดูทิมที่นอนอยู่ข้างๆที่ยังหลับสนิท เธอพลิกตัวพร้อมเบียดตัวเข้าไปชิดมากขึ้นมือลูบไปที่ใบหน้าทิมอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนมาทรวงอกแล้วลูบคลำไปมา ทำให้ทิมนั้นตื่นแล้วหันมามองเธอ พร้อมจับมือเธอไปที่ควยที่ยังอ่อนนุ่มอยู่
“กินให้พี่หน่อย”
เธอสนองตอบทันที นันพลิกตัวขึ้นมานอนบนตัวทิมเอาปากประกบเพื่อปลุกอารมณ์แลกจูบกันสักครู่ก่อนจะเลื่อนหน้ามาที่หัวนมของทิม ส่วนมือนั้นรูดควยไม่หยุด จนควยของทิมเริ่มแข็ง นันจึงเลื่อนตัวลงไปด้านล่าง ใช้ลิ้นเลียไปที่ควยของทิมจนทั่ว แล้วถึงไปบริเวณส่วยหัวที่บานขยายคราบน้ำรักจากเกมส์รักเมื่อค่ำยังติดอยู่ เธอเลียอย่างไม่รังเกียจก่อนจะเอาปากครอบ นันผงกหัวอย่างต่อเนื่องเธอใช้ทั้งปากทั้งลิ้น ทิมนั้นส่งเสียงครางเป็นระยะ จนมือจับที่บ่าของนันบีบแน่นพร้อมด้วยอาการเกร็งตัวและน้ำกามพ่นเข้าสู่ปากของแฟนสาว นันรับน้ำกามอย่างเต็มใจเหมือนทุกครั้งเธอกลืนจนหมดแถมใช้ลิ้นเลียทำความสะอาดให้จนทั่ว ทิมหายใจแรงๆต่อเนื่องพร้อมประคองหน้าแฟนสาวขึ้นปากของนันมีคราบน้ำรักของตนติดอยู่ เธอสบตาทิมแล้วก้มไปซบที่หน้าท้องของทิม พอพักจนหายเหนื่อยทิมชวนนันไปห้องน้ำและในห้องน้ำทิมตอบแทนด้วยการเลียหีให้กับนัน ทำเอาคืนนั้นทั้งคู่ต่างหลับไปด้วยความอ่อนเพลียทำให้ไม่นึกถึงเรื่องที่ทิมบอกนัน
ต่อมาความกลัวของเธอเป็นจริง เมื่อทิมตัดสินใจจะไปทำงานที่อเมริกาทั้งๆที่เธอขอร้องแต่ไม่สำเร็จ จนเธอต้องตัดสินใจขอเลิกทั้งน้ำตา เลิกทั้งๆที่ยังรักทิมสุดหัวใจ วันสุดท้ายที่เจอกันทิมดึงเธอเข้ามากอดพร้อมพูดอวยพรทั้งน้ำตาเช่นเดียวกับเธอ
จนถึงวันนี้ที่มาเจอทิม เพราะหัวใจเรียกร้อง เธอรู้ดีว่าที่ผ่านมาที่ทิมทำเฉยชาไม่พูดหรือส่งความถึงเธอ เพราะอยากให้เธอตัดใจ และวันนี้ที่มาเจอเธอรู้ดีว่าทิมตัดใจจากเธอไม่ได้ อาการที่แสดงออกให้เห็น รวมถึงการเดินทางอย่างบ้าระห่ำหลังจากรู้เรื่องของเธอ นันรู้ดีว่าทิมทำเพื่อจะให้เรื่องที่เธอจะแต่งงานไม่มารบกวนจิตใจ เธอจึงต้องมาพบให้ได้แต่เหมือนกับที่เพื่อนที่บอกมาเจอกันแบบนี้มันยิ่งเจ็บปวดทั้งคู่ ยิ่งคิดยิ่งน้ำตาไหล นันร้องไห้ไม่หยุดจนถึงโรงแรม ปุ๊กได้ปลอบโยนเพื่อนตลอด ก่อนจะให้เพื่อนกินยานอนหลับเพื่อจะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ จนถึงเวลานัด นันนั้นพยามปรับอารมณ์ การได้นอนแม้ชั่วครู่มันทำให้เธอดีขึ้นแม้จิตใจยังเศร้าหมอง ทั้งคู่ต่างลงมาที่ล็อบบี้โรงแรม และพบลอเรลรออยู่แล้ว เธอยิ้มกว้างก่อนเดินนำทั้งคู่ไปหน้าโรงแรม รถยนต์หรูยี่ห้อเบนลีย์แบบ 5ประตูรุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมคนขับรถผู้หญิงที่อยู่ในชุดสูทสีดำรวบผม ติดหูฟังสีขาว เป็นคนเปิดประตูให้ทั้งสองสาวขึ้นรถ ส่วนลอเรลก้าวขึ้นไปนั่งหน้าคู่กับคนขับ พอรถเคลื่อนตัวเลขาสาวสวยของทิมหันมาพูดพร้อมรอยยิ้ม
“เราจะใช้เวลาไปบ้านบอสประมาณ 45 นาทีนะคะ ถ้ารถไม่ติด”
“ขอบคุณมากคะคุณลอเรล แล้วนี้เป็นรถประจำตำแหน่งของพี่ทิมหรือคะ”
ปุ๊กเป็นฝ่ายถาม ลอเรลยิ้มๆก่อนจะตอบ
“รถส่วนตัวของบอสคะ พึ่งซื้อไม่นานนี้เอง แต่คนขับเป็นคนของบริษัทคะ”
ถึงจะดูแปลกๆกับคนขับที่มีหูฟังวิทยุแต่ปุ๊กกับนันมองข้ามไป และเป็นฝ่ายชวนเลขาของทิมคุยตลอดทาง ไม่นานนักตามเวลาที่ลอเรลบอกรถคันหรูได้วิ่งมาถึงอาณาบริเวณบ้านหรูหลายสิบหลัง ทั้งปุ๊กกับนันมองไปบ้านทั้งสองข้างทาง ซึ่งดูออกว่ามันเป็นถิ่นของบ้านหรูมีระดับแต่ละหลังอยู่ห่างกันพอสมควรไม่มีรั้วบ้านกั้นหน้าบ้านแต่ละหลังนั้นปลูกต้นไม้และหญ้าที่เรียบทุกหลัง ลอเรลอธิบายให้ฟังว่า
“ตอนแรกๆบอสพักห้องชุดที่ทางบริษัทเช่าให้คะ แต่บอสคงไม่ชอบเท่าไหร่ เลยหาซื้อบ้านดิฉันก็ช่วยหาเป็นจังหวะพอดีที่เจ้าของเก่าประกาศขาย บอสย้ายมาอยู่ที่นี้ได้ปีเศษแล้วคะ ย่านนี้เป็นย่านที่ปลอดภัยมากคะ”
นันรู้ดีว่าเพราะอะไรเพราะตอนที่คบกัน ทิมบอกตลอดว่าจะเก็บเงินซื้อบ้านให้ได้ก่อนแล้วถึงจะแต่งงานกับเธอ ทิมไม่ชอบอยู่ในห้องบอกตลอดว่ามันอึดอัดสู้อยู่บ้านไม่ได้ ต่อให้ห้องนั้นหรูหราขนาดไหน จนรถจอดหน้าบ้านหลังหนึ่ง คนขับรถรีบลงมาเปิดประตูให้ ลอเรลเดินนำทั้งคู่ไปที่บ้าน หลังจากที่เคาะประตูไม่นาน ประตูถูกเปิดออกทุกคนเห็นเจ้าของบ้านยิ้มให้ และหันไปบอกลอเรล
“ขอบคุณมากลอเรล แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
“คะบอส”
แล้วหันมาทางแขกพิเศษของเจ้านาย
“ขอตัวก่อนนะคะ”
“อ้าวแล้วไม่ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนหรือคะ”
เป็นนันที่ถาม พร้อมมองไปที่ทิมด้วยสายตาดุๆเหมือนจะถามว่าทำไมไม่ชวนลอเรลทานข้าวด้วย แต่แล้วก็เข้าใจเมื่อได้ยินคำตอบจากเลขาสาวสวยถึงจะสร้างความประหลาดใจพอสมควร
“ลูกสาวรออยู่คะ”
เธอตอบก่อนจะกล่าวทั้งคู่ นันกล่าวขอบคุณเธอจากใจจริง ทิมยิ้มให้เลขาก่อนจะพาแขกพิเศษทั้งคู่เข้าไปในห้องรับแขก นันสังเกตอย่างรวดเร็ว บ้านหลังนี้ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแฝงไปด้วยความหรูหรา ในห้องรับแขก มีภาพที่คุ้นตาของนันตั้งอยู่คือภาพของปู่กับย่า และภาพพ่อกับแม่ทิม ภาพวันที่ทิมรับปริญญาที่ในภาพมีลุงกับป้าและพี่สาว พร้อมกับภาพของพี่กุ๊กและครอบครัว และภาพที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่บนหลังตู้หนังสือที่สูงระดับเอวคือ ภาพของทิมที่ถ่ายคู่กับหลานสาว ที่หน้าบ้านหลังนี้ นันรู้ดีว่าทิมนั้นรักหลานคนนี้มาก ทำเอาเธออดยิ้มไม่ได้ ทั้งคู่ต่างนั่งหลังจากเจ้าของบ้านเชื้อเชิญ
“แต่งบ้านได้สวยมากเลยคะพี่ทิม”
ปุ๊กนั้นกล่าวชม ทิมยิ้มก่อนจะตอบ
“ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากจากเจ้าของเดิม ดีที่พี่ได้แม่บ้านดี เค้าดูแลบ้านดีมาก”
“อ้าวแล้วไหนละคะพี่”
“แม่บ้านแบบไปกลับนะ เค้าจะมาช่วงเช้าและเย็นก็กลับ แต่ทำงานบ้านได้ดีมากเป็นคนโคลัมเบียนะ ช่วงไหนพี่ไม่อยู่บ้านไปต่างประเทศก็มีเค้าที่ดูแลให้”
“บ้านสวยนะคะพี่ แต่ทำไมมันดูขาดชีวิตวีวา”
เป็นคำถามจากนันซึ่งทิมนั้นรู้ว่าแฟนเก่าหมายถึงอะไร
“พี่ก็อยากจะหาอะไรมาเลี้ยงนะ แต่ไม่มีเวลาดูแลขนาดปลาพี่ยังไม่เลี้ยงเลย ถ้ามีหมาสักตัวมันก็ดีแต่พี่ก็ต้องมาห่วงมาสงสารอีกเพราะอยู่ไม่ค่อยติดบ้านเดินทางบ่อย เอาแบบนี้ดีแล้วไม่ต้องห่วงพะวง”
นันยิ้มอย่างเศร้าๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะตอนที่อยู่เมืองไทยทิมนั้นอยากเลี้ยงหมามากแต่อยู่ห้องนั้นเลี้ยงไม่ได้ นอกจากเลี้ยงปลาซึ่งทิมนั้นนั่งดูตู้ปลาได้เป็นชั่วโมง จนเธอเคยแหย่ว่าทิมรักปลามากกว่าเธอ นันเปลี่ยนไปคุยเรื่องการเดินทางของทิมว่าคงสะดวกขึ้นเยอะเพราะมีเครื่องบินส่วนตัว ทิมยิ้มอย่างเหนื่อยๆก่อนจะตอบ
“มันก็สะดวกดีนะ ไม่ต้องรออะไรไปถึงก็ขึ้นเครื่องได้เลย ถ้าเร่งด่วนจริงๆในประเทศทำเรื่องขอก็ใช้เวลา45นาทีถึงชั่วโมง ถ้าบินต่างประเทศก็ 2 ชั่วโมงแล้วจุดหมายที่จะไป ถ้าเป็นเส้นทางที่บินบ่อยก็สะดวกขึ้นอย่างไปสิงคโปร์ใช้เวลาทำเรื่องไม่เกิน ชั่วโมงเพราะบริษัทมีสำนักงานที่นั่นเราเดินทางไปบ่อย”
“พี่ก็น่าจะย้ายไปสิงคโปร์นะคะ ไม่ต้องไกลบ้าน”
นันถามแต่แฝงไปด้วยนัยยะ ทิมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“สิงคโปร์เป็นแค่สาขาไม่ใช่สำนักงานใหญ่”
ทำเอาปุ๊กต้องเปลี่ยนเรื่องคุย จนทิมเชิญทั้งคู่ไปที่ห้องอาหาร ที่อยู่ด้านหลัง ห้องอาหารนั้นเป็นพื้นไม้อยู่ต่ำกว่าระดับของบ้านมองผ่านกระจกบานใหญ่ออกไปจะเป็นสวนหลังบ้าน อาหารตั้งอยู่บนโต๊ะขนาดที่นั่งได้ 4-6 คน นันมองไปที่อาหารแล้วถอนหายใจเบาๆ เพราะอาหารนั้นเป็นของชอบของเธอหลายอย่าง ทิมเชิญทั้งคู่นั่ง นันกับปุ๊กนั่งติดกัน ส่วนทิมนั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมเชื้อเชิญไปยังทั้งคู่
“เอ้าเชิญเลยไม่ต้องพิธีรีตอง”
ทิมพูดพร้อมตักอาหารให้ทั้งคู่ นันอดไม่ได้จึงถามไปที่แฟนเก่า
“พี่ทิมทำเองหรือเปล่าคะนี่ ดูน่าทานไปหมด”
ทิมยิ้มๆก่อนจะตอบ
“พี่ซื้อเอานะ พี่ทำอาหารเป็นซะที่ไหนนอกจากพวกทอดง่ายๆ”
ทิมเกือบจะหลุดปากตอไปว่า”เราก็รู้อยู่แล้วนี่”แต่หยุดไว้ทัน
“แล้วแต่ละวันพี่ทิมซื้อตลอดเลยหรือคะนี่”
คราวนี้ปุ๊กเป็นคนถาม
“แล้วแต่นะ อย่างมื้อเช้าถ้ารีบๆ พี่ก็ทำง่ายๆพวกแซนวิสหรือไม่ก็ทอดแฮมไช่ดาวอะไรแบบนี้ แต่ส่วนใหญ่พี่จะไปกินที่ร้านประจำมีอยู่2 ร้าน กลางวันก็แล้วแต่บางทีทำพวกอาหารง่ายๆไปกิน หรือไม่ก็ออกไปกินตามร้าน มื้อเย็นก็แวะหาอะไรกินก่อนบ้างบางครั้งแม่บ้านก็จะทำไว้ให้ เอาสะดวกเข้าว่า วันศุกร์ก็อาจทานมื้อเย็นกับพวกผู้บริหารด้วยกันบ้าง แต่มันต่างกับตอนมาเรียนตอนนั้นประหยัดทุกอย่างแต่ตอนนี้เราเลือกกินได้สบายมากขึ้นนะ”
นันนั่งฟังเงียบๆเพราะรู้ดีว่าแฟนเก่าตนเองนั้นสมัยมาเรียนที่สหรัฐลำบากขนาดไหน แต่ก็นั่งฟังเพื่อนพูดกับทิมต่อ
“พี่ทิมคะลอเรลแต่งงานแล้วหรือคะไม่น่าเชื่อ หุ่นดีมากๆปุ๊กยังอิจฉาเลย”
“ใช่แล้ว ลูกสาวอายุขวบกว่าๆ เค้ากับแฟนให้พี่เป็นพ่อทูนหัวลูกสาวเค้าด้วยนะ”
“อ้าวหรือคะ แปลว่าพี่กับลอเรลสนิทกันมากเลย”
“ใช่แล้วลอเรลเป็นเพื่อนพี่ตั้งแต่สมัยเรียน พอพี่มาทำงานเลยชวนเค้ามาทำด้วยกัน จริงๆตำแหน่งเค้าคือผู้ช่วยพี่นั่นแหละ แต่ทำไปทำมากลายเป็นเลขาด้วย พี่ต้องการคนที่เก่งเรื่องตัวเลขมาช่วย ก็เลยนึกถึงเค้า ให้มาช่วย ลอเรลบ้านเค้าอยู่ที่วอชิงตันอยู่แล้ว ทำงานเป็นครูเหมือนกับแม่เค้านั่นแหละ พี่ชวนเค้าก็ตกลงมันก็เลยสะดวกขึ้น ตอนสมัยเรียนเค้านี่แหละที่ช่วยเหลือพี่แทบทุกเรื่อง”
ทำให้นันนึกออกทันทีเพราะทิมเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆว่าสมัยที่เรียนปริญญาโทมีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงคอยช่วยเหลือแต่เธอจำชื่อไม่ได้ก่อนที่จะฟังทิมเล่าเรื่องต่อ
“ตอนพี่มาเรียนใหม่ๆนะมีปัญหาพอสมควรโดยเฉพาะเรื่องภาษาต่อให้เราคิดว่าเก่งมาแล้วพอมาเจอของจริงก็แทบไปไม่เป็น แต่ลอเรลนี่แหละคอยช่วยเหลือพี่ คอยบอกพี่เรื่องศัพท์ที่ใช้พูดอย่างง่ายๆ ลอเรลเป็นคนมีน้ำใจทำให้กลายเป็นเพื่อนสนิทพี่ พ่อกับแม่เค้าพี่ก็รู้จักดี รู้จักตั้งแต่ตอนเรียน พ่อกับแม่เค้ามาเยี่ยมเลยชวนพี่ไปกินข้าวทำให้สนิทกันดี รวมถึงสามีของเค้าด้วย”
“แล้วนี่พ่อกับแม่ลอเรลอยู่ที่ไหนละคะ”
“วอชิงตันนี่แหละแต่อีกฟากหนึ่ง วันหยุดบางทีเค้ายังชวนพี่ไปกินข้าวด้วยเลย”
ทิมเล่าให้ฟังอย่างละเอียด พ่อกับของลอเรลนั้นเกษียณแล้วทั้งคู่ แม่เคยเป็นครูส่วนพ่อเคยทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูงของซีไอเอมาก่อน พอเล่าถึงตรงนี้ทั้งปุ๊กกับนันยิ่งสนใจเพราะคำว่า “ซีไอเอ” แต่ทิมนั้นอธิบายให้ทั้งคู่รู้ว่าพ่อของลอเรลไม่ใช่สายลับแบบในหนังแต่เป็นข้าราชการระดับสูงที่คอยดูเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเท่านั้น ส่วนแฟนของลอเรลเป็นตำรวจลับที่คอยคุ้มกันรมต.คลัง จึงอาศัยอยู่ในวอชิงตัน
“เท่ากับว่าใหญ่โตกันทั้งบ้าน”
ปุ๊กสรุปให้ ทิมได้แต่ยิ้มๆ นันได้เสริม
“บริษัทพี่ทิมนี่ พนักงานหน้าตาดีหลายคนนะคะ คุณนาตาลีก็ทั้งสวยทั้งหุ่นนางแบบ”
“นาตาลีเค้าทำงานที่นี่มานานแล้ว”
ทิมตอบสั้น แต่ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นได้ว่าทิมมีอาการชะงักอยู่แต่ชั่วขณะเท่านั้นเมื่อเอ่ยถึงนาตาลีแต่ปุ๊กถามต่อไปอีก
“พี่ทิมคะ บริษัทที่พี่ทำงานนี่เหมือนป้อมปราการเลย รปภ.เยอะมาก พกปืนกันทุกคน”
“มันเกี่ยวกับข้อมูลนะ เพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับการเงินเยอะมาก รวมถึงข้อมูลของลูกค้าที่มาลงทุนด้วยถ้าใครได้ไปนี่มันเปลี่ยนอะไรได้หลายอย่างเลย ถึงจะมีการป้องกันถูกแฮ็ค แต่เราต้องรัดกุมไว้ถ้าเกิดแฮ็คไม่ได้เอาคนมาปล้นแทนก็ได้ เลยต้องมีมาตรการระวังไว้แน่นหนา เจ้าของบริษัทเค้ากันไว้ก่อน ยิ่งวันหนึ่งเงินมันผ่านระบบหลายร้อยล้านด้วยยิ่งต้องป้องกันไง”
“แบบนี้พวกผู้ก่อการร้ายก็ไม่กล้าบุกแน่นอน”
นันได้ยินเพื่อนพูดแบบนี้รีบสะกิดขาทันทีเพราะคำกว่า”ก่อการร้าย”นี่กระทบต่อจิตใจทิมอย่างมาก ปุ๊กนั้นไม่เคยรู้เรื่องนี้ทำให้นันรีบเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะเห็นทิมมีท่าทางไม่สบายใจเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมานันจำได้ดีถ้ามีข่าวเกี่ยวกับก่อการร้ายทิมจะเปลี่ยนช่องทีวีทันที ไม่ยอมรับรู้หรือสนใจกับข่าวนั้น เพราะการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพ่อกับแม่มาจากการก่อร้ายที่ทำให้ทิมได้รับการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงและมีผลต่อชีวิตอย่างยิ่ง หลังจากที่เปลี่ยนเรื่องคุยหัวข้อนั้นเป็นเรื่องทั่วๆไปจนปุ๊กรู้สึกอึดอัดจนทานอาหารกันอิ่ม ทิมเดินไปหยิบตะกร้าผลไม้มาวางบนโต๊ะ ในตะกร้ามีผลไม้หลายชนิดแต่นันไปเห็นส้มอยู่2-3ลูก เธอเอื้อมมือไปหยิบมาลูกหนึ่งแล้วมองหน้าไปที่ทิมแล้วถามไปว่า
“พี่ทิมปอกส้มยังไงคะนี่”
ปุ๊กหันไปมองเพื่อนด้วยความสงสัยแต่ทิมกลับยิ้มออกมาอย่างสดชื่นเป็นครั้งแรก
“พี่ก็ปอกเหมือนเมื่อก่อนใช้มีดผ่าครึ่งแล้วค่อยเลาะเปลือกออก”
คำตอบของทิมทำเอานันยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหน้าแล้วปอกเปลือกส้มจนหมดก่อนจะยื่นส่งให้ทิม ที่รับด้วยความดีใจ นันหันไปบอกเพื่อนที่นั่งมองด้วยความสงสัย
“พี่ทิมปอกส้มไม่เป็นปอกเองที่ไรนิ้วเจาะเปลือกจนเละไปหมด เมื่อก่อนเราต้องปอกให้ตลอด”
ปุ๊กได้แต่ยิ้มๆ แต่สังเกตว่าทิมดูสดชื่นขึ้น
“นี่ถ้าเราไม่มาด้วยคงป้อนให้แล้วแน่ๆ”
ปุ๊กคิดอยู่ในใจ จนได้เวลาพอสมควร ทั้งคู่จึงขอตัวที่จะกลับโรงแรมซึ่งทิมให้รถพร้อมคนขับมารออยู่แล้วทิมเดินมาส่งที่รถ ก่อนจะขึ้นรถนันหันไปเหมือนจะพูดอะไรกับทิมแต่ไม่ยอมพูด ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันด้วยแววตาที่เศร้าและสีหน้าที่ซีดลงของทั้งสองคน ปุ๊กนั้นดูอาการของทั้งคู่ก่อนที่เธอกับเพื่อนจะกล่าวลาทิม หลังจากที่รถวิ่งไปได้ไม่นาน ปุ๊กทำท่าจะพูดอะไรแต่นันบีบมือเพื่อนไว้ก่อน แต่เธอไปถามคนขับรถที่เป็นคนเดียวกับตอนที่มาส่งว่าแถวบ้านที่ทิมอยู่เรียกว่าอะไรซึ่งคนขับตอบกลับด้วยความสุภาพ หลังจากนั้นไม่มีการพูดจาอะไร ปุ๊กเห็นเพื่อนนั่งเงียบพร้อมถอนหายใจเป็นระยะ จนถึงที่พักหลังจากกล่าวขอบคุณคนขับ ทันทีที่เข้าห้องพักคำถามแรกของปุ๊กไปยังเพื่อนที่เดินไปที่หน้าต่าง
“ฉันสงสัยเรื่องที่บ้านทำไมตอนที่คุยเรื่องผู้ก่อการร้ายแกสะกิดห้ามฉันคุยต่อ”
“คำนี้มันสะเทือนจิตใจพี่ทิม อย่าลืมสิที่พ่อกับแม่เค้าตายเพราะอะไร ฉันรู้ดีตั้งแต่ตอนอยู่กับเขา ฉันเลยไม่อยากให้แกคุยต่อ”
ปุ๊กพยักหน้าแต่ถามต่อ
“พี่ทิมก็แปลกนะ คุยกันตั้งนานแต่ไม่ถามสักคำว่าเราจะกลับวันไหน”
คำถามนี้มันสะเทือนจิตใจของนันอย่างมาก เธอรู้ดีว่าเพื่อนจะถามเรื่องนี้ตั้งแต่ในรถแต่เธอห้ามไว้ก่อน น้ำตาที่กลั้นมาตั้งแต่ตอนที่ขึ้นรถไหลออกมาทันที
“ที่ไม่ถามเพราะพี่ทิมไม่อยากรู้ เค้าเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรื่องไหนที่มันไปกระทบกับจิตใจเค้า เค้าพยายามที่จะเลี่ยงไม่รับรู้หรือรู้ให้น้อยที่สุด ลึกๆแล้วพี่ทิมเป็นคนจิตใจอ่อนไหวง่าย ตรงข้ามกับภายนอกที่ดูนิ่งเฉย ไม่เห็นหรือเค้าไม่คุยเรื่องของฉันเลย เลี่ยงไปเรื่องอื่นตลอด ลองคิดดูขนาดเบอร์โทรศัพท์ของเค้า เค้ายังไม่ให้เราเลย”
ปุ๊กโอบกอดเพื่อนเพื่อปลอบใจ นันร้องไห้ไม่หยุด
“ความจริงฉันไม่น่าไปด้วยเลย ปล่อยให้แกไปคุยกับพี่ทิมมันจะได้เคลียร์ปัญหาคาใจของทั้งคู่ ฉันไปด้วยทำให้ไม่กล้าคุยกัน”
นันส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรหรอก”
เธอเดินไปนั่งที่เก้าอี้แล้วเช็ดน้ำตา นิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างก่อนจะมองไปที่เพื่อน
“ปุ๊กฉันจะกลับไปหาพี่ทิม”
“เฮ้ย”
ปุ๊กอุทานอย่างตกใจ
“ฉันต้องคุยกับเค้าให้ได้ เรื่องที่คาใจมันจะได้จบ ไม่อย่างนั้นมันค้างคาอยู่แบบนี้ ฉันจะได้สบายใจด้วยกับชีวิตคู่ของฉัน”
“แล้วแกจะไปยังไงขับรถไปถูกหรือ”
“นั่งแท็กซี่ไม่ก็รถของโรงแรมก็ได้ เมื่อกี้ที่ฉันถามคนขับรถว่าบ้านพี่ทิมอยู่แถวไหน ฉันจำได้”
ปุ๊กนิ่งคิดแต่ก็สงสารเพื่อนเลยพยักหน้า
“ก็แล้วแต่แกแล้วกันไปรถของโรงแรมจะปลอดภัยกว่านะ แล้วขากลับละ”
“ค่อยว่ากันอีกที”
นันพูดแล้วเดินไปที่โทรศัพท์ตั้งโต๊ะหยิบป้ายที่มีเบอร์ติดต่อภายในขึ้นมาก่อนจะกดเบอร์ รอสายไม่นานพอปลายสายรับเธอแจ้งความประสงค์ทันที หลังจากวางสายเธอหันไปมองเพื่อน ปุ๊กขึ้นมาว่า
“ไปเหอะถ้าได้คุยแล้วสบายใจ มีอะไรโทรมาแล้วกัน
นันพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ โดยใช้เวลาไม่นานแล้วเดินออกไปจากห้อง โดยที่ปุ๊กมองไปด้วยความเป็นห่วง
“ถ้ามันตัดใจจากพี่ทิมไม่ขาดแล้วจะแต่งงานทำไมวะ”
ปุ๊กนั้นคิดเรื่องนี้มาตลอด แต่ก็ได้แต่เดาว่ามาจากความเฉยชาของฝ่ายชายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ไม่มีทีท่ารับรู้อะไรเลยแม้ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายติดต่อทักทายตลอดแต่ทิมกลับนิ่งเฉยไม่ตอบกลับ แต่พอมาเจอในวันนี้ปุ๊กจึงรู้ว่าทิมนั้นก็ยังรักนันอยู่แต่ทำไมถึงทำตัวแบบนี้มันเป็นสิ่งที่ปุ๊กไม่สามารถล่วงรู้ได้ ฝ่ายนันใช้เวลาไม่นานนักจากโรงแรมมาถึงบ้านของทิม ตอนนี้เธอยืนอยู่หน้าประตูแล้วเคาะประตูเรียกไม่นานประตูเปิดออก พร้อมกับสีหน้าที่ประหลาดใจของเจ้าของบ้าน
“นัน”
ทิมพูดไม่ทันขาดคำนันโผเข้าไปกอดพร้อมร้องไห้
“พี่ทิม นันขอโทษ”
ทิมตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะได้สติ ปิดประตูบ้านแล้วกอดหญิงสาวตอบ
“ขอโทษเรื่องอะไร”
เธอร้องไห้ไม่หยุดจนทิมต้องประคองให้มานั่งที่โซฟาร์
“เรื่องที่นันขอเลิกกับพี่ ถ้าเราไม่เลิกกันคงไม่เป็นแบบนี้ถึงจะอยู่ห่างนันก็มาหาพี่ได้ นันเห็นแก่ตัวเกินไปคะพี่ 2ปีที่ผ่าน นันรู้ว่าเราทรมานทั้งคู่ พี่ทิมแกล้งที่จะทำเฉยชาไมรับรู้อะไรแต่ทุกครั้งที่พี่มากดไลท์นันเจ็บปวดทุกครั้งเพราะรู้ว่าพี่ยังห่วงนันอยู่ ไม่อย่างนันพี่คงบล็อกเฟซนันไปนานแล้ว นันผิดเองคะพี่”
ทิมประคองหน้านันขึ้นพร้อมเช็ดน้ำตาให้ก่อนจะตอบกลับ
“ไม่หรอกนันไม่ผิด พี่ผิดเองที่ทิ้งทุกอย่างที่ไทย ทั้งๆที่ไม่จำเป็น พี่อยากก้าวหน้าจนลืมความห่วงใยของคนที่พี่รักมาตลอด”
หญิงสาวหยุดสะอื้นแล้วเงยหน้ามองไปที่แฟนเก่า เธอเอามือไปจับที่ใบหน้าของทิมที่ดูเศร้าหมอง สายตาของเธอเหลือบไปเห็นการ์ดแต่งงานของเธอวางอยู่บนโต๊ะรับแขก ทิมคงหยิบมาดูก่อนหน้าที่เธอจะมา นันหลับตาเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง เธอประคองหน้าทิมเข้ามาแล้วบรรจงมอบจูบด้วยความรักจากใจให้กับแฟนเก่า ทิมตอนแรกนั้นทำท่าจะปฏิเสธแต่ถ่านไฟเก่าที่มันมอดอยู่มาตลอด 2ปี ถูกจุดติดอย่างง่ายดาย ทั้งคู่แลกจูบกันด้วยความรัก จนนันถอนปากแล้วซบไปที่หน้าอกของทิม
“นันจะแต่งงานแล้วนะ”
คำพูดของทิมที่บ่งบอกถึงความรู้สึกผิด แต่ฝ่ายหญิงกับนิ่งเฉยเพราะเธอต้องการมากกว่านั้น เธอเงยหน้าขึ้นก่อนจะดึงหน้าทิมให้มาหาเธออีกครั้งพร้อมกับที่เธอเอนตัว ราบลงไปบนโซฟาร์ ทิมนั้นอยากจะปฏิเสธเพราะมันไม่เหมาะสม แต่ความรู้สึกส่วนลึกที่ฝังในใจนั้นมันปฏิเสธไม่ได้ ร่างส่วนบนของทั้งคู่ต่างแนบสนิท พร้อมกับการแลกจูบอย่างเร่าร้อน มือทั้งสองของนันโอบกอดทิมแน่น จนทิมเริ่มไซร้ไปตามซอกคอ
“พี่ทิมขาไปที่เตียงดีกว่าบนนี้มันแคบ”
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน