แสดงลิ้งค์เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
หลังจากประกาศเลื่อนแล้วเลื่อนอีกในที่สุดผู้โดยสารไฟล์ทที่จะต่อเครื่องไปยังสนามบินสุวรรณภูมิก็ได้รับอนุญาติให้เดินทางต่อได้ รวมเวลาที่ต้องทนแกร่วอยู่ในสนามบินกรุงโดฮาเกือบจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณตาจอมเผด็จการโทรทางไกลไปตามให้กลับเมืองไทยป่านนี้เธอคงอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ที่ไบรท์ตันกับขนมและอาหารแมวกองโตที่ซื้อมากักตุนไว้ ไม่ต้องออกมาระหกระเหินเร่ร่อนเสี่ยงติดเชื้อโรคระบาดแบบนี้
ทันทีที่เครื่องหยุดสนิทพนักงานต้อนรับชุดฟอร์มสีม่วงประกาศเสียงตามสายให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่รอเจ้าหน้าที่คัดกรองขึ้นมารับตัว เกือบหนึ่งชั่วโมงก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากภายนอก เจ้าหน้าที่ในชุดป้องกันเชื้อพลาสติกสีขุ่นคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าคล้ายที่เคยเห็นในหนังไซไฟแนวไวรัสล้างโลกเดินเข้ามากวักมือเรียกผู้โดยสารให้ลุกเดินออกไปทีละคน ระหว่างทางเดินยังมีเจ้าหน้าที่อีกหลายคนตั้งแถวคอยฉีดน้ำยาวัดอุณหภูมิซ้ำแล้วซ้ำอีก นึกแปลกตากับภาพความเคร่งครัดเอาจริงเอาจังเพราะที่อังกฤษตอนที่ออกมาผู้คนยังเดินชิลล์ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกันอยู่เลย
“คุณ.. ณัฐนลิน ตามผมมาทางนี้ครับ”
“อ๋อ.. ค่ะ”
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเดินมาบอกเสียงเบา ผู้โดยสารคนอื่นๆเริ่มชี้ชวนกันมองตามตอนที่ณัฐนลินเดินลากกระเป๋าตามเจ้าหน้าที่ออกไปเพียงคนเดียวจนสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง ชายหนุ่มในชุดครึ่งท่อนเสื้อยืดสีขาวกางเกงสีเขียวขี้ม้ารองเท้าหนังสีดำเงาแว้บยืนยิ้มหวานรอรับที่จุดตรวจเอกสารและใบรับรองแพทย์
“ท่านให้พี่มารับน้องลินครับ” เขาบอกน้ำเสียงอบอุ่น
“สวัสดีค่ะ ..พี่โย” ณัฐนลินยกมือไหว้ น้ำเสียงสีหน้าเรียบเฉย
รถกระบะยกสูงสีดำพุงทะยานออกจากสนามบินมุ่งสู่จังหวัดสระบุรี พี่โยธินสวมหน้ากากยุทธวิธีรุ่นใหม่ล่าสุดสามารถทนทานได้แม้กระทั่งแก๊สพิษซาริน เดาไม่ออกว่าพี่ชายตั้งใจจะเอาให้ฮาหรือกำลังซีเรียสเรื่องที่เธอเพิ่งเดินทางกลับจากอังกฤษ
“ลินถามจริงๆเถอะ ลูกน้องของคุณตาคนอื่นๆนอกจากพี่โยนี่ไม่เหลือใครให้ใช้อีกแล้วใช่ป่ะ”
“มีสิ.. คุณตาของลินท่านเคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงผบ.ภาคเชียวนะ จะมีลูกน้องแค่พี่คนเดียวได้ไง” เสียงของเขาอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์
“แหม.. ก็ถ้ารังเกียจกลัวกันซะขนาดนี้นะ ความจริงให้คนอื่นมารับส่งแทนก็ได้ .. คุณร้อยโทโยธิน” ณัฐนลินเบะปากประชด
“พันตรีแล้วคร้าบบ.. สงสัยน้องลินไปอยู่เมืองนอกนาน” เขายิ้ม
“ถ้าหมายถึงหน้ากากเนี่ย..ของมันมีอยู่แล้วที่กองพัน ไม่เคยได้เอาออกมาใช้ก็เลยถือโอกาสลองเอามาใส่ดู”
“อึดอัดมั้ยน่ะถามจริง”
“อึดอัดสิ พี่ก็รออยู่เนี่ยว่าเมื่อไหร่น้องลินจะทักซักที ไม่ฮาเหรอครับ”
“ไม่ฮาค่ะ..” ณัฐนลินถอนหายใจส่ายหน้า
“ถ้าลินไม่ฮาพี่จะได้ถอด ใส่ขับรถมองถนนลำบากเหมือนกัน”
“ก่อนออกมาจากอังกฤษลินก็กักตัวเองค่ะอยู่แต่ในห้อง แถมที่สนามบินโดฮายังตรวจแล้วตรวจอีกตรวจรัวๆใบรับรองแพทย์อะไรก็มี ลินคิดว่าตัวเองคงยังไม่ติดเชื้อค่ะ”
“ที่นี่เค้าซีเรียสกันขนาดนี้เลยเหรอ..”
“แล้วที่อังกฤษไม่ซีเรียสเหรอ ข่าวว่าจำนวนผู้ติดเชื้อกันเป็นหมื่นเหมือนกันนะ”
“หมื่นคนจากทั้งหมดห้าสิบกว่าล้าน.. ที่นั่นประเด็นเรื่องเศรฐกิจเค้าก็ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน”
“เรายังไม่ป่วยน่ะสิถึงพูดได้ ยังไงกันไว้ก็ดีกว่าเป็นภาระให้คนอื่นต้องมาตามแก้”
“ค่ะ .. ทุกคนที่เดินทางกลับมาต้องโดนกักตัวสิบสี่วัน ก็โอเค ลินเข้าใจได้”
“แต่ก็ดูเหมือนยังมีบางเรื่องระหว่างเราที่ลินทำเหมือนไม่ยอมเข้าใจ พี่ก็อยู่ตรงนี้แล้วไงติดใจสงสัยอะไรทำไมลินไม่ถามซะเลยล่ะ ..พี่อยากตอบ” นายทหารหนุ่มถือพวงมาลัยพลางถอดหน้ากากกันแก๊ซออกหัวหูชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“เรื่องนั้น..ลินไม่อยากรู้แล้วค่ะ”
………………..
นาฬิกาบอกเวลาเกือบสองทุ่ม รถกระบะยกสูงขับเคลื่อนสี่ล้อเลี้ยวแยกจากถนนใหญ่เลี้ยวลัดเลาะไปตามถนนหมู่บ้านค่อยๆลดความเร็วจนจอดสนิทที่หน้าด่านจุดสกัดเฉพาะกิจ ชายฉกรรจ์ทำหน้าที่เวรยามหลายคนส่องไฟฉายเดินมารุมรอบตัวรถ พันตรีโยธินกดปุ่มเลื่อนเปิดกระจกยกมือไหว้สวัสดีหนุ่มใหญ่รุ่นพี่
“นี่ถึงขนาดลงตรวจด้วยตัวเองเลยเหรอครับท่านนายอำเภอ”
“ผมก็มารอดูนี่ล่ะอยากรู้ว่าคุณจะส่งตัวอะไรกันยังไง 55 ไม่นึกว่าจะมาแบบนี้ .. ยังสงสัยว่าทำไมต้องขอมาตอนค่ำๆมืดๆนึกว่าจะมีลับลมคมใน ถ้ามาตอนกลางวันแดดมันคงร้อนสินะ 55” นายอำเภอเหลือบไปมองผู้โดยสารที่นั่งกระบะหลังชุดเสื้อแจ็คเก็ตกางเกงขายาวสวมหมวกกันน็อคเต็มใบ “ขอวัดอุณหภูมิหน่อยนะคร้าบ” อส.หมู่บ้านค่อยๆเปิดกระจกหมวกกันน็อคเจอดวงตาถลึงจิกโกรธกร้าวอบอวลไปด้วยรังสีอำหิตถึงกับสะดุ้ง “สามสิบหกจุดสอง..”
“โอเคมั้ยครับพี่” โยธินถามนายนายอำเภอ
“สามหกไม่มีไข้ ผ่านได้ๆ ตอนแรกผมคิดว่าจะมาเป็นรถปลอดเชื้อเป็นเรื่องเป็นราวเสียอีก ไม่นึกว่าจะเล่นให้ใส่หมวกกันน็อคนั่งกระบะหลังมาแบบนี้ 55 ถามจริงนี่นั่งมาจากสนามบินเลยเหรอ นับถือๆ”
“งั้นผมขอตัวนะพี่..”
“โอเคๆ เชิญครับผู้พัน”
อส.หมู่บ้านช่วยกันเลื่อนเปิดไม้กั้นอนุญาติให้ผ่านเข้าหมู่บ้านได้ นายอำเภอยกมือบ๊ายบายให้ณัฐนลินที่กำลังงอนสุดขีด เธอถอดหมวกกันน็อคแบบเต็มใบออกปาดเหงื่อที่ชุ่มไปทั้งใบหน้า โขยกเขยกแยกออกจากถนนหมู่บ้านผ่านประตูน้ำเลาะเลียบริมลำคลองจนมาหยุดอยู่ที่หน้ารั้วบ้านไม้หลังใหญ่ยืนทะมึนในความมืด โยธินเปิดประตูรถลงมายืน
“นี่แกล้งกันใช่มั้ยเนี่ยที่ให้ลินใส่หมวกกันน็อคนั่งมาแบบเนี้ย!!” ณัฐนลินตาขวาง
“ไม่ได้แกล้ง 55 พี่จะไปแกล้งลินทำไม ก็เห็นอยู่ว่าหมู่บ้านเค้าห้ามคนเข้าคนออกซีเรียสกันซะขนาดนั้นเราก็ต้องหาวิธีให้มันเนียนๆหน่อยสิ” โยธินยังนึกขำแปลกใจที่น้องสาวจอมพยศทำตามแผนยอมตกลงร่วมมือง่ายๆ
“กระเป๋าเดินทางพวกนี้ต้องให้อส.เค้าเอาออกไปเคลียร์ก่อน ลินยังเอาเข้าบ้านไม่ได้”
“อ้าว.. แล้วแบบนี้จะอาบน้ำอะไรยังไงล่ะนี่ลินไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้วนะ”
“เห็นว่าเค้าจัดชุดอะไรเตรียมเอาไว้ให้แล้ว คงจะอยู่ในบ้านนั่นแหละมั้ง”
“เห็นบ้านนี้แล้วนึกถึงช่วงตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่เพิ่งเสียใหม่ๆ ..” ณัฐนลินมองลอดซุ้มพวงแสดเข้าไปในบริเวณบ้าน
“ลินอยู่คนเดียวได้นะ.. ชาวบ้านเค้าเสียงแข็งไม่ยินยอมให้พี่มาอยู่เป็นเพื่อน”
“ไปไกลๆจะไปไหนก็ไปเลยพี่โยอ่ะ ..”
“โอเคมีอะไรโทรคุยกันพี่อยู่ในค่ายใกล้แค่นี้เอง อีกสิบสี่วันเจอกันจ้ะ” โยธินคว้าหัวน้องสาวมาหอมไม่ให้ทันตั้งตัวจนณัฐนลินตกใจทะลึ่งตัวฉากหนีลูบหัวปัดแต่งผมแก้เขิน
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ บ้านมันก็คงจะดีใจที่ลินกลับมา” โยธินยิ้มหวาน
ถึงแม้คุณตาจะไม่ใช่คนท้องถิ่นแต่ท่านก็เป็นทหารประจำการเติบโตอยู่ที่สระบุรีเกือบทั้งชีวิต คุณตา พี่โยธิน และเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกันอีกหลายคนในละแวกบ้านริมคลองหลังนี้คือความทรงจำสุดท้าย ก่อนที่ณัฐนลินจะโบยบินจากไปไกลหลายพันกิโลเมตรเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
....................
....................
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน