รักแท้ฯ ตอนที่1
//two-hitchhikers.ru/eroticasearch/index.php?topic=230863.0รักแท้ฯ ตอนที่3
//two-hitchhikers.ru/eroticasearch/index.php?topic=231205.0.....................
ภายในห้องมืดสลัวกลิ่นเก่าอับชื้นลอยวนเตะจมูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคันจมูกฟุดฟิด ผู้หมวดหนุ่มแต่งชุดครึ่งท่อนนั่งเล่นโทรศัพรู้ตัวเองว่าโรคภูมิแพ้ฝุ่นกำลังจะกำเริบ
“คุณ.. คุณ..!!” ผู้หมวดเตะที่ขาเตียงแรงๆ
“หืม.. ฮึ.. อะไรวะ” ชายหนุ่มบนเตียงค่อยๆฟื้นคืนสติหรี่ตามอง
“ตื่นเถอะคุณสิบโมงกว่าแล้ว จะนอนไปถึงไหน”
“เห้ย..!! มึงเป็นใครเนี่ย แล้วเข้ามาในห้องได้ไง” เขาทะลึ่งตัวขึ้นนั่งดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อร่างเปลือยเปล่ากวาดสายตาไปทั่วห้องมืดสลัว “..ปิ่น ปิ่น..!! ปิ่น..”
“ใจเย็นๆก่อนคุณ ใจเย็นๆผมเป็นตำรวจ คนดีไม่ใช่คนร้าย”
“ตำรวจ มาทำไมผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ”
“ผิดอะไร คุณน่ะเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียด้วยซ้ำรู้ตัวบ้างรึเปล่า โดนวางยานอนหลับผสมในเหล้านอนสลบไม่ได้สติ”
“ยานอนหลับผสมเหล้า..” ได้ฟังแบบนั้นแล้วคิ้วขมมวดปวดหัวตึ้บ “หมายถึงปิ่น.. น่ะเหรอ”
“ผู้หญิงที่มอมยาจะเป็นใครผมก็ไม่รู้นะเรื่องของคุณ แต่โดนแบบนี้บอกได้ว่าไม่ตายก็บุญแล้ว เดี๋ยวแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วเชิญที่สน.ผมจะได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันให้
”
“ไม่อ่ะ.. ผมไม่แจ้งความไม่ลงบันทึกอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวนะ.. ตกลงนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ยงงชิ้บหายรายการทีวีรึเปล่าเนี่ยแล้วนี่เป็นตำรวจจริงรึเปล่าก็ไม่รู้”
“เดี๋ยวคุณขับรถตามผมไปถึงสน.ก็รู้ว่าจริงไม่จริง ไป.. รีบแต่งตัวซะ”
“เมื่อกี๊คุณบอกว่ากี่โมงแล้วนะ”
“สิบโมงกว่า” ผู้หมวดหนุ่มตอบ
“เชี่ย ตายห่า!! .. ผมต้องไปทำงาน”
“งั้นเอางี้.. ถ้าคุณไม่ต้องการจะแจ้งความ ผมอยากไปตรวจดูที่พักของคุณหน่อย” ผู้หมวดยิ้ม
“ไปทำไม ผมจะไปทำงานไม่มีเวลา”
“ฮาร์ดดิสก์เอ็กซ์เทอร์นอลดับบลิวดีหนึ่งเทอราไบค์สีน้ำเงินเหลือบเทาซื้อจากเว็บขายของออนไลน์เมื่อเกือบสองเดือนที่แล้ว ติดสติ๊กเกอร์สแตมป์เซเว่นไว้เป็นสัญลักษณ์พิเศษ”
“นี่ห่าอะไรของคุณวะ..” นิธิศมองหน้าผู้หมวดจำนนด้วยหลักฐาน
“คุณปิ่นมุข แจ้งกับเราว่าในฮาร์ดดิสก์ก้อนนั้นมีภาพไม่พึงประสงค์ของเธออยู่จำนวนนึง และเธอกลัวว่าคุณอาจตัดสินใจทำอะไรที่มันสิ้นคิด เช่น ปล่อยภาพของเธอว่อนทางอินเทอร์เนตเพื่อแก้แค้น”
“ผมจะทำแบบนั้นทำไมในเมื่อผมไม่ได้แค้นใจอะไรปิ่นซักหน่อย” เขาหายใจแรงสับสนไปหมด “แล้วคุณมาเสือกอะไรเรื่องผัวเมียเค้าเนี่ย”
“คุณปิ่นมุขเธอย้ำกับผมว่าเธอไม่ใช่ภรรยาของคุณ จริงๆแล้วคุณสองคนไม่ใช่แฟนกันด้วยซ้ำเพราะเธอไม่เคยบอกรักคุณสักครั้ง เธออาจตกอยู่ในความกลัวจึงยอมให้คุณบันทึกภาพพวกนั้น”
“ผมลบข้อมูลไปหมดแล้ว..” นิธิศคอตก
“ลบไปหมดแล้ว?? ง่ายไปป่าวให้ตอบอีกทีนึง”
“เมื่อช่วงสองอาทิตย์ที่แล้วห้องพักชั้นเดียวกับห้องผมถูกขโมยงัด”
“แล้วทำไม..”
“ผมกลัวว่าอาจจะโดนกับตัวเองเข้าสักวันก็เลยตัดสินใจลบข้อมูลภาพกับวิดีโอส่วนตัวของปิ่นทั้งหมด เพราะถ้าหากโดนขโมยฮาร์ดดิสก์ไปผมกับปิ่นต้องตายแน่”
“แล้วมีก๊อปปี้หรือว่ากู้ฮาร์ดดิกส์ได้มั้ย เค้าว่าถ้าเผลอกดลบมันยังพอกู้ได้นี่” ผู้หมวดถาม
“ผมไม่ได้ใช้วิธีลบแต่เขียนพาร์ดิชั่นใหม่ทับ”
“แปลว่ากู้ไม่ได้..”
“ไม่ได้..”
“เอาเถอะ.. ถึงยังไงผมก็จะขอตรวจสอบฮาร์ดดิสก์นั่นดูหน่อย ถ้าคุณลบข้อมูลไปแล้วอย่างที่ว่าจริงๆก็ไม่เห็นจะต้องลำบากใจอะไร”
“เอ่อ.. คือ ที่ห้องผมมีปืน ปืนมีทะเบียนแต่ผมไม่มีใบอนุญาตพ่อให้มาเก็บไว้ป้องกันตัวเพราะแถวอพาร์เมนท์มันเปลี่ยว” นิธิศสารภาพ
“คุณเอาฮาร์ดดิสก์นั่นมาให้ผมก็พอนอกจากนั้นผมไม่สน เป็นอันจบเรื่อง” ผู้หมวดถอนหายใจส่ายหน้าเบื่อๆ
………………..
ห่างจากสนามบินนาโกย่า(นะโงยะ)เกือบสองชั่วโมง แม่เราเบะปากชักสีหน้าอย่างเห็นได้ชัดทันทีที่รถแท็กซี่จอดสนิทหน้าบ้านเก่าหลังหนึ่ง มันไม่ใหญ่โตหรูหราอย่างที่แม่คิด แถมยังอยู่ในย่านเมืองที่เงียบสงบจนเกือบจะเข้าใจว่าเป็นเมืองร้างเสียด้วยซ้ำ
บอสซีบอกว่าว่าเป็นวันเสาร์คนหนุ่มสาวพากันนั่งรถไฟเข้าไปเที่ยวในเมืองกันหมด ..รถไฟ.. ฉับพลันที่ได้ยินคำนี้เราคิดถึงเอขึ้นมาทันที เอจะรู้สึกอย่างไรถ้าได้รู้ว่าตอนนี้เราสองคนอยู่ห่างไกลไม่ใช่แค่ต่างจังหวัดแล้ว ไกลขนาดนี้เอคงไม่มาหรอก จากนี้ไปคือเรื่องที่เราจะต้องคิดคนเดียวต่อสู้เพียงลำพังไม่มีใครให้โทรคุยคอยเป็นที่ปรึกษาถามโน่นนี่อีกต่อไปแล้ว
ผ่านซุ้มประตูเข้าไปภายในบ้านไม้สีเข้มมืดทึมยิ่งดูเล็กคับแคบกว่ามองจากภายนอกเสียอีก สไตล์การจัดวางตกแต่งบ้านดูอึดอัดพิกล เฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลเข้าชุดเหมือนหลุดมาจากยุคแปดศูนย์ หญิงชราในชุดคลุมแบบญี่ปุ่นเดินออกมาต้อนรับจากเงามืด สังเกตุว่า ถึงแม้เธอจะตาบอดแต่กลับเดินเหินภายในบ้านอย่างคล่องแคล่ว เรากับแม่ได้แต่ยิ้มสลับแสร้งหัวเราะเพราะไม่เข้าใจที่แม่ของบอสพูดสักคำแถมยังรู้สึกฝาดเฝื่อนกับรสชาเขียวร้อนท้องถิ่น นั่งเคอะๆเขินๆกันอยู่เกือบสองชั่วโมงรถลิมูซีน(แท็กซี่)ของโรงแรมสามดาวในเมืองใกล้ๆจอดเทียบหน้าบ้านตรงเวลาเป๊ะ แม่เราบอกกับบอสว่าไม่น่าจะต้องเสียเงินจ่ายค่าโรงแรมความจริงพักที่บ้านก็ได้เป็นคนง่ายๆค่ำไหนนอนนั่น
………………..
“ยังไม่เสร็จงานอีกเหรอคะ” เราทักบอสที่กำลังคร่ำเคร่งกับตัวเลขบนหน้าจอโน้ตบุ๊คเครื่องเล็กจิ๋วแกล้มเบียร์ในร้านอาหารสไตล์เจแปนนิสชิวชั่นติดกับโรงแรม
“คุณแม่ล่ะ..”
“คุยไลน์กับญาติที่เมืองไทย แกอาบน้ำแล้วคงจะไม่ลงมาแล้วค่ะ”
“แล้วเป็นไงออกไปเดินตลาดซื้ออะไรได้บ้าง” บอสถามเพราะรู้ว่าสองแม่ลูกติดตัวมาแค่เสื้อผ้าคนละชุดกระเป๋าถือเล็กๆคนละใบ
“ตลาดแถวนี้ปิดเร็วนะคะ เดินแป๊ปๆก็ปิดกันแล้ว”
“แถวนี้มันไม่ใช่ที่ท่องเที่ยวน่ะหมดแสงมืดหน่อยก็ปิดเป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว” บอสยิ้มพลางถอดแว่นตาพับปิดหน้าจอพยักหน้าให้บริกรหนุ่มน้อย
“ผมสั่งอาหารนิดๆหน่อยๆ และก็อยากให้ปิ่นลองชิมเบียร์ท้องถิ่นของเรารับรองว่ารสชาติดีเพราะเค้าใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ”
“แค่ชิมเองเหรอคะ..” ถ้าเป็นเบียร์เราก็พอจะดื่มได้บ้าง
“จะไม่แค่ชิมก็ได้..” บอสหัวเราะ “ยังไงระหว่างเราคงมีเรื่องให้คุยกันเยอะมากอยู่แล้ว เรามีเวลามากมายไม่ต้องห่วง”
“ผู้ชายญี่ปุ่นนี่ดื่มกันเป็นปกติทุกคนรึเปล่าคะ” เรามองของเหลวสีอำพันในแก้วของบอส
“ไม่ทุกคนหรอก แต่ถ้าทำธุรกิจส่วนใหญ่ก็จะดื่มนั่นแหละ ผู้หญิงก็ดื่ม”
“ค่ะ.. ”
ทั้งร้านดูเหมือนจะมีลูกค้าแค่โต้ะเราสองคน เสียงเพลงฝรั่งยุคเก้าศูนย์คุ้นหูแว่วคลอเคลียบทสนทนา น่าแปลกที่เราสามารถกระเดือกเจ้าเบียร์ท้องถิ่นที่ว่านี่ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก กลิ่นหอมลึกๆกระตุ้นต่อมกระแดะให้ลองชิมต่อคำที่สองที่สามไม่นานก็คล่องคอ ปลาอะไรไม่รู้แต่รู้ว่าเป็นปลาดิบจานเล็กๆสามจานสามสีเสริฟพร้อมวาซาบิแต่ไม่ยักกะมีซ๊อสจะขอก็กลัวไม่เรียวจริง
“เมื่อกี๊คุณแม่บอสว่าไงบ้างคะ”
“แม่ถามว่าเมียผมมีลูกติดโตขนาดนี้เลยเหรอ..”
“บ้า.. เอาดีๆสิคะ”
“ผมก็เลยบอกแม่ว่าเข้าใจผิดแล้ว เรียกว่าภรรยาไม่ได้เพราะยังไม่ได้แต่งงาน”
“ตกลงนี่จีบแม่หรือจีบลูกกันแน่คะเนี่ย”
“ก็จีบแม่ เอ๊ย!! จีบลูกสิ.. อ้าว ไม่ตลกเหรอ”
“..ไม่ตลกค่ะ”
“บอสจำตอนนั้นได้มั้ย ที่เราพาแขกจากบริษัทแม่ไปเที่ยวอาบอบนวด” เรายิ้มตาเชื่อม
“จำได้สิ แต่ที่ญี่ปุ่นไม่มีแบบนั้นนะ”
“ทำไมคืนนั้นบอสไม่ขึ้นไปเที่ยวกับเค้าด้วยล่ะ”
“ใครอยากก็เที่ยวไปสิ ผมไม่ได้อยากนี่”
“อ๋อ.. นึกว่าเพราะปิ่นนั่งอยู่ด้วยบอสก็เลยต้องรักษาภาพพจน์ไม่กล้าเที่ยว”
“ผู้หญิงพวกนั้นน่ะ เป็นพวกผิดหวังในความรักทั้งสิ้นนะ” บอสซียกแก้วขึ้นดื่มคีบชิ้นปลาดิบสีขาวห่อวาซาบิก้อนเล็กจิ๋วเข้าปาก
“ยังไงคะ”
“ผู้หญิงเนี่ยเป็นเพศที่อดทนมากปิ่นรู้มั้ย เผลอๆอาจมากกว่าผู้ชายด้วยซ้ำ”
“เหตุผลเดียวที่ชักนำให้ผู้หญิงต้องเลือกหนทางแบบนั้นเพราะเค้าไม่ได้ศรัทธาในความรักที่แท้จริงอีกต่อไปแล้ว”
“งงนิดๆนะคะบอส ขออีกทีค่ะ”
“ช่วงสี่โมงเย็นปิ่นเคยเห็นสองคนที่เข้ามาเก็บขยะในโรงงานเรามั้ยล่ะ”
“อ๋อ.. สองคนที่เค้าขี่รถซาเล้งจับมือกันอ่ะนะ พวกเพื่อนปิ่นยังชมว่าน่ารัก”
“ผมมองสองคนนั้นจากหน้าต่างออฟฟิศทุกวัน เรียกว่ารอเวลาเลยดีกว่า เพื่อที่จะได้เห็นความรัก สองคนนั้นยังมีศรัทธาในความรัก พลังงานดีที่เราเห็นได้ไม่บ่อยนัก”
“เพราะพลังงานดี บอสก็เลยไม่เที่ยวผู้หญิง”
“เปล่า.. ผมไม่อยากสนับสนุนซ้ำเติม”
“อื๋มมมม.. เป็นผู้ชายที่คิดอะไรลึกซึ้งนะเนี่ย”
เอาเข้าจริงๆเราทั้งคู่แทบจะไม่เคยคุยอะไรนอกเหนือไปจากเรื่องงาน ตลอดระยะเวลาเกือบสองปีที่ไม่มีอะไรมากมายเกินไปกว่าเจ้านายกับลูกน้อง นึกเล่นๆไปว่านี่ถ้าไม่มีแม่ติดมาด้วยเรายังจะกล้ามาคนเดียวหรือเปล่า
“ตอนอยู่เมืองไทยปิ่นเล่าให้ผมฟังถึงไหนแล้วนะ” บอสซียิ้มถาม
“เล่าเรื่องอะไรคะ”
“เรื่องของปิ่น..”
“เออ… เล่าถึงตอนที่แม่ปิ่นบ่นเรื่องบีขับรถเร็วจนปิ่นต้องไปดาวน์รถมาขับเองอ่ะ .. ต้องขอบคุณบอสด้วยนะคะที่ช่วยหาคนมาซื้อรถต่อให้”
“อ๋อ.. ไม่เป็นไรพอดีเพื่อนผมเค้าหารถรุ่นนี้สีนี้อยู่พอดีเลย”
“แหม.. เป๊ะจังเลยนะคะ”
“ก็เล่าต่อสิ..” บอสซีอ้อน
“จบแล้วค่ะ จบตรงตอนที่บอสชวนปิ่นบินมาที่เนี่ย”
“งั้น.. เอาเรื่องสนุกๆสมัยเรียนมัธยม..”
“ฟังเรื่องบอสบ้างดีกว่าค่ะ มีหลายเรื่องเลยที่ปิ่นอยากรู้”
“บอสเป็นเกย์รึเปล่าคะ..”
“ไม่เป็นสิเอ๊อ.. ผมคล้ายจะเป็นพวกแบบนั้นมากรึไง” บอสซีคล้ายจะสำลักเบียร
“ก็ไม่รู้นี่คะ เห็นบอสไม่ตีกอล์ฟไม่เที่ยวผู้หญิงสาวๆที่โรงงานสวยๆก็ออกเยอะแยะก็ไม่จีบใคร”
“เค้ามีแฟนแล้วจะให้ผมจีบยังไงอ่ะ”
“ก็เลยได้แต่แอบมองจากหน้าต่างแบบเดียวกับที่มองคนเก็บขยะ..” เราแซวเล่น รู้สึกอบอุ่นแปลกๆ
“ถามเรื่องอดีตภรรยาของบอสดีกว่า ถามได้มั้ยคะ”
“ถามได้สิ ไม่ได้มีความลับอะไรนี่”
“เธอเสียชีวิตเพราะอะไร.. ”
“ปลายปีเก้าสองเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาดห้าจุดสองริกเตอร์ จุดศูยน์กลางลึกลงไปเพียงห้ากิโลเมตรซึ่งถือว่าตื้นมากถึงแม้จะไม่ได้สร้างความเสียหายและไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่กับห้องวิจัยพลังงานใต้พิภพของมหาวิทยาลัยโตเกียวที่อยู่ลึกลงไปหนึ่งร้อยเมตรนั้นได้รับผลกระทบในระดับหายนะ เธอเป็นหนึ่งในนักวิจัยที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในเวลานั้นพอดี”
“ค่ารักษาตัวที่นี่แพงมากผมพาเธอไปรักษาที่ใต้หวันที่เมืองไทย เธอเสียชีวิตในอีกแปดเดือนต่อมา”
“เสียใจด้วยนะคะบอส”
“ปัญหาของผมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เมืองนี้มันคล้ายจะถูกแช่แข็งหยุดเวลาไว้ที่เดิม ครั้งนึงผมเคยหนีมันไปเพราะทุกสิ่งของทุกสถานที่ล้วนมีแต่ความทรงจำ ผมต้องการเริ่มต้นใหม่ ในตอนนี้ผมต้องการเพื่อนมากที่สุด ต้องการใครสักคนที่คอยดึงให้หลุดพ้นจากอดีตพวกนั้น”
“เมื่อกี๊บอกจีบแม่ตอนนี้บอกอยากได้เพื่อน ตกลงยังไงแน่คะบอส” เราแกล้งแซว
“ปิ่นอยากให้มันจบค่ะ จบที่นี่” เราดื่มเบียร์อึกใหญ่รวดเรียว
“ต่อจากนี้ไปปิ่นเรียกผมว่ามิสเตอร์ซีก็ได้นะ ตอนนี้ผมไม่ใช่เจ้านายคุณอีกต่อไปแล้ว”
………………..
เราพากันเดินกลับมาที่ห้องของบอสซี เพียงครั้งแรกที่รู้ฤทธิ์พิษสงของความมึนเมาก็พาตัวเองมานั่งลงบนเตียงของชายที่เกือบจะแปลกหน้าอายุอามรุ่นราวคราวพ่อ ใช่.. เขาเรียบร้อย สุภาพ อ่อนโยน เป็นผู้ชายที่ดีอย่างที่เราวาดหวัง นี่คือทางเดียวที่จะแน่ใจได้ว่าละครเรื่องนี้จะจบลงตามแบบแผนที่วางไว้ จูบแรกทั้งที่บอสยังไม่ได้ถอดแว่น ทุกสิ่งอย่างดูเคอะๆเขินๆเจื่อนๆพิกลจนเราชักจะเชื่อขึ้นมาจริงๆแล้วว่าบอสเรื้อเวทีเรื่องแบบนี้มาเนิ่นนานอย่าที่เขาบอกเล่าจริงๆ
เราเป็นฝ่ายชักชวนก่อนด้วยปลายลิ้นซึ่งบอสก็ตอบสนองทันควันถึงแม้จะดูล้นๆเกินๆก็ตาม บอสถอดเสื้อคลุมของเราออกส่วนเราถือวิสาสะถอดแว่นตาให้บอส ซุกไซร์สลับจูบกันอยู่พักใหญ่จนเราต้องดึงตัวบอสลงนอน บอสถอดเสื้อของเราออกจ้องมองยกทรงสีขาวบีบคลึงแผ่วเบาจนพอใจ ตะขอด้านหลังถูกปลดออกโยนไปไว้รวมกับเสื้อ สองแขนถูกรวบไว้บนหัวสองเต้าสาวยี่สิบสี่ลอยคว้างไร้อาภรณ์บดบัง
บอสก้มหน้าลงซุกไซร์สูดกลิ่นสาวดูดชิมรสหอมหวานที่ยอดปทุมถัน เราหลับตาสูดหายใจแรงปล่อยใจไปกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น กางเกงผ้ายืดถูกรวบลงไปพร้อมกางกางชั้นใน ภาพใบหน้าของบีผุดขึ้นมากวนใจครั้งแล้วครั้งเล่า บีละเมียดใส่ใจกับเสื้อผ้าของเราทุกชิ้น บอสจับสองขาของเรายกขึ้นคุกเข่าลงพิจารณาจุดสงวนของเราแบบไม่ปราณีปราศรัยซุกสูดชิมรส “อืม..หห ซื้ด..ดดด” เราหอบหายใจแรงให้บอสเป็นรางวัลเล็กน้อยอดกลั้นรักษากริยาพองามเป็นหน้าเป็นตาให้สาวไทย
บอสซีจัดการเสื้อผ้าของตัวเองจนเปลือยเปล่า เราผงกหัวหมายใจจะสำรวจดูก่อนแต่ก็เห็นเจ้าท่อนเอ็นน้องชายของบอสไม่เต็มตา บอสทำท่าจะคร่อมจัดการเราที่ขอบเตียง เราพลิกตัวคาราเต้ทุ่มบอสลงบนเตียงท่าถนัดตอนเรียนสมัยมัธยมแล้วลุกขึ้นเป็นฝ่ายคร่อมตัวเขาเอาไว้ ขนาดของมันไม่ใหญ่ไม่เล็กไปกว่าของเอและบีมาตรฐานท่านชายชาวเอเชีย “ผมกลัวว่าอาจจะ เอ่อ.. เสร็จเร็ว นะ.. ไม..”
เราปิดปากบอสด้วยจูบดูดดื่มแลกลิ้นกันชุดใหญ่(รู้สึกว่าบอสซีจะชอบจูบ) ค่อยๆจูบปูพรมค่อยๆเลื่อนลงจนถึงท่ีหมาย “ให้ปิ่นเอาออกครั้งนึงก่อนมั้ยคะบอส” คราวนี้ไม่เพียงแต่แค่นึกถึงใบหน้า หากแต่เรายกเอาคำพูดของบีมาเลย เรื่องนี้คือแม่งโคตรกวนใจเรามากถึงมากที่สุด
………………..
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน