*** ตอนนี้ไม่มีบทเสียวนะครับ****
ป.ล. ถ้าใครยังสงสัยความเป็นมาของอสนี ให้ไปอ่านในเรื่อง
"ผีหลอกสายฟ้า"ครับ มีทั้งหมด 5 ตอนและตอนพิเศษอีกตอนในเรื่อง
ไม่ใช่นิยายตอนจบในตอนที่ 2ครับ ยิ่งในตอนนี้มีเอ่ยชื่อถึงตัวละคร อีก 2 ตัวละครด้วย จะได้รู้ที่มาที่ไปครับ
ขอบคุณครับ
twintower
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ภายในบ้านแม้จะขนาดไม่ใหญ่แต่ลินดายอมรับว่าการตกแต่งทุกอย่างดูลงตัวไปหมด ไอเดียคงมาจากลูกชายของบ้านนี้ แม่ของอสนีเชิญเธอไปที่ห้องรับแขก แล้วหันไปบ่นกับลูกชายต่อ
“จะพาแขกมาบ้านน่าจะบอกล่วงหน้า แม่จะได้เตรียมทำอาหารไว้ นี่ก็มีไม่กี่อย่าง”
“ไม่เป็นไรหรอกคะคุณอา หนูเป็นคนทานง่าย”
แม่ของอัสยิ้มรับ ก่อนจะหันไปบอกเด็กในบ้านที่ตอนนี้นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้แขก ให้เตรียมตั้งโต๊ะอาหารกลางวัน ส่วนอสนีได้บอกมารดาว่าลินดานั้นทำงานอะไรและรู้จักกันได้อย่างไร แต่หญิงสาวรู้สึกโล่งใจที่แม่ของอสนีไม่ได้ถามว่าอสนีพาเธอมาพบกับหลวงตาในเรื่องอะไร จนโต๊ะอาหารตั้งเรียบร้อยเป็นจังหวะที่พ่อของอัสนีมาถึงพอดี อสนีได้แนะนำให้พ่อรู้จักกับลินดา บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวอยู่ 4 อย่าง เนื้อผัดน้ำมันหอย,แกงจืดวุ้นเส้นหมูสับ,ผัดผักและไข่เจียวกุ้งสับที่ทอดมาได้ฟูเต็มจาน
“พึ่งได้กุ้งแม่น้ำมาด้วยนะคะ พ่อของอัสอยากทานพอดี เป็นยังไงบ้างคะคุณดาทานได้ไหม”
“อร่อยมากคะคุณอา ตอนเห็นก็แอบกลืนน้ำลายแล้ว ยิ่งกลิ่นก็ยั่วน้ำลาย หนูบอกตรงๆว่าอร่อยมากยิ่งไข่เจียวนี่ทอดได้อร่อยกว่าแม่ครัวที่บ้านหนูอีก”
เธอบอกด้วยความจริงเพราะอาหารบนโต๊ะอร่อยทุกอย่าง เธอสนทนากับพ่อและแม่ของอัสนีได้อย่างดีพ่อของอสนีก็ไม่ถามว่าทำไมเธอถึงได้มาพบหลวงตา โดยอสนีนั่งฟังและคอยเสริมในบางครั้ง จนพ่อของอสนีได้บอกไปยังลูกชาย
“เออ อัสกำนันสมคิดแกเอาแปลนบ้านที่จะให้ช่วยตรวจดูมาฝากไว้ที่ร้านนะ พ่อลืมถือติดมา”
“ก็ไม่เป็นไรนี่พ่อ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จก็เดินไปดูที่ร้านก็ได้ใช้เวลาไม่นานหรอก”
จนทานอาหารกันเรียบร้อย พ่อของอสนีสนทนากับลินดาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขอตัวไปที่ร้านโดยอสนีตามพ่อไปด้วย
“คุณดารอสักครู่นะครับ ผมจะไปดูแบบบ้าน พอดีอากำนันแกจะปลูกบ้านใหม่เลยอยากให้ผมช่วยตรวจดูให้นะครับ คุยกับแม่ไปก่อนแล้วนะครับ ใช้เวลาไม่นาน”
“ตามสบายคะคุณอัส”
หญิงสาวตอบก่อนที่แม่ของอสนีจะพาเธอ มาที่ห้องรับแขกโดยมีผลไม้จานใหญ่ที่เด็กในบ้านนำมาเสิร์ฟให้ ทำให้ลินดาได้จังหวะที่จะถามเรื่องที่เธอยังสงสัยอยู่และหวังว่าแม่ของอสนีที่เป็นคนในพื้นที่พอจะให้คำตอบกับเธอได้
“คุณอาคะ หนูขอถามอะไรสักหน่อยนะคะ คือเรื่องเกี่ยวกับหลวงตานะคะ คือหนูขอตามตรงๆเลยนะคะว่า คุณอาคิดว่าหลวงตาท่านมีวิชาอาคมอะไรหรือเปล่า”
แม่ของอัสดูจะไม่ประหลาดใจกับคำถาม ก่อนจะตอบไปยังหญิงสาว
“มันเป็นคำถามที่ใครๆก็ถามกันมานานแล้วคะคุณดา แต่หาคำตอบกันไม่ได้ เคยมีคนกล้าที่จะไปถามท่านก็ตอบมาว่าถ้าเคยเห็นท่าน เหาะได้ ปล่อยแสงแบบในหนังได้ ก็แสดงว่าท่านมีวิชาพวกนี้ ถ้าไม่มีใครเคยเห็นก็เท่ากับว่าท่านไม่มี แล้วท่านก็หัวเราะคะ แต่ชาวบ้านค่อนข้างเชื่อกันว่าท่านมีแต่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่ที่เห็นๆกันคือท่านดูดวงได้ แต่ท่านไม่เคยดู ดวงให้ใคร ใครไปขอท่านปฏิเสธหมดที่รู้เพราะ ในกุฏิท่านมีตำราโหราศาสตร์หลายเล่ม แต่ท่านจะช่วยในเรื่องการตั้งชื่อ ฤกษ์แต่งาน ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่นะคะ แต่เรื่องอื่นๆท่านไม่ดูให้ อย่างอัสนี่ท่านก็เปลี่ยนชื่อให้ เมื่อก่อนอัสชื่อพิภพ แต่ตอน 10 ขวบอัสโดนฟ้าผ่าตอนนั้นอานึกว่าเสียลูกชายไปเสียแล้ว อัสอาการหนักมากหัวใจไม่เต้นแล้วหมอเตรียมจะบอกว่าอัสตายแต่จู่ๆก็ฟื้นขึ้นมา แถมหลังจากนั้นไม่ถึง 2 อาทิตย์ดีบรรดาแผลต่างๆที่เกิดจากฟ้าผ่าหายไปหมดเหลือแต่แผลเป็นที่ดูเหมือนรูปสายฟ้าที่ท้องแขนด้านขวา ถ้าไม่สังเกตจริงๆก็นึกว่าปาน หมอก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร จากที่ใครนึกว่าอัสต้องพิการแน่นอน แต่กลับไม่ใช่ พอหายดี อาทั้งสองคนก็พาไปรดน้ำมนต์กับหลวงตา ท่านก็เลยทักว่าให้เปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นศิริมงคล”
แม่ของอัสเว้นระยะการพูด แต่ลินดานั้นรู้สึกแปลกใจอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นเรื่องใหม่ที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนกับประวัติของชายคนที่อสนี เธอแทบอยากจะบอกให้แม่ของอสนีเล่าต่อเร็วๆ
“แต่หลังจากนั้น ทุกอย่างในครอบครัวเราก็ดีขึ้นคะ ทำมาค้าขายขึ้น จากร้านขายของชำเล็กๆก็กลายเป็นร้านขายส่งในอำเภอ จากที่เคยเช่านาเพื่อทำนาปลูกข้าวก็มีเงินมาซื้อที่นาเป็นของตัวเองจนมามีโรงสีนี่แหละคะ จะว่าไปมันก็จึงอย่างที่ท่านบอก ที่เรามีฐานะขึ้นมามันอาจจะเป็นอย่างที่ท่านทัก พอไปกราบท่าน หลวงตาท่านก็บอกว่ามันมาจากความขยันทำมาหากินต่อให้เปลี่ยนชื่อแล้วมัวแต่นั่งงอมืองอเท้ามันก็ไม่รวย ใครไปขอหวยท่าน ท่านก็บอกว่าเอาเงินไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น มัวแต่เล่นหวยมันก็จนไม่มีทางรวย อีกอย่างท่านก็ไม่รับปัจจัยชาวบ้านที่นี่จะรู้กันว่าถ้านิมนต์ท่านไปงานไหนก็แล้วแต่ เจ้าภาพแค่ถวายดอกไม้ธูปเทียนเท่านั้น ท่านไม่ยอมจับเงินมานานแล้ว”
“ใช่คะเมื่อกี้หนูถวายคุณอัสรีบบอกท่านไม่รับ และในโบสถ์ก็ไม่มีตู้รับบริจาค พอถามเรื่องค่าน้ำค่าไฟของวัดคุณอัสบอกหนูว่ามีกรรมการวัดดูแล”
“พ่อของอัสนะคะเป็นกรรมการของวัดและดูแลเรื่องนี้ให้ ดูแลมาร่วม 10 กว่าปีแล้ว”
“ดีจังเลยคะ”
“ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นภาระด้วยคะ ที่วัดใช้กันไม่เยอะ ที่นี่ยังเยอะกว่าเลย พระวัดนี้อยู่กันอย่างสมถะตามแบบหลวงตาคะ อืมอานึกอะไรออกแล้วมันก็เคยมีเหมือนเรื่องแปลกๆเหมือนกัน”
“เรื่องอะไรหรือคะคุณอา”
“เรื่องนี้อาก็ไม่เห็นกับตา เคยมีคนที่พวกญาติๆเขาเชื่อกันว่าผีเข้า เอาพระสวมไปที่คอกก็กระชากสร้อยขาด เลยพากันมาหาหลวงตา แต่พอรถเข้าวัดเท่านั้นอาการผีเข้าหายทันที มีสติกลับมาเหมือนเดิม หลวงตาท่านรู้เข้าก็หัวเราะ บอกว่าให้พาไปหาหมอตรวจซะ ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ท่านก็รดน้ำมนต์ให้นะ”
“แล้วเขาเคยติดยามาก่อนหรือเปล่าคะ”
“อืมม อันนี้อาไม่แน่ใจนะ แต่ที่ฟังๆมาก็บอกไม่นะ”
“ที่หนูถามเพราะตอนที่หนูได้คุยกับท่าน หนูรู้สึกว่าได้พบกับอริยสงฆ์ คะ ความรู้สึกที่เคยวิตกกับปัญหาที่หนูเจอจนต้องมาขอคำจากปรึกษาท่าน มันหายไปหมด”
“ดีแล้วละคะ ที่รู้สึกแบบนี้”
ลินดาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เรื่องผีเข้าสิงก็อาจเป็นได้เพราะเธอก็เจอกับตัวเองมาแล้ว และคำบอกเล่าจากแม่ของอสนีทำให้เธอพอจะใคร่ครวญกับข้อสงสัยที่เธอมีอยู่ แต่เรื่องที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ อสนีที่เธอพึ่งรู้ว่าเคยโดนอะไรมาบ้างและทำไมถึงไม่ตายแถมหายเร็วกว่าคนทั่วๆไป แต่เธอไม่ถามในเรื่องนี้ต่อไปชวนคุยในเรื่องอื่น เธอมองไปที่ภาพที่ติดโชว์เป็นภาพของอสนีในวันรับปริญญาที่มีทั้งในไทยและต่างประเทศรวมถึงภาพตอนที่บวช แม่ของอสนีมองตามก่อนจะพูดขึ้น
“อัสคือความภูมิใจของบ้าน อาทั้งสองคนก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย พออ่านออกเขียนได้ แต่เราก็ยังส่งเสียเขาจนเรียนจบแถมได้ทำงานดีๆ”
“คุณอาขาพ่อแม่แบบนี้ละคะที่ดาชื่นชมและคุณอาทั้งสองยังสร้างเนื้อสร้างตัวได้ถึงขนาดนี้ แถมที่ดารู้จักคุณอัสก็รู้ว่าคุณอัสเป็นคนเก่งมีฝีมือจริงๆคะ”
แม่ของอสนียิ้มรับคำชม แล้วทั้งคู่ต่างสนทนากันเรื่องอื่นๆไม่นานนักอสนีได้เดินกลับเข้ามา มารดาจึงถามไปยังลูกชาย
“ไงเรียบร้อยแล้วหรือ”
“เรียบแล้วแม่ ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าอัสมีเวลาคงออกแบบให้น้ากำนันไปแล้วแต่ไม่มีเวลา”
อัสนีตอบมารดาแล้วมองไปที่หญิงสาว
“จะกลับกันหรือยังครับ”
หญิงสาวก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะตอบ
“ดารบกวนเวลาคุณอามานานแล้วงั้นไว้ดาจะหาโอกาสมาคุยกับคุณอาใหม่”
“โอ๊ยไม่เป็นไรคะ มาได้ตลอดคะคุณดาคุยสนุกดี”
แม่ของอสนีตอบมาด้วยเสียงหัวเราะ แล้วลุกเดินไปส่งลูกชายกับแขกที่รถ อสนีเดินนำมาที่รถคันที่ลินดาเห็นประจำก่อนที่ฝ่ายชายจะบอกมาด้วยใบหน้ายิ้มๆ
“มาอีกคันขากลับก็นั่งอีกคัน”
หญิงสาวได้แต่ยิ้มๆ ก่อนจะหันไปไหว้ลาแม่ของอสนีด้วยกิริยาที่งดงาม
“ดากลับก่อนนะคะคุณอา ขอบคุณมากสำหรับอาหารมื้ออร่อย”
“ว่างๆก็มาใหม่นะคะ”
หญิงสาวยิ้มรับก่อนจะขึ้นไปรถ อัสนีไหว้ลามารดาก่อนแล้วถึงขึ้นรถ ก่อนจะขับออกไปแต่ก่อนจะถึงร้านขายของลินดาได้บอกไปที่ฝ่ายชาย
“คุณอัสคะ รบกวนอีกหน่อยคะ ดาอยากจะลาพ่อคุณอัสด้วย”
“ได้ครับ”
อสนีขับรถไปจอดด้านหลังแล้วเดินนำหญิงสาวเข้าไป เธอผิดคาดเล็กน้อย เพราะพอเปิดประตูเข้า ภายในร้านแม้จะมีของจำนวนมากแต่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแยกเป็นหมวดหมู่ชัดเจน รวมถึงความสะอาดขอร้าน พ่อของอัสนีกำลังยืนจัดของกับลูกน้อง หญิงสาวได้เข้าไปลาด้วยกิริยาที่งดงามเรียบร้อย พ่อของอสนีกล่าวเช่นเดียวกับแม่ที่เชิญให้เธอมาเที่ยวอีก ก่อนจะเดินออกจากร้าน หลังจากขึ้นรถแล้วพอรถขับออกไป ลินดามองไปที่ร้านและลานกว้างอีกครั้ง
“ลานนี่กว้างจริงๆนะคะคุณอัส”
“ใช่ครับ ถ้าคุณดามาเห็นตอนเช้าจะเข้าใจว่าเพราะอะไรถึงทำลานจอดรถกว้างขนาดนี้ ตอนที่พ่อขอซื้อที่จากเจ้าของเดิม พ่อมองการไกลไว้แล้วครับ เพราะเวลาคนมาซื้อของจะได้ไม่จอดรถเกะกะบนบนถนนเพราะถนนแค่ 2เลน ตอนเช้าจะมีพวกรถเร่จะมารับของไปขายครับและมาทีก็ร่วม 10 คัน แถมมีโรงสีอีก ตอนถึงช่วงที่ชาวนาเอาข้าวมาขายกับตอนที่รถบรรทุกมารับข้าวที่สีแล้ว จะจอดกันเต็มไปหมด พ่อบอกลงทุนทำแบบนี้คนอื่นจะไม่เดือดร้อนครับ เราจะค้าขายได้อย่างสบายใจ”
“มิน่า ดาเองก็นึกไม่ถึง คุณอาผู้ชายหัวคิดก้าวหน้าจริงๆ”
“พ่อใช้จากประสบการณ์ที่เคยเจอมานะครับ ตอนถึงช่วงที่ชาวนาเอาข้าวมาขาย พ่อให้เปิดโรงสีตั้งแต่ 7 โมงเช้าครับ พ่อบอกพวกนี้จะได้ไม่รอนาน เพราะเมื่อก่อนพ่อเคยเจอต้องไปรอกันแต่เช้า แต่เถ้าแก่โรงสีกว่าจะตื่นเกือบ 10 โมง กินข้าวอีก บางทีกว่าจะเสร็จเรื่องก็บ่ายไม่ก็เย็น เสียเวลาไปเกือบวัน พอพ่อทำโรงสี พ่อเลยทำแบบนี้มาตลอดครับ ส่วนแม่ถ้าเป็นช่วงนั้นก็จะช่วยที่ร้านก่อนจนพวกรถเร่รับของไปหมดแล้วก็มาช่วยพ่อครับ”
“แนวคิดแบบนี้ น่าชื่นชมนะคะ”
“คนเคยลำบากมาก่อนนะครับเลยเข้าใจ”
“แล้วที่นาละคะ คุณอาทั้งคู่ทำยังไง”
“ถ้าไปปลูกเองก็ไม่มีเวลาแล้วครับ ไม่ใช่ไม่ไหว แค่ร้านขายของกับโรงสีก็วุ่นแล้ว ตอนนี้พ่อแบ่งเป็น 2 ส่วนครับครึ่งหนึ่งให้คนเช่า แต่คิดแค่ค่าเช่าอย่างเดียว ส่วนข้าวก็ไม่ได้บังคับว่าต้องมาขายที่โรงสีพ่อส่วนอีกครึ่งก็จ้างครับ เราทำเป็นรูปแบบบริษัทครับ มีเงินเดือนให้พ่อให้คนที่ทำนาพวกนี้มารวมกับที่พวกทำงานในโรงสีนะครับ เพราะโรงสีเราจดทะเบียนในรูปแบบบริษัท ถ้าหมดหน้านาก็มาทำงานในโรงสี ส่วนร้านก็จดเป็นห้างหุ้นส่วนครับ ลูกจ้างทุกคนมีเงินเดือนมีสวัสดิการ อย่างแม่นี่ดูบัญชีได้เหมือนคนจบบัญชีมาเลย เพราะประสบการณ์นะครับค่อยๆเรียนรู้”
“น่าสนใจมากคะ เหมือนหลายๆครอบครัวที่ดารู้จักเจ้าของกิจการหลายอย่างรุ่นพ่อกับแม่ก็แบบ บากบั่นมานะจนมีฐานะ”
อสนียิ้มรับแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ หญิงสาวมองไปที่ทิวทัศน์ข้างทางแล้วพูดเปรยๆออกมา
“ดูร่มรื่นมาก เช้าๆคงอากาศดี”
“ใช่ครับ ถ้าคุณดาได้มาตอนเช้า อากาศจะดีมากครับ เย็นสบาย แถวนี้เป็นชนบทที่แท้จริงครับ”
“เอ่อคุณอัสคะเมื่อกี้ดาได้คุยกับคุณอาผู้หญิง ดาเลยรู้ว่าเมื่อตอนเด็กๆคุณอัสถูกฟ้าผ่าหรือคะแต่ดาแปลกใจเรื่องที่คุณอัสอาการหนักเรียกได้ว่าโคม่าแต่กลับมาเป็นปกติได้”
หญิงสาวได้จังหวะที่จะถามในเรื่องที่เธอยังสงสัยอยู่เลยถามทันที
“ใช่ครับ ผม 10 ขวบพอดีกำลังขี่จักรยานกลับบ้านจู่ๆอากาศก็แปรปรวนมีเมฆฝนมีพายุทั้งๆที่อยู่ในเดือนมกรา ใครๆก็นึกว่าผมตายแล้วแค่ก็ฟื้นขึ้นมาตอนแรกพ่อกับแม่กลัวผมจะพิการเพราะหมอก็ไม่รับรอง แต่ผมหายเป็นปกติเหลือแต่รอยแผลเป็นตรงนี้”
อสนีพูดพร้อมยื่นท้องแขนด้านขวาให้เธอดูก่อนจะพูดต่อ
“มันก็เป็นเรื่องที่แปลกครับ ผมบอกตรงๆขนาดหมอยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าผมโดนหนักขนาดนี้แต่ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมในเวลาไม่นาน ต้องขอเจาะเลือด ขอตัวอย่างเซลล์ผิวหนังไปวิเคราะห์แต่ก็หาคำตอบมาอธิบายไม่ได้ บอกมาสั้นๆว่าเคสของผมมันคือ 1ในล้านครับ”
“แล้วหลวงตาก็เลยเปลี่ยนชื่อให้”
“ครับ คือพ่อกับแม่แค่อยากให้ผมได้พรมน้ำมนต์เท่านั้นแต่ท่านก็ทักมาให้เปลี่ยนครับ”
“อสนีแปลว่าสายฟ้า”
ลินดาพึมพำเบาๆแต่อสนีนั้นพูดต่อ
“ก็คงจะเห็นว่าผมโดนฟ้าผ่าเลยตั้งชื่อให้เข้ากันมั้งครับ”
“คงจะใช่คะแต่เมื่อกี้ดาคุยกับคุณอาผู้หญิงเรื่องของหลวงตานะคะ”
“เรื่องที่ใครๆสงสัยว่าหลวงตาท่านมีวิชาอาคมใช่ไหมครับ”
เสียงของฝ่ายตามมาทันทีพร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนจะพูดต่อ
“ผมพอจะเดาออกครับเพราะคุณคงสงสัยเรื่องนี้อยู่ ถ้าตอบก็คงอย่างที่แม่บอกคุณดา ว่าชาวบ้านเชื่อว่ามีแต่ไม่เคยมีใครเห็นท่านแสดงปาฏิหาริย์สักคน ถ้าคุณดาถามผม ผมก็บอกว่าท่านมีความรู้เรื่องโหราศาสตร์กับสมุนไพรที่มาทำเป็นยาได้ครับ ในกุฏิท่านมีตำราพวกนี้อยู่หลายเล่มครับ ที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าท่านมีคาถาอาคมเพราะท่านเคยเป็นพระธุดงค์มาก่อนจะมาอยู่ที่วัดนี้ครับ แต่ก็ไม่เคยมีใครเห็นท่านทำอะไรที่ผิดวิสัยครับ มีแต่พวกขอให้ท่านดูดวง ใบ้หวยท่านก็ไม่ทำให้ ที่หลวงตาท่านทำให้ก็พวกตั้งชื่อดูฤกษ์วันแต่งงาน วันขึ้นบ้านใหม่ให้ครับ นอกนั้นท่านปฏิเสธหมด ส่วนเรื่องพวกยา ตอนนี้ท่านจะทำยาพวกยาหม่อง ยาทาแก้ปวดเมื่อยไว้แจกนะครับ ส่วนยาประเภทอื่นๆท่านบอกหาสมุนไพรลำบากและกลัวไม่สะอาด บางทีเด็กวัดได้แผลสด หลวงตาก็ให้ทาแอลกอฮอล์ กับยาแดง ท่านบอกว่าสมัยนี้ต้องใช้แบบนี้ ฆ่าเชื้อได้ดีที่สุด ตั้งแต่ท่านมาอยู่ตำบลนี้ดีขึ้นหลายเรื่องครับ อย่างเมื่อก่อนหน้าแล้งนี้บางปีน้ำแทบจะไม่มีใช้ หลวงตาท่านแนะนำให้ทำอ่างเก็บน้ำ กำนันเลยไปขอที่จังหวัด ทางจังหวัดบอกว่าไม่มีงบ พ่อรู้เข้าเลยเป็นหัวแรงหาเงินมีคนมาบริจาคกันเยอะช่วยกันซื้อที่เจ้าของที่ก็ช่วยบริจาค นายอำเภอรู้เข้าก็ติดต่อไปทางจังหวัดให้ส่งนายช่างชลประทานมา ในที่สุดอ่างเก็บน้ำก็สำเร็จ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหน้าแล้งไม่เคยขาดน้ำ แถมอานิสงค์ไปอีก 2-3 หมู่บ้านครับ”
อสนีเว้นระยะไว้ชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ
“ท่านมีความเมตตาเอื้อเฟื้อไปทั่วครับ ถ้าคุณดาสงสัยว่าทำไมวันนั้นที่คุณดาคุยกับผมเรื่องคัมภีร์โบราณนั่นและผมถึงบอกให้มาหาท่าน เพราะผมมั่นใจว่าจากวิชาความรู้จากที่ท่านมีอาจารย์มาหลายรูปและประสบการณ์ที่ท่านออกธุดงค์ไปหลายพื้นที่ น่าจะให้คำปรึกษาได้ครับ ชีวิตความเป็นอยู่ของท่านก็สมถะครับ ในกุฏิท่านนอกจากหลอดไฟแล้วมีเครื่องใช้ไฟฟ้า 2 อย่างคือพัดลมตัวเล็กกับวิทยุทรานซิสเตอร์ท่านมีไว้ฟังข่าวสารบ้านเมือง ทั้งวัดมีทีวีอยู่เครื่องเดียวให้เด็กวัดดู ส่วนตัวผมก็ให้ความเคารพนับถือท่านมากอย่างถ้าวันไหนผมกลับมาบ้าน ผมมักจะไปเป็นลูกศิษย์ตอนท่านออกบิณฑบาตถ้าเกิดตื่นไม่ทันก็รอใส่บาตรที่หน้าบ้านและก็ช่วยถือของไปส่งท่านที่วัด”
ลินดาหารู้ไม่ว่าอสนีนั้นบอกไม่หมด เพราะถ้าวันไหนที่อสนีมาเป็นลูกศิษย์ นางไม้กับรุกขเทวดาจะมาใส่บาตรให้หลวงตาตลอดเพราะถ้ามีลูกศิษย์มาด้วยทั้งสองจะไม่สามารถใส่บาตรได้ เธอจึงถามต่อไปอีก
“ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณอัสเชื่อเรื่องพวกนี้หรือคะเรื่องพวกปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินะคะ”
“อืม นึกว่าคุยสนุกๆแล้วกันนะครับถ้าผมบอกว่าไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ก็คือเชื่อใช่ไหมครับ นี่คือคำพูดที่เป็นเบสิค งั้นผมขอพูดในแนววิทยาศาสตร์แล้วกันนะครับ”
“คะ”
เธอตั้งใจฟังอย่างเต็มที่
“ลองย้อนไปถึงอดีตนะครับ นึกว่ามานั่งฟังประวัติศาสตร์แล้วกัน อย่างยุคสงครามโลกครั้งที่ 1ตอนนั้นมนุษย์เรามีปืนใหญ่ทำลายล้างกันแล้ว มีเครื่องบินที่ทิ้งระเบิดได้ แต่ถ้าตอนนั้นเกิดมีคนบอกว่าอีก 30กว่าปีต่อมา จะมีระเบิดที่ทำลายล้างเมืองทั้งเมืองแบบที่ ฮิโรชิม่าและนางาซากิโดน จะมีคนเชื่อหรือเปล่าผมว่าคนส่วนมากต้องไม่เชื่อ หรืออย่างเรื่องการติดต่อสื่อสารจากที่เริ่มพัฒนามาจากโทรเลข จนถึงยุคนี้เราใช้สัญญาณผ่านอากาศติดต่อกันแม้กระทั่งการติดต่อไปยังยานอวกาศหรือพวกดาวเทียมที่อยู่นอกโลกก็ทำได้ได้ มันก็วกกลับมาคำถามเดิม ถ้าในตอนที่มนุษย์ประดิษฐ์โทรเลขได้แล้วมีคนบอกว่าในอนาคตจะสามารถทำการสื่อสารแบบนี้ได้ จะมีคนเชื่อหรือเปล่า”
“งั้นคุณอัสหมายความว่า เรื่องพวกนี้มีอยู่จริงแต่เครื่องมือที่เรามีอยู่ยังไม่สามารถที่จะทำได้หรือพิสูจน์สิงเหล่านี้ได้”
“ใช่ครับ วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำได้ ที่จะสร้างเครื่องมือตรวจจับพลังงานเหล่านี้แล้วสามารถพิสูจน์ให้มนุษย์อย่างเราๆเห็น แต่ตอบอย่างนี้อาจจะยังไม่ตรงประเด็นกับที่คุณดาต้องการคำตอบ เรื่องของบรรดาภูตผีว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ผมก็มองว่าอาจจะเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่งที่อยู่ในอีกมิติหนึ่งและเรายังตรวจจับไม่ได้ครับ แต่ที่ใครเคยพบเคยเจอ จริงหรือไม่จริงเราก็ไม่รู้ มันอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ครับ ผมขอยกตัวอย่างเรื่องคลื่นวิทยุ เมื่อก่อนที่ยังไม่มีบรรดาพวกแอปต่างๆ เราก็ฟังเพลงจากวิทยุเวลาเราขับรถบางทีเราเจอจุดอับคลื่น หรือจู่ๆก็มีคลื่นแทรกมาจากสถานีอื่น มันก็เหมือนกับคนที่เจอผีนะครับอาจจะเป็นจังหวะที่เหมือนคลื่นแทรกนะครับ มาพบมาเจอกันชั่วระยะหนึ่งแล้วก็หากันไม่เจออีก”
“อ่อดาเข้าใจแล้วคะ แล้วอย่างพวกที่ชอบบอกว่าติดต่อกับบรรดาวิญาณได้ อย่างพวกคนทรงหรือหมอผีละคะ”
“ตรงนี้ส่วนมากผมว่าหลอกลวงนะครับ แต่ถ้าเกิดมีคนติดต่อได้จริงๆ ก็บอกว่าคนพวกนั้นอาจมีเครื่องมือวิเศษหรือมีวิชาที่สามารถติดต่อ แต่คนพวกนี้ก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้โลกรู้ได้ แต่ผมว่าพวกทรงเจ้านี่ร้อยทั้งร้อยที่บอกว่าตอนเจ้ามาประทับ ลองโยนประพัดพวงใหญ่ๆเข้าไปสิครับเชื่อเถอะเผ่นกระเจิงทั้งนั้น”
พออสนีพูดจบหญิงสาวหัวเราะออกมาทันที ก่อนจะชวนคุยต่อ
“แล้วถ้าสมมุติว่าคนนั้นสามารถติดต่อกับวิญญาณได้แต่ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ให้คนทั่วๆไปรู้ได้ละคะ”
“ก็ไม่มีอะไรมากครับ คือเขาอาจจะมีวิธีที่ติดต่อได้จริงๆ แต่คนทั่วไปนั้นไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ เรื่องตรงนี้มันไม่แปลกหรอกครับ ดูอย่างถ้าผมเอาแบบแปลนบ้านแปลนอาคารไปให้คนที่ไม่เรียนหรือรู้พวกนี้มาก่อนก็จะดูกันไม่รู้เรื่องว่าไอ้ที่เขียนนี่มันคืออะไร”
ลินดาพยักหน้า ก่อนจะถามต่อเพราะไหนๆก็มีโอกาสแล้วกับข้อสงสัยทั้งหมดของเธอที่มีต่อผู้ชายคนนี้
“ดายังสงสัยอยู่นะคะ ว่าตอนที่ดาเล่าเรื่องคัมภีร์ให้ฟัง คุณอัสดูไม่แปลกใจ”
“จะแปลกใจไปทำไมละครับ ก็คุณพ่อคุณดา คุณทรงพลมักจะพูดบ่อยๆว่าตัวคุณดามีประสาทสัมผัสที่ 6 พอได้ยินที่คุณดาเล่าผมเลยไม่แปลกใจ”
“อ๋อจากพ่อนี่เอง”
คำตอบของอสนีช่วยให้เธอกระจ่างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ
“ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะคะ ดามีเรื่องสงสัยหลายเรื่อง คุณอัสคงไม่เบื่อนะคะที่ดาถามโน่นถามนี่”
“ดีซะอีกคุยกันแก้เบื่อครับ”
“คือเรื่องของศาสตร์ของฮวงจุ้ยนะคะ ตกลงคุณอัสไม่รู้แน่หรือคะ”
“ไม่ใช่เรื่องลึกลับครับ ผมบอกตรงๆว่าไม่รู้จริงๆ เมื่อก่อนผมก็จัดอยู่ในประเภทอีโก้สูงไม่ยอมแก้แบบ แต่พอเวลาผ่านๆมันก็ทำให้ผมเข้าใจเรื่องพวกนี้ ผมใช้จากประสบการณ์ที่เคยคุยกับสถาปนิกทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่เลยพอจะเดาออกว่าหลักๆคืออะไร ที่สำคัญคือความต้องการของบรรดาเจ้าของอาคารเหล่านั้น เพราะยังไงก่อนที่จะมาคุยกับสถาปนิกก็ต้องปรึกษากับบรรดาซินแสมาก่อน แล้วมาคุยกับผม อย่างที่คุณทรงพลกับคุณดาจะบอกผมว่าต้องการอะไรแบบไหน ผมก็จะเอาข้อมูลไปเขียนแบบให้ตามต้องการไงครับ”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง”
เธออุทานออกมาแต่ก็หารู้ไม่ว่าอสนีบอกไม่หมด เพราะที่ผ่านๆมาการสร้างอาคารหลังใหม่ในพื้นที่ ที่มีอาคารหลังเก่าอยู่แล้วจะมีบรรดาพระภูมิหรือเจ้าที่จะมาคอยบอกกับอสนีเหมือนกับตอนที่จะสร้าง “วัชรทิพยสถาน” แต่ถ้าเป็นการก่อสร้างตึกหลังแรกก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะไม่มีเจ้าที่ ทั้งๆที่อสนีพยายามหลีกเลี่ยงไม่ติดต่อกับพวกเหล่านี้ตามคำสอนของท่านนักพรตกัสปะ แต่บรรดาพระภูมิหรือเจ้าที่จะมาบอกถ้าได้รับผลกระทบหรือลักษณะของอาคารจะเกิดผลร้ายซึ่งพวกที่มาติดต่อจะเป็นลักษณะเทพหรือกึ่งเทพ แต่ถ้าเป็นบรรดาปีศาจจะไม่กล้าแสดงตัวต่อหน้าอสนี แต่ลินดานั้นถามต่อไปอีก
“คุณอัสจำวันที่เราเจอกันวันแรกได้ใช่ไหมคะ เรื่องที่ดาถามไปยังคุณอัสถึงเรื่องอาคาร วัชรทิพยสถาน ถ้าวันนั้นคุณอัสไม่พอใจดาก็ขอโทษด้วย ดาอยากจะแหย่เท่านั้น แต่ดาอยากจะรู้ว่าทำไมคุณอัสถึงไม่อยากออกแบบอาคารลักษณะนั้นอีก และเพระอะไรถึงต้องทำเป็นที่พักด้วย ดาบอกตรงๆว่าดาชอบอาคารนั้นมาก เห็นครั้งแรกดายอมรับว่าดาถึงกับหลงใหล ในตัวอาคาร ที่พูดนี่ไม่ใช่เอาใจคุณอัสนะคะ”
“ไม่โกรธหรอกครับ คือ มันยุ่งยากหลายเรื่องครับ เน้นๆเลยคือค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แต่คุณภูวดลยอมจ่ายเพราะต้องการให้เป็นแลนด์มาร์กหรือเป็นจุดเช็คอิน การก่อสร้างนั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก ต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อน ลวดลายที่เห็นส่วนมากต้องไปจ้างช่างฝีมือเฉพาะทางให้แกะสลักบล็อกนะครับ ก่อนจะเอาปูนไปหล่อและแกะบล็อกมาประกอบ ถ้าเป็นงานไม้ไม่ต้องพูดถึงต้องใช้ไม้เนื้อดี ไหนจะต้องใช้เวลาในการแกะสลักอีก ไหนจะค่าบำรุงรักษาอีกครับ ผมถึงบอกว่าวัชรทิพยสถานเหมาะสำหรับที่จะเป็นที่พัก เพราะถ้าเป็นที่พักโดยเฉพาะอย่างโรงแรม 6ดาวของคุณภูวดล เพราะโรงแรมพวกนี้จะต้องคอยบำรุงดูแลรักษาสภาพอาคารให้ดูดีตลอดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ มาพัก ทางโรงแรมจะต้องมีงบพวกนี้อยู่แล้ว แต่ถ้ามาเป็นอาคารสำนักงานนี่ดูจะไม่เหมาะในเรื่องของงบดูแลครับ มันจะสูงมากสู้เอาเงินตรงนั้นมาจ่ายเป็นเงินเดือนพนักงานหรือเป็นโบนัส จะดีกว่าครับ”
“แล้วคุณอัสได้แรงบันดาลใจจากไหนในการออกแบบอาคารนี้คะจนได้รับรางวัลมาแล้ว”
“จู่ๆ ก็โผล่มาในความคิดครับ ตั้งแต่สมัยผมเรียนปี 1 ผมก็เริ่มร่างมาเรื่อยๆ มีแก้มีปรับตลอด จนถึงตอนเรียนปี 3ปลายๆ ถึงสมบูรณ์”
“พอออกแบบให้ทางโรงแรมแล้วมีแก้ไขเยอะหรือเปล่าคะ”
“นิดหน่อยครับ แต่ที่แก้ตรงๆเพราะมีคนทักรวมทั้งซินแสด้วย คือตรงส่วนยอดนะครับที่ผมออกแบบตอนแรกเป็นฉัตร 7 ชั้น แต่มีคนทักว่าหมายถึงเครื่องประกอบพระอิสริยยศพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงครับ เลยปรับตรงส่วนนั้นให้เป็นยอดแหลมทรงสามเหลี่ยมทั้งสี่ด้านแทน”
“แต่ดาเข้าไปดูในเว็บของโรงแรมเห็นสลักเป็นรูปสายฟ้าทั้งสี่ด้านเลยนี่คะ”
“ตอนแรกผมออกแบบเป็นรูปหงส์ครับ แต่คุณภูวดลอยากให้เป็นสัญลักษณ์สายฟ้าเพื่อเป็นเกียรติให้กับผมที่เป็นคนออกแบบครับ แต่เราไม่ได้ให้ข่าวตรงนี้ครับ แต่ก็มีคนเข้าใจว่าต้องการสื่อถึงอะไร”
“ถือว่าดากับพ่อโชคดีจริงๆคะ ที่ได้คุณอัสเป็นคนออกแบบให้ แถมยังมาช่วยแก้ปัญหาให้ดาโดยที่คาดไม่ถึงจริงๆคะ”
“ถือว่าเป็นจังหวะที่บังเอิญแล้วกันครับ”
“แล้ว เห็นแบบนี้ดาอยากรู้ว่าคุณอัสมีแฟนหรือยังคะนี่”
จู่ๆเธอเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“ยังครับ”
“เอ แต่ดาเคยเห็นคุณอัสไปเที่ยวกับ คุณพลอยลูกสาวคุณภูวดล”
อสนียิ้มก่อนจะตอบ
“เราก็คบกันแบบเพื่อนนะครับ แต่ผมก็ยอมรับว่าเราสนิทกันมากก่อนที่เธอจะแต่งงานแล้วไปอยู่ต่างประเทศ”
“คือที่ผ่านๆมาก็คือเพื่อนกันหมดนะสิคะ”
น้ำเสียงเย้ามาจากฝ่ายหญิง แต่อสนีไม่ถือสา ก่อนที่ลินดาจะถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“แล้วที่ผ่านมาคุณอัสเคยมีคนที่ถูกใจบ้างหรือเปล่าคะ”
เพราะประโยคนี้ทำให้อสนีคิดถึง กรรณิการ์ วิญญาณสาวตนนั้น 3 ปีได้แล้วสินะตั้งแต่วันที่เธอมาลาตอนนี้เธอคงไปอยู่ในภพภูมิที่สูงขึ้น
“ก็เคยมีครับ แต่เรารู้จักกันในเวลาสั้นๆ แต่ผมยอมรับว่าเธอมีอะไรหลายๆอย่างที่ถูกใจผม”
“แล้วตอนนี้เธอคนนั้นไปไหนแล้วละคะ”
“เธอไปอยู่อีกที่หนึ่งแล้วครับ มันเป็นที่ ที่เธอควรอยู่และห่างไกลมากเราไม่สามารถที่จะติดต่อกันได้อีก”
“ฟังดูน่าเศร้าจัง”
“ไม่ใช่เรื่องเศร้าหรอกครับ มันเป็นเรื่องที่ดี ผมเองยังมีส่วนสนับสนุนในเรื่องนี้กับเธอครับ แล้วคุณดาละครับทำไมถึงยังไม่มีแฟน”
ลินดายิ้มออกมาแต่ภายในใจเธอหวั่นไหวพอสมควรกับประโยคนี้ เธอรู้ดีว่าทำไมอสนีถึงรู้ว่าเธอไม่มีแฟนเพราะพ่อเธอชอบแหย่เธอในเรื่องนี้ในตอนที่ประชุมกัน
“อาจจะเป็นเพราะ ภาระหน้าที่การงานของดาด้วยมั้งคะ เพราะทุกวันนี้ตั้งแต่ดามารับตำแหน่งแทนพ่อ ดาแทบจะหาเวลาไม่ได้เลย เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยได้เจอและที่สำคัญดาขอมุ่งไปที่กิจการมากกว่าคะ”
เธอนั้นตอบไม่ตรงกับความจริง มันเป็นความจริงที่เปิดเผยไม่ได้ตั้งแต่ที่เธอถามอสนีในเรื่องของ คนที่สามารถติดต่อวิญญาณได้ เธอลองหยั่งเชิงในหลายๆเรื่อง ที่เธอสงสัย ถึงจะมีคำตอบมาให้แต่ก็ยังไม่กระจ่างเท่าไหร่ ทั้งในเรื่องของหลวงตาแต่เธอคิดว่ารู้เท่าที่รู้ก็พอและที่สำคัญในการที่ได้สนทนากับพระภิกษุรูปนี้ เธอรู้สึกว่าหลวงตาได้ชี้ทางสว่างให้เธอในหลายๆเรื่องจนเธอตัดสินใจแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปรวมถึงเรื่องของไอ้ผีร้ายที่เธอรู้สึกว่าคงจะเบาใจไปได้แต่เธอก็ยังไม่ประมาทยิ่งวันนี้มันครบ 7 วันตามที่มันประกาศไว้ และเรื่องของอสนีที่เป็นเรื่องใหม่ทำไมคนที่ถูกฟ้าผ่าแต่กลับไม่เป็นอะไรเลย มันเป็นปริศนาที่เธอครุ่นคิดมาตลอด จนไปถึงคอนโดของเธอ ลินดาได้บอกกับอสนี
“คุณอัสเชิญไปหาอะไรเย็นๆดื่มที่ห้องของดาก่อนนะนะ จะได้พักให้หายเหนื่อยด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“นะคะ วันนี้คุณช่วยดามาทังวันแล้ว เชิญไปนั่งพักสักหน่อยนะคะ”
น้ำเสียงที่อ้อนวอนทำให้อสนีปฏิเสธไม่ได้ จึงตามหญิงสาวไปบนห้องพัก แต่ทันทีที่เข้ามาในห้องพักของลินดา อสนีรับรู้ได้ทันทีถึงพลังงานบางอย่างที่ดูจะมีจำนวนมาก ก่อนที่หญิงสาวจะเชิญไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก ไม่นานนัก แก้วใส่ชามะนาวที่เย็นเจี๊ยบ2 แก้วพร้อมขนมอีก2-3อย่างมาอยู่บนโต๊ะ
“ชามะนาวคะ ดาทำเองคะ ความจริงดาอยากจะเลี้ยงข้าวเย็นคุณอัสเป็นการตอบแทนคะ แต่ดานัดทานข้าวกับพ่อแม่ที่บ้านแล้ว ดาขอแปะโป้งไว้ก่อนนะคะแล้ววันหน้าดาจะเลี้ยงตอบแทนให้คะ แต่คุณอัสไม่ต้องรีบนะคะ ยังมีเวลาอีกเยอะครับ ไปตอนนี้ก็รถติดด้วยคะ”
อสนียิ้มรับแต่สายตามองไปที่ผนังอีกด้านที่ดูจะเป็นห้องนอนของลินดา อัสนีมองเห็นวิญญาณผู้หญิง 7 ร่างที่เป็นที่มาของพลังงานที่ตนเองสัมผัสได้ ยืนมองมาที่ตนเองอย่างกล้าๆกลัวๆ
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน