“อูวววว์ ซี๊ดดด อย่าเฮีย” พิมยังคงขัดขืน และเหมือนจะรุนแรงมากขึ้น ขาทั้งสองหนีบแน่น จนใบหน้าของผมขยับไปไหนไม่ได้ และด้วยจังหวะที่มันไม่ทันตั้งตัว ผมหลุดจากการรุกเข้าใส่ส่วนล่างของพิม ไม่สามารถไปต่อได้ ผมจึงต้องจำใจยันตัวขึ้นมา
“พิม...” ผมมองเธอจากตำแหน่งที่นั่งชันเข่านั้น พิมมองผมด้วยสายตาที่บ่งบอกความรู้สึกแน่ชัดไม่ถูก
“ทำเถอะเฮีย...” สิ้นเสียงของพิม ใจของผมเต้นรัว!!!………………………………………………
แด่ two-hitchhikers.ruเทศกาลใหญ่ ใจสั่นระรัว 3
พิมมองผมด้วยแววตาเว้าวอน เส้นบาง ๆกั้นในใจเธอ ที่เธอขีดแบ่งระหว่างอารมณ์และเหตุผลนั้นพังทลายลง เป็นอันว่าแผนการปลุกอารมณ์ของผมเพื่อให้เธอลดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจเธอนั้นได้ผลดีนัก
ผมถอดเสื้อตัวเองออก โยนไปข้างหลัง มันคงไปกองบนพื้นห้องตรงไหนสักแห่ง และตามมาด้วยกางเกงบอลซึ่งถอดขณะอยู่ในท่าชันเข่า มันก็ลำบากนิดหน่อย แต่จะให้ยืนถอดทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ มันก็ดูยังไงอยู่ ขณะนี้จึงมีแต่กางเกงชั้นในขาสั้นของผม ที่เป็นผ้าสแปนเด็กซ์สีดำมันๆ ซึ่งผมชอบใส่มากกว่ากางเกงในผ้าฝ้ายหรือชนิดอื่นทั่วไป ด้วยความสะดวกสบายนั้น แต่มันรัดเข้ากับร่างกายของผมจนเห็นท่อนลำอันแข็งกร้าว พาดตั้งขึ้นแนบลำตัวเอียงไปทางซ้าย พิมจ้องมองสิ่งเหล่านี้ด้วยสายตาหรี่เล็ก ริมฝีปากของเธอเผลอเล็กน้อย รับกับความสว่างยามเช้าทำให้ใบหน้าของพิมมีองค์ประกอบแสงและเงายังกับภาพวาดสีน้ำมัน
แสงตอนเช้า!!!! ผมผงะด้วยความตกใจ ผมหันกลับไปมองนาฬิกาอีกครั้งด้วยความหวาดผวา เลขดิจิตอลแสดงผลไม่ผิดแน่ ๆ มันเป็นเวลาที่ผมควรได้ไปอยู่ ณ ที่ทำงานเรียบร้อยแล้ว ผมหันกลับมาอย่างรวดเร็วมองภาพที่อยู่ข้างหน้า ผมลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมาสดๆ ในหัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับสบถอยู่ในใจ
“เฮีย....” เสียงน้อย ๆ ของเธอเรียกผม
พิมลืมตามองผมด้วยสายตาปกติ หลังจากสังเกตอาการของผมได้ ผมกัดฟันแน่นในขณะที่เข่าของผมคืบเข้าหาตัวเธอจนคร่อมท่อนขาทั้งสอง จากนั้นโน้มตัวลงมาจูบกับพิม และสอดลิ้นเข้าไปในช่องปากเธอ กวาดช่องเพดานปาก กระพุ้งแก้ม แล้วดุนกับลิ้นเธอ พร้อมกับสูดเอาลมหายใจพิศวาสนั่นมาเก็บไว้ แล้วผมก็ถอนหน้าออกมา จ้องมองพิมด้วยความรู้สึกเสียดายอย่างหาอะไรเทียบไม่ได้ ผมกลืนอะไรสักอย่างลงคออย่างยากลำบากเพราะน้ำลายมันแห้งผากไปหมดแล้ว จากนั้นก็ยันตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนพุ่งเข้าไปในห้องน้ำ
“พี่ต้องทำงาน พี่ไม่ไปทำงานไม่ได้!!!”
ผมร้องออกมาด้วยเสียงสั่นเทิ้ม ความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างมันพุ่งเข้ามาหาแล้วสะท้อนไปมาในร่างกาย มันตีกันไปหมด โดยเฉพาะความปวดช้ำระกำที่ท่อนล่าง ซึ่งผมไม่ได้แสดงอาการเหล่านี้ออกมาให้พิมเห็นแต่อย่างใด ขณะที่ผมรีบจัดการตัวเองอย่างลวกๆ หันมาอีกครั้งก็เห็นพิมขยับตัวขึ้นมานอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว และห่มผ้านอนนิ่งไม่มีอาการใด ๆ ออกมา ผมได้แต่ลอบถอนหายใจเงียบ ๆ ด้วยความเสียดาย รีบแต่งตัวให้เสร็จพร้อมหยิบของติดตัวให้ครบก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“กุญแจสำรองอยู่นี่นะพิม”
ผมพูด ขณะกำลังใส่ถุงเท้าอย่างเร่งรีบ และโบ้ยหน้าไปที่กองกุญแจบนโต๊ะ ทันใดนั้นผมรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวบนที่นอน และมีสองมือเข้ามากอดแผ่นหลังของผม
“ตั้งใจทำงานนะคะเฮีย เดี๋ยวสายๆพิมจะไปธุระ แล้วกลับมาช่วงเย็น”
เธอพูด และหอมแก้มผม จากนั้นพิมก็งับเข้าที่ต้นคอผม แล้วออกแรงกัดจนผมขนลุกและสะดุ้งไปพร้อม ๆ กัน ผมหันหน้ากลับไปสบตากับพิม เธอยิ้มและจ้องมองผมด้วยสายตาหวานเยิ้ม ซึ่งไม่รู้ด้วยความรู้สึกของเธอหรืออาการคนเมายังไม่สร่างดี แต่ผมยิ้มให้เธอ และขอรับสิ่งนั้นและขอคิดกับตัวเองว่าเป็นความรู้สึกดีดีที่เธอมอบให้ ผมลุกจากที่นอนหลังสวมถุงเท้าเสร็จ และเปิดประตูห้อง สวมรองเท้าและวิ่งไปทำงานอย่างรวดเร็ว
ใช่ครับผู้อ่าน ผมพลาดโอกาสที่อยู่ข้างหน้า ผมเลือกที่จะไปทำงานแทนที่จะสานต่อให้มันจบ มันอาจจะจบเร็วหรือช้า แต่มันก็จบได้ แต่ ณ ขณะนั้นผมเลือกที่จะกำโอกาสนั้นไว้แล้วโยนมันทิ้งไป โดยที่ผมยังมีความหวังน้อย ๆ แล้ง ๆ ว่า พิมจะยังปล่อยโอกาสให้ผมอีกในคืนถัดไป
13 เมษายน เริ่มต้นวันหยุดยาวของชาวไทยทั้งประเทศ แต่ก็ยังคงมีหลายคนที่ต้องทำงานในวันหยุด หนึ่งในนั้นก็คือผมเอง วันทั้งวันในที่ทำงาน ซึ่งมาตรฐานการผ่านไปของเวลา จะยาวนานกว่าช่วงเวลาแห่งความสุขที่ผ่านมา ผมอดทน อดกลั้นต่ออาการเหนื่อยล้า ง่วง เพลีย สะสมจากค่ำคืนที่แสนระทึก ยิ่งไปกว่านั้น ราวกับว่าร่างกายได้สูบฉีดอะดรีนาลีนกระตุ้นให้ผมมีเรี่ยวแรง กำลังและความตื่นเต้นในช่วงกลางคืนที่ผ่านมานั้น กลับส่งผลย้อนเข้ามาสร้างภาระทางร่ายกายให้ผมในเวลากลางวันให้อ่อนล้าทั้งกายใจเป็นหลายเท่า ทวีคูณ ช่วงสายๆ ผมได้เข้าไปเช็คเว็ปดังกล่าว เพื่อดูการเคลื่อนไหวของพิม เธอมีการตอบกลับคอมเมนท์ที่ค้างไว้เมื่อคืนในช่วงสายๆของวันนี้ ในขณะเดียวกัน ผมก็เห็นเธอโพสรูปเซลฟี่ของตัวเอง เป็นรูปพิมกำลังยิ้ม สวมเสื้อสีขาว คอวีผ่าลงถึงเหนือช่วงอก ฉากหลังเป็นร้านอาหารร้านหนึ่งในห้างดังแถวบางนา
‘เวลาอยู่กับเธอ เยอะเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ’ ผมกดไลค์โพสนั้น และตามไปอ่านคอมเม้นท์ของเหล่าเพื่อน แฟนคลับทั้งหลายของเธอ พิมกลับมาออนไลน์เป็นสาวเปรี้ยวสดใสตามปกติของเธอแล้ว ขณะนั้นพิมได้ทักเข้ามาในข้อความส่วนตัวผม
“เฮียขา ง่วงมั้ยค้ะ”
“นิดหน่อย... ตอนนี้อยู่ไหนนี่?”
“พิมมาหาเพื่อนที่เมกะบางนาค่า เดี๋ยวจะไปทำผมที่ ...แล้วเดี๋ยวพิมไปหานะคะ”
“เดินทางดี ๆ นะ”
“ขอบคุณค้ะ”
“โอเค แล้วเจอกันครับ”
จากนั้นไม่นานไฟสถานะออนไลน์ของเธอก็เปลี่ยนสี ผมก็เลื่อนฟีดไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย และรอเวลางานให้จบลง เพื่อที่ว่า หลังจากเลิกงานแล้วผมจะรีบกลับไปนอนงีบเพื่อรอพิมกลับมา ซึ่งไม่รู้จริง ๆ ว่าเธอจะกลับมาถึงนี่เวลาไหน
ผู้อ่านหลายท่านเชียร์ให้ผมลางาน เรียกได้ว่าเกือบทั้งหมดเลย ผมต้องขออนุญาติเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบจริง ๆ ครับ ว่าลักษณะงานและตำแหน่งงานของผมนั้นเป็นประเภทที่ คนเดียวคุมทั้งระบบ ไม่สามารถลางานกะทันหันได้ และมันมีผลเสียร้ายแรงอย่างหนัก หากขาดเจ้าหน้าที่ไปปฎิบัติการ ณ เวลาที่นัดไว้ มันก็จริงที่ทั่วไปแล้ว ระดับหัวหน้าเขามีแผนสำรองกรณีเจ้าหน้าที่ไม่เข้ามาทำงานในเวลากำหนดในกรณีฉุกเฉินร้ายแรง ซึ่งมันต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมประกอบ หากเขาพบในภายหลังว่าผมลางานเพียงเพราะต้องการเสียดสีกับสาวในห้อง มันคงมีผลต่อการประเมินและมนุษย์สัมพันธ์ในองค์กรด้วย
หลังเลิกงาน ผมดิ่งไปห้องพักอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ความทรมานของผมนั้นสิ้นสุดลงไปสักที เมื่อผมไขกุญแจเข้าไปในห้องตัวเองแล้ว สิ่งแรกที่มองเข้าไปทันทีคือบนที่นอน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีพิมอยู่อย่างแน่นอน มีเพียงผ้าห่มสองผืน ของผมและพิม ที่ตอนแรกผมทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ เตรียมแยกไว้ให้สองผืน ได้รับการพับเก็บไว้อย่างดี หมอนหนุนหัวสองใบได้รับการจัดตำแหน่งใหม่ และสะบัดรอยยับออกไป เรียบสวยงามตามสภาพของมัน ผมวางของติดตัวลงกับปลายที่นอน แล้วทิ้งตัวไปยังที่นอนตำแหน่งที่พิมนอนเมื่อเช้า เอาหน้าฝังเข้ากับหมอนแล้วสูดลมหายใจเข้าเพราะคิดถึงเธอ จากนั้นสติผมก็จางหายไปกับกลิ่นหอมของเธอที่อุตส่าห์หลงเหลือไว้ให้...
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเหงื่อที่ชุ่มตัว เพราะความอบอ้าวของประเทศในเขตตะวันตกเฉียงใต้นี้ หันไปมองโทรศัพท์ที่ดังที่ปลายเตียงด้วยความงุนงง มันดังขึ้นเพราะอะไร?... อ้อ สายเข้า พลันนึกได้ ผมรีบยันตัวเองและโดดไปหาโทรศัพท์เพื่อดูว่าใครโทรเข้า พอเห็นชื่อผมก็กดรับสายทันที
“ว่าไงพิม เสร็จแล้วหรอ” ผมกรอกเสียงเข้าโทรศัพท์ รู้สึกคอแห้งเล็กน้อย
“เฮียคะ พิมว่าจะกลับไปเก็บของที่ห้อง เฮียมาด้วยกันมั้ยคะ”
เอ้า เธอเชิญชวนขนาดนี้ แน่นอนว่าพิมต้องการเปลี่ยนสมรภูมิรบ ผมคิดในแจแต่ไมได้พูดออกไป
“ได้สิ ตอนนี้พิมอยู่ไหนครับ” ผมถามขณะมองเวลา ขณะนี้เวลา 17.35น. ผมหลับไปทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เปิดแอร์ไปถึง 2 ชั่วโมงกว่า
“พิมกำลังนั่งแท็กซี่มาซอย 7 ค่ะ น่าจะถึงอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง”
“นี่นั่งมาจากไหนน่ะพิม?”
“อ้อ ก็เมกะไงค้ะเฮีย เดี๋ยวใกล้ถึงพิมโทรไปอีกทีนะคะ”
ผมตอบรับพิม จากนั้นจึงวางสาย ผมรู้สึกหัวหมุนเล็กน้อย อาจจะเพราะเพลียอากาศร้อนอบอ้าวที่ไม่มีอากาศถ่ายเท ผมขยับตัวลุกท่ามกลางที่นอนที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เดินไปเปิดแอร์ และถอดเสื้อผ้าตัวเองไปอาบน้ำให้เรียบร้อย จากนั้นไม่นาน หลังจากผมแต่งตัวเรียบร้อย พิมก็โทรเข้ามาหา ให้ผมลงไปหาเธอเพื่อที่จะไปห้องเธอด้วยกัน
เมื่อแท็กซี่มาจอด พิมออกจากรถแท๊กซี่และเดินมาหาผมซึ่งกำลังเดินลงบันไดห้องพักอย่างเร่งรีบ ด้วยรอยยิ้มหวานๆเหมาะกับยามเย็น เธอใส่ชุดตัวเดิมที่ผมเห็นในโพสช่วงสาย ซึ่งชุดเต็มๆของพิมนั้นที่จริงแล้วคือชุดแซ็กสีขาว ยาวถึงเหนือเข่า ตัดเย็บเข้ารูปสวย อวดหุ่นผอมเพรียวอันโดดเด่นของเธอ
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
ผมตกตะลึงในความงดงามหมดจดเหล่านี้ จริงอยู่ที่ผมเคยเห็นพิมแต่งตัวสวยๆมากมายตามโพสที่เธอลงเป็นประจำ แต่ไม่มีสักครั้งที่ผมจะเห็นภาพเหล่านั้นด้วยสายตาตนเอง บางครั้งความสมบูรณ์เหล่านี้ก็ทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตัวผมเหมาะสมจะเดินข้างๆเธอรึเปล่า
“เฮียคะ ไปห้องพิมกันค่ะ”
สาวสวยที่ทำให้ผมตกตะลึงยิ้มหวานแฝงความเย้ายวน ก้าวเท้ามาหา และจับมือผม ให้เดินตามเธอกลับไปขึ้นรถแท๊กซี่คันเดิม
ข้อความจากผู้แต่ง :
รอบนี้ไม่มีสามช่า เอ๊ย ไม่มีซ่อนเนื้อเรื่องนะครับ เนื่องจากเหตุการณ์ช่วงนี้มันเป็นการเดินเรื่องเชิงอรรถาธิบาย เพราะฉะนั้นผมจึงเผยให้ทุกท่านอ่านและคอมเมนท์ด้วยความยินดี ขอบคุณสำหรับการตอบรับที่ผ่านมาทั้งตอน 1 และ 2 นะครับ
ผมอาจจะเขียนมาสั้นๆ เพราะผมไม่สามารถลงตอนนึงยาวๆ ดังท่านนักเขียนผู้อื่นได้ ผมขอได้รับการให้อภัยมา ณ ที่นี้
ผมจะหายหน้าหายตาไปสอง - สามวัน แล้วจะกลับมาเขียนตอนที่ 4 ให้ทุกท่านได้อ่านนะครับ ขอบพระคุณสำหรับฟีดแบกทุกท่านนะครับ ผมเข้าไปตอบท่านด้วยตัวอักษรสีแดงบ้างแล้วนะครับ ผมยืนยันว่าผมอ่านทุกคอมเม้นท์และขอรับคำขอบคุณด้วยความยินดี - Velajuel
แสดงลิ้งค์เฉพาะสมาชิกเท่านั้น