Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 15
อดีตบ้านสวนที่ปลูกอยู่ไกลออกมาจากตัวอำเภอประมาณสองกิโลเมตรใกล้พื้นที่สำหรับทำเกษตรกรรม ถึงจะไม่ใช่บ้านหลังเดียวในระแวกนั้นแต่บ้านละหลังจึงอยู่ห่างกันพอสมควรส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบที่มีแต่เรือกสวนไร่นาทำให้บ้านดูวังเวงเงียบเหงา สองชายฉกรรจ์อาศัยแสงไฟส่องสว่างจากประตูหน้าบ้าน ช่วยกันพาร่างปีนข่ามรั้วที่สูงเพียงสองเมตรเข้าไปในบ้านอย่างทุลักทุเล เนื่องจากอาการมึนเมา พอเข้ามาได้ก็ย่องไปหลบหลังพุ่มไม้ใหญ่ลอบมองสังเกตุเข้าไปในตัวบ้านที่เปิดไฟใต้ถุนบ้านทิ้งไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าคนในบ้านไม่ได้รับรู้ถึงการมาถึงของเขาทั้งคู่
“กลับตอนนี้ยังทันนะพี่” ภาณุแสดงท่าทีตื่นกลัวนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาบุกรุกเข้าบ้านคนอื่น แต่เพราะครั้งนี้เป็นบ้านที่ถูกชาวบ้านทั่วไปลือกันว่ามีผู้มีคาถาอาคม ยิงแทงไม่เข้า ให้โชคและทำนายทายทักแม่นยำราวกับสามารถรับรู้เหตุการณ์ได้ล่วงหน้าอาศัยอยู่
“อะไรของมึงอีกวะ เข้ามาแล้วก็จัดการให้มันจบๆ อย่าวุ่นวาย” รตนที่เต็มไปด้วยทิฏฐิมานะ หวังจะสร้างผลงานเอาใจผู้เป็นนายและอยากจะหักหน้าวิศวัทเพื่อนร่วมสายอาชีพที่เขาไม่ค่อยชอบหน้า
“พี่ได้กลิ่นอะไรไหม” ภาณุที่เมาน้อยหน่อยทำให้ประสาทรับรู้ไม่ได้เฉื่อยช้าลงไปมากนัก ประกอบกับความกลัวจึงระมัดระวังตัวมากกว่าปกติ เขาทักขึ้นมาเมื่อจมูกของเขารับสัมผัสเข้ากับกลิ่นหอมอ่อนๆ ทันทีที่เข้ามาในเขตบ้านเป็นกลิ่นหอมที่ชวนขนลุก เขากวาดตาสังเกตุไปรอบๆ ก็ยังหาที่มาของกลิ่นไม่ได้
“อะไรของมึงอีกวะ เซ้าซี้จริง กลิ่นอะไร” รตนโดนขัดจังหวะบ่อยครั้งเข้าก็เกิดอาการหยุดหงิด ไม่พอใจชายหนุ่มที่ด้วย แต่ก็ลองทำจมูกฟุดฟิดสูดอากาศเข้าไป ทดสอบว่ามีกลิ่นจริงตามที่ภาณุบอกมาหรือไหม
“กลิ่นมันคล้ายๆ กลิ่นธูป กับกลิ่นน้ำอบนะพี่” ภาณุขยายความให้รตนรับรู้จะได้ช่วยกับค้นหาสิ่งผิดปกติ
“ก็ไม่เห็นได้กลิ่นอะไร มึงอย่าปอดแหก” รตนเองก็ได้กลิ่นแล้วนิดๆ แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ โกหกออกไป
พอรตนพูดจบไฟนีออนที่กำแพงหน้าบ้านกับใต้ถุนบ้านที่กำลังส่องแสงสว่างอยู่ก็หรี่แสงราวกับกำลังจะดับลง ก่อนจะกระพริบติดๆ ดับๆ ช่วยเสริมบรรยากาศที่วังเวงอยู่แล้วให้น่ากลัวมากขึ้นไปอีก พร้อมกับเสียงของสุนัขจากไหนก็ไม่รู้ส่งเสียงเห่าหอนขึ้นมาพร้อมกันสี่ห้าตัว จนทั้งคู่ขนลุกสู่พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“พี่ไฟ…แล้วก็หมามัน...” ภาณุก้าวเท้าเข้าไปประชิดตัวรตนพร้อมทั้งกอดแขนของรุ่นพี่แน่นราวกับกลัวว่าถ้าไม่จับไว้อาจจะถูกทิ้งเอาไว้คนเดียว
“กูรู้แล้ว อะไรของมึงเนี้ย บ้านมันเก่าก็อย่างนี้แหละ มึงอย่ามาทำให้เสียงเรื่อง ไปได้แล้ว” รตนพยายามจะแกะมือของภาณุออกแต่รุ่นน้องของเขากอดไว้แน่นเหลือเกิน จนถอดใจปล่อยให้เกาะต่อไปทั้งอย่างนั้น
“แต่…” ภาณุมองหน้ารุ่นพี่ส่งสายตาไปอ้อนวอน
“ไป!” รตนกัดฟันสั่งไปเบาๆ ทั้งๆ ที่อยากตวาดออกไปดังๆ แล้วเดินนำหน้าฝ่าความมืดโดยมีภาณุเกาะติดตามหลัง เหมือนแฟนสาวกลัวผีเดินตามแฟนเข้าบ้านผีสิง
ทั้งคู่เดินหลบแฝงตัวไปตามต้นไม้และหญ้าสูงจากกำแพงตรงเข้าไปยังตัวบ้านอย่างช้าๆ และระมัดระวัง โดยอาศัยเพียงแสงกระพริบของหลอดไฟจากทางหน้าบ้านและใต้ถุนเท่านั้นในการนำทาง แต่ทว่ายิ่งเข้าใกล้บ้านมากเท่าไหร่กลิ่นประหลาดก็ชัดมากขึ้นเท่านั้น หน่ำซ้ำยังรู้สึกได้ว่าเริ่มมีควันจางๆ ลอยผ่านตัวพวกเขาไป จนรู้สึกเสียวสันหลัง
“พี่โบ้ เรากลับเถอะ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว”
“มึงจะกลับอะไรตอนนี้ อีกนิดก็จะถึงบ้านแล้ว”
“แต่ว่าพี่…” ภาณุอึกอักพยายามทัดทานเต็มที่แต่ก็ต้องเงียบไปเมือเห็นสีหน้าของรตนที่ดูโมโหสุดขีดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“มึงไม่ต้องพูดมาก ไม่งั้นกูจะเล่นมึงแทนไอ้หมอผี”
ภาณุเงียบไปตามคำขู่ ทันทีที่รตนหันกลับมาหลังจากคุยกับภาณุ แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนที่กะระพริบอยู่ก็มืดดับลงอย่างกระทันหัน ส่งผลให้ดวงตาที่ไม่ทันได้ปรับสภาพ มองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะหนึ่ง ระหว่างที่ดวงตากำลังปรับสภาพให้เข้ากับความมืด ใกล้ๆ ตัวพวกเขาก็เกิดเสียง ประหลาดคล้ายมีคนเคลื่อนไหวจากด้านหน้า
พอสายตาปรับเข้าได้ความมืดรอบตัวพอจะมองเห็นอะไรได้ลางๆ ก็ปรากฏมมีดวงไฟประหลาดสว่างขึ้นที่เรือนกล้วยไม้ด้านหน้าห่างจากตัวทั้งคู่ไปประมาณสิบเมตร พร้อมกับมีร่างหญิงสาวผิวขาวซีดกับผมดำเงาสวยในชุดสีขาวสะอาดตามายืนหันหลังให้พวกเขา ท่ามกลางกลุ่มควันจางๆ ที่ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณส่งกลิ่นหอมแบบเดียวกับที่ภาณุรับรู้ในตอนแรก
ทั้งคู่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อจับจ้องมองหญิงสาวปริศนาอย่างตกตะลึง จนหน้าทั้งคู่ซีดขาวเหมือนไม่มีเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงที่ใบหน้าไม่ต่างจากผิวของหญิงสาวตรงหน้า หัวใจเต้นแรงเกิดอาการตกใจสุดขีดที่อยู่ดีๆ ก็มีคนหรืออะไรก็ไม่ทราบได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ก่อนที่หญิงสาวปริศนานั้นจะค่อยๆ หมุนตัวหันมาทางพวกเขา เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงดงามราวกับนางฟ้า อีกทั้งเสื้อผ้าสีขาวสะบัดพลิ้วราวกับนางสวรรค์
“...เฮ้ยพี่...นั้นมันตัวอะไรโผล่มาจากไหนกันวะ...คนรึเปล่า...” ภาณุลนลานกระซิบถามเสียงทั้งสั่นทั้งเบาราวกับกลัวว่าสิ่งประหลาดที่อยู่ห่างออกไปจะได้ยิน แถมยังกอดแขนรุ่นพี่แน่นกว่าเดิม
“สัตว์...แล้วกูจะรู้ไหม…” รตนเองก็เสียงสั่นไม่แพ้กันนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอะไรแบบนี้ ถึงกับขาแข็งก้าวไม่ออกเลยทีเดียว
ชายฉกรรจ์ทั้งคู่ไม่อาจละสายตาจากหญิงสาวปริศนาที่กำลังจ้องหน้าพวกเขาด้วยดวงตากลมโตคู่สวย ก่อนที่หญิงสาวปริศนาจะส่งยิ้มให้ซึ่งรอยยิ้มจากปากสวยนั้นค่อยๆ กว้างขึ้น กว้างขึ้นจนแก้มปริแตกออกจากกัน พร้อมกับเสื้อผ้าและผิวหนังก็หลุดลอกออกจากร่างกายอย่างน่าสยดสยอง แล้วตามด้วยชิ้นเนื้อเละๆ ทีหลุดตามออกไปจนเหลือแต่โครงกระดูก จากนั้นแสงไฟก็ค่อยๆ หรี่ลงจนเกือบมืดสนิท ภายใต้ความมืดสลัวกลุ่มควันตรงหน้าก็รวมตัวกันกลายสภาพเป็นร่างเงาดำทะมึน ตรงส่วนใบหน้าเป็นโครงกระดูกติดชิ้นเนื้อเละๆ น่าสะอิดสะเอียน ดวงตาของมันส่องแสงออกมาจางๆ ราวกับจะสะกดให้คนทั้งคู่หยุดอยู่กับที่ จากนั้นร่างเงาที่ล้อมรอบไปด้วยกลุ่มควันลี้ลับก็ค่อยๆ ลอยเข้าไปหาผู้บุกรุกทั้งสองคน
ภาณุที่กลัวจนสติแตกถึงขนาดฉี่ราดลดกางเกงก่อนจะหายใจติดขัดแล้วเป็นลมหมดสติทิ้งร่างลงไปกองกับพื้น ทำให้รตนที่เค้นแรงทั้งหมดที่มีกำลังตั้งท่าจะทำการหนีออกจากสถานที่แห่งนี้ เลยไม่สามารถหนีได้ถนัดต้องออกแรงลากร่างหนุ่มรุ่นน้องพร้อมกับเดินฝ่าพุ่มไม้ใบหญ้าออกไปด้วย ทำให้เงาดำภายในกลุ่มควันสามารถเข้ามาใกล้ตัวของพวกเขาได้โดยง่าย
รตนหันกลับมาเพชิญหน้ากับร่างเงาดำทะมึน แม้ขาจะสั่น แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดเข้าอ่อนเป็นลมล้มไป เขาควบคุมสติสัมปชันญญะที่เหลืออยู่น้อยนิด จนนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเองก็มีของดีติดตัวอยู่เหมือนกัน จึงล้วงมือเข้าไปในเสื้อควักเอาสร้อยคอที่มีพระเครื่องขึ้นมาชูใส่กลุ่มควันที่มีเงาปริศนาด้วยมือไม้สั่นเทา “อย่าเข้ามานะโว้ย กูมีพระ”
แต่ก็ไร้ผลร่างเงาดำทะมึนกลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวกลับพุ่งตรงเข้ามาหาร่างของรตนที่ขาไร้เรี่ยวแรงไม่อาจขยับเขยือนไปไหนได้ ก่อนที่ร่างเงาดำทะมึนจะหยุดยืนตรงหน้าเขา ลำตัวที่พลิ้วเหมือนกับสวมผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่กับควันที่อยู่รอบตัวค่อยๆ ม้วนตัวร่วมกันที่ด้านข้างของร่างเงาสูงดำทะมึน แล้วก่อตัวรวมกันจนเป็นแท่งแข็งลักษณะคล้ายกระบอง ก่อนแท่งแข็งนั้นจะถูกใช้ฟาดลงมาที่ศรีษะและลำตัวของรตนหลายครั้ง ชนิดที่ไม่อาจนับจำนวนได้จนรตนล้มลงไปกับพื้นเกือบจะหมดสติทำได้แค่นอนนิ่งปรือตามองหาภาณุอย่างเป็นห่วง จากนั้นร่างเงาดำทะมึนก็เปลี่ยนเป้าหมายไปหาภาณุที่นอนอยู่ แล้วลงมือทุบตีเข้าใส่ไม่ต่างจากที่ทำกับชายคนก่อนหน้า โดยไร้ความปราณีแม้ภาณุจะสลบอยู่ก่อนแล้วก็ตาม หลังจากร่างเงาดำทะมึนลงมือทำร้ายทั้งคู่สลับไปมาจนเหมือนว่าจะพอใจแล้ว เงาดำก็หันหลังกลับแล้วสลายหายไปพร้อมๆ กับกลุ่มควันและดวงตาของรตนที่ค่อยๆ ปิดลงและร่างกายที่สูญเสียการรับรู้สิ่งรอบข้างไปเป็นที่เรียบร้อย
……….……….……….……….……….
ทศพลที่ขับรถออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้าเข้ามาถึงรีสอร์ทที่พักในช่วงสายของวัน ได้เข้าไปทำการติดต่อประสานงานกับทางรีสอร์ทก่อนจะสอบถามหาผู้จัดการที่เขานัดไว้เพื่อถามรายละเอียดสำหรับที่พักสำหรับลูกค้าของบริษัท รวมถึงอยากจะขอคำแนะนำเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ที่เขาจะพาลูกค้าไปเข้าร่วมกิจกรรม
“...เอ่อ...คุณทศพลใช่ไหมคะ” สาวสวยร่างสูงเพรียวในชุดสูททะมัดทะแม่ง เดินเข้ามาทักทายทศพลที่นั่งรออยู่ภายในห้องรับรองของรีสอร์ท
“ใช่ครับ คุณ…ผู้จัดการใช่รึเปล่าครับ” ทศพลยิ้มทักทาย รู้สึกโชคดีที่ตัดสินใจรับงานนี้ เพราะคนที่เข้ามาทำหน้าที่ประสานงานเป็นสาวสวย
“ไม่ใข่ค่ะ ดิฉันเกวลี เป็นผู้บริหารของที่นี่” หญิงสาวแนะนำด้วยรอยยิ้มที่หวานไม่แพ้ใบหน้า
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอครับ” ทศพลแปลกใจที่สาวสวยอายุน้อยกลับมีตำแหน่งใหญ่โต แล้วยังออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเองอีก
“คือดิฉันจะเป็นคนรับหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องที่พักของบริษัทคุณเองค่ะ” หญิงสาวยิ้มอย่างสุภาพ แล้วนั่งลงที่เก้าอีโซฟา จากนั้นก็ยื่นแฟ้มเอกสารให้เขา
“มาทำเองเลยเหรอครับ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้ผู้จัดการมาดูแลก็ได้ครับ” ทศพลรับเอกสารมาอย่างสุภาพก่อนจะเปิดดู
“ไม่ได้หรอกค่ะ งานนี้สำคัญกับฉันมาก ในเมื่อคุณจองทุกห้องในรีสอร์ท จะไม่ให้ฉันมาดูแลเองได้ยังค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณมากๆ เลยครับ งั้นมาเริ่มกันเลยไหมครับ”
“ค่ะ”
……….……….……….……….……….
“พวกมึงไปทำอะไรกันมาถึงไปนอนหมดสภาพอยู่แถวนั้นได้” วิศวัทเข้าไปถามไถ่อาการของรตนภับภาณุที่นอนเจ็บอยู่บนเตียงในห้องพิเศษคู่ของโรงพยาบาล ขณะเข้าเยี่ยมอย่างเป็นห่วง
“.........” ภาณุได้แต่เงียบไม่อยากจะพูอะไร ทำได้แค่นอนซมเพราะพิษบาดแผลและพิษไข้ หลังจากถูกทำร้ายแล้วเอาไปทิ้งไว้ที่ป่าหญ้าข้างวัด จนต้องนอนตากยุงตากน้ำค้างตลอดทั้งคืนกว่าจะมีคนมาเจอ
“ไม่ต้อง...มาสม...น้ำหน้า...กูเลย...” รตนพยายามเค้นแรงออกมาตอบโต้แบบไม่ยอมเสียหน้า แม้จะปวดไปทั่วร่าง
“ป่าข้างวัดนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านของคนที่แอบเข้าบ้านกำนันไปอาศัยอยู่” พงษ์ศักดิ์ที่เดาเหตุการณ์ได้บอกกับวิศวัท
“พวกมึงทำบ้าอะไรลงไปเนี้ย ถ้ามีคนรู้ว่าพวกมึงทำไปเพราะอะไรแล้วไปบอกกำนันเรื่องมันจะเป็นยังไง” วิศวัทเปลี่ยนไปใช้เสียงดังหลังจากคิดตามสิ่งที่พงษ์ศักดิ์พูด คล้ายกับจะตำหนิการกระสุดห่ามของรตนและภาณุที่แอบบุกเข้าไปที่บ้านของปิยะพงษืโดยพลการ ด้วยความโมโห
“ไม่มีใครสงสัยหรอก ฉันบอกพี่ถังไปแล้วว่าไอ้สองตัวนี่ไปที่นั้นเพราะจะสั่งสอนไอ้คนให้หวย เรื่องตำรวจฉันก็เคลียร์กับร้อยเวรให้แล้ว” พงษ์ศักดิ์อธิบาย
“ขอบใจมากนะพงษ์ ที่เป็นธุระจัดการให้” เสียงหวานๆ ของณัฐฐาที่นั่งฟังบทสนทนาของกลุ่มชายฉกรรจ์จนรับรู้สถานการณ์ เอ่ยชื่นชมลูกน้องคนสนิทที่ทำงานได้รอบคอบและรวดเร็ว
“ไม่กล้ารับคำขอบใจหรอกครับ เพราะผมดูแลไม่ดี ถึงได้เกิดเรื่อง” พงษ์ศักดิ์ก้มหน้าอย่างละอาย ออกตัวรับผิดแทนคนเจ็บทั้งคู่
“ไม่เป็นไรๆ เธอทำดีแล้ว ส่วนพวกเธอก็รักษาตัวให้หายดีก่อนละกัน ไม่ต้องคิดมาก แล้วอย่าทำอะไรวู่วามอีกละ พงษ์ดูแลด้วนะ ฉันกลับก่อนละ” ณัฐฐาหันไปหาพพงษ์ศักดิ์ออกปากชื่นชมเขาอีกครั้ง เพื่อให้เขาไม่ต้องรู้สึกผิด แล้วก็ลุกขึ้นมาเดินไปหาผู้บาดเจ็บทั้งสองคน พร้อมกับลูบหัวเหมือนเป็นการให้กำลังใจ ซึ่งทั้งคู่ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนืั้งละอายและสาบซึ้งในความเมตตากรุณาของเจ้านาย จนเกือบจะน้ำตาไหล ทั้งที่พวกเขาเป็นฝ่ายก่อเรื่องจนเดือดร้อน แต่ก็ไม่ถูกตำหนิ
“ครับ” พงษ์รับคำสั่งเสียงหนักแน่น ก่อนจะมองหน้าไปที่รุ่นน้องตัวปัญหาทั้งคู่ ที่ตอนนี้หุบยิ้มเปลี่ยนไปทำหน้าสลดแทน
“จะกลับบ้านเลยไหมครับ” วิศวัทเดินเข้าไปหาณัฐฐา แล้วสอบถามเบาๆ
“ไม่ เดี๋ยวจะแวะเข้าไปดูรีสอร์ทก่อน” สาวใหญ่พราวเสน่ห์ตอบเสียงเรียบ แต่สังเกตุดูดี แววตาของเธอนั้นแฝงไว่ด้วยความไม่พอใจที่พยายามจะซ่อนไว้
“ครับ...” วิศวัทรับคำแล้วรีบออกจากห้องไปเตรียมรถทันที
……….……….……….……….……….
“ไอ้สองตัวนั้นเป็นยังไงบ้าง” กำนันประเสริฐที่กำลังดูแลไก่ชนอยู่ในฟาร์มของตัวเองหันไปถามลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างคอยรับใช้และให้การคุ้มกัน หลังจากได้ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บของลูกน้อง
“คงนอนซมกินอะไรไม่ได้ไปอีกหลายวันเลยครับ” ไอ้รถถังรายงานเสียงเรียบๆ
“มันสองคนก็ฝีมือพอตัว ใครกันวะเล่นงานมันได้ขนาดนั้น” กำนันประเสริฐอดสงสัยไม่ได้กับเหตุการณืที่เกิดขึ้น
“ไม่ใช่ใครแต่เป็นอะไรมากกว่าครับ” ไอ้รถถังมีสีหน้าและน้ำเสียงที่ตื่นเต้นขึ้นเมื่อพุดถึงสิ่งลี้ลับ
“หมายความว่ายังไง” กำนันประเสริฐยิ่งงงหนักมากกว่าเดิม
“ก็ไอ้สองตัวนั้นเล่าให้ฟังว่าหลังจากแอบเข้าไปในบ้านหลังนั้นก็เจอเรื่องแปลกๆ แล้วไอ้ณุมันเอาแต่เพ้อเรื่องผีๆ สางๆ ไอ้โบ้เองถึงจะไม่ได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ คงจะอายนะครับ” ไอ้รถถังเล่าสภาพตอนที่เขาไปเจอรตนกับภาณุอย่างออกรส
“ไอ้บ้านนั้นมันเลี้ยงผีด้วยเหรอวะ” กำนันประเสริฐถึงกับทำไก่หลุดมือไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องที่ประหลาดซะยิ่งกว่าเรื่องที่ลูกน้องมือดีถูกทำร้าย
“ผมก็ไม่รู้หรอกครับ” ไอ้รถถังส่ายหน้าไปด้วยขณะกำลังพูด
“แล้วไอ้สองคนนั้นไปทำอะไรที่บ้านนั้น”
“เห็นมันบอกว่าเป็นบ้านของคนที่ใบ้หวยให้ชาวบ้านมากินเงินกำนันนั้นแหละครับ พวกมันเลยจะไปสั่งสอน กำนันจะให้ผมไปจัดการต่อไหมครับ”
“อ้าวนั้นบ้านไอ้คนใบหวยหรอกรึ อืม...เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็ได้ ตอนนี้มันเริ่มมีชื่อเสียงบ้างแล้ว ถ้ามันเป็นอะไรไปเดี๋ยวนักข่าวมันจะมาวุ่นวาย ยิ่งสมัยนี้มีไอ้ช่องทีวีโง่ๆ ชอบเล่นข่าวผีสางนางไม้ร่างทรงอยู่ด้วย” กำนันประเสริฐส่ายหน้าไม่ค่อยพอใจกับสังคมสมัยนี้ที่ข่าวสารกระจายไปได้รวดเร็วจนทำให้ธุรกิจหลายอย่างของเขาดำเนินงานได้อยากขึ้น แต่ก็ได้แต่ปรับตัว ก่อนจะหันมาดูไก่ชนต่อ
“ครับนาย” ไอ้ถังรับคำแล้วกลับไปยืนคอยรับใช้เจ้านายทางด้านหลัง
……….……….……….……….……….
“พี่ปลา” เสียงใส่ๆ ของ ปิ่น หรือ ธันย์ชนก หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดปีหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาผิวขาว ไว้ผมหน้าม้า ดวงตาสดใสสวมแว่นตาทรงกลม ตัวเล็กสูงเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบเก้าเซนติเมตร หนักสี่สิบสี่กิโลกรัม แต่หน้าอกสะโพกดูอวบใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัว ร้องเรียกพี่สาวของเธอจากทางด้านหลัง ก่อนจะกระโดดเข้ามาสวมกอดอย่างรักใคร่
“เมื่อกี้คุยกับใครอะ หล่อจัง เขามาจีบพี่เหรอ” ธันย์ชนกแหงนหน้ามองพี่สาวตัวสูงที่เธอกำลังกอดอยู่หน้าห้องรับรองด้วยดวงตาเป็นประกาย สอบถามถึงผู้ชายที่เพิ่งจะเดินออกไปก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามา
“ไอ้บ้าปิ่น นั้นลูกค้ามาคุยธุรกิจ ว่าแต่เราเถอะมาทำอะไร” เกวลีดันร่างน้องสาวออกจากตัวเพื่อจะได้คุยได้ถนัด รวมถึงเริ่มอายคนรอบๆ
“มาหาที่ฝึกงานไงค่ะ”
“จะมาฝึกงานกับรีสอร์ทบ้านตัวเองเนี้ยนะ ทุเรศ”
“ทำไมละ ถ้าเราไม่บอกอาจารย์ก็ไม่รู้หรอก”
“ระวังไว้เถอะ อายุแค่นี้ก็หัดเจ้าเลห์ซะแล้ว โตไปจะกลายเป็นคนไม่ดีเอานะ”
“กลัวตายละ แบร่ๆ” ธันย์ชนกแกล้งบีบบั้นท้ายพี่สาวอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะทำหน้าทะเล้นใส่
“อุ๊ย! เดี๋ยวเถอะ นังเด็กนี่” เกวลีสะดุ้งกายแม้คนที่สัมผัสจะป็นผู้หญิงและเป็นน้องสาวของเธอเองแต่ก็ไม่อดได้ที่จะตกใจ ก่อนจะยกมือทำท่าเหมือนจะตีใส่น้องสาวตัวเล็ก
“เล่นอะไรกันเสียงดังเชียวสองคนพี่น้อง ดูสิคนเขามองกันมองกันหมดแล้ว” ณัฐฐาที่เดินเข้ามาเห็นพอดี ทักท้วงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อหน้าธารกำนัน
“ขอโทษค่ะ” ธันย์ชนกก้มหน้ารับผิดเสียงอ่อยต่างกับพี่สาวที่ทำเป็นไม่สนใจ
“คุณปลา มากับฉันหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย” ณัฐฐาจ้องหน้าเกวลีก่อนจะเดินนำเธอเข้าไปในห้องผู้บริหาร
……….……….……….……….……….
ทศพลที่เดินออกมาจากห้องก่อนหน้านี้เหลือบไปเห็นณัฐฐาที่กำลังเดินเข้ามาพอดี ทำให้สามารถชิงหลบไปซ่อนตัวได้ก่อนที่สาวใหญ่จะทันเห็นเขา จากนั้นจึงแอบเดินไปถามหาข้อมูลจากพนักงานที่อยู่ใกล้ๆ “ขอโทษนะครับน้อง ผู้หญิงคนนั้นใครนะครับ”
“อืม...ที่มีอายุหน่อยก็ภรรยาเจ้าของรีสอร์ทค่ะ สองคนที่คุยด้วยก็คือลูกสาวค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ” พนักงานอธิบายให้ฟังเพราะเห็นว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่และเพิ่งออกมาจาห้องผู้บริหาร และสอบถามกลับเพื่อเขาจะมีะไรให้ช่วยเหลือ
“ไม่มีอะไรครับ ขอบคุณมาก” ทศพลหลังจากได้ข้อมูลก็เดินหลบเข้าไปทางห้องพักของเขา
...ไม่คิดเลยว่าจะเจอมึงที่นี่ เพราะผู้หญิงอย่างมึงถึงทำให้กูเจอแต่เรื่องวุ่นวาย คอยดูกูเอาคืนให้แสบเลย…
……….……….……….……….……….
“วันนี้ไปที่รีสอร์ทมาเหรอ” กำนันประเสริฐเดินเข้ามากอดณัฐฐาที่กำลังปลดเครื่องประดับอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน สูดดมกลิ่นกน้ำหอมผสมกับกลิ่นกายที่ออกไปข้าวนอกมาทั้งวันของภรรยาคนสวยอย่างรักใคร่
“ใช่ แค่ไปดูแผนงานเฉยๆ” ณัฐฐาไม่ได้สนใจหนุ่มใหญ่ร่างท้สมที่เขามาคลอเคลียสักเท่าไหร่ ยังคงทำการถอดเครื่องประดับต่อไป
“ปล่อยให้ลูกปลาได้ลองบริหารเองบ้างก็ดีนะ เขาจะได้เรียนรู้ จะได้มีประสบการณ์ ไปคอยดูแลแบบนี้เมื่อไหร่ลูกมันจะโต” กำนันประเสริฐพูดเสียงเบาข้างหูของภรรยารัก ก่อนจะซุกหน้าลงไปหอมที่หัวไหล่
“ฉันกลัวว่ากว่าจะโต ก็จะไม่เหลืออะไรให้บริหารแล้วนะสิ” ณัฐฐาหันหน้ามามองดูสามีแสดงสีหน้าเป็นห่วงความไม่เอาไหนของลูกเลี้ยง
“เอาน่า ลูกปลาเองก็ยังเด็กเดี๋ยวก็เข้าใจเองแหละว่าต้องทำอะไร”
“อือ…” ณัฐฐาสะบัดหน้าหันกลับไม่มองกระจกอย่างไม่ค่อยพอใจที่สามีเอาแต่ให้ท้ายลูกสาว เธอเองก้ไม่รู้สาเหตุที่เกวลีไม่ชอบหน้าเธอแน่ชัด แต่นั้นก็ทำให้เธอมีอคติกับเกวลี จนทุกครั้งที่เจอกันมักจะปล่อยตัวตามอารมณ์จนทะเลาะกันบ่อยๆ
“มาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำกันก่อนไหม เดี๋ยวพี่อาบให้” กำนันประเสริฐจับไหล่ทั้งสองข้างของณัฐฐา แล้วหอมลงบนหัวเหมือนต้องการจะเอาอกเอาใจ
“บ้า..พี่กำนันเนี้ย ไม่เอาอาบเองได้” ณัฐฐาเอียงอายกับความคิดพิเรน เพราะนี้ก็หลายปีแล้วที่เขาและเธอไม่ได้อาบด้วยกัน
……….……….……….……….……….
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน