คุยกันก่อนอ่าน สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่ได้เ็นเป็นสมาชิกเว็บอยากอ่านส่วนที่ซ่อนไว้ ในนั้นจะลงช้ากว่าที่เว็บนี้นะครับ
Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 28
อริสานุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวอยู่หน้าโต๊ะทำงานในห้องกำลังใช้ผ้าขนหนูซับน้ำไล่ความชื้นออกจากเส้นพมสีน้ำตาลเข้ม พลางมองไปที่กระจกบานใหญ่ที่อ๊อดหามาให้จากที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้เอามาประกอบเป็นโต๊ะเครื่องแป้งแบบชั่วคราว หญิงสาวจัดการกับร่างกายของตัวเองเหมือนที่เคยทำอยู่เป็นกิจวัตร เพียงแต่ว่าที่นี่ไม่มีข้าวของเครื่องใช้สำหรับผู้หญิงเลยสักนิด
หญิงสาวรู้สึกสดชื่นขึ้นมากหลังจากได้รับการปลอบโยนอย่างถึงใจและได้อาบน้ำชำระกายด้วยน้ำเย็นๆ แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการคือเสื้อผ้าที่จะใช้สวมใส่ ซึ่งเจษฎาก็ออกไปหามาให้จากตลาดที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลได้สักครู่แล้ว
สาวสวยในชุดเกือบเปลื่อยหันไปตามเสียงที่เกิดขึ้นจากประตู ก่อนจะพาร่างงามระหงเดินไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง แล้วก็เป็นเจษฎาที่ยืนหิ้วถุงยืนรออยู่หน้าห้อเมื่อเธอเปิดออกดู
“ทำอะไรอยู่ ไปซะนานเขียว” อริสาบ่นอย่างเขินๆ ความจริงเจษฎาไม่ออกไปนานเท่าไหร่ คงเป็นเพราะเธอยากจะเห็นหน้าเขาเร็วๆ เสียมากกว่าจึงพูดออกไปแบบนั้น
“ก็ผมไม่ค่อยได้ซื้อเสื้อผ้าให้ผู้หญิงนี่ครับ”
หญิงสาวอมยิ้มชอบใจ ไม่เพียงแต่เขาจะใจดีกับเธอมากกว่าที่เคยเป็นมา หนำซ้ำยังทำในเรื่องที่ไม่คุ้นชินให้เธอเสียด้วย ก่อนที่เธอจะเปิดถุงเสื้อผ้าออกมาดูอย่างตื่นเต้น แต่ในถุงก็มีเพียงเสื้อผ้าลำลองธรรมดาๆ กับชุดชั้นในที่เหมือนซื้อมาจากตลาดนัดเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเธอจะใส่เสื้อผ้าราคาถูกไม่ได้เพียงแต่ที่ชายหน้าเข้มซื้อมาสีสันมันฉูดฉาดเกินกว่าเธอจะรับไหวเท่านั้นเอง หญิงสาวหันหลังให้ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาดูอย่างละเอียด ซึ่งชุดชั้นในและกางเกงชั้นในมีขนาดใกล้เคียงกับที่ใช้สวมใส่เลยทีเดียว ก่อนจะเอ่ยปากชม “กะขนาดเก่งเหมือนกันนะเนี้ย”
“...ก็จับมาหลายครั้งแล้วนี่ครับ” เจษฎาพูดไปมองร่างขาวของหญิงสาวที่อยู่ในผ้าเช็ดตัวกับหยดน้ำเม็ดเล็กๆ ตามร่างกายและเส้นผมช่วยส่งเสริมเสน่ห์ให้ชวนมองได้มากกว่าปกติ
“ไอ้บ้าออกไปเลยฉันจะแต่งตัว” อริสาค้อนใส่แบบไม่จริงจัง ที่มุมปากเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่พยายามจะซ่อนเก็บไว้ ก่อนจะเริ่มแต่งตัวไปทั้งอย่างนั้นเลย
“จะมาอายอะไรกันตอนนี้” ชายหน้าเข้มเดินลึกเข้าไปในห้องแล้วหย่อนกายนั่งลงบนเตียงที่ยับยู่ยี่พักเหนื่อย ก่อนจะเอ่ยถามกับหญิงสาว “แล้วคุณดิวจะทำยังไงต่อไปครับ”
“ก็คงกลับไปปรึกษากับคุณพ่อก่อน” หญิงหลังจากสวมชุดชั้นในเสร็จแล้วก็หยิบเสื้อเชิ๊ตของเจษฎามาสวมใส่แทนที่จะใส่ชุดที่เขาซื้อมา แล้วหันกลับไปพูดด้วยเสียงเบา ก่อนจะหยิบกางเกงขาสั้นขึ้นมาสวม
“...ก็ดีครับ งั้นแต่งตัวเสร็จก็ลงไปกินข้าวกันนะครับ” เจษฎาพนักหน้าเห้นด้วยแล้วลุกขึ้นเตรียมจะออกไปจากห้อง
“จะลงไปได้ไง ไม่มีอะไรใช้แต่งหน้าเลยเนี่ย” หยิงสาวชี้ไปที่ใบหน้าของตัวเอง พร้อมกับเบ้ปากแกล้งทำหน้าบึ้ง แต่กลับดูน่ารักเสียมากกว่า
“ไม่เห็นจะเป็นอะไร หน้าสดคุณก็ยังสวยอยู่ดี”
“ไม่เอาด้วยหรอก” หญิงสาวส่ายหน้าไม่ยอมท่าเดียว ถึงจะโดนชมว่าสวย ทว่าจะมีผู้หญิงคนไหนบนโลกใบนี้อยากจะพาหน้าที่ไม่ได้ใช้แม้แต่ลองพื้นออกไปพบปะผู้คนกัน
“อะนี่” เจษฎาเดินไปค้นเอากระเป๋าถือใบเล็กๆ ของอริสามาจกมุมห้องแล้วยื่นให้เธอ กระเป๋าที่เขาอุตส่าห์ยอมเสียเวลาค้นหาและนำติดมืออกมาด้วยแม้ตอนนั้นจะต้องแข่งกับเวลา ก็เพราะคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้วว่าในนั้นมีของที่เธอจำเป็นต้องใช้
“แค่นี้มันไม่พอหรอก” หญิงสาวเปิดกระเป๋าดูก็ต้องผิดหวัง เพราะในกระเป๋ามีเพียงโทรศัพท์มือถือที่ปิดเครื่องไว้กับกระเป๋าเงิน ตลับแป้งและลิปติกเพียงเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นรอหน่อย เดี๋ยวผมมออกไปซื้อให้” เจษฎายื่นข้อเสนอสำหรับความต้องการที่เอาแต่ใจของหญิงสาว เพราะเขาก็พอจะเข้าใจความแตกต่างในส่วนนี้ระหว่างชายกับหญิง
“รู้เหรอว่าต้องซื้ออะไรบ้าง”
“......”
“นั่นไง ว่าแล้วเชียว”
“แล้วจะให้ผมทำยังไงละครับ”
“เราก็ออกไปด้วยกัน จะได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วย ที่ซื้อมานี่ไม่ไหวจริงๆ”
“ก็ได้ครับ ว่าแต่แค่ลงไปกินข้าวกับพวกผมคุณยังไม่ยอมไปถ้าไม่ได้แต่งหน้า แล้วจะออกไปซื้อของได้เหรอครับ”
“ก็ใส่ผ้าปิดปากแล้วก็ใส่หมวกไปไง”
...ให้มันได้อย่างนี้สิ… เจษฎายิ้มแห้งอยู่ในใจ
……….……….……….……….……….
หญิงสาวร่างสูงเพรียวยืนหมุนไปหมุนมาอยู่ภายในห้องของตัวเอง ในขณะที่หัวใจก็เต้นรัวเร็วด้วยความตื่นเต้น ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเธอไม่เคยเลยสักครั้งที่จะต้องมาทำอะไรแบบนี้ เพราะเกิดมาในครอบครัวที่มีพร้อมทุกอย่าง การจะแอบเข้าไปขโมยของอะไรสักอย่างจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้จะเป็นการขโมยของในบ้านของตัวเองก้ตาม เช้านี้หญิงสาวแกล้งทำตัวเอื่อยเฉือยจนสายเพื่อที่จะได้ออกจากบ้านเป็นคนสุดท้าย
“คุณพ่ออยู่รึเปล่าคะ” หญิงสาวเดินใจสั่นมาหยุดอยู่หน้าประตูแล้วแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครอยู่
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับและตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีวี่แววพวกคนงานอยู่ในบ้าน หญิงสาวก็เปิดประตูด้วยมือสั่นเทาเข้าไปภายในห้องนอนใหญ่ของผู้เป็นพ่อและแม่เลี้ยงของเธอ หญิงสาวมองกวาดสายตาไปทั่วห้องเพื่อคาดเดาตำแหน่งที่น่าจะเป็นที่ซ่อนของทำคุณไสย์ตามที่อาจารย์เจษบอกมา จากนั้นจึงเริ่มลงมือค้นหาไปที่ละจุดด้วยอาการรนราน เธอค้นหาทั่วทุกซอทุกมุมใช้เวลาอยู่พักใหญ่แต่ก็ยังไม่เจอแม้แต่ร่องรอย ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก
วิศวัทยืนนิ่งไปครู่หนึ่งไม่คาดคิดว่าจะมีคนอยู่ในห้อง และยิ่งไม่คิดใหญ่ว่าคนที่อยู่ในห้องจะเป็นเกวลี ก่อนจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่แฝงความประหลาดใจ “...คุณปลา เข้ามาทำอะไรในห้องกำนันเหรอครับ”
ชายหนุ่มสูดลมหายใจยาวลึกเพื่อตั้งสติ หญิสาวยืนตัวสั่นหายใจเร็ว คนทั้งคู่จ้องมองกันทำตัวไม่ถูก ภายในห้องเงียบสนิท ได้ยินแต่เสียงลมหายใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะสะดุ้งกายพร้อมๆ กัน แล้วหันไปมองที่โต๊ะเล็กข้างหัวเตียงใกล้ๆ ตัวของเกวลีในเวลาเดียวกัน เพราะเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมากระทันหัน
“นะ...นี่ไง ขะ...เข้ามาเอามือถือให้คุณพ่อ” หญิงสาวชี้นิ้วไปที่โทรศัพท์มือถือพร้อมกับพูดติดๆ ขัดๆ ดวงตาไม่อยู่นิ่ง
“แปลกนะครับ กำนันเพิ่งจะใช้ผมให้มาเอามือถือเหมือนกัน” ชายหนุ่มเกาศรีษะพร้อมกับตีหน้าสงสัย ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของลูกสาวเจ้าของบ้านเท่าไหร่ เพราะกำนันก็ไม่ใช้คนที่ไม่รอบครอบถึงขนาดจะใช้งานเขาซ้ำซ้อนถ้ามีคนทำอยู่ก่อนแล้ว
เกวลีพูดไม่ออกเพราะนอกจากจะทำตัวเป็นขโมยแล้วยังต้องโกหกอีก ซึ่งทั้งสองอย่างไม่ใช่เรื่องถนัดของเธอเลยสักนิด ก่อนที่สายตาจะเหลือบมองไปที่ข้อความแล้วเห็นรูปของเพื่อนรักอยู่ในกล่องข้อความก็แปลกใจแต่เธอยังไม่ทันได้อ่านข้อความหน้าจอก็ดับไปเสียก่อน
“พูดมากน่า” หญิงสาวตอบห้วน บอกปัดด้วยการทำเป็นอารมณ์เสียกลบเกลื่อน ก่อนหยิบมือถือยื่นให้ชายหนุ่ม “เอาไปเลย แล้วก็รีบออกไปได้แล้ว”
“แล้วคุณปลาละครับ ไม่ออกไปด้วยกันเหรอครับ” ชายหนุ่มยืนนิ่งมองลูกสาวเจ้านายรอคำตอบ
“นี่ พี่เอิร์ธ...” หญิงสาวเสียงอ่อนลงกว่าก่อนหน้าทำหน้าตาเหมือนลูกแมวกำลังขออาหาร
“ครับ” วิศวัทตอบรับเรียบๆ ถอยร่างออกห่างจากหญิงสาวพร้อมกับหลบสายตาออกจากใบหน้าน่ารักตรงหน้า ในหัวก็ประมวลความคิดว่าลูกเจ้านายต้องการอะไรกันแน่
หญิงสาวระบายลมหายใจยาว ขยับตัวเขาตัวเข้าหาชายหนุ่ม ไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังจะทำนั้นสมควรหรือไม่ แต่เธอก็ตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำ ส่วนผลที่เกิดจะเป็นอยางไรก็ค่อยว่ากันทีหลัง
“ปลามีเรื่องบางอย่างอยากให้พี่เอิร์ธช่วยหน่อย” เกวลีพูดด้วยเสียงเบาเหมือนกลัวคนอื่นได้ยิน ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอื่นอยู่ในห้อง อาจจะเป็นเพราะนี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับที่อาจารย์เจษเคยกำชับไว้กับเธอ
“เรื่องอะไรครับ” วิศวัทตีหน้าสงสัย
“เรื่องนี้สำคัญกับครอบครัวของปลามาก อายากให้พี่เอิร์ธสัญญาก่อนว่าจะเก็บเป็นความลับห้ามบอกใคร” หยืงสาวพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่จริงจัง
“...ได้ครับผมรับปาก” ชายหนุ่มมองหน้าสวยที่ดูแล้วน่าจะมีเรื่องขอร้องจริงจังก็ตบปากรับคำด้วยความห่วงใยที่ทั้งคู่เป็นคนคุ้เคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก
“คือปลาหาของบางอย่างอยู่ มันเป็นของคล้ายๆ กำไลรูปร่างเหมือนเถาวัลย์ทำจากโลหะ สีดำ พี่เอิร์ธเคยเห็นบ้างไหม” หญิงสาวอธิบายละเอียด
ชายหนุ่มก้มหน้าใช้ความคิดเพราะคำถามประหลาดแต่ก็ให้ข้อมูลไปไม่ปิดบัง “อืม...เหมือนผมเคยเห็นนายหญิงใส่กำไลแบบนั้นบ้าง เป็นบางครั้งนะครับ แต่หลังมานี่ก็ไม่ค่อยเห็นใส่แล้ว มาเห็นอีกทีก็เมื่อไม่กี่วันมานี้ ที่นายหญิงใส่ของที่คล้สยๆ กับที่คุณหนูบอกมาครับ”
“แล้วรู้ไหมว่าเก็บไว้ที่ไหน” หญิงสาวยิ้มกว้างรู้สึกเหมือนมีความหวัง
“ผมก็ไม่รู้หรอกครับ” วิศวัทส่ายหน้า
“ไอ้คนไร้ประโยชน์ วันๆ เอาแต่ตามก้นผู้หญิงรึยังไง แก่อย่างนั้นมีดีที่ตรงไหน มาตามฉันจะไม่เลย” เกวลีบ่นอุบระบายความในใจเสียงเบาจนเกือบไม่ได้ยิน
“คุณปลาว่าอะไรนะครับ” วิศวัทได้ยินไม่ถนัดเลยถามย้ำ
“ช่างมันเถอะ หมดเรื่องแล้ว ฉันไปทำงานละ แล้วก็ห้ามพูดเรื่องนี้กับใครเด็ดขาดแม้แต่ตัวเองก็ด้วยเข้าใจไหม ถ้าฉันได้ยินเรื่องนี้จากที่ไหนจะถือว่านายเป็นคนพูดเข้าใจนะ”
วิศวัทงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลันจนเข้าตั้งตัวไม่ทัน จนเขาไม่รู้จะพูดอะไรได้ยืนเฉยมองหญิงสาวเดินฉับๆ ออกไปจากห้องแบบคนกำลังรีบร้อน
……….……….……….……….……….
อริสาเปิดผ้าม่านเดินออกมาจากห้องลองเสื้อพร้อมกับเดรสสั้นสีครีมแขนตุ๊กตา เข้ากับใบหน้าสวยเฉี่ยวที่ผ่านการแต่งแต้มเครื่องประทินโฉมจนดูสวยยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากแวะแต่งหน้าที่ร้านเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ระดับพรีเมี่ยมมาก่อนมาที่ร้านเสื้อผ้า อริสาตอนนี้ดูหรูหราต่างกับตอนที่ใส่ชุดที่เจษฎาซื้อให้ตอนที่เข้าร้านราวกับเป็นคนละคน
เจษฎายืนตัวแข็งตาค้างปากค้างพูดไม่ออก มองสาวสวยที่อยู่ในชุดรัดเข้ารูปร่างจนเห็นสัดส่วนได้ชัดเจน โดยเฉพาะช่วงบนที่เปิดกว้างจนทำให้เห็นหน้าอกที่นูนเด่นและเนินอกที่ขาวเหมือนไข่ปลอก สะโพกอวบอัดรัดตึง ชายกระโปร่งที่สั้นเหนือเข่าโชว์เรียวขาสวยและรองเท้าสนสูงเสริมบุคลิคดูสง่างาม ดูเป็นผู้หญิงร่างกระทักรัดแต่สมส่วน
“คุณลูกค้าค่ะ จะสวมชุดออกไปเลยไหมคะ” เสียงพนักงานเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบระหว่างคนทั้งสองคน
“ค่ะ” อริสาตอบรับเรียบๆ พร้อมกับยิ้มให้
“แล้วชุดที่ใส่มาละคะ”
“พับเก็บให้ดี ฉันจะเอากลับไปด้วย แล้วก็คิดเงินเลย”
“ได้ค่ะ” พนักงานสาวรับคำแล้วรีบไปจัดการตาที่บอก ด้วยเก็บป้ายราคาและเสื้อผ้าใส่ถุงนำไปที่เค้าเตอร์เพื่อคิดเงิน
เจษฎาได้สติหลังจากยืนจ้องอยู่นาน เขารีบไปจัดการเป็นธุระเรื่องค่าใช้จ่ายให้โดยไม่ต้องรอให้ใครถาม เขารู้สึกว่าวันนี้ควรจะดูแลอริสาให้ดีที่สุด แม้จะบอกไม่ได้ว่าทำไมก็ตาม
“งั้นไปทานข้าวกันเลยนะครับ” เจษฎาหันถามหยิงขณะที่กำลังเดินออกมาจากร้าน พร้อมกับสองมือที่ถุงพะรุงพะรัง
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับพร้อมกับมองชายหน้าเข้มที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่ดูแล้วอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
เวลาผ่านไปได้สักพักหลังจากที่ทั้งคู่เดินเลือกดูร้านอาหารกันไปเรื่อยๆ จนในที่สุดอริสาก็ตัดสินเลือกเข้าไปนั่งในร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่มีคนใช้บริการไม่มากนัก ในร้านมีตกแต่ง เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นอิตาเลี่ยนแท้ๆ ดูขลังแฝงไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นลุคคันทรี่ โดยใช้วัสดุไม้แดงและไม้เก่าเพื่อให้ได้อารมณ์คลาสสิก นอกจากนี้ยังนำสไตล์ลอฟท์มาผสานไว้อย่างกลมกลืน อาทิ เหล็กสีดำที่ขดตัวเป็นลวดลายอยู่บนเพดาน ทำให้ร้านดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
ทั้งคู่ช่วยกันเลือกเมนูมื้อกลางวันอย่างเป็นกันเอง ซึ่งอาหารจานหลักในมื้อนี้ก็เป็นอาหารประเภทพาสต้าในสไตล์อิตาเลี่ยนดั้งเดิม ดูเข้ากันดีกับอริสาที่อยู่ในชุดเรียบหรู แต่ดูขัดตาไปสักนิดกับสภาพภายนอกของเจษฎาที่แต่งตัวปิดบังรอยสักแบบเรียบร้อยจนดูน่าอึดอัด
“อร่อยจัง คุณเลือกร้านดีมากเลยครับ” เจษฎาพูดไปก็ม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ไป แต่สายตาของเเขากลับจ้องมองไปที่ใบหน้าสวยอยู่ตลอดเวลา
อริสาเงียบใส่ ก้มหน้าจัดการกับอาหารในจานของเธอแบบสุภาพเรียบร้อย ก่อนจะทนไม่ไหวต้องเงยหน้าขึ้นมากระซิบบอก “อร่อยก็รีบกินเข้าไปสิ มองอะไรอยู่ได้”
“ก็เห็นคนมองคุณดิวกันทั้งร้านผมก็เลยมองมั้งนะสินะครับ สังสัยคิดว่าดารามากินข้าวมั้งครับ” เจษฎายังไม่หยุดมอง แถมตอบกลับไปด้วยคำหวานที่แม้ตัวเขาเองก้ยังนึกกระดากปากที่พูดออกไป
“บ้า...พูดอะไรก็ไม่รู้ อายคนอื่นเขา” หญิงสาวใช้ดวงตาดุจ้องกลับไปแต่กลับเขินอายจนต้องหลบตา ใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมาโดยไม่ต้องเติมเครื่องสำอาง
ซึ่งก็เป็นอย่างที่เจษฎาพูดจริงๆ เพราะความสวยของอริสาในตอนนี้สามารถดึงดูดสายตาของคนโดยรอบได้เป็นอย่างดี
“ก็มันจริงนี่ครับ” เจษฎาย้ำ
“พอแล้วรีบกินเลย กินเสร็จจะได้รีบกลับ ฉันต้องขับรถบ้านพ่ออีกนะ” อริสาก้มหน้าหงุดๆ แล้วก็บ่นอุบอิบอย่างน่ารัก
“ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว เสร็จจากตรงนี้แล้วไปเดินเล่นสักหน่อยก็ได้นี่” เจษฎาเสนอความเห็น เขายังไม่อยากรีบแยกออกจากเธอ อยากใช้เวลานี้ที่ไม่มีใครรู้จักและไม่รู้เรื่องราาวเบื้องหลังของพวกเขา เก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆ ให้นานที่สุด
“อืม...ก๊ได้นะ” อริสาเห็นด้วย เธอเองก็อยากจะพักทั้งสมองทั้งจิตใจ โยนเรื่องราวที่ผ่านมาทิ้งไป แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามแต่โชคขะตาจะนำทาง
หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จเจษฎาและอริสาก็ใช้เวลาช่วงตลอดช่วงบ่ายไปด้วยกัน ทั้งคู่สนุกเพลิดเพลินไปกับการกินขนมของหวาน การเที่ยวเเดินดูข้าวของ เหมือนกับคู่รักที่เพิ่งจะตกลงปลงใจคบหาดูใจกันใหม่ๆ
อริสาทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยความผ่อนคลาย ปล่อยวางความรู้สึกไม่หวนกลับไปคิดถึงเรื่องร้ายๆ ที่ผ่านมา จนเธอรู้สึกเหมือนได้ย้อนวันเวลากลับเป็นหญิงวัยสาวสะพรั่ง แล้วก็ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามอารมณ์และความรู้สึก เรื่องอื่นใดจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าก็ค่อยคิดกันทีหลัง
การได้ใช้ชีวิตที่ได้ทำกิจกรรมธรรมดาๆ เหมือนคนปกติทั่วไปที่เจษฎาไม่ได้ทำมานานและอากัปกิริยาของอริสาที่ปฏิบัติต่อเขาซึ่งเป็นต้นเหตุให้ชีวิตของเธอต้องเจอเรื่องเลวร้ายอย่างไม่โกรธแค้น ทำให้เจษฎานึกย้อนสำรวจเข้าไปในจิตใจ ว่าสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ ต่อจากนี้คืออะไกันแน่ การล้างแค้น ทวงสิ่งที่เสียไป ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นใด หรือจะเป็นแค่การไปเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่แบบตัดขาดจากอดีตไปเลย
……….……….……….……….……….
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน