ตะลุยรักสาวงามตอนนี้ไม่มีบทเสียวนะครับ เนื้อหามันค่อนข้างจะหนักครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
“คุณรุตคะมีเรื่องใหญ่แล้วคะ”
ผมเงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมามองประตูห้องที่เปิดอยู่ เจ้าของเสียงที่ดูตกใจคือหนูดีเลขาผม
“อะไรหรือ”
“ป้องถูกรถชนคะ ตอนนี้กำลังไปโรงพยาบาล แม่ของป้องโทรมาบอกคะ แต่อาการยังไม่รู้คะแต่เห็นว่ายังพอคุยกันได้”
“อ้าว”
ผมอุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“แล้วเขาไปส่งมันที่โรงพยาบาลไหนละ จะได้ไปดูอาการ”
หนูดียกมือขึ้นห้ามผมก่อนจะพูด
“ใจเย็นๆคะคุณรุต มันมีอะไรมากกว่านั้น งานของคุณฉัตรนะคะป้องกำลังเดินทางไปสตูดิโอ”
ทำเอาผมนึกขึ้นได้ เพราะงานนี้เป็นงานโฆษณาของลูกค้าเก่าแก่ที่ทำให้กันมานาน
“โฟมกับบาสมีงานทั้งคู่นะคะ เท่ากับตากล้องเหลือคุณรุตคนเดียวคะ”
พอได้ยินประโยคนี้ทำเอาผมชะงักไปชั่วขณะก่อนจะบอกว่า
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อน แต่เรื่องของป้องก่อนสำคัญกว่า เรื่องรักษาต้องบอกไปที่โรงพยาบาลให้ตรวจทุกอย่าง สแกนให้หมดห้องต้องเป็นห้องพิเศษ”
“คุณรุตคะ ลืมไปแล้วหรือยังไงคะว่าคุณรุตทำประกันแบบครบวงจรให้พนักงานทุกคนแล้วคะเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงคะ ทางบุคคลแจ้งไปที่บริษัทประกันแล้วคะ หนูดีว่าเราควรนึกถึงงานของคุณฉัตรมากกว่านะคะ”
หนูดีพูดเหมือนดึงสติผมให้กลับมา
“โอเค ขอบคุณมาก ถ้าอย่างนั้นผมโทรหาคุณฉัตรเอง เลื่อนได้ก็เลื่อน เสียเท่าไหร่ผมยอมจ่าย”
“คุณรุตคะ”
“ผมรู้ แต่หนูดีก็น่าจะรู้ว่าผมไม่อยากไปเหยียบที่สตูดิโอนั้น เพราะอะไร หนูดีคอยไปตามเรื่องป้องกับทางบุคคลแล้วบอกผมด้วยนะ”
“คะคุณรุต”
เลขารับคำก่อนจะเดินออกไป ผมนั่งคิดอยู่ครู่แล้วโทรศัพท์ไปหาคุณฉัตรเพื่อจะขอเลื่อนหรือไม่ก็ยกเลิกงานครั้งนี้โดยทางผมจะเป็นคนจ่ายค่าเสียหายให้ แต่คุณฉัตรนั้นกลับบอกกลับมาว่า
“คุณรุตเรื่องที่เกิดนะมันเป็นอุบัติเหตุ ทางคุณไม่ผิด ไม่ควรจะยกเลิกนะครับจริงๆตอนแรกผมอยากให้คุณรุตเป็นช่างภาพด้วยซ้ำ ถ้าคุณรุตจะให้เกียรติมาเป็นช่างภาพเองผมยินดีจะเพิ่มเงินให้ครับ รบกวนด้วยนะครับ ถือว่าผมขอร้องแล้วกัน”
“แต่คุณฉัตรคงไม่รู้ว่าผม”
ผมพูดยังไม่ทันขาดคำคุณฉัตรพูดแทรกขึ้นทันที
“ผมพอจะรู้เรื่องตั้งแต่วันที่มาติดขอเช่าสตูดิโอแล้วครับ คุณน้ำตาลเจ้าของสตูก็บอกผมเองว่าคุณคงจะไม่มาเป็นช่างภาพให้ เพราะเคยมีปัญหากันมาก่อน แต่ผมจะไปคุยกับคุณน้ำตาลเองว่าคุณจะมาเป็นช่างภาพแบบฉุกเฉินให้ ผมจะขอให้ไม่มาเจอกับคุณครับ ถือว่าเห็นแก่ผมแล้วกัน”
เมื่อเจอแบบนี้ ผมยากที่จะปฏิเสธเลยจำใจต้องไปเป็นช่างภาพ ผมเตรียมกล้องและอุปกรณ์ให้พร้อม ส่วนทีมงานนั้นไปรออยู่สตูดิโออยู่แล้ว ผมฝากให้ทางฝ่ายบุคคลกับเลขาช่วยตามเรื่องของป้องด้วย กว่าผมจะไปถึงสตูดิโอแห่งนั้นก็บ่ายโมงแล้ว มันเป็นสตูดิโอขนาดใหญ่ที่สามารถใช้พื้นที่ทุกส่วนเป็นสถานที่ถ่ายทำทั้งในและนอกอาคาร ผมรีบขอโทษทุกคนและเริ่มงานทันที นางแบบที่มาถ่ายโฆษณานั้นเป็นนางแบบหน้าใหม่ที่กำลังมีชื่อเสียง ดูเธอจะประหม่าเหมือนกันที่ผมมาเป็นตากล้องให้ จนช่วงพักผมได้ขอโทษกับคุณฉัตรอีกครั้ง แต่ดูแล้วทางเจ้าของสินค้าดูจะดีใจมากกว่าที่ผมมาเป็นช่างภาพให้ การถ่ายทำนั้นผ่านไปด้วยดีและเร็วกว่าที่ทุกคนคิดซึ่งระหว่างนั้นจะเห็นว่ามีแม่บ้านของสตูดิโอจะคอยเอาโค้กซีโร่มาให้ผมตลอดทุกครึ่งชั่วโมงจะมีการนำขวดใหม่ที่ถูกแช่เย็นนำมาเปลี่ยนแทนขวดเก่าโดยที่ผมไม่ยอมแตะต้อง ผมว่าน้ำตาลคงสั่งแม่บ้านไว้เธอยังจำได้อยู่ว่าผมชอบดื่มโค้กซีโร่ จนการถ่ายชุดสุดท้ายเราไปถ่ายกันด้านนอกริมสระน้ำ จนงานเสร็จเรียบร้อยผมได้เอาการ์ดออกจากกล้องส่งให้ทีมงาน เพื่อจะได้เซฟภาพที่ถ่ายลงในเอ็กซ์เทอนัลฮาร์ดดิสก์ไว้อีกไฟล์และทางหนูดีแจ้งข่าวดีมาคือป้องนั้นขาหักอย่างเดียวแถมไม่ได้เป็นฝ่ายผิด รถของคู่กรณีเลี้ยวตัดหน้ากะทันหันเพื่อจะเข้าซอย ป้องที่ขับมอเตอร์ไซด์อยู่เลนซ้ายเบรกไม่ทันเลยชนเข้ากลางคัน แต่คู่กรณียอมรับผิดทำให้ผมเบาใจขึ้นและตั้งใจจะไปเยี่ยมหลังเสร็จงานนี้
แต่ระหว่างที่กำลังจะเก็บกล้องลงกระเป๋า รถเบ็นซ์รุ่นใหม่ล่าสุดคันหนึ่งได้เข้าจอดในสตูดิโอไม่ห่างออกไปจากจุดที่ผมอยู่ ตอนแรกผมไม่สนใจแต่พอเงยหน้าขึ้นไปผมเห็นไอ้กัปตันเดินลงมาพร้อมเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนแรกมันไม่เห็นผมมันเดินจูงมือเด็กคนนั้นเพื่อจะเข้ามาในอาคารแต่พอมันเห็นผมมันชะงักทันที แต่สายตาผมมองไปเห็นคนขับรถที่เดินถือของตามมันมา ทำให้ผมสติขาดทันทีที่เห็นคนขับรถของไอ้กัปตัน
“ไอ้แบงค์ มึงตาย”
ผมตะโกนออกแล้ววิ่งพุ่งตรงไปหาอย่างลืมตัว ทั้งๆที่ในมือยังถือกล้องอยู่ แต่กัปตันมันเข้ามาขวางผมก่อน
“คุณรุตครับผมขอร้องละครับ อย่ามีเรื่องกันเลย”
แต่ผมหน้ามืดไม่ฟังเสียงจนยื้อยุดกันอยู่และมันปัดมือผมทำให้กล้องผมหล่นไปในสระน้ำจังหวะนั้นบรรดาทีมงานของผมได้วิ่งเข้ามาห้ามพร้อมจับตัวผมไว้
“คุณรุตครับผมไหว้ละอย่ามีเรื่องต่อหน้าลูกผม เด็กไม่รู้เรื่องด้วยผมไหว้ละ”
กัปตันมันพูดพร้อมยกมือไหว้ผม ส่วนเด็กผู้หญิงนั้นยืนร้องไห้อยู่ไม่ห่างคงจะตกใจกับสิ่งที่เห็น ทำให้ผมได้สติแต่ตาจ้องไปที่คนขับรถพร้อมตะโกนออกมา
“กูเจอมึงแล้วกูไม่ปล่อยมึงไอ้เลวชาติ”
ตอนนั้นมีเสียงร้องของผู้หญิงด้วยความตกใจ
“อะไรกันอย่ามีเรื่องกันเลย”
เป็นเสียงกระหืดกระหอบของเจ้าตัวที่กำลังวิ่งมา ผมหันไปมองและเห็นว่าเป็นน้ำตาล ดูเธอจะตกใจมาก น้ำตาลวิ่งไปกอดลูกสาวที่กำลังร้องไห้ไม่หยุด ส่วนคนขับรถของไอ้กัปตัน มันนั่งคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมพนมมือขึ้นไหว้ผม
“คุณรุตครับ ยกโทษให้ผมเถอะครับ ผมไม่ขอแก้ตัวอย่าทำอะไรผมเลย พ่อกับแม่ผมแก่แล้ว”
เสียงของมันสั่นเครือวิงวอนขอร้องผม จังหวะนั้นน้ำตาลเดินมาเข้ามาหาพร้อมยกมือไหว้ผมน้ำตาของเธอนั้นไหลออกมาเป็นสาย
“รุตตาลขอโทษอีกครั้งนะ อย่าให้มีเรื่องกันเลย ที่ผ่านมาตาลกับกัปตันเองก็ทรมานใจมาตลอด อย่าพยาบาทกันเลยนะ จะให้ตาลกราบก็ได้”
จังหวะนั้นไอ้กัปตันได้ยกมือไหว้ผมอีกครั้ง
“คุณรุตผมขอโทษอีกครั้ง อย่างที่ตาลบอกที่ผ่านมาผมเองก็ทรมานในเรื่องนี้ จะด่าผมยังไงก็ได้ ผมเป็นคนผิดและไม่สู้หน้าคุณมาตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมรู้ว่าค่าเสียหายที่จ่ายไปมันไม่สามารถจะชดเชยอะไรได้ ผมเองก็ได้รับผลกรรมที่ผมทำไปเพราะความขาดสติแล้ว ขอร้องเถอะครับอย่าไปทำอะไรแบงค์มันเลย มันทำตามคำสั่งผมอย่าไปอาฆาตมันครับ จะลงให้มาลงที่ผม ตัวผมยินดีรับกรรมที่ผมก่อขึ้นครับ”
ตอนนั้นน้ำตาลสั่งให้คนขับรถตัวปัญหาหลบออกไปด้านหลังมันลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างหลังทันทีโดยไม่กล้าหันมาสบตากับผมพร้อมบอกแม่บ้านให้อุ้มลูกของเธอไปจากตรงที่ผมกำลังอาละวาดอยู่ และลูกน้องผมอีกคนได้ไปเอากล้องที่ตกอยู่ในสระน้ำขึ้นมา กัปตันหันไปมองแล้วพูดกับผม
“เรื่องกล้องเรื่องเลนส์ผมใช้ให้ครับ พรุ่งนี้ไม่เกิน 10 โมงผมจะเอาของใหม่ไปให้ที่ออฟฟิตคุณครับ ผมรับปากครับ”
“นะรุตนะ ตาลกราบขอร้องอีกครั้ง กล้องตาลจะรีบไปหาซื้อมาใช้ให้ ส่วนเรื่องอื่นๆตาลบอกอีกครั้งยกโทษให้เราเถอะ”
“มันไม่เกี่ยวกับตาล ตาลก็รู้อยู่”
เป็นประโยคแรกที่ผมพูดกับเธอแต่คนตอบคือไอ้กัปตัน
“อย่างที่ผมบอกผมผิดเองครับ ตาลไม่เกี่ยวเป็นความโง่ของผมเอง ผมกราบขอโทษอีกครั้งครับ”
มันพูดพร้อมยกมือไหว้ผมอีกครั้ง ผมไม่มองหน้ามันแต่หันไปมองตาไอ้แบงค์อย่างไม่วางตา จนผู้ช่วยตากล้องที่จับตัวผมอยู่ได้บอกกับผม
“พี่รุตกลับไปก่อนเถอะครับ ทางนี้เรื่องของพวกผมจัดการเอง ใจเย็นๆนะพี่”
“นะรุตตาลขอร้องกลับไปก่อนเถอะ”
เธอพูดพร้อมยกมือไหว้ผม ผมเม้มปากก่อนจะหันไปบอกให้ผู้ช่วยปล่อยตัวผมแล้วเดินไปที่รถทันทีโดยไม่หันมามองอีกเลย ก่อนจะขับออกไปด้วยความฉุนเฉียว ผมรู้ดีว่าสิ่งที่ผมทำมันสร้างความตกใจให้กับหลายๆคน เพราะปกตินิสัยของผมไม่โมโหร้ายแบบนี้ แต่ครั้งนี้ผมอดไม่ไหวเพราะเป็นความแค้นที่ฝังใจผมมานาน ผมกับมันเกลียดกันตั้งแต่สมัยเรียนจนเกือบจะมีเรื่องชกปากกันมาแล้ว สาเหตุเพราะผมปฏิเสธเรื่องการรับน้อง และมันไม่สามารถหาเหตุผลมางัดกับผมได้ เพราะผมพูดใส่หน้ามันในตอนนั้นว่า
“พี่รู้ได้ยังไงว่าเรื่องแบบนี้มันเล็กน้อย จบไปทำงานต้องเจอหนักกว่านี้เคยทำไงหรือไง ถามผมนี่ ผมทำงานมาตั้งนานแล้วรู้แล้วว่าการทำงานนะมันหนักขนาดไหน ไม่เคยทำอย่ามาพูดแล้วเอามาอ้างเพื่อความสะใจในการได้แกล้งพวกรุ่นน้อง”
นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเรียกมันว่าพี่ ก่อนจะกลายเป็นมึงกับกูเพราะผมไม่ให้ความเคารพมัน และมันเกือบจะทำให้ผมฟาดปากกับมันแต่ถูกห้ามไว้ก่อน หลังจากนั้นผมกับมันแยกกันคนละทาง ไม่มองหน้าไม่พูดกันอีกเลย จนผมกลับจากเมืองนอกและทำงานให้กับบริษัทพี่ไนท์ แต่ผมก็ไม่อยากทิ้งสิ่งที่ผมรักนั่นคือการเล่นดนตรี ทำให้ผมรับเป็นงานอดิเรกเล่นดนตรีที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่รู้จักกันเพราะเจ้าของร้านเป็น1ในอดีตคนเล่นแตรวงให้อาผม ถ้าผมว่างผมจะมาเล่นฟลูตหรือไม่ก็แซ็กโซโฟนให้ในคืนวันพุธกับวันศุกร์ประมาณ 1ชั่วโมงโดยคิดค่าจ้างเป็นเพียงอาหารมื้อเย็นเท่านั้นและต่อมาผมได้รู้จักกับน้ำตาลที่ตอนนั้นเป็นประชาสัมพันธ์ให้บริษัทแห่งหนึ่ง เราไม่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเหมือนผมกับผู้หญิงคนอื่นๆ ด้วยนิสัยและอะไรอีกหลายอย่างทำให้เราคบหาเป็นแฟนกันไม่ได้แต่เราก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันได้เวลาเจอหน้ากันก็ทักทายกันอย่างสนิทสนมถึงจะไม่เจอกันบ่อย จนผมได้ข่าวว่ากัปตันมันมาตามจีบเธอทำให้ผมรู้ว่ามันใช้บารมีของพ่อมันเปิดบริษัททางด้านการตลาดและโฆษณาเหมือนกันเรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งกับบริษัทที่ผมทำงานอยู่ก็ว่าได้
จนมันได้แต่งงานกับน้ำตาล ผมก็ไม่ได้ไปร่วมงานแต่งด้วย และไม่ได้เจอกับเธออีกเลย จนปีเศษๆผมได้มาเจอกับเธออีกครั้งในงานเปิดตัวสินค้าชิ้นหนึ่งเธอนั้นมาร่วมงานเพียงคนเดียว เราทักทายพูดคุยกันอย่างปกติแต่ใช้เวลาคุยนานพอสมควร แต่พอไอ้กัปตันมันรู้เข้าที่ผมคุยกับเมียมันอย่างสนิทสนมด้วยความที่เกลียดขี้หน้าอยู่แล้วทำให้มันหึงผม และมันสั่งให้คนของมัน 2-3 คน มาดักทำร้ายผมหลังจากที่มาเล่นดนตรีในคืนวันพุธที่ร้านอาหาร 1 ในนั้นคือไอ้แบงค์ที่ผมจำฝังใจกับมัน หลังจากที่ผมเล่นดนตรีเสร็จผมรีบกลับบ้านเพราะพรุ่งนี้มีงานตอนเช้า ผมเดินมาเรียกแท็กซี่ แต่ที่ลานจอดรถ คนของมันที่ดักรอผมอยู่ได้เข้ามารุมทำร้ายผมและไอ้แบงค์มันเอาฟลูตที่แย่งจากผมมากระหน่ำตีตามตัวผม
จนผมทรุดลงไปนอนบนพื้นพวกมันยังตามมากระทืบผมแถมไอ้แบงค์มันเอาฟลูตอันนั้นฟาดลงกับพื้นจนฟลูตหักทั้งๆที่ผมไหว้ของร้องมันว่าอย่าทำลายฟลูตเพราะผมรักฟลูตอันนั้นมาก ผมเก็บไว้ดูต่างหน้าแทนอาที่จากไป อาผมเสียหลังจากที่ผมกลับมาเมืองไทยไม่นานเท่าไหร่นัก และอีกอย่างฟลูตอันนี้ผมถือว่ามีบุญคุณกับผมมากที่ สร้างอาชีพให้ผมมีกินมีใช้ตอนเรียนที่อเมริกาจนผมมีวันนี้ แต่ก่อนที่ผมจะสลบไปผมเห็นฟลูตนั้นหักคาตาพร้อมเสียงหัวเราะของมัน ผมมาฟื้นตัวอีกทีที่โรงพยาบาลเพราะคนในร้านได้ยินเสียงตอนที่พวกมันรุมกระทืบผม ทำให้พวกมันหนีไปทันที เรื่องนี้ทำให้พี่ไนท์กับพ่อของพี่ไนท์นั้นโกรธมาก ผมนั้นแขนและซีโครงหักและไอ้กัปตันมันรู้ความจริงภายหลังเพราะน้ำตาลที่ได้ข่าวรีบมาเยี่ยมและกลับไปต่อว่าสามีพอรู้ว่ามันความจริงทำให้มันสำนึกและพ่อกับแม่มันพร้อมน้ำตาลได้มาขอโทษผมที่โรงพยาบาลโดยบอกว่าจะชดใช้ให้ทุกอย่างแต่ขอไม่ให้เอาเรื่องลูกชาย แม่มันตอนนั้นก็ไม่แข็งแรงไปไหนต้องใช้รถเข็น พ่อของมันได้บอกกับผม
“อย่าเอาเรื่องกับกัปตันเลยนะ ลูกพ่อของร้อง มันขาดสติใจมันร้อนถ้าจะโทษมันก็โทษพ่อที่เลี้ยงลูกไม่ดี”
“คุณไม่ใช่พ่อผม อย่ามาเรียกแบบนี้”
ผมตอบไปด้วยความไม่พอใจ ทำเอาอีกฝ่ายหน้าถอดสี
“ผมขอโทษครับแต่อย่าเอาเรื่องลูกชายผมเลยนะครับผมไหว้ละ”
พ่อของมันพูดพร้อมยกมือไหว้ เหมือนกับแม่มันที่นั่งบนรถเข็นและกราบผมลงบนเตียงแต่ผมส่ายหน้าและไม่พูดอะไรเพราะผมแค้นมันมากโดยเฉพาะเรื่องฟลูตที่พังไป พ่อของมันไปหาซื้อฟลูตที่ราคาแสนกว่าบาทมาชดใช้ตอนนั้นพ่อของมันยื่นฟลูตให้ผมและบอกว่า
“นี่ผมขอชดใช้แทนอันที่ถูกทำลายไปนะครับ”
ผมมองฟลูตที่ได้มาด้วยความแค้น ก่อนจะถามไปที่พ่อของมัน
“คุณรู้ไหมว่าอันที่พังไป มันมีคุณค่าทางจิตใจกับผมขนาดไหน ถึงมันจะไม่ใช่ของที่มีราคาแบบนี้แต่มันเป็นของที่อาให้ผมไปทำมาหากินที่อเมริกาและอาผมเสียไปแล้วด้วย”
“ผมไม่ทราบครับ ผมเสียใจจริงๆแต่รับอันนี้ไว้เถอะครับ ถึงมันจะทดแทนกันในเรื่องความมีคุณค่าไม่ได้ แต่ผมทำได้เท่านี้ครับ”
พ่อของมันพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ ผมหยิบฟลูตขึ้นมาจากกล่องแล้วถามกลับ
“มันเป็นของผมแล้วใช่ไหม”
“ครับมันเป็นของคุณแล้ว”
ผมยิ้มอย่างสะใจแล้วฟาดฟลูตลงไปที่เหล็กกั้นตรงปลายเตียง ผมฟาดอย่างยั้งด้วยแรงที่มีอยู่โดยไม่สนใจว่ากระทบไปถึงซี่โครงหรือไม่ จนฟลูตอันนั้นมันงอ แล้วผมโยนลงพื้นแล้วมองไปอย่างสะใจ ทำเอาพ่อกับแม่มันหน้าถอดสี ส่วนน้ำตาลนั้นร้องไห้ออกมาพร้อมยกมือไหว้เป็นครั้งแรกที่เธอไหว้ผม
“รุตพอเถอะ ตาลไหว้ละ อย่าทำแบบนี้เลยรู้ไหมพ่อลำบากขนาดไหนที่หาซื้อมาใช้แทนอันที่หักไป”
“ไม่ใช่เรื่องที่รุตต้องรับรู้ ใครจะมาเหนื่อยมาลำบากแทนไอ้หน้าตัวเมีย รุตไม่สนใจ”
ผมตอบไปอย่างไม่แยแส วันนั้นพ่อกับแม่ของกัปตันพยามอ้อนวอนให้ผมไม่เอาเรื่องพร้อมเสนอค่าทำขวัญเป็นเงินหลักล้านไม่รวมค่ารักษาพยาบาลแต่ผมไม่ยอมและไปแจ้งความ ต่อมาพ่อของกัปตันได้ติดต่อผ่านทางพ่อของพี่ไนท์เพื่อให้ถอนแจ้งความลูกชายและยอมจ่ายเงินเพิ่มเป็น 5ล้าน ด้วยความเกรงใจที่พ่อพี่ไนท์รู้จักกับพ่อของกัปตันมานาน และพ่อของพี่ไนท์ก็ช่วยเหลือคนมามากพอถูกขอร้องแบบนี้จึงยากที่จะปฏิเสธ ทำให้พี่ไนท์กับพ่อมาพูดกับผมว่าอย่าไปเอาเรื่องมัน และพ่อของมันยินดีจะชดใช้ให้ก่อนหน้านั้นผมไม่ยอมจะสู้ให้ถึงที่สุดหลังจากแจ้งความแต่มีอาของไอ้กัปตันที่เป็นนายตำรวจชื่อวิวัฒน์ได้เข้ามาพูดกับผมว่าถ้าไม่ยอมถอนแจ้งความ มันอาจจะไม่ใช่แบบที่ผมคิด ในเมื่อเจอคำขู่ผมก็ไม่ยอมผมตั้งใจจะสู้ แต่พอพี่ไนท์กับพ่อมาคุยผมจึงบอกเรื่องนี้ไป ทำให้พ่อพี่ไนท์จัดการนัดมาเจอพวกมันกันที่บ้าน ในวันนั้นพ่อกับอาของไอ้กัปตันพร้อมน้ำตาลมาโดยมันไม่โผล่หัวออกมา และต่อหน้าพ่อของพี่ไนท์ไอ้วิวัฒน์มันกลับคำพูดทันทีบอกว่าผมเข้าใจผิด และด้วยความเกรงใจในบุญคุณของพี่ไนท์กับพ่อทำให้ผมต้องยอมความ ซึ่งพ่อของไอ้กัปตันจ่ายค่าเสียหายให้ผมเป็นเงิน 5 ล้านบาท ผมมารู้ทีหลังว่าเงินจำนวนนี้พ่อพี่ไนท์เป็นคนสั่งให้พ่อไอ้กัปตันจ่ายชดใช้ให้ผมจากตอนแรกจะจะให้2 ล้าน แต่พ่อพี่ไนท์บอกไปว่า
“คุณมาขอร้องให้ผมช่วย แต่คุณให้เงินเท่านี้กับหลานของผม ผมว่ามันน้อยไป มันต้องสมเหตุสผลด้วยเพราะการกระทำของลูกชายคุณมันเลวร้ายและต่ำทรามมาก หลานผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยแต่ต้องมาเจ็บตัว”
เงินจึงเพิ่มเป็น 5 ล้านพร้อมฟลูตราคาหลักแสนตัวใหม่
“คุณรุตครับ รับไปเถอะครับ ผมรู้ว่าเงินจำนวนนี้กับฟลูตตัวนี้มันชดเชยความรู้สึกอะไรไม่ได้ผมทำได้เพียงเท่านี้ครับ กรุณาเถอะครับ ส่วนที่ลูกผมไม่มาเพราะผมสั่งไว้เองครับผมกลัวมันจะบานปลายไปมากกว่านี้ เลยไม่ให้มันมา มันเองก็เสียใจเมื่อรู้ความจริง กราบละครับรับไว้เถอะ และอย่าเอาเรื่องเอาราวกับมันอีกเลย”
พ่อของไอ้กัปตันบอกผมด้วยน้ำเสียงที่วิ่งวอนและสั่นเทา เหมือนกับน้ำตาลที่บอกกับผมต่อ
“รุต ตาลขอร้องนะอย่าทำแบบวันนั้นอีก ตาลรู้ว่ารุตโกรธมาก แต่เห็นใจพ่อด้วย ที่ต้องวิ่งหาเงินมาชดใช้ให้รุต พร้อมกับฟลูตนี่ ถึงมันจะทดแทนกับของที่มันพังไปแต่ทางเราทำได้เท่านี้จริงๆ ขอร้องว่าอย่าทำลายมันอีกเลยนะ คิดถึงหัวอกของพ่อกับแม่บ้างไหนจะมาเหนื่อยกับเรื่องที่กัปตันก่อขึ้นไหนจะวิ่งหาเงินหาของมาใช้รุต”
วันนั้นผมจึงรับเงินกับฟลูตด้วยความจำใจและไอ้วิวัฒน์มันพูดกับผมต่อหน้าทุกคน
“คุณรูตครั้งนี้ผมติดหนี้คุณนะ ถ้าต่อไปมีอะไรให้ข่วยเหลือคุณบอกผม”
ผมไม่ตอบอะไรมัน แต่ทำให้ผมกับน้ำตาลไม่ติดต่อพูดคุยกันอีกเลย หลังจากนั้นผมไปสืบได้ความว่า ไอ้คนที่เอาฟลูตฟาดจนพัง มันเป็นคนของไอ้กัปตันชื่อแบงค์ และโทษของมันกับพวกนั้นแค่ถูกปรับเท่านั้น ผมผูกความอาฆาตกับมันตั้งแต่วันนั้น แต่ติดตรงที่ผมรับปากกับพี่ไนท์และพ่อพี่ไนท์ไปแล้วว่าจะยุติเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้มันสร้างความสะเทือนใจให้กับผมอย่างมากที่ของรักที่มีคุณค่าทางจิตใจถูกทำลายต่อหน้า ทำให้ผมเลิกเล่นดนตรีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทั้งๆที่หลายครั้งมีคนชวนหรือของร้องให้ผมเล่นแต่ผมปฏิเสธ มีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหลังจากนั้นผมสังเกตได้ว่า บริษัทของไอ้กัปตันมันจะเลี่ยงไม่กล้าที่จะมาประมูลงานแข่งกับบริษัทของพี่ไนท์เวลาที่มีการยื่นซองประมูลงานของราชการกับรัฐวิสาหกิจ ถ้าพี่ไนท์ยื่นประมูลงาน มันจะไม่ยื่นหรือถอนประมูลทันทีถ้ามันยื่นก่อน ผมมารู้ภายหลังว่ามันบอกกับพี่ไนท์ว่ามันจะตอบแทนพี่ไนท์ที่ช่วยมันในเรื่องนี้ โดยไม่ยื่นประมูลงานแข่งกับบริษัทพี่ไนท์อีกต่อไป
แต่หลังจากนั้นอีก 6 เดือน มีข่าวร้ายอีกข่าวกับผม คือพี่ไนท์นั้นป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ความจริงพี่ไนท์รู้มานานแล้วว่าตัวเองเป็นมะเร็ง แต่ปิดไว้ไม่บอกให้พนักงานรู้และรักษาตัวมาตลอด ก่อนจะตัดสินใจแจ้งให้พนักงานรู้ พี่ไนท์ยังฝืนมาทำงานตามปกติโดยผมคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และผ่านไปอีก 6 เดือนอาการไม่ดีขึ้น จนพี่ไนท์ต้องเข้าโรงพยาบาลซึ่งทุกคนรู้ดีว่ามันสุดจะยื้อแล้วต่อให้มีเงินขนาดไหนก็ช่วยไม่ได้แต่ไม่มีใครกล้าพูด นอกเหนือจากความกังวลในอาการของพี่ไนท์แล้ว พนักงานยังกังวลเรื่องของบริษัท ถึงตอนนั้นผมจะรักษาการดูแลตามคำสั่งของพี่ไนท์กับพ่อแต่ผมรู้ตัวดีว่าความสามารถของผมยังไม่ดีพอที่จะดูแลบริษัท และความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นกับผมในวันที่ผมไปเยี่ยมพี่ไนท์ที่โรงพยาบาล ในห้องมีพ่อกับแม่พี่ไนท์อยู่ด้วย
“รุตพี่มีเรื่องจะขอร้อง”
น้ำเสียงที่แหบแห้งของคนป่วยบอกกับผม
“เรื่องอะไรครับพี่”
“เรื่องบริษัท พี่รู้ดีว่าพี่จะอยู่อีกไม่นาน พี่คุยกับพ่อแล้ว พี่อยากให้รุตดูแลบริษัทต่อ รุตคือคนที่พี่ดูไม่ผิดจริงๆ ตั้งแต่ที่พี่ได้เจอรุตที่นั่น รุตมีความสามารถและความตั้งใจในการทำงาน มีหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวรุตที่ยังไม่แสดงออกมาเพราะติดที่พี่เป็นหัวหน้า พี่ดูตรงนี้ออกช่วยสานความตั้งใจของพี่ต่อเถอะ พี่อยากให้สิ่งที่พี่รักและสร้างมาตกไปอยู่กับคนที่รักและไว้ใจอย่างรุต และอีกอย่างถือเป็นการขอโทษด้วยที่พี่กับพ่อขอร้องกับรุตในเรื่องนั้น พี่รู้ดีว่ารุตไม่เต็มใจแต่เกรงใจพ่อกับพี่จึงจำใจที่จะไม่เอาเรื่อง”
ผมนั้นตกใจอย่างมากที่ได้ยินประโยคนี้และปฏิเสธทันทีแต่พี่ไนท์กับพ่อนั้นต่างยืนยันคำเดิม ที่จะยกบริษัทให้ผม ทำเอาผมว้าวุ่นมากแต่พี่ไนท์ก็ไม่เร่งรัดให้ผมรับปากจนผ่านไป 3 วัน อาการของพี่ไนท์ทรุดหนักลงอีก และพ่อของพี่ไนท์เรียกผมไปคุยโดยบอกว่าจะคอยให้ความช่วยเหลือผมในการบริหารบริษัท และถือเป็นการขอโทษผมอย่างที่พี่ไนท์บอก ทำให้ผมในตอนนั้นจำใจรับปาก และก่อนที่พี่ไนท์จะเสียได้ทำประกาศแต่งตั้งให้ผมเป็นเจ้าของบริษัท พร้อมโอนทรัพย์สินของบริษัททุกอย่างเป็นของผมหลังจากนั้นไม่กี่วันพี่ไนท์ได้จากโลกไปด้วยความเสียใจอย่างมากของผมและพนักงานทุกคน หลังจากนั้นผมจึงเข้ามาดูแลบริษัทอย่างเต็มตัว ซึ่งผมรู้ดีว่าพนักงานหลายๆคนนั้นไม่ค่อยจะมั่นใจ แต่ด้วยความที่ผมรับคำก่อนพี่ไนท์จะเสียว่าผมจะดูแลบริษัทให้ดีที่สุดอีกทั้งการให้คำปรึกษาของพ่อพี่ไนท์และใช้บารมีที่มีทำให้บริษัทได้งานอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับคำพูดของพี่ไนท์ที่ทำให้ผมมุมมานะ ใช้ประสบการณ์ที่เรียนมาจากที่สหรัฐและญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ผมปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลายอย่างให้เข้ากับแนวคิดของผม เช่นพนักงานไม่ต้องลงเวลาแต่ขอทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ ออฟฟิตไม่จำเป็นต้องเข้าทุกวันก็ได้แต่งานนั้นต้องคืบหน้า ผมลดเวลาการประชุมให้น้อยลงเพราะเห็นว่ามันใช้เวลามากกเกินไป ผมใช้พระคุณในการปกครองมากกว่าพระเดชทำให้บริษัทเดินหน้าต่อไปได้และพนักงานยอมรับในฝีมือการบริหารของผม มันจริงอย่างที่พี่ไนท์พูดเพราะที่ผ่านมาผมไม่กล้าที่จะทำอะไรออกมาอย่างเต็มที่เพราะติดความเกรงใจที่มีให้พี่ไนท์
แต่สภาพจิตใจผมนั้นย่ำแย่มากยังเสียใจไม่หายกับการจากไปของผู้มีพระคุณ อย่างห้องทำงานตอนแรกผมจะไมใช้ห้องทำงานพี่ไนท์แต่พ่อพี่ไนท์บอกว่าทุกอย่างเป็นของผมแล้วผมมีสิทธิในฐานะเจ้าของและอย่าไปยึดติดกับคนที่จากไปมากนัก ผมจึงย้ายที่ทำงานไปในห้องที่พี่ไนท์เคยใช้ แต่พยายามรักษาสภาพเดิมให้มากที่สุด จนผมตัดสินใจมาซื้อคอนโดที่กระบี่ก็เพราะสาเหตุการสูญเสียของรักและคนที่ผมให้ความเคารพอย่างมากทำให้ผมไม่ค่อยอยากเข้าไปทำงานที่ออฟฟิตเท่าไหร่นัก บางครั้งผมสั่งงานจากที่กระบี่ได้โดยไม่ต้องเข้าไปที่บริษัท จนเรียกได้ว่าคอนโดที่กระบี่เป็นบ้านและที่ทำงานหลังที่ 2 ของผม
จนถึงวันนี้ผมบริหารงานทำให้บริษัทเป็นบริษัทที่ทำงานด้านการตลาดและโฆษณาเป็นอันดับต้นๆของเมืองไทยได้ แต่ผมจะบอกกับทีมงานตลอดว่าไม่ใช่เพราะผมคนเดียวแต่เป็นเพราะผมมีทีมงานที่ดี จริงอย่างที่พ่อพี่ไนท์บอกอย่าไปยึดติดกับคนที่จากไปมากนัก ทุกอย่างมันต้องเดินหน้า แต่เรื่องที่เกิดในวันนี้ผมยอมรับว่าเลือดขึ้นหน้ามากที่เห็นหน้าไอ้แบงค์แม้เวลาจะผ่านมา3-4ปีแล้ว ผมยังไม่ลืมมันถึงแม้ไอ้กัปตันมันจะหลบผมตลอดเหมือนตอนที่พี่ไนท์อยู่ มันไม่เคยประมูลงานแข่งกับบริษัทผมอีกเลย ผมรู้มาว่าหลังจากที่มีเรื่องกับผม แม่ของมันนั้นป่วยหนักจนเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน และตอนนี้พ่อมันก็ร่างกายไม่แข็งแรง ตัวมันมีลูกกับน้ำตาล 1 คนเป็นผู้หญิง ส่วนตัวน้ำตาลนั้นมาทำธุรกิจเปิดสตูดิโอให้เช่าถ่ายรูป ผมไม่เจอหน้ามันอีกเลยจนวันนี้
วันต่อมามันกับน้ำตาลพร้อมไอ้แบงค์มาหาผมที่ทำงานพร้อมกล้องและเลนส์ตัวใหม่ ราคารวมกันเกือบ 3แสน โดยเลนส์นั้นก็แสนกว่าบาทแล้ว พอเจอหน้าผมตรงบริเวณที่ใช้รับรองแขกหรือคนที่มาติดต่องานหน้าสำนักงาน ไอ้แบงค์เดินเข้ามาแล้วคุกเข่าก้มลงกราบเท้าผมทันที
“คุณรุตยกโทษให้ผมเถอะครับ ผมรู้ว่าผมทำอะไรลงไปและผมเองก็ไม่สามารถที่จะชดใช้ได้ อย่าทำอะไรผมเลยครับ พ่อกับแม่ผมแก่มากแล้ว ถ้าผมเป็นอะไรไป ทั้งสองคนจะลำบากครับ ผมกราบละครับ”
มันก้มลงกราบผมอีกครั้ง ทำเอาพนักงานนั้นต่างมองมาที่มันแต่ผมไม่สนใจ เพราะรู้ว่าถ้าพูดอะไรออกไปมันอาจทำให้ขาดสติอีกครั้งส่วนไอ้กัปตันมันยกมือไหว้ผมแล้วพูดออกมา
“ผมกราบขอโทษอีกครั้งครับ ผมไม่แก้ตัวใดๆทั้งสิ้นผมกรรมมันก็ตามผมทัน แม่ผมที่เสียไปก็เพราะสะเทือนใจในเรื่องนั้น แถมพ่อก็ต้องมาเจ็บออดๆแอดๆอีก เพราะการกระทำของผมครับ ที่ผ่านมาผมเองก็หลบหน้าคุณมาตลอดไม่กล้าสู้หน้าเพราะความเลวที่ผมทำกับคุณ ทำให้ผมไม่เคยสบายใจและกังวลตลอดมากับเรื่องเลวร้ายในวันนั้น ผมบอกอีกครั้งจะโกรธ จะโทษก็ผมคนเดียวครับ แบงค์มันทำตามคำสั่ง และตอนนี้มันก็หวาดกลัวมาก มันขอให้ผมพามันมาด้วยเพื่อกราบขอโทษคุณ”
ผมยังไม่ตอบอะไร แต่ตาลยื่นกล่องใส่กล้องกับเลนส์ให้ผม
“รุตรับไปเถอะนะ ตาลใช้คืนอันแทนอันที่ตกน้ำไปเมื่อวาน ทั้งกล้องทั้งเลนส์เป็นรุ่นเดียวกัน ตาลวิ่งหาซื้อเลนส์แบบที่นำเข้ามาให้เพราะรู้จากลูกน้องรุตว่ารุตซื้อเลนส์จากญี่ปุ่น”
เธอคงลำบากพอสมควรเพราะกล้องนั้นผมใช้กล้องนั้นหาไม่ยากถึงจะราคาสูง ที่ดีที่ผมไม่เอาตัวที่ผมซื้อจากญี่ปุ่นไปถ่ายไม่อย่างนั้นไอ้กัปตันโดนผมกระทืบแน่นเพราผมรักตัวนั้นมาก ส่วนเลนส์ผมสั่งตรงจากร้านที่ญี่ปุ่นเข้ามา ถึงจะมีขายในไทยแต่หาค่อนข้างลำบาก
“ตาลขอร้องนะ อย่าทำแบบตอนนั้นเห็นแก่ตาลเถอะ ของมันเสียไปแล้วและตาลก็หามาคืนตามคำพูดที่ให้ถึงแม้จะลำบากขนาดไหน ขอให้รุตนึกถึงเรื่องนี้ด้วย ขออย่าทำแบบนั้นอีกเลย”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นและน้ำตาที่คลอเบ้า ผมรับมาและวางบนโต๊ะโดยที่ไม่สนใจ ทั้งคู่ต่างไหว้ผมอีกครั้งและผมนั้นไม่หันไปมองก่อนจะเดินเข้าไป ผมต้องการแสดงให้กัปตันมันเห็นว่าผมไม่ยกโทษให้มันเป็นอันขาด แต่ไม่ติดใจที่จะเอาเรื่องแล้ว แต่ช่วงบ่ายในวันนั้นไอ้วิวัฒน์ที่ตอนนี้มียศเป็นถึงพลตำรวจโทได้โทรมาหาผม
“เฮ้ยคุณรุต ไหนว่าเลิกแล้วต่อกันไง แต่ทำถึงทำแบบนั้นอีกละ ก็คุยกันแล้วว่าไม่ติดใจ”
มันพูดขึ้นมาทันทีที่ผมรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงที่วางอำนาจและผมไม่สนใจว่ามันรู้จากไหน ผมหมั่นไส้มันมานานตั้งแต่มันมาพูดจาข่มขู่ผมเมื่อครั้งก่อนและยังกะล่อนต่อหน้าพ่อพี่ไนท์อีก พอเป็นแบบนี้มันได้เวลาที่ผมจะเอาคืนกับมัน
“แล้วยังไง มันเกี่ยวอะไรกับคุณมันเรื่องของผม”
“พูดแบบนี้ไม่ได้นะตอนนั้นพี่ผมก็ให้คุณไปหลายล้านแล้วยังจะไม่พอใจอีกหรือไง เรานะจ่ายตามที่ฝ่ายคุณเรียกร้องนะยังไม่รวมไอ้ฟลูตนั่นอีก ที่พี่ผมต้องเอามาแลกกับฟลูตกะเลวกะลาดอันนั้นผมว่ามันก็มากเกินพอแล้ว”
มันพูดแบบนี้ ทำเอาผมนั้นขึ้นทันทีจึงบอกมันออกไป
“มึงอย่ามาพูดแบบนั้น และอีกอย่างกูยังไม่ลืมว่ามึงติดหนี้กูอยู่ มึงพูดเองในวันนั้นถึงวันนี้กูต้องการให้มึงใช้หนี้และอย่ามาบอกว่ามึงไม่เคยพูดเพราะมึงพูดต่อหน้าคุณลุง อีกอย่างตอนนี้กูไม่รุตคนเดิมแล้ว กูรู้จักผู้ใหญ่หลายคนที่จะทำให้มึงกลายเป็นนายพลธรรมดาๆ นั่งตบยุงไปวันจนเกษียณได้ “
“มึงขู่กูหรือไง เรื่องนั้นนะกูไม่กลัวหรอก เพราะยังก็เอาผิดกูไม่ได้กูไม่ได้ทำผิด”
“กูรู้แต่มันเป็นคำพูดของลูกผู้ชาย ถ้าเรื่องที่มึงเคยรับปากไว้และผิดคำพูดไปถึงหูผู้ใหญ่และคุณลุง มึงคงรู้นะว่าที่กูบอกเมื่อกี้มันเกิดขึ้นได้ เพราะผู้ใหญ่จะไม่เชื่อใจมึง ดีไม่ดีเรื่องเลวๆหลายเรื่องที่มึงทำไว้จะถูกขุดขึ้นมา”
“แล้วมึงต้องการอะไร”
“มีงานประชาสัมพันธ์ของมหาดไทย งบมันอยู่ที่ 15 ล้าน บริษัทกูต้องได้งานนั้นในวันเปิดซองประมูล มึงไม่มีข้อโต้แย้งถ้ากูไม่ได้เห็นดีกันไอ้วิวัฒน์”
ผมวางสายทันทีแล้วยิ้มอย่างพอใจ อันที่จริงงานนี้ผมไม่อยากได้เพราะดูแล้วไม่คุ้มจึงไม่สนใจหลังจากที่มีหนังสือเชื้อเชิญให้ไปประมูล มันยังมีเวลาอีก 3 วันก่อนจะครบกำหนดในการยื่นซองซึ่งทางบริษัทผมนั้นมีเอกสารพร้อมอยู่แล้วในเรื่องการประมูลกับหน่วยงานของราชการใช้เวลาใน 1 วันทุกอย่างก็เรียบร้อย แต่นี่ผมต้องการสั่งสอนไอ้จอมกะล่อนอย่างมันให้รู้สำนึกอีก 2 วันผมให้ทางทีมงานไปยื่นซองทันที และมันก็รู้ว่าผมพูดจริง ตอนนี้ผมรู้จักข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคน เพราะงานที่ทำให้กับหน่วยงานต่างๆมันมาจากบารมีของพ่อพี่ไนท์อีกทาง หลังจากนั้นไอ้วิวัฒน์มันโทรมาอ้อนวอนขอร้องผม ว่าเรื่องนี้เกินความสามารถของมัน มันยินดีจะช่วยผมในเรื่องอื่นแต่เรื่องนี้มันทำไม่ได้ผมตอบมันกลับไปว่า
“นั่นเป็นเรื่องของมึง กูไม่รับรู้แต่กูต้องการงานนี้”
ผมมารู้ว่ามันพยายามวิ่งเต้นอย่างหนัก เพราะความกลัวโดยเฉพาะพ่อของพี่ไนท์ที่ยังมีอำนาจบารมีอย่างล้นเหลือที่สามารถทำให้มันเด้งไปอยู่ตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจอะไรก็ได้ ถ้ามันไม่สามารถทำตามที่มันเคยรับปากไว้มันลำบากแน่นอน จนถึงวันเปิดซองประมูลมีบริษัทเข้าเกณฑ์อยู่ 3บริษัท แต่ไม่มีบริษัทของผมซึ่งผมเองก็ไม่แปลกใจเพราะผมเสนอราคาไปค่อนข้างสูง แต่ผมเล่นงานไอ้วิวัฒน์ได้ตามความตั้งใจและนำเรื่องนี้ไปคุยกับพ่อพี่ไนท์ ทำให้พ่อพี่ไนท์ไม่พอใจอย่างมาก ทำให้มันต่อรองว่าจะหาเงินจำนวน 15 ล้านมาให้ผมแทน ตอนแรกมันต่อรองให้เหลือ 10 ล้านแต่ผมไม่ยอมและให้เวลามันอีก 3 วันเท่านั้น จนวันครบกำหนดมันมาเจอผมที่บ้านพ่อของพี่ไนท์ และมันไม่มีท่าทีวางโต มันยื่นแคชเชียร์เช็คมูลค่า 15 ล้านบาทให้ผมต่อหน้าพี่ของพี่ไนท์
“นี่ครับผมใช้หนี้ให้คุณรุตหวังว่าเราจะไม่มีอะไรต่อกันแล้วนะครับ ท่านเป็นพยานให้ด้วยนะครับ”
มันบอกกับพ่อของพี่ไนท์ ผมรับแคชเชียร์เช็คจากมันแล้วถามกลับไป
“นี่มันอะไรแค่ 15 ล้านเองหรือ”
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน