พิษสวาทบ่วงบาศกามา ตอน 9นับตั้งแต่ต้นสัปดาห์ สุขุมที่จับจ้องเฝ้ามองดูทุกความเคลื่อนไหวของเจ้านายสาวมาโดยตลอด ก็เริ่มสังเกตเห็นแววตาที่ดูเศร้าหมองปรากฎอยู่บนใบหน้าสวยงามนั้น มันเหมือนเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่บอกให้เขาเตรียมตัวสำหรับการออกล่าเหยื่อ พอเห็นท่าทีเธอเป็นแบบนี้เขาจึงยิ่งเฝ้าจับตาดูเธออย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาที่เธอคุยโทรศัพท์ ซึ่งเท่าที่เขาแอบฟังมาหลายวัน เธอยังโทรพูดคุยกับแม่ในยามเย็นอยู่เหมือนเดิม เขาจึงพอคาดเดาได้ว่าแววตาที่อมทุกข์คงเพราะเธอกำลังมีปัญหากับแฟนหนุ่ม และเวลาแบบนี้เองเป็นเวลาที่นายพรานล่าสวาทอย่างสุขุมรอคอยมานานแสนนาน ช่วงเวลาที่จิตใจของเธอกำลังเปราะบางอ่อนไหวจนเปิดช่องโหว่ให้คนนอกอย่างเขาแทรกซึมเข้าไปได้"ช่วงนี้ดูสีหน้าคุณมายไม่ค่อยดีเลยนะครับ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า" สุขุมอาศัยจังหวะที่เขาเอาเอกสารเข้ามาให้มนัสนันท์เซ็น ถือโอกาสถามไถ่เพื่อหลอกเก็บข้อมูลให้ตัวเอง"อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ" มนัสนันท์เลือกที่จะตอบปฏิเสธเพราะไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดให้คนอื่นรับรู้"ทะเลาะกับแฟนคุณมายหรอครับ" สุขุมกลับยิงคำถามใหม่ที่ตรงเข้าประเด็นจนทำให้มนัสนันท์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับลงนามในเอกสารต่อไป ปฏิกิริยาตอบสนองเพียงแค่เสี้ยววินาทีของเธอก็ไม่อาจรอดพ้นจากการจับจ้องของสุขุม เท่ากับว่าตอนนี้ เขาได้รับการยืนยันจากเจ้าตัวแล้วว่ากำลังมีปัญหากับแฟนหนุ่มจริง ๆ "ถ้าคุณมายมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ ผมยินดีรับฟังเสมอนะครับ" สุขุมแสร้งแสดงความห่วงใย ทั้งที่ในใจกำลังคิดหาวิธีทำให้มนัสนันท์และแฟนหนุ่มต้องเลิกรากันในขณะที่อีกด้านของออฟฟิศ อารมณ์ของลลิดานั้นช่างตรงกันข้ามกับมนัสนันท์โดยสิ้นเชิง เพราะตอนนี้เธอดูจะคลายความกังวลลงไปได้มากขึ้นจนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข เธอกล้าพูดคุยกับเพื่อนทั้งในและนอกแผนกได้เหมือนเดิม และยังเริ่มหว่านเสน่ห์ให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หลงใหลเพื่อหลอกใช้งานเขาเหล่านั้นอีกครั้ง แม้บางเวลาที่เธอต้องเผชิญหน้ากับเจ้านายหื่นอย่างสุขุม เธอและเขาก็ต่างพูดคุยกันเยี่ยงเจ้านายและลูกน้องราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นมาก่อน จนดูเหมือนตอนนี้ทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทาง และชีวิตกลับมาสดใสได้อีกครั้งหนึ่ง.. . หลังจากทราบว่ากำลังจะมีการจัดทริปไปเที่ยวต่างจังหวัดของเพื่อนในภาค อยู่ ๆ อาร์มก็เข้ามาตีสนิทกับก้อยเพื่อนในกลุ่มของมินตราทั้งที่ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเขาแทบจะไม่เคยคุยกับเธอเลยด้วยซ้ำ เขาทำทีมาถามการบ้านบ้าง งานกลุ่มบ้าง เรื่องจิปาถะบ้าง แล้วก็มักจะมาติดสินบนเธอด้วยการซื้อขนมจากร้านเบเกอรี่ชื่อดังมาให้"อ่ะนี่ ขนม" ก้อยนำครัวซองต์ของร้าน James Boulangerie มาวางบนโต๊ะ เพื่อแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้ทานกัน"เห้ย นี่ของแพงนะเนี่ยก้อย ช่วงนี้ถูกหวยหรอ?" บิ๊กเอ่ยปากทักเพื่อนที่ช่วงนี้มักเอาขนมดีดีมาให้ทานอยู่บ่อย ๆ จนอดแปลกใจไม่ได้"ถูกหวยบ้าอะไรล่ะ อาร์มมันให้มา" ก้อยรีบปฏิเสธก่อนจะบอกชื่อคนซื้อตัวจริงให้เพื่อน ๆ ทราบ"ห๊ะ!! นี่เราหูฝาดไปหรือเปล่านะ?" บิ๊กถึงกับแสดงสีหน้าแปลกใจไม่ต่างอะไรกับกิ้ฟท์ เพราะร้อยวันพันปีอาร์มไม่เคยคิดจะคบค้าสมาคมกับคนอย่างพวกเขาอยู่แล้ว ยกเว้นก็แต่กับมิ้นท์เท่านั้น "ชั้นพูดจริง ๆ อาร์มมันให้มา พอดีชั้นสอนการบ้านให้มันไปนิดหน่อยอ่ะ" ก้อยบอกถึงสาเหตุที่อาร์มซื้อขนมมาฝากเธอ แต่กลับยิ่งทำให้คนอื่นตกอกตกใจมากขึ้นไปอีก"มันเนี่ยน่ะทำการบ้าน?" บิ๊กถึงกับตั้งคำถามตัวใหญ่ ๆ เพราะอาร์มไม่ใช่คนที่จะมาสนใจเรื่องการบ้านมาแต่ไหนแต่ไร"เออ สงสัยกลัวจะไม่จบมั้ง" ก้อยตอบกลับไปตามที่เธอคิด ทั้งที่ในใจลึก ๆ ก็ยังรู้สึกงงกับท่าทีของอาร์มอยู่เหมือนกัน"เพิ่งจะมาคิดได้เทอมสุดท้ายเนี่ยนะ!!" บิ๊กเองยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะต่อให้เกรดเทอมนี้ออกมาดียังไง มันก็ดึงเกรดรวมที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของอาร์มขึ้นมาได้ไม่มากนัก"นี่ก็มัวแต่ถาม จะกินมั้ย ไม่งั้นชั้นเอากลับละนะ" ก้อยเห็นทุกคนเอาแต่ตั้งคำถามใส่รัวเป็นชุด จนเริ่มเบื่อที่จะตอบ จึงว่าจะเอาขนมกลับไปทานเอง"แหม!! เดี๋ยวก่อนซิ ทำเป็นใจร้อนไปได้ ของดีแบบนี้จะพลาดได้ไงล่ะ" พอเห็นเพื่อนตั้งท่าจะเอาขนมกลับ บิ๊กก็รีบพูดห้ามด้วยเสียดายของอร่อยที่อยู่ตรงหน้า“ว่าแต่ เบิร์ดหายไปไหนเนี่ย แกยังงอนเบิร์ดอยู่หรอมิ้นท์” อยู่ ๆ กิ้ฟท์ก็พูดทักขึ้นมาเมื่อไม่เห็นเบิร์ดมานั่งทานข้าวด้วยกันเหมือนเคย จึงคาดเดาว่าคงเป็นเพราะที่เขามีปัญหากับมินตราตอนวันเสาร์“ก็เปล่านิ” มินตราตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ภายในจิตใจกลับกำลังคิดว่าเธออาจพูดจากับเบิร์ดรุนแรงเกินไป เพียงเพราะเธอรู้ว่าเขาไม่ได้ชอบเธอ“เอ งั้นเดี๋ยวชั้นลองโทรหาดูแล้วกัน” กิ้ฟท์ได้ยินแบบนั้นก็ไม่อยากจะถามอะไรเพิ่ม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์เพื่อต่อสายโทรหาเบิร์ด..."เดี๋ยววันนี้บ่ายมายไม่อยู่นะคะ ถ้ามีธุระอะไรเร่งด่วนก็โทรมาแล้วกันนะคะ" มนัสนันท์เดินมาบอกสุขุมที่ห้องทำงานของเขา เนื่องจากเย็นนี้เธอมีนัดไปงานแต่งงานของเพื่อนสาว จึงต้องรีบกลับบ้านไปแต่งหน้าทำผมและเปลี่ยนชุดใหม่ให้เสร็จก่อนที่แฟนหนุ่มจะมารับที่บ้าน"อ๋อ ได้ครับ ทางนี้เดี๋ยวผมดูแลให้ครับ" สุขุมขานรับ แต่ในใจก็อยากรู้เหลือเกินว่าเธอจะไปไหน แต่เขาก็ไม่กล้าจะไปยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของเธอมากจนเกินไปเมื่อถึงเวลาพักเที่ยงพนักงานทั้งหลายก็ต่างแยกย้ายกันไปรับประทานอาหารกลางวัน หลิวเองก็กำลังเดินไปห้องอาหารกับกลุ่มเพื่อนในแผนก ในระหว่างนั้นสายตาของเธอได้ประสานเข้ากับสายตาอันแสนหื่นกระหายของกลุ่มผู้ชายที่เดินสวนทางมา พวกเขามองดูเธอด้วยสายตาที่เหมือนอยากจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว จนความหวาดวิตกที่เริ่มเลือนหายไปจากจิตใจถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของพวกเขาปรากฎรอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์ราวกับจะบ่งบอกถึงความพึงพอใจในเรือนร่างของเธอ จิตใจของลลิดากำลังสั่นระรัวจากอดีตที่ตามกลับมาหลอกหลอน กิริยาของคนพวกนั้นมันทำให้หลิวอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับในคืนที่แสนโหดร้ายป่าเถื่อนคืนนั้นในจังหวะที่เดินสวนกัน ลลิดาพยายามจะเดินผ่านไปเงียบ ๆ แต่เธอก็บังเอิญได้ยินหนึ่งในคนกลุ่มนั้นพูดขึ้นมาว่า "โคตรเด็ดเลยอ่ะ" คำสั้น ๆ เพียงเท่านี้มันยิ่งสนับสนุนความถูกต้องของสิ่งที่เธอกำลังคาดเดา และเป็นชนวนที่พังทลายเกราะป้องกันทางจิตใจอันแสนเปราะบางจนราบเป็นหน้ากลอง พอไม่เหลือสิ่งใดมาปกป้องจิตใจอันแสนอ่อนไหว ลลิดาจึงสติหลุดจนส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง"หลิว เป็นอะไร หลิว" เพื่อนในแผนกที่เดินมาด้วยกันรวมถึงกลุ่มชายที่เดินสวนกันไปนั้นต่างรู้สึกตกอกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก แพรพยายามรีบเข้ามาปลอบโยนเพื่อนเพื่อหวังให้เธอสงบลง แต่หลิวกลับไม่อยู่ในสภาวะที่จะรับฟังใคร เพราะจิตใจกำลังลนลานคิดตระหนกกลัวว่าเรื่องราวในคืนนั้นจะถูกเปิดเผย เธอจึงรีบวิ่งหน้าตาตื่นให้ห่างไกลจากผู้คนชายหนุ่มเหล่านั้นพอเห็นอาการของเธอก็ถึงกับตกใจ เพียงแค่พวกเขาจ้องมองเธอด้วยความตะลึงงันในความน่ารักและหุ่นที่ดูเร่าร้อน กลับทำให้เธอเป็นได้ถึงขนาดนั้น"เป็นอะไรของเค้าว่ะ" หนึ่งในกลุ่มผู้ชายพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ"เออ หน้าตาก็ดี ไม่น่าเป็นบ้าเลยว่ะ" ชายอีกคนพูดสนับสนุนในความคิดของเพื่อน"อย่าไปสนใจเลยมึง ไปเหอะ กูหิวล่ะ" แล้วผู้ชายเหล่านั้นก็เดินจากไป"เอ้อ เมื่อกี้ร้านไหนนะที่ว่าเด็ด" ชายคนนึงในกลุ่มถามถึงชื่อร้านอาหารที่เมื่อสักครู่เพื่อนบอกว่า "โคตรเด็ดเลยอ่ะ" "อ๋อ ร้านตามสั่งป้าอ่อน พวกมึงเคยกินกันป่ะ เดี๋ยวกูพาไปลอง" แล้วชายหนุ่มพวกนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่ว่า โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดกำกวมของพวกเขาเมื่อสักครู่ กลับเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลลิดาสติแตกกระเจิดกระเจิงหลิววิ่งหนีออกจากตรงนั้นมาอย่างไม่คิดชีวิต พลางน้ำตาก็เอ่อรื้นขึ้นเต็มสองเบ้าด้วยความหวาดกลัว เธอพยายามวิ่งขึ้นไปที่โต๊ะทำงานของตนเพื่อรีบเก็บข้าวของ จนสวนกับมนัสนันท์ที่กำลังจะกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปงานแต่งงานของเพื่อน“หลิว เป็นอะไรหรือเปล่า? ร้องไห้ทำไม?” เจ้านายสาวเมื่อเห็นลูกน้องวิ่งมาด้วยหน้าตาตื่นอีกทั้งยังร้องไห้ด้วยก็รีบเอ่ยถามด้วยความห่วงใย“ไม่มีอะไรค่ะ” ลลิดาตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ใครทำอะไรหลิวหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ” มนัสนันท์เสนอตัวพร้อมจะช่วยลลิดาอย่างเต็มที่ “ปะ ป่าว ค่ะ หลิวขอตัวก่อนนะคะ” ลลิดารีบบอกปฏิเสธ เพราะเธอไม่กล้าจะเล่าเรื่องราวคาวโลกีย์แบบนั้นให้ใครฟังได้ เธอจึงรีบขอตัวเดินเลี่ยงออกมาก่อนจะถูกซักไซ้อะไรมากไปกว่านี้พอหลิวกลับมาถึงโต๊ะทำงาน เธอก็รีบต่อสายหาแฟนหนุ่มที่เป็นดั่งที่พึ่งพาทางจิตใจหนึ่งเดียวของเธอ ในตอนนี้เธอไม่สามารถจะทนทำงานอยู่ในออฟฟิศด้วยความหวาดวิตกไปได้นานกว่านี้อีกแล้ว"ฮัลโหลพี่กฤษณ์ มารับหลิวหน่อยได้ไหมคะ?" ทันทีที่แฟนหนุ่มรับสาย ลลิดาก็รีบเอ่ยขอร้องให้เขามารับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ"ตอนนี้หรอครับ พอดีพี่… " กฤษณ์รู้สึกตกใจพอสมควรที่อยู่ ๆ แฟนสาวของเขาก็ขอให้ไปรับอย่างรีบร้อยขนาดนี้ เพราะเขานั้นยังติดธุระ แต่ยังไม่ทันได้บอกปฏิเสธแฟนสาว เธอก็พูดสวนมาใหม่อีกครั้ง"นะคะ พี่กฤษณ์ หลิวขอร้อง ฮือ ๆ" ลลิดาเอ่ยปากอ้อนวอนแฟนหนุ่มแล้วเธอก็หลุดร้องไห้ออกมาจนได้"หลิวเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?" กฤษณ์ได้ยินแบบนั้น ก็เริ่มใจคอไม่ค่อยดี กลัวจะมีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นกับแฟนสาว"อย่าเพิ่งถามได้ไหมคะ""โอเคครับ เดี๋ยวพี่ออกไปรับเดี๋ยวนี้เลย" ...ณ ห้องแกรนด์บอลรูมของโรงแรมแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง เจ้าบ่าวและเจ้าสาวกำลังยืนต้อนรับแขกเหรื่อที่ทยอยเดินทางเข้าร่วมงาน ผู้คนต่างยืนจับกลุ่มกันคับคั่งบริเวณหน้าประตูทางเข้าห้องโถงเพื่อเขียนคำอวยพร และรอที่จะถ่ายภาพร่วมกับเจ้าภาพของงาน เจ้าบ่าวนั้นอยู่ในชุทสูทสีดำที่แม้จะดูเรียบง่ายแต่คลาสสิคตามสมัยนิยม ขณะที่ฝ่ายหญิงซึ่งยืนเคียงคู่กันนั้นอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ที่สวยสง่าจนขับให้ผู้สวมใส่ดูโดดเด่นออกมาเหนือหญิงสาวอื่นใดในงานแต่แล้วความโดดเด่นนั้นก็เหมือนจะถูกท้าทายจากหนึ่งในผู้เข้าร่วมงาน เมื่อหญิงสาวในชุดราตรีสีน้ำเงินเข้มที่เรือนร่างงดงามราวกับได้รับประทานพรมาจากสวรรค์ให้มีส่วนโค้งส่วนเว้าที่สวยงามจับตาได้เดินเยื้องย่างเข้ามาในงาน เสียงผู้คนที่พูดคุยกันอย่างอื้ออึงก่อนหน้านี้กลับดูเงียบสงัดลง จนได้ยินเสียงส้นรองเท้าที่แตะกระทบพื้นตามการย่างก้าวของสาวคนดังกล่าวได้ชัดเจน สายตาของผู้เข้าร่วมงานต่างจับจ้องมองไปในทางเดียวกันราวกับเธอกลายเป็นนางเอกของงานในคืนนี้ไปกราย ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าบ่าวที่ยังอดเคลิบเคลิ้มหลงใหลในความวิจิตรตระการตาของหญิงสาวนางนั้นเสียไม่ได้ จนตากล้องต้องส่งเสียงเรียกเพื่อดึงสติของเขาให้หันกลับมามองตรงหน้าเลนส์“มาย ทางนี้จ้ะ” เจ้าสาวในงานเอ่ยเรียกมนัสนันท์ที่กำลังเดินเข้ามา ให้มาถ่ายรูปร่วมกัน“ยินดีด้วยนะผึ้ง ขอให้ครองรักกันไปนาน ๆ นะ” หญิงสาวเอ่ยแสดงความยินดีเมื่อเพื่อนสนิทของเธอกำลังจะได้เป็นฝั่งเป็นฝา“ขอบใจจ้ะมาย แล้วนี่!! สวยซะไม่เกรงใจเจ้าสาวในงานอย่างชั้นเลยนะ” นางเอกในงานตัวจริงอดแซวเพื่อนของตนเสียไม่ได้ ที่ความสวยของเธอกลบความโดดเด่นของเจ้าสาวไปเสียจนมิด“ไม่จริงซะหน่อย คืนนี้เธอต้องสวยที่สุดอยู่แล้วจ้ะ ใช่ไหมคะ?” มนัสนันท์หันไปถามเจ้าบ่าวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แต่เขาดูเหมือนจะกำลังตกอยู่ในภวังค์เมื่อได้ยืนใกล้กับมนัสนันท์ในระยะประชิดเช่นนี้จนแทบไม่ได้ยินคำถาม“นี่คุณ!! เก็บอาการนิดนึง อย่าให้มันออกนอกหน้านัก” เจ้าสาวเอ็ดใส่แฟนหนุ่มที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนเขาสะดุ้งและยิ้มหน้าเจื่อน “มา ๆ ถ่ายรูปกัน” แล้วทั้งสามคนก็ยืนถ่ายรูปเป็นที่ระลึกการมาร่วมงาน ก่อนมนัสนันท์จะขอตัวเดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงเพื่อไปสมทบกับเพื่อนที่รออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เธอเดินมาถึงโต๊ะ กลุ่มเพื่อน ๆ สมัยมัธยมที่ต่างเฝ้ารอการมาของเธอก็รู้สึกผิดหวังไปตาม ๆ กัน เมื่อเธอเดินมาเพียงลำพังไร้หนุ่มหล่อรูปงามเคียงคู่อยู่ข้าง ๆ“อ้าว!! ทำไมมาคนเดียวละมาย?” หนึ่งในเพื่อนสาวของเธอเอ่ยถามขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้มนัสนันท์ยังยืนยันกับเพื่อนในกลุ่มว่าเธอจะพาแฟนของเธอมาด้วย“พอดีพี่เขาติดธุระด่วนต้องบินไปต่างจังหวัดน่ะ เลยมาไม่ได้” มนัสนันท์ตอบกลับเพื่อนไปด้วยท่าทีที่เหมือนจะเข้าใจแฟนหนุ่มแต่แววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “เลือกงานมากกว่าแฟนได้ยังไงกัน” เพื่อนอีกคนก็พูดเสี้ยมขึ้นกลางวงจนไปสะกิดแผลใจที่ยังไม่หายดีของมนัสนันท์ให้ยิ่งอักเสบขึ้นมา “แหม ก็เขาเป็นนักธุรกิจ คงมีงานสำคัญจริง ๆ นั่นแหละ” เมื่อเห็นมนัสนันท์เริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เพื่อนในวงอีกคนจึงช่วยพูดแก้ต่างให้เพราะไม่อยากให้มนัสนันท์คิดมาก นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นที่หัวหิน ความรู้สึกที่มนัสนันท์มีต่อบอสแฟนหนุ่มนักธุรกิจของเธอก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อความไว้ใจที่เธอมอบให้ถูกเขาทำลายลงด้วยน้ำมือของเขาเอง แม้ชายหนุ่มจะพยายามติดต่อโทรมาง้อเธอตลอดทั้งอาทิตย์ แต่มนัสนันท์ที่ยังมีบาดแผลในใจก็ยังไม่พร้อมจะพูดคุยกับเขาเหมือนเดิม ยิ่งพอวันนี้แฟนหนุ่มที่เคยรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาด้วยกัน สุดท้ายกลับเลือกให้ความสำคัญกับงานมากกว่าการได้มาพบและเคลียร์ใจกับเธอ มันก็ยิ่งเสมือนมีดที่กรีดย้ำซ้ำลงไปที่แผลใจทำให้สถานการณ์ระหว่างเธอและเขาดูแย่ลงไปอีก...นับตั้งแต่กฤษณ์ขับรถมารับลลิดาที่ออฟฟิศเธอก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย กฤษณ์เหลือบมองหน้าแฟนสาวแล้วก็ไม่อยากจะคะยั้นคะยอให้เธอยิ่งเกิดความไม่สบายใจ จึงขับรถพาเธอกลับคอนโดอย่างเงียบ ๆ หญิงสาวพยายามจะลืมเรื่องราวทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน จึงอาศัยตัณหากามารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ภายในจิตใจมาหลายอาทิตย์เป็นตัวช่วยลบเลือนความหวาดวิตกเหล่านั้นออกไป เพราะทันทีที่ทั้งคู่เข้ามาถึงในห้อง พวกเขาต่างถอดเสื้อผ้าให้แก่กันและกันอย่างรีบร้อน จนตกเกลื่อนตามพื้น ร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มและหญิงสาวรีบโผเข้ากอดรัดกันจนแทบจะเป็นเนื้อเดียว พวกเขาตะโบมจูบพลางแลกลิ้นใส่กันจนเป็นพัลวัน ต่างฝ่ายต่างรู้สึกโหยหาในรสกามาที่ห่างหายไป โดยเฉพาะหลิวที่เธอดูจะเร่าร้อนขึ้นเป็นพิเศษ ชายหนุ่มรวบร่างแบบบางขึ้นวางบนเตียงแล้วขึ้นคร่อมทับร่างของหญิงสาว เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ จ่อจรดความเป็นชายเข้าหาปากถ้ำสาวที่กำลังฉ่ำเยิ้ม ท่อนเนื้อขนาดปานกลางถูกดันฝ่าร่องสาวจนหายลับเข้าไปได้อย่างง่ายดาย แม้ความแน่นกระชับจะแตกต่างไปจากการร่วมรักครั้งก่อน ๆ แต่กฤษณ์ก็ไม่ได้รู้สึกระแคะระคายอะไรในความเปลี่ยนแปลงนั้น เพราะคิดว่าน้ำหล่อลื่นที่เอ่อล้นถ้ำรักเป็นตัวช่วยลดการเสียดทาน จนทำให้แก่นกายถูกสอดใส่มิดด้ามได้ในครั้งเดียว