ชั่วนิจนิรันดร ตอนที่ 6 BY Man M.16แสดงลิ้งค์เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
ชั่วนิจนิรันดร ตอนที่ 6 ย้อนเวลาสู่อดีตชาตินันทบุรี(น่าน)ความเดิมและแล้วนายเอกก็สำเร็จโทษกับน้องแก้วคนสวยจนได้ ตอนหน้าจะเกิดอะไรกับคู่รักมือใหม่คู่นี้ก็ติดตามกันต่อไปยาวๆนะครับ ให้กำลังใจสวยๆกันพองามแล้วตอนต่อไปจะมาในเร็วๆนี้น่ะครับ ติตตามกันต่อไปรับรองว่าสนุกและเข้มข้นแน่ๆ
ปล. แฟนๆผลงานคงไม่ต้องแซวว่าผู้แต่งทำอารมณ์ค้างกันนะครับ จัดให้เต็ม เสร็จภารกิจน้องแก้วคนสวยไปแล้ว 555+หมายเหตุ แถมของฝากเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์สักเล็กน้อยจากผู้ประพันธ์ เพื่ออรรถรสในการอ่านและรู้ลำดับที่มาที่ไปช่วงเหตุการณ์ที่ผู้ประพันธ์หยิบยกมาเสริมแต่งในเรื่องชั่วนิจนิรันดรนี้
นครน่าน ( จ.น่าน ) หรือ เมืองนันทบุรี ที่เป็นสถานที่ที่อยู่ในงานประพันธ์นี้มีความเป็นมายาวนานร่วม 800 กว่าปี มีประวัติพัฒนาการความเป็นนครรัฐของน่านแบ่งออกได้เป็น 5 ยุค ตามการโยกย้ายถิ่นฐานบ้านเมืองและศูนย์กลางและการปกครอง
โดยลำดับดังนี้
1. วรนคร หรือ เมืองปัว ( ราว พ.ศ. 1825 – 1902 )
2. เวียงภูเพียงแช่แห้ง ( ราว พ.ศ. 1902 – 1911 )
3. เวียงใต้ ( ราว พ.ศ. 1911 – 2362 )
4. เวียงเหนือ ( ราว พ.ศ. 2362 – 2397 )
5. เมืองน่าน( จ.น่าน ) ณ ที่ตั้งปัจจุบัน ( ราว พ.ศ. 2397 – ปัจจุบัน )
คืนหนึ่งในห้วงแห่งความฝัน นายเอกพระเอกของเราได้ฝันนึกย้อนไปยังอดีตไปราวๆปี พ.ศ.2096 เมืองน่านนั้นยังเป็นเมืองโบราณ เมืองหนึ่งในย่านล้านนาตะวันออก ครั้งนั้นเมืองน่านยังอยู่ในช่วงสมัยนครรัฐเวียงใต้อยู่ ( พ.ศ. 1911 – 2362 ) เมืองน่านนครรัฐเวียงใต้ครานั้น เจ้าพญาพลเทพฤาชัยเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน ( พ.ศ. 2070 – 2101 )ขณะนั้นเมืองน่านยังอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรล้านนา หรือ เมืองเชียงใหม่ อาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฝั่งเหนือของไทยในยามนั้น
ความฝันเหมือนเป็นความจริงมาก คล้ายจะย้อนไปหาเมื่ออดีตชาติภพที่ผ่านมาของเขา เขาได้ฝันไปว่าตนนั้นเป็นทหารกล้า แห่งเมืองน่านในยุคนั้นอยู่ในชุดทหารท่าทางดูทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว ช่วงนั้นเมืองน่านอยู่ในภาวะที่สงบสุขยิ่ง ผู้คนไพร่ฟ้าในเมืองหน้าใสเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ชาวบ้านในขณะนั้นส่วนมากเป็นคนเมืองที่เรียกกันว่าชาวไทยวน หรือที่คนถิ่นอื่นเรียกกันว่า “ลาวพุงดำ”
แสดงลิ้งค์เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
เพราะมีลักษณะเฉพาะ คือ พวกผู้ชายนั้นจะสักลวดด้วยหมึกสีดำตั้งแต่ท้องจนถึงต้นขานุ่งผ้าต้อยหรือที่เรียกกันติด ปากว่าผ้าเตี่ยว( กางเกง )ผ้าต่องหรือผ้าหัวเป็นผ้าขาวม้าที่ใช้คาดเอวที่ใช้นุ่งก็ได้นำมาใช้เคียนหรือโพกศีรษะ ส่วนฝ่ายหญิงนั้นจะแต่งกายด้วยผ้าซิ่นที่ประกอบด้วยผ้าหน้าแคบเย็บเข้าด้วยกันเป็นถุง ดูรวมๆแล้วจะเป็นลายตลอดตัวเกือบกรอมเท้า สวมเสื้อแขนยาวมีลายขวางปลายสุดแขนเสื้อ
ภาพในความทรงจำนั้นเด่นชัดมากวัดวาอารามก็ยังไม่เก่าแก่เหมือนปัจจุบัน ที่แปลกตาก็คือวัดดังของเมืองน่านปัจจุบันอย่าง วัดพระธาตุช้างค้ำหรือวัดภูมินทร์ขณะนั้นยังไม่ได้ก่อสร้างแต่อย่างใด ภาพในความทรงจำน้องแก้วคนสวยของเขา ในภพอดีตขณะนั้นเธอเป็นบ่าวอยู่ในคุ้มหรือโฮง ( โฮง หมายถึง โรงเรือน ที่อยู่อาศัยของเจ้านายและบุตรหลาน )
เจ้ายอดฟ้าเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของเมืองน่านยุคนั้น เธอเป็นสาวที่สวยมากยิ่งตอนที่อยู่ในชุดแบบโบราณในความฝันของนายเอกตอนนี้ ในความฝันนี้เธอกำลังย่างสู่วัยสาวเต็มตัวอายุเธอได้สิบหกปี ด้วยความที่เป็นสาวที่อยู่ในคุ้มมาแต่อ้อนแต่ออกจึงเหมือนนางฟ้า นางสวรรค์เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นที่ต้องตาแก่ผู้ที่พบเห็นเธอทุกคน
เปล่งปลั่งไปด้วยสัดส่วนของสาววัยรุ่นกำดัดช่างโสภายิ่งนัก ผิวขาวผ่องเป็นนวลใย ละเอียดเพราะการอยู่ดีกินดี ใบหน้าผุดผ่องจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตาสว่างสุกใสดุจดั่งดวงดาว ขนคิ้วนั้นก็ช่างงอนช้อยได้รูปสวย จมูกน้อยๆ น่ารัก ปากเล็กๆ สีชมพูได้รูป เรือนร่างนั้นแบบบาง ระหง องค์เอวคอดกิ่ว สะโพกผายกำลังสวยงามน่าดู เรียกได้ว่าใครมาเห็นเธอก็ตะลึงในความสวย
 
“ เจ้า.. เจ้านายน้อย ” แก้วขานรับเบาๆแต่ยังกลัวและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้านาย
“ เจ้ามีจื่อ( ชื่อ ) ว่าใดล่ะอี่นางคนงาม ”
“ ข้าเจ้าจื่อแก้วจ้าว เจ้านายน้อย ” ตอบขานรับและยังก้มหน้าอยู่เช่นเดิม
แสดงลิ้งค์เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
เอาล่ะครับเข้าธีมที่มาของชื่อเรื่องแล้ว น้องแก้วจะเป็นเช่นไรต่อไปติดตามกันต่อตอนหน้านะครับฝากรีพลายกันเป็นกำลังใจให้ผู้แต่งกันด้วยนะครับ เนื้อเรื่องจะค่อยเข้มข้มขึ้นเป็นลำดับไปนะครับ
………………………………………ผมขอซ่อนข้อความไว้บางส่วนนะครับ อยากให้ผู้อ่านคอมเมนต์ผลงานกันซักเล็กน้อย จะได้รู้ว่ามีท่านผู้อ่านที่ติดตามงานจริงกี่ท่าน เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน