เวลาผ่านไปเกือบ 4 เดือน ตุ๊กตาได้แต่งงานหลังจากที่หมั้นไปได้ไม่เท่าไหร่ความสัมพันธ์ของเธอกับกริชภายนอกยังดูเหมือนเดิมแต่ลึกๆแล้วเธอรู้ดีว่ากริชพยายามเลี่ยงที่จะเจอเธอ ยิ่งกริชรับงานที่บริษัทมีโครงการจะเริ่มขยายร้านสาขาเครื่องสำอางออกไปที่เชียงใหม่ กับสิงคโปร์ ทำให้กริชต้องเดินทางเพื่อไปสำรวจหาข้อมูลทางการตลาดอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ลืมเรื่องของตนเองกับตุ๊กตาไปได้บ้าง กริชไปร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งงานของตุ๊กตา งานนี้มี่ได้พาแฟนหนุ่มไปเปิดตัวด้วย แต่กลับครอบครัวของมี่นั้นได้เพิ่มความสนิทสนมให้กับกริชมากขึ้นโดยเฉพาะหม่อนน้องสาวคนเล็ก
เธอนับถือกริชเหมือนพี่ชายคนหนึ่งเพราะเธอไม่มีพี่ชาย หม่อนเอาเอกสารมาให้กริชช่วยแปลหลายชิ้นทำให้ทั้งคู่คุ้นเคยกันมากขึ้น แต่กริชก็ระวังตัวไม่ให้ล้ำเส้นที่ตัวเองขีดไว้ จนงานสำรวจตลาดของกริชนั้นประสพผลสำเร็จ ทางบริษัทได้สั่งให้ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์เข้ามาดูเรื่องการเตรียมการประชาสัมพันธ์ ใจที่เป็นผู้จัดการฝ่ายได้มอบหมายให้มี่มาทำงานร่วมกับกริช เพราะเห็นว่าทั้งสองทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี งานที่เชียงใหม่นั้นไม่มีปัญหาสำหรับทั้งคู่เท่าไหร่นัก จนกระทั่งทั้งคู่ต้องเดินทางไปที่สิงคโปร์ด้วยกัน2 คืนเพราะมีประชุมกับบริษัทที่จ้างให้ทำเรื่องสำรวจตลาดและการทำประชาสัมพันธ์ วันเดินทางไป มี่ซึ่ง2-3อาทิตย์ที่ผ่านมาเธอไม่พบกับกริชเลยมีแต่คุยกันทางโทรศัพท์ มี่รู้แต่ว่า กริชโหมงานหนักมาก เธอได้โทรนัดกับกริชว่าเช้าวันไปสิงคโปร์เธอจะขับรถไปรับกริชที่บ้านเพราะเป็นทางผ่านไปสนามบิน ตอนแรกกริชทำท่าจะปฏิเสธแต่มี่บอกไปว่า หม่อนจะไปรับงานเอกสารที่ให้แปลด้วย กริชเลยปฏิเสธไม่ได้
เช้าวันเดินทางหม่อนเป็นคนขับรถเพราะรู้จักบ้านของกริชดีเธอเอาเอกสารมาให้กริชแปล2-3ครั้งแล้วเลยรู้เส้นทาง กริชยืนรออยู่แล้วพร้อมกระเป๋าเดินทาง พอรถมาถึงหม่อนจัดการกลับรถก่อน กริชเปิดประตูทางด้านหลังแล้วเข้าไปนั่งก่อนส่งเอกสารที่ถือติดมือให้หม่อน พร้อมยิ้มทักทั้งสองสาวพี่น้อง
“อะหม่อนเรียบร้อยแล้ว”
“ขอบคุณคะพี่ เดี๋ยวน้องโอนเงินเข้าบัญชีให้นะ”
“ได้”
กริชตอบสั้นๆ แต่หม่อนทำทีเหมือนนึกอะไรบางอย่างก่อนหันมาบอกกริชที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสือ
“พี่กริชน้องรบกวนให้พี่กริชขับรถให้หน่อย หม่อนใจร้อนอยากอ่านเอกสารแล้ว”
มี่พูดขึ้นทันที
“งั้นพี่ขับให้ ไปรบกวนกริชทำไม”
“ได้พี่ขับให้”
กริชพูดด้วยใบหน้ายิ้มๆ ก่อนลงจากรถเดินไปด้านคนขับส่วนหม่อนเดินมานั่งด้านหลังแทนที่กริช ถ้ามีใครสังเกตจะเห็นว่าหม่อนยิ้มแบบสมหวัง ก่อนที่กริชจะขับรถไป หม่อนแกล้งทำทีเป็นอ่านเอกสารที่กริชแปลให้ แต่เธอเหลือบไปเห็นหนังสือที่กริชวางไว้บนเป้ เธออ่านตัวหนังสือไม่ออกเลยถามกริชไปว่า
“พี่กริช หนังสืออะไรนะ ภาษาเยอรมันหรือเปล่า หม่อนอ่านไม่ออก”
“ใช่แล้วเป็นหนังสือแบบเรียนภาษาเยอรมันนะ ว่างๆเลยเอามาลองหัดอ่านดู”
กริชตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดา ส่วนมี่เธอหันมามองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆและพบว่าเป็นอย่างที่น้องสาวเธอบอกก่อนหน้านี้ว่ากริชดูโทรมไปมากเพราะก่อนหน้านี้ 2-3วันหม่อนเอาเอกสารชุดนี้มาให้กริชแปลให้ แล้วมาบอกกับเธอ พี่กริชดูโทรมไปมาก ทำให้เธอถึงกับถามว่า
“กริชทำไมโทรมอย่างนี้”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วตอบมาว่า
“งานเยอะนะ ทั้งเชียงใหม่ทั้งสิงคโปร์ หัวฟูกันทั้งฝ่ายแล้ว อีกอย่างนอนน้อยด้วยละ”
หญิงสาวนั่งฟังเงียบๆแล้วไม่พูดอะไรต่อ แต่กริชนั้นบอกไม่หมดว่าสาเหตุอะไรที่นอนน้อย จนมี่เปลี่ยนเรื่องคุยไปถึงงานที่ต้องเตรียมไปคุยกับทางบริษัทที่สิงคโปร์ ทั้งคู่คุยกันตลอดทางโดยหารู้ไม่ว่า หม่อนนั้นแอบชำเลืองมองทั้งคู่ตลอดทางจนถึงสนามบิน พอทั้งคู่ต่างเดินเข้าไปในอาคารหม่อนมองตามเข้าไปพร้อมนึกว่า
“ทำไมคู่นี้ถึงไม่เจอกันก่อนหน้านี้นะ”
หม่อนกับไหมพอจะเดาออกว่ามี่นั้นแอบชอบกริชอยู่ แต่ทั้งคู่ไม่รู้ว่ากริชคิดอะไรเพราะดูเฉยมาก คงเป็นเหตุนี้ทำให้มี่ตัดสินใจคบหากับผู้ชายที่มาจีบเธอนานแล้ว ระหว่างที่รอขึ้นเครื่องทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรกันมากนักกริชนั่งอ่านหนังสือที่เตรียมมาส่วนมี่นั้นคุยโทรศัพท์กับแฟน จนเครื่องขึ้นและผู้โดยสารไม่เยอะมาก แถวที่นั่งของทั้งคู่มีที่นั่งว่าง 1ที่กริชเลยไปนั่งตรงติดทางเดินและหลับไปในทันที มี่หันไปมองกริชอย่างเต็มตาอีกครั้งเธอมองสำรวจใบหน้ากริชอย่างจริงจัง ริมฝีปากที่บางเฉียบได้รูป จมูกที่โด่งเป็นสันแต่ขอบตานั้นคล้ำจริงๆ ใบหน้าที่ดูเซียวลงอย่างมาก
เธอพอจะรู้มาบ้างว่า กริชนั้นกินอยู่อย่างประหยัดจริงๆและเจ้าตัวก็ไม่ปิดบังที่จะบอกว่า ทำงานเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ในอนาคตจะได้สบายเหมือนคนอื่นๆ มี่เข้าใจว่ากริชอาจจะรับงานแปลเอกสารเพิ่มขึ้นทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อย หญิงสาวเกือบลืมตัวจะเอามือไปลูบใบหน้าอย่างสงสาร แต่รู้ตัวเสียก่อนจึงยั้งมือไว้ทันพร้อมมองไปเห็นหนังสือที่กริชวางอยู่บนตักที่เจ้าตัวอ่านก่อนที่จะหลับ ด้วยความกลัวหนังสือหล่นเธอหยิบจากตักมาวางบนเบาะที่ว่าง และเห็นว่าเป็นหนังสือที่เธออ่านภาษาไม่ออกแต่พอเดาออกว่าเป็นภาษาเยอรมันก่อนที่เธอจะมองหน้ากริชพร้อมคิดไปว่า
“กริชเธอน่าจะเปิดใจบ้างนะ เธอไม่ได้ต้อยต่ำแบบที่เธอคิดหรอก”
หลังจากที่ทั้งคู่ถึงสิงคโปร์บริษัทที่นั่นได้จัดรถมารับทั้งคู่ไปที่โรงแรมก่อนที่จะมาประชุมกันโดยที่พักของทั้งคู่ไม่ห่างจากห้างสรรพสินค้าที่จะเปิดร้านขายเครื่องสำอางเท่าไหร่ ก่อนที่จะไปประชุม หลังประชุมวันแรกเสร็จ กริชได้ส่งอีเมลไปรายงานสินทันที ก่อนที่มี่ ที่มาเที่ยวสิงคโปร์บ่อยจะเป็นคนพากริชทัวร์ช่วงเย็น กริชนั้นที่ผ่านมาไม่นานนี้เคยมาสิงคโปร์2-3ครั้งก็จริง แต่เป็นการมาทำงานและเป็นการออกนอกประเทศเป็นหนแรกในชีวิต ทำให้ไม่ชำนาญพื้นที่เท่ามี่ ตลอดเวลาที่มีพากริชเที่ยว เธอดูมีความสุขอย่างมากที่ได้เดินเที่ยวกับชายหนุ่ม จนค่ำมี่ได้พากริชไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยอยู่นั้น มี่ได้รับสายโทรศัพท์ที่แฟนเธอโทรมา แววตาของกริชนั่นสลดไปครู่เดียวโดยที่มี่ไม่ทันสังเกต ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับโรงแรม ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันเข้านอนมี่นั้นหลับไปด้วยความดีใจที่ได้เดินเที่ยวกับกริชสองต่อสอง ส่วนชายหนุ่มนั่งอ่านหนังสือที่เอามาด้วยจากบ้านต่อ วันต่อมาทั้งคู่ได้เข้าประชุมพร้อมไปดูสถานที่ ที่จะมาเปิดร้านหลังจากนั้นกลับไปคุยรายละเอียดกันอีกทีก่อนที่จะแยกย้าย มี่ได้ชวนกริชไปเดินซื้อของ เธอบอกว่า พี่ไหมกับหม่อนฝากซื้อของหลายอย่างจะให้กริชไปช่วยถือ และเหมือนเมื่อวานมี่ดูมีความสุข เธอซื้อของหลายอย่างและกริชช่วยเธอถือของจนเธอลืมตัว มี่เผลอเอามือไปจับข้อมือกริชเพื่อจะนำไปที่ร้านขายรองเท้า เธอมารู้ตัวตอนถึงร้านทำเอาเธอหน้าแดงก่อนพึมพำว่าขอโทษกับชายหนุ่ม กริชไม่ได้ตอบอะไรจนทั้งคู่เดินออกจากร้าน กริชได้ยินเสียงเรียกแบบวางอำนาจจากคนที่เดินมาด้านข้าง
“กริชมาเที่ยวหรือไง”
จากสายตาของมี่ เธอเห็นผู้หญิงสองที่ยืนอยู่ไม่ห่างมองมาที่กริช ด้วยสายตาที่ดูออกทันทีว่าเหยียดหยาม คนที่ทักยังดูสาวและจัดว่าเป็นผู้หญิงหน้าตาดี ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นสูงวัยกว่าแต่โครงหน้าเดียวกัน กริชดูจะถอนหายใจออกมาพร้อมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นนิ่งๆพร้อมยกมือไหว้ก่อนตอบกลับไปว่า
“มาทำงานครับ”
“อ้อ นึกว่าทำงานมีเงินแล้วเอาเงินมาเที่ยว บริษัทคงใหญ่ละสินะถึงส่งพนักงานธรรมดามาถึงที่นี่ได้”
เป็นคำพูดที่ไม่น่าจะออกจากปากผู้หญิงที่สูงวัย ทำเอามี่ถึงกับตะลึง
“ถึงผมจะมาเที่ยวเอง ผมก็ไม่ได้เอาเงินพ่อมาผลาญสักสตางค์หรอกครับ ขอตัวก่อนนะครับคุณป้า คุณไก่”
“เดี๋ยวกริช ยังไปไม่ได้”
คราวนี้เป็นเสียงของผู้หญิงที่ชื่อไก่
“มีอะไรอีกหรือครับคุณไก่ ผมต้องไปอีกหลายที่ ไม่มีเวลามาคุยด้วย”
แล้วกริชไม่สนใจหันมาพยักหน้ากับเธอก่อนพาเดินไปอีกทางโดยไม่หันไปมองผู้หญิงทั้งสองคน จนเดินมาได้มาถึงร้านที่ขายเสื้อผ้าของผู้ชายเพราะมี่บอกกริชว่าจะซื้อไปฝากพ่อ สีหน้าของกริชยังไม่เปลี่ยน จนมี่ไม่กล้าถามอะไรแต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของกริชก็ดังขึ้น เธอเห็นกริชถอนหายใจอีกครั้งก่อนรับสาย
“ครับพี่กลอย”
“.................”
“กริชมาทำงานกับเพื่อนครับ และมีเวลาเพื่อนชวนมาซื้อของไปฝากทางบ้าน ไม่เห็นต้องเป็นประเด็นอะไร”
“.........................”
“ไม่รู้ครับไม่สนใจ เท่านี้ก่อนนะครับพี่กลอยเพื่อนกริชรออยู่”
มี่เห็นกริชหน้าเครียดลงไปอีกหลังจากวางสาย ก่อนจะมาบอกกับเธอว่า
“มี่ครับผมขอโทษด้วย ผมคงช่วยมี่เดินดูของไม่ได้แล้ว ต้องให้มี่ไปคนเดียวแล้วกันขอโทษจริงๆครับ ส่วนของนี่ฝากไว้กับผมก่อนก็ได้ครับแล้วพอมี่กลับไปโรงแรม โทรเรียกผมให้เอาของมาให้นะครับ ผมขอตัวก่อน”
กริชฝืนยิ้มให้ก่อนเดินหันกลับไปพร้อมของที่ช่วยเธอถือมาตลอด มี่มองไปอย่าง งงๆแต่พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เธอมองตามร่างของกริชที่ลงบันไดเลื่อนไปจนลับตา ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน จริงๆแล้วเธออยากซื้อเสื้อให้กริชเป็นของขวัญ โดยให้เจ้าตัวมาลองเสื้อด้วยแต่อ้างว่ามาดูให้กับพ่อของเธอ แต่พอเหตุการณ์เป็นแบบนี้เธอเลยเดินเลือกเองแต่สักพัก มีไลน์เข้ามาในเครื่องเธอและเธอพบว่าเป็นกริชที่ส่งข้อความเข้ามาว่า
“มี่ครับกริชต้องขอโทษอย่างสูงที่ทิ้งมี่ให้ซื้อของคนเดียว แต่กริชไม่อยากจะเจอ ป้ากับไก่อีกนะครับเลยต้องหลบมาก่อน ขอโทษอีกครั้งครับ”
เธออ่านแล้วก็ยิ้มและนึกสงสาร เป็นใครก็ไม่อยากเจอแบบนี้ เธอเห็นกับตาว่าทั้งคำพูดและสีหน้าหน้าที่แสดงออกของสองแม่ลูกนั้นเห็นชัดว่าดูถูกและเหยียดหยามกริชเหลือเกิน ก่อนที่เธอจะเดินดูเสื้อต่อทั้งๆที่จิตใจนั้นไม่สงบและหมดอารมณ์สนุกไปแล้ว หลังจากที่เธอทานข้าวเย็นคนเดียวอย่างเงียบๆตอนแรกเธอจะโทรชวนกริชมาทานด้วยกัน แต่เธอก็ระงับความคิดนั้นเสียเพราะอยากปล่อยให้กริชอยู่เงียบๆคนเดียวมากกว่า แต่เธอซื้ออาหารไปฝากเพราะไม่รู้ว่ากริชจะทานหรือยัง พอเธอขึ้นไปที่ห้องพักมี่ตัดสินใจเคาะประตูเรียกกริชที่อยู่ห้องติดกัน มี่ยืนรอไม่นานประตูก็เปิดออก เธอยื่นถึงอาหารที่เธอซื้อมาฝากพร้อมบอกว่า
“ไม่รู้กริชทานข้าวหรือยัง แต่มี่ซื้อมาฝาก”
“ขอบคุณครับ รอแป็บนึงครับผมจะไปเอาของที่อยู่กับผมมาให้”
กริชรับอาหารที่ซื้อมาฝากแต่โดยดี ก่อนที่จะเดินกลับไปข้างใน แต่เสียงหญิงสาวพูดขึ้นมาก่อน
“กริชมี่เข้าไปได้ไหม อยากหาเพื่อนคุยนะ”
“เอ่อ ได้สิครับ”
ชายหนุ่มหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ กริชเปิดประตูให้กว้างขึ้นและยืนรอให้หญิงสาวก้าวเข้ามาก่อนจะปิดประตูห้องและเดินนำไปที่เก้าอี้รับแขกที่ตั้งอยู่บริเวณระเบียงที่มองออกไปเห็นบรรยากาศยามค่ำของสิงคโปร์ บนโต๊ะมีถุงที่ใส่ของที่เธอซื้อแล้วฝากให้กริชถือวางอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อย หญิงสาวนำเอาของที่ตนเองซื้อมาเพิ่มวางไว้ด้วยกันก่อนทรุดตัวนั่งและถามไปยังชายหนุ่มที่เธอพึ่งสังเกตเห็นว่ากริช เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยมาเป็น กางเกงสั้นเสื้อยืดว่า
“กริชกินอะไรหรือยังละ”
“ลงไปหาอะไรกินที่ร้านหน้าโรงแรมมาแล้วครับ แต่ไม่เป็นไร ดึกๆค่อยทานครับผมยังอ่านหนังสือไม่จบ”
“หนังสือภาษาเยอรมันนั่นนะหรือ”
“ครับ เจ้านายเราคนเยอรมันหลายคนเลยอยากลองฝึกไว้นะครับ”
มีหารู้ไม่ว่ากริชตอบเธอไม่หมด เธอหันมามองหน้าของกริชที่นั่งลงเก้าอี้ด้านข้างของเธอที่มีโต๊ะกั้นอยู่ก่อนจะถามไปว่า
“ดีขึ้นหรือยังกริช”
“มันก็เหมือนเดิมนะครับ แต่ผมอยากจะขอโทษมี่อีกครั้งที่ปล่อยให้มี่ซื้อของคนเดียว ใจจริงผมอยากจะอยู่เป็นเพื่อนนะครับ แต่ไม่อยากเจอ 2คนนั่นอีก ผมเลยหลบดีกว่าจะไม่ไม่เป็นปัญหา ขนาดนี้เค้ายังโทรไปฟ้องพ่อว่าผมทำกิริยาไม่ดีใส่ พ่อเลยให้พี่กลอยโทรมาถาม อย่างที่มี่ได้ยินนะครับ ผมไม่อยากอธิบายพูดไปก็เท่านั้น สู้หลบมาดีกว่าจะได้จบๆ เรื่องคำพูดคำจากับสิ่งที่เค้าแสดงออก ผมชินซะแล้วครับเจอตั้งแต่เด็กๆจนถึงทุกวันนี้”
กริชพูดจบแล้วหันมายิ้มให้หญิงสาวที่มองมาตลอดแล้วพูดต่อว่า
“ไหนๆแล้ว มี่คงสงสัยอะไรหลายๆเรื่อง ผมจะเล่าให้ฟังครับ มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอก มี่จะได้หายสงสัยในหลายๆเรื่องเกี่ยวกับตัวผมครับ”
“เล่ามาก็ได้คะกริช ถ้ากริชอยากระบายมี่พร้อมฟัง”
กริชนิ่งไปสักครู่ก่อนถอนหายใจเบาๆแล้วเริ่มเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่จำความได้ทั้งกริชแทบไม่มีความสุขเลยเวลาอยู่บ้านดีที่มีปู่คอยช่วยเหลือ ทั้งสองแม่ลูกอยู่อย่างเจียมตัวในบ้านหลังเล็กๆในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ กริชโตมาพร้อมกับคำพูดที่โดนดูถูกมาตลอดเพราะทุกสิ่งที่เด็กน้อยในตอนนั้นได้รับจากผู้เป็นพ่อ จะถูกมองว่ากริชนั้นมาแย่งมาแบ่งทุกอย่าง จนกริชไม่อยากได้ของที่พ่อซื้อให้ ยกเว้นผู้เป็นปู่ซื้อให้ จะไม่มีใครกล้าว่าเท่าไหร่นัก แม้กระทั่งการเรียกชื่อ ปู่อยากให้กริชเรียกภรรยาหลวงของพ่อว่าแม่ใหญ่เรียกลูกทั้ง 3คนที่เกิดมาก่อนว่าพี่ แต่ทางนั้นไม่ยอมเพราะไม่อยากนับญาติด้วย กริชเลยเรียกว่าป้า ส่วนลูกๆทั้งสามคน กริชเรียกว่าคุณยกเว้นพี่สาวคนเล็กที่ไม่เคยรังเกียจสองแม่ลูกยอมให้กริชเรียกพี่
จนกริชสนิทกับพี่สาวคนเล็กมากที่สุด เวลามีงานเลี้ยงอะไรในบ้าน ถ้าไม่ใช่งานของพ่อหรือปู่ เด็กน้อยในตอนนั้นได้แต่ไปแอบยืนมองห่างๆเท่านั้น เพราะถ้าเป็นงานของป้าหรือลูกๆทั้งสามแม้กระทั่งกลอย กริชก็ไม่สิทธิเข้าไปร่วมเพราะถูกตั้งข้อรังเกียจจากผู้เป็นภรรยาของพ่อและพี่อีกสองคน สองแม่ลูกได้แต่นั่งกินข้าวกันสองคน แม่ของกริชนั้นต้องลาออกจากการเป็นครูมาอยู่บ้านอย่างเดียวเพื่อดูแลกริช บ้านหลังใหญ่ก็เช่นกัน กริชไม่กล้าเข้าไปเพราะรู้ว่าถ้าเข้าไปจะเจออะไร ยกเว้นปู่หรือพ่อเรียกให้เข้าไปหา เพราะความกดดันกับสิ่งที่เจอทำให้กริชถูกมองว่าเป็นเด็กเกเร แต่กริชทำเพื่อปกป้องตัวเองและแม่ เพื่อใครๆจะได้ไม่กล้าเข้ามายุ่ง
สองแม่ลูกอยู่ในบ้านด้วยความรู้สึกที่ไม่มีความสุขเท่าไหร่นักยังดีที่ผู้เป็นปู่คอยดูแลช่วยเหลือเกือบทุกเรื่อง ส่วนพ่อนั้นจะไม่ค่อยมาดูแลเท่าไหร่ในสายตาของกริช ทั้งรถรับส่งไปเรียนในวัยเยาว์ปู่เป็นคนจัดการให้ทั้งสิ้นบางครั้งก็เป็นคนขับรถไปรับส่งหลานด้วยตัวเอง ถ้ามีเวลาว่างจากงาน ตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมกริชนั้นเรียนคนละโรงเรียนกับพวกพี่ๆ ทำให้เด็กน้อยในตอนนั้นรู้สึกสบายใจเวลาที่อยู่โรงเรียน แต่จะถูกผู้เป็นพ่อบ่นเรื่องผลการเรียนที่ออกมาปานกลางไม่เหมือนพี่ๆที่ผลการเรียนออกมาดีจนมาถึงช่วงเรียนมัธยม ผู้เป็นปู่ได้จากไปด้วยวัยชรา ก่อนหน้านี้กริชได้บอกกับแม่ว่าอยากไปอยู่ข้างนอกมากกว่าแต่แม่ก็เงียบๆไม่พูดอะไร จนปู่เสียพร้อมคำสั่งเสียอันมากมายและแบ่งเงินก้อนหนึ่งให้สองแม่ลูกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม แต่กริชนั้นไม่อาจทำตามได้ในเรื่องที่ปู่บอกให้พักอาศัยที่บ้านหลังเดิม เพราะความรู้สึกอึดอัด พ่อเลยตัดสินใจซื้อทาวน์เฮ้าส์ให้สองแม่ลูกพร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นอำนวยความสะดวกให้หลายอย่าง แต่กริชปฏิเสธที่จะรับเอาเครื่องนอนหรือแอร์ที่พ่อจะติดให้ในห้องนอนเพราะสิ่งที่ตนเองเจอมาแต่เด็กมันฝังใจ แต่ถ้าจะติดให้แม่นั้นกริชไม่ติดใจ พ่อเลยทำตาม ตัวเองยอมนอนกับที่นอนเท่านั้นโดยไม่ต้องมีเตียง เพราะกริชถือว่าเท่านี้ก็รบกวนพ่อเกินพอแล้ว
ทั้งสองแม่ลูกใช้ชีวิตอย่างประหยัด แม่เริ่มหารายได้เพิ่มด้วยการรับสอนภาษาอังกฤษกับเด็กๆในหมู่บ้าน แต่ค่าน้ำค่าไฟในบ้านพ่อเป็นคนรับผิดชอบโดยการให้ตัดบัญชีที่พ่อทำให้ พร้อมเงินที่ให้ในแต่ละเดือนโดยที่กริชไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่พ่อก็จะมาเยี่ยมแม่บ้างในตอนกลางวัน กริชรู้เพราะถ้าวันไหนพ่อมาจะซื้อของกินมาให้เต็มตู้เย็นแต่ถ้าพ่อมารับไปกินข้าว หรือจะพาไปไหนกริชจะเลี่ยงตลอด โดยอ้างว่า ติดทำรายงาน ติดทำการบ้านตลอด จนผู้เป็นพ่อเลิกชวนไปเอง แต่ผลการเรียนของกริชในช่วงมัธยมก็ใช่ว่าจะดีโดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสก็ออกมาในเกณฑ์ปานกลาง ทั้งๆที่กริชนั้นพูดได้เขียนได้ตั้งแต่เด็กๆเพราะแม่อบรมให้อย่างเข้มงวด ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องบ่นตลอดเมื่อเห็นผลการเรียนของลูกชายคนเล็ก แต่กริชไม่ตอบอะไร ถึงพ่อจะแอบไปสอบถามที่โรงเรียนก็รู้ว่าลูกขายตั้งใจเรียนไม่มีปัญหาอะไร ความประพฤติก็เรียบร้อยแต่ตอนสอบไม่ว่าจะสอบเก็บคะแนนหรือสอบไล่ คะแนนมักออกมาธรรมดาต่างจากเวลาส่งงานชิ้นอื่นๆที่ออกมาดีทุกครั้งโดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส
แต่พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยกริช สอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้เหมือนกับพี่สาวคนเล็กต่างจากพี่คนโตกับคนกลางที่ต้องไปเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนช่วงนั้นกริชทำความประหลาดใจให้กับผู้เป็นพ่ออย่างมากเพราะผลการเรียนดีขึ้นผิดกับเรียนมัธยม พอเล่าถึงช่วงนี้มี่ได้ถามขึ้นมาว่า
“ทำไมเป็นแบบนั้นละกริช หรือว่ากริชตั้งใจ”
“ใช่ครับ ผมอยากทำคะแนนให้ดีๆเพราะจะได้ขอทุนได้ไม่ต้องพึ่งพ่อเหมือนที่ผ่านๆมาๆ แต่ก็นั่นแหละครับผมเกือบขอทุนไม่ผ่านในครั้งแรกเพราะนามสกุล จนผมต้องเล่าความจริงให้อาจารย์ฟังแบบที่เล่าให้มี่ฟังนี่แหละครับ ผมถึงขอทุนได้ครับส่วนที่ผลการเรียนของผมก่อนหน้านั้นมันปานกลางก็เพราะผมคิดว่าเรียนดีไปก็เท่านั้นและพ่อก็ออกค่าเทอมให้ตลอดมันจะมีประโยชน์อะไร”
กริชเล่าต่อไปว่า ในตอนนั้นตนเองเริ่มช่วยแม่เพื่อแบ่งเบาภาระด้วยการรับจ้างแปลเอกสารโดยเอาเงินที่ได้จากปู่ส่วนหนึ่งมาซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์กับปริ้นเตอร์และถ้าว่างจะมาช่วยแม่สอนพิเศษเรื่องภาษา จนกริชจบพ่อได้เรียกไปถามว่าจะเรียนต่อปริญญาโทเหมือนพวกพี่หรือไม่กริชตอบไปว่าไม่ อยากเรียนอยากทำงานมากกว่า ทั้งๆที่ใจจริงอยากเรียนแต่รู้ดีว่าตัวเองไม่มีทุนพอ เงินก้อนที่ปู่ให้อยากจะเก็บไว้ใช้ตอนจำเป็นจริงๆ กริชเริ่มทำงานที่แรกโดยไม่พึ่งพาพ่อแล้วก่อนที่จะมาได้งานที่นี่แม่ก็เสียเพราะโรคมะเร็งในเม็ดเลือด แม่ของกริชมารู้เมื่อสายไปกริชตอนนั้นเอาเงินที่เก็บสะสมมาทั้งหมดมาใช้รักษาแม่โดยไม่บอกพ่อจนพ่อมารู้ตอนที่แม่เข้าโรงพยาบาลแล้ว พ่อได้เปลี่ยนโรงพยาบาลและหาหมอที่ชำนาญมารักษาแต่ทุกอย่างมันสายไปแล้ว แม่จากไปอย่างสงบ ทำให้กริชใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาถึงทุกวันนี้เหมือน ไม่มีญาติพี่น้อง เพราะญาติฝ่ายของแม่ที่มีน้องสาวคนเดียวก็ห่างๆกันมานานแล้ว ส่วนกับพ่อก็ห่างๆกันออกไป กริชเลี่ยงที่จะเจอหรือโทรหาแต่กริชรู้ว่าทุกเดือนที่ตรงกับวันที่แม่จากไปพ่อจะมาที่บ้านตอนกลางวันเพื่อเอาดอกไม้มาไว้บนพานหน้ารูปของแม่ตลอด พ่อนั้นมีกุญแจในบ้านทุกดอกและกริชไม่คิดจะเปลี่ยน กริชรู้เพราะคนแถวบ้านบอกและเห็นดอกไม้ที่อยู่บนพาน แต่มีบางครั้งที่พ่อจะมารอเจอกริชที่บ้าน
ส่วนงานวันเกิดของพ่อที่พี่สาวคนเล็กต้องมาตามถึงบ้านเพื่อให้ไปร่วมงานด้วยทุกครั้ง เล่าถึงตรงนี้ เสียงของชายหนุ่มเริ่มเครือน้ำตานั้นคลอออกมาให้เห็น
“ทุกวันนี้ก็มีพี่กลอยเท่านั้นแหละครับที่คุยกับผมบ่อยที่สุด ส่วนพ่อก็นานๆที จริงๆผมอยากจะเปลี่ยนนามสกุลเหมือนกันผมคิดว่า นามสกุลนี้ไม่เหมาะกับผมจริงๆ ผมเคยบอกแม่ตั้งแต่ช่วงขอทุนแล้วแต่แม่ก็นิ่งและตอนก่อนที่แม่จะเสียแม่ขอร้องว่าอย่าเปลี่ยนกลัวพ่อจะเสียใจผมเลยต้องทำตาม แต่ถ้ามี่สงสัยว่าทำไมที่ผมบอกว่าอยู่กินอย่างประหยัดเพื่อจะได้มีเงินเก็บไว้ใช้ตอนแก่หรือเผื่อจำเป็นอย่างที่เคยบอกไว้ แต่ทำไมผมถึงมีนาฬิกาเรือนละเป็นแสนใส่มีโทรศัพท์ถึงจะไม่ใช่รุ่นล่าสุดแต่ตอนออกใหม่ๆราคาก็หลายหมื่น มีแว่นกันแดดราคาแพงใส่ ผมจะบอกมี่ให้ นาฬิกานี่พ่อให้เป็นของขวัญตอนเรียนจบปริญญาตรีครับจะไม่รับก็ไม่ได้ ส่วนโทรศัพท์พ่อให้เป็นของขวัญวันเกิดหลังจากที่แม่เสียแล้ว พ่อบอกว่าทนเห็นผมใช้โทรศัพท์เครื่องละไม่กี่พันไม่ได้และผมจะได้ทำงานสะดวกด้วย ซึ่งมันก็จริงวันนั้นพ่อมารอผมที่บ้าน และเรากินข้าวเย็นด้วยกันพ่อซื้ออาหารมา2-3อย่าง เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่ผมกินข้าวกับพ่อสองคน แล้วพ่อก็หยิบโทรศัพท์มาให้บอกว่าเป็นของขวัญวันเกิดตอนแรกผมไม่อยากจะรับแต่พ่อบอกว่าผมเป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดใช้โทรศัพท์เครื่องเก่ามันไม่น่าเชื่อถือเวลาไปพบลูกค้าและจะมันช่วยงานผมได้เยอะกว่าเครื่องเก่าผมเลยยอมรับ ส่วนแว่นกันแดดพ่อซื้อให้ตอนไปงานวันเกิดพ่อ หลังจากผมซื้อมอเตอร์ไซด์ไม่เท่าไหร่ พ่อบอกว่าขับรถมันต้องมีแว่นช่วยถนอมสายตา ผมเลยรับไว้”
กริชนิ่งไปสักครู่ ก่อนเล่าต่อว่า
“ทำไมผมไม่อยากจะได้ละครับของที่มันดูดีมีราคา ตั้งแต่เด็กๆแล้วแต่ พอได้มาก็โดนว่ากระทบกระเทียบ ทำให้ผมไม่อยากได้ พี่เค้ามีรถบังคับ ผมก็อยากได้พอพ่อซื้อให้แล้วเป็นไงโดนว่า ว่าตีตนให้เท่าผมมันแค่ลูกเมียน้อยไม่มีสิทธิที่จะมีจนปู่ต้องเป็นคนซื้อให้เลยไม่มีใครกล้ามาว่า พวกพี่ๆ ตอนโตเค้าขับรถคันหรูๆกันผมก็ได้แต่มองเวลาไปที่บ้านพ่อ ใจนะมันอยากจะมีครับ แต่มันไม่เอื้อหลายๆอย่าง ถึงพ่อจะซื้อให้ผมก็ไม่กล้าใช้ต้องมาซื้อมอเตอร์ไซด์มือสองใช้ ตั้งแต่แม่เสียผมตัดสินใจพึ่งพาตัวเอง ค่าน้ำค่าไฟผมก็ไปยกเลิกบัญชีของพ่อ หันมาจ่ายด้วยตัวเองครับ ถึงจะลำบากหน่อย แต่ก็สบายใจครับไม่ต้องมานั่งทนฟังเสียงค่อนขอดครับ”
น้ำตาของชายหนุ่มเริ่มไหลออกมาโดยมี่ที่นั่งฟังตลอดด้วยความเห็นใจ เธอเอามือของของกริชทั้งสองข้างมากุมเพื่อปลอบใจ ก่อนที่จะเอานิ้วไปเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาของชายหนุ่ม
“มี่พอจะรู้บางเรื่องเหมือนกันพ่อของมี่เคยบอกว่า พ่อของกริชเค้าชื่นชมกริชนะเวลาที่พูดถึงกริชให้ใครฟัง”
เธอพูดเพื่ออยากจะปลอบใจ กริชยิ้มออกมาอย่างขมขื่นก่อนบอกว่า
“ก็แล้วแต่ครับอยู่ที่มุมมองถ้ามองในแง่ร้ายคือพ่อพูดเพื่อจะกลบเกลื่อนหลายๆเรื่อง ถ้ามองในแง่ดีก็ชื่นชมผมครับ วันที่บริษัทจัดแถลงข่าวเหมือนกันครับ มีนักข่าวมาถามผมว่าทำไมไม่ไปทำงานกับพ่อ ผมเลยต้องตอบว่าเป็นเรื่องในครอบครัว อีกไม่กี่วันก็มีข่าวซุบซิบในหน้าเศรษฐกิจว่าทำไม่พ่อถึงไม่พาลูกชายคนเล็กมาทำงานด้วย”
มี่เลื่อนเก้าอี้มาอยู่ตรงหน้ากริชก่อนเอามือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของกริชที่ตอนนี้ดูอ่อนแอมากทำให้เธอเปลี่ยนความคิดที่ตั้งใจจะพูดแรงๆเพื่อจะกระตุ้นชายหนุ่มแต่พอเห็นสภาพแล้วเธอต้องเปลี่ยนใจไปพูดปลอบโยนแทน
“เข้มแข็งนะคะกริช กริชไม่รู้ตัวหรือว่ากริชทำได้ถึงขนาดไหน ใครๆก็ยอมรับ ใครๆก็กลัวถ้าเวลากริชเอาจริงขึ้นมาในเรื่องงาน อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาเป็นปมปิดกั้นตัวเองเลยคะกริช ในเมื่อคนส่วนใหญ่ต่างยอมรับนักการตลาดดาวรุ่งคนนี้ กะอีแค่คน2-3 คนจะไปแคร์อะไร มี่ว่าพ่อของกริชก็ภูมิใจในตัวกริชนะ แต่อาจมีอะไรบางอย่างที่ไม่พูดออกมา ถ้ามีโอกาสลองคุยกับพ่อสิ เผื่อจะดีขึ้น”
ซึ่งคำพูดของเธอนั้นใกล้เคียงกับที่ตุ๊กตาเคยบอกไว้ มี่พูดพร้อมเอานิ้วไปเช็ดน้ำตาให้อีกครั้ง จนใบหน้าทั้งสองเกือบจะชิดกันสายตาทั้งคู่ต่างสบกันนิ่งเหมือนมีอะไรบางอย่างมาดึงดูด ก่อนที่จิตใต้สำนึกของทั้งคู่จะบงการความต้องการ ความในใจที่ทั้งคู่ต่างปิดบังกันมานาน กริชยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ มี่นั้นไม่หลบก่อนที่ปากของทั้งคู่จะประกบกัน มี่นั้นรับการจูบของกริชอย่างเต็มใจและเธอตั้งใจให้เกิดขึ้น ใช่แล้วเธอชอบกริชมาตลอด แต่กริชนั้นไม่มีที่ท่าอะไรกับเธอเลย จนเธอยอมรับว่าตัดสินใจพลาดที่ไปยอมรับผู้ชายที่มาจีบเธอว่าเป็นแฟน และพาไปเปิดตัวในงานแต่ของตุ๊กตา เธออยากประชดกริชเพราะความน้อยใจและอยากเห็นท่าทีของกริชในวันนั้น แต่เธอต้องผิดหวังที่กริชไม่มีทีท่าอะไรออกมาให้เธอเห็น และเธอเจอกริชน้อยลงมีแต่น้องสาวที่จะเจอกริชบ่อยมากกว่าเธอ กริชตอบรับคำเชิญของพ่อกับแม่เธอไปทานข้าวที่บ้าน2-3ครั้ง แต่ทุกอย่างปกติเหมือนเดิม กริชยังเป็นกริชคนเดิมทุกอย่าง
จนวันนี้มี่ยอมรับว่าห้ามอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ มือทั้งสองเปลี่ยนไปโอบรอบคอ กายเบียดแนบชิดเข้าไปแนบสนิทกว่าเดิม จิตใต้สำนึกของกริชนั้นพยามยามห้ามใจตนเองไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนกับที่เกิดกับตุ๊กตาแต่ ครั้งนี้หัวใจบงการล้วนๆ กริชนั้นก็แอบรักมี่เช่นกัน แต่ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในฐานะของตัวเอง เลยไม่กล้าเปิดเผยความในที่มีให้หญิงสาวรับรู้นอกจากมองด้วยความปวดร้าวตั้งแต่วันที่หญิงเปิดเผยเรื่องแฟนและพยามยามที่จะไม่ใส่ใจตั้งหน้าทำงาน เพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้กริชไม่สามารถห้ามใจตัวไปได้มือ โอบกอดไปที่ร่างของหญิงสาวที่รับการจูบอย่างเต็มใจ ก่อนจะประคองร่างของมี่ให้ยืนขึ้นพร้อมซุกไซร้ไปตามลำคอ หญิงสาวรู้สึกสยิวกายเป็นอย่างมากแหงนหน้ารับการซุกไซร้ของชายหนุ่ม นี่เป็นครั้งแรกของเธอที่ยินยอมให้คนอื่นรุกล้ำขนาดนี้ แฟนเธอยังได้แค่ยังจับมือเท่านั้น มี่เริ่มส่งเสียงครางออกมา มือโอบรัดกริชแน่นขึ้น และรับการจูบของกริชอีกครั้งทั้งปากทั้งแก้ม จนกริชประคองเธอมาที่เตียง
มี่ล้มตัวลงนอนก่อนดึงชายหนุ่มมาทับร่าง ปากทั้งคู่ประกบกันอีก ก่อนที่กริชจะเริ่มไซร้ไปตามติ่งหูและซอกคอ มี่เต็มใจที่จะให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองโดยไม่สนใจว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งไม่ต่างกับกริช มือข้างหนึ่งของกริชไปกุมบนหน้าอกของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาส่วนอีกข้างไปดึงชายเสื้อให้หลุดจากชายกางเกงก่อนที่จะเอามือข้างที่กุมหน้าอกนั้นเปลี่ยนไปล้วงในเสื้อแทน หน้าอกที่ยังเต่งตึงนั้นรับการเคล้นคลึงจากชายหนุ่มก่อนที่กระดุมเสื้อจะถูกปลดทีละเม็ด มี่นั้นหลับตาตลอดด้วยความเสียวที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต เธอรู้ตัวอีกทีเสื้อตัวนอกและตัวในหลุดออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว ปทุมถันที่ขนาดเหมาะกับร่างที่งดงามของเธอถูกลูบคลำไปมาอย่างเบาๆทั้งสองข้างสลับกับการบี้ตรงปลายยอด ก่อนจะถูกริมฝีปากที่อ่อนหนุ่มของชายหนุ่มสัมผัสพร้อมลิ้นที่ดุนไปมา
ทำเอาเธอผวาพร้อมเผลอตัวรองรับการจู่โจมอย่างสุภาพครั้งนี้ปากส่งเสียงครางแผ่วเบา กริชนั่นเล้าโลมเต้าที่ขาวผ่องสลับไปมาทั้งสองข้างอย่างถนอมก่อนจะจัดการถอดเสื้อของตัวเองออกเช่นกัน และเริ่มปลดตะขอกับซิบกางเกงของหญิงสาวออกและรูดลงไปที่ปลายเท้าก่อนจะปลิวหลุดจากร่าง มี่นอนบิดกายอย่างขวยเขินที่ร่างเกือบเปลือยปรากฏตรงหน้าชายหนุ่ม เธอนอนบิดตัวเล็กน้อยเอาขาข้างหนึ่งยกมาปิดตรงตรงสามเหลี่ยมกลางลำตัวที่มีกางเกงในตัวจิ๋วปิดบังอยู่เท่านั้น กริชก้มไปลงลิ้นกับเต้าคู่งามอีกครั้ง เจ้าของถึงกับผวากอดและหลับมานอนหงายอีกครั้งและยิ่งเสียวหนักเข้าไปเมื่อหน้าของชายหนุ่มเลื่อนลงไปตรงหน้าท้องและการจูบอย่างอ่อนโยนแผ่วเบา หญิงสาวเอามือมาบีบที่ไหล่ของกริชแน่นและชั้นในตัวจิ๋วถูกปลดออกจากร่าง ก่อนที่กริชจะเลื่อนหน้าลงไปตรงสามเหลี่ยมที่งดงาม เจ้าของเอามือมาปิดด้วยความเขินอายแต่แล้ว มันก็อ่อนยวบไปทันทีเมื่อนิ้วกับหลังมือของเธอถูกจูบอย่างเบาๆ มันยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของเธอได้ มือทั้งสองข้างของเธอเปลี่ยนมาจับที่ไหล่ของกริชอีกครั้ง
แล้วปากของกริชไปสัมผัสกับผืนป่าที่เริ่มชื้นแฉะที่ปกคลุมสามเหลี่ยมที่สวยงาม ลิ้นเลียไปที่ร่องที่มีน้ำหล่อลื่นออกมา ทันทีที่ลิ้นของกริชสัมผัส ส่วนที่มี่หวงแหนที่สุดในร่างกาย เธอผวาเหมือนถูกไฟช็อตความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันบอกไม่ถูกมือเธอบีบไหล่ชายหนุ่มแน่นขึ้น ใจนึกอยากจะดันออกแต่อีกใจกับค้านเพราะความเสียวที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต ยิ่งกริชลงลิ้นไม่หยุด มียิ่งเสียวตัวส่ายไปมาใบหน้านั้นเกร็งพร้อมกับเสียงครางแผ่วเบาที่ส่งเสียงตลอด จนมี่เกร็งไปทั้งตัวเธอแอ่นตัวขึ้นมือจิกที่บ่าของกริชเต็มแรง เป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน มี่หายใจแรงๆ แต่กริชกับไม่หยุดแค่นั้น ชายหนุ่มนั้นยังคงไม่เลิกลงลิ้นบริเวณสามเหลี่ยมของหญิงสาว ความรู้สึกของมี่ถูกกระตุ้น ขึ้นอีก ทั้งๆที่กริชพึ่งใช้ลิ้นพาเธอไปถึงฝั่งแต่กริชกลับไม่หยุด หญิงสาวครางออกมาไม่หยุด
“กริชขา พอก่อนมี่ไม่ไหวแล้ว อูยยยยยยซีดดดดดด”
แต่ชายหนุ่มเดินหน้าต่อไม่สนใจเสียงอุทธรณ์ของหญิงสาว มี่ตัวบิดไปมาอีกรอบใบหน้าแหงนขึ้นบ่งบอกถึงความเสียวจากลิ้นของกริชที่กำลังมอบให้ จนกริชนั้นทนไม่ไหวถอดกางเกงออกแล้วมาคร่อมร่างของหญิงสาวก่อนที่จะดันความเป็นชายที่แข็งเต็มที่เข้าไป มี่ร้องลั่นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย
“โอ๊ยๆๆ กริชขามีเจ็บ โอ๊ยๆๆ”
“งั้นเราหยุดกันก่อน”
กริชทำท่าจะลุกขึ้นแต่มี่ลืมตาขึ้นมาพร้อมบอกว่า
“อย่าคะกริชอย่า มันทรมาณ”
เธอดึงชายหนุ่มให้มาอยู่บนตัวเธอพร้อมกอดรัดแน่น กริชเห็นหญิงสาวยินยอมพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลยค่อยๆดันเข้าไปเหมือนเดิม มี่นั้นรู้สึกว่าร่างกายจะแยกเป็นส่วนๆแต่ในความเจ็บปวดมันสร้างความรู้สึกบางอย่างให้กับเธอ ขาเธออ้ากว้างขึ้นเพื่อรองรับสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังทำอยู่ กริชนั้นค่อยดันเข้าอย่างช้าๆเพราะช่องทางรักมันฟิตขนาดที่ตนเองทำให้หญิงสาวไปถึงครั้งหนึ่งแล้วเพื่อจะได้มีน้ำหล่อลื่นช่วย เพราะประสบการณ์ที่เคยเจอกับตุ๊กตาเมื่อหลายปีก่อน กริชพยามยามดันเข้าไปจนสุด พร้อมด้วยเสียงครางของหญิงสาวที่บีบแขนทั้งข้างของกริชแน่น ก่อนที่กริชจะบอกให้มี่ไม่ต้องเกร็ง พร้อมโยกตัวไปมาอย่างช้า มือของมี่เปลี่ยนไปโอบรัดรอบตัวกริชเหมือนเดิม ตาหลับพริ้มเมื่อความรู้สึกเจ็บปวดเริ่มจางหาย ความเสียวเข้ามาแทนที่ ชายหนุ่มไม่เร่งร้อนในบทรักครั้งนี้ ช่องทางที่ฟิตกระชับในตอนแรกเริ่มคล่องตัวขึ้น มีบางครั้งที่กริชก้มลงไปจูบซึ่งหญิงสาวตอบรับการจูบทุกครั้ง กริชมองใบหน้าที่งดงามที่ตอนนี้ส่ายไปมาบนหมอนด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้กริชเต็มใจยิ่งกว่าสิ่งที่เกิดกับตุ๊กตาเพราะครั้งนี้มันเป็นสิ่งที่หัวใจต้องการมากกว่าอารมณ์ของคนวัยหนุ่ม กริชอยากทอดบทรักครั้งนี้ไปให้เนิ่นนานที่สุด แต่แล้วมี่ส่งสัญญาณเตือนมาตัวเธอเริ่มบิดเกร็งอีกครั้ง ก่อนที่ภายในจะเริ่มตอดรัด กริชที่กลั้นอะไรบางอย่างมาพอสมควรก็ปล่อยจนล้นออกมาภายนอกก่อนที่จะซบตัวลงไปบนตัวหญิงสาว ทั้งคู่ปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลายลง มี่เอามือไปลูบที่แก้มของกริชไปมาก่อนที่กริชจะพลิกตัวลงไปนอนข้างๆ สติเริ่มกลับมากริชหันไปมามองก็พบกับใบหน้าที่งดงามมองมาอยู่แล้วแต่ก่อนที่กริชจะพูดอะไรเธอเอานิ้มมาแตะที่ริมฝีปากกริชก่อนจะส่ายหน้าไปมาพร้อมกับคำพูดว่า
“กริชคะอย่าพูดอะไร สิ่งที่เกิดมี่เต็มใจคะและมี่ยอมรับสิ่งที่ตามมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องอนาคตเราไม่มีทางรู้คะ เชื่อมี่นะคะคนดี หลับเถอะคะเราเหนื่อยทั้งคู่ มี่ทั้งแสบทั้งระบมเลยคะ”
แล้วเธอก็เบียดกายเข้ามาซุกที่ตัวของชายหนุ่ม กริชนั้นไม่พูดอะไรนอกจากกอดเธอแน่นแล้วเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย มี่นั้นไม่หลับตามที่เธอกับกริช พอเห็นว่าชายหนุ่มหลับสนิทเธอเอามือไปลูบหน้าของกริชอย่างแผ่วเบาไปมาพร้อมกับความคิด
“เปิดใจด้วยนะคะกริชอย่าปิดตัวเองอีกเลยปมที่กริชมีมันแก้ง่ายแต่กริชมองว่ามันแก้ยาก ถ้ากริชยังมองตัวเองแบบนี้อนาคตกริชอาจพลาดของที่รักไปหลายๆอย่าง”
ก่อนที่จะหอมแก้มของกริชอย่างเบาๆ แล้วซุกอกของชายหนุ่มพร้อมกับข่มตาให้หลับ ภายในอ้อมกอดที่อบอุ่น กริชตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วนึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคือความฝัน มองไปข้างๆก็เห็นที่นอนว่างเปล่า แต่เหลือบไปตรงประตูกระจกทางออกไประเบียงเห็นหญิงสาวที่ใส่เสื้อคลุมยืนชมวิวอยู่ กริชมองไปสักครู่ก่อนลุกไปห้องน้ำแล้วเหลือบไปเห็นแปรงสีฟันที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ถูกฉีกออกจากซอง 1ด้าม กริชเริ่มจัดการกับตัวเองแล้วสวมเสื้อคลุมก่อนออกไปยืนข้างๆหญิงสาวที่ยังยืนดูวิวอยู่ แล้วเอามือของตนเองไปจับมือหญิงสาวมากุม ก่อนจะพูดว่า
“มี่ครับ”
หญิงสาวหันมามองก่อนส่ายหน้าแล้วบอกว่า
“มี่บอกแล้วไงคะอย่าพูดอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเราทั้งคู่เต็มใจและตั้งใจให้เกิดขึ้นคะ มาดูวิวดีกว่าคะ มี่อยากใช้เวลาที่เหลือสำหรับเราให้คุ้มค่าที่สุด”
เธอพูดพร้อมเบียดตัวเข้าไปชิดกับชายหนุ่มและเอาศรีษะเอนไปซบไหล่แถมจับมือของกริชให้มาโอบรอบเอวเธอด้วย กริชที่กำลังสับสนอยู่นั้นทำตามแต่โดยดี มี่นั้นผิดหวังเล็กน้อยนึกว่าชายหนุ่มจะมาโอบกอดจากเบื้องหลังแต่กริชกลับไม่ทำ เธอไม่อยากฟังคำขอโทษหรืออะไรก็แล้วแต่จากปากของกริช มี่อยากเก็บเวลาที่อยู่กันสองต่อสองนี้ไว้นานๆ แล้วกลิ่นหอมๆจากเรือนผมของมี่ทำให้ชายหนุ่มหันเอาจมูกไปสัมผัส2-3ครั้ง ก่อนที่หญิงสาวจะเงยหน้าขึ้นมา สายตาทั้งคู่สบกันแน่นิ่งก่อนที่ริมฝีปากของมี่จะถูกริมฝีปากที่บางเฉียบของกริชทาบมาอีกครั้ง จนกลายเป็นการปลุกอารมณ์ของทั้งคู่ กริชอุ้มหญิงสาวที่ไม่มีอาการขัดขืนใดๆมาที่เตียงก่อนจะบรรจงวางลงบนที่นอนเสื้อคลุมทั้งคู่ถูกปลดออกทันที จังหวะที่กริชกำลังซุกไซร้ไปที่ลำคออยู่นั้น มี่พึมพำมาว่า
“กริชยังไม่พออีกหรือ มี่ระบมไปหมดแล้วนะคะ”
เป็นคำพูดด้วยอาการเขินอายมากกว่า เพราะเธอต้องการสิ่งที่กริชกำลังจะมอบให้อีกครั้ง นาฬิกาของทั้งคู่ดูจะหยุดหมุนไปชั่วขณะ บทรักที่เกิดขึ้นอีกครั้งด้วยความเต็มใจของทั้งสองฝ่ายจนถึงฝั่งฝันทั่งคู่ มี่นอนซบบนไหล่ของกริชและดูเหมือนเธอจะเผลอหลับ กริชนอนคิดอะไรครู่หนึ่งก่อนจะมองนาฬิกา แล้วรีบปลุกสาวที่นอนข้างๆให้ตื่น
“มี่ครับ อีกช.ม.ครึ่งรถจะมารับเราไปสนามบินแล้วครับ ตื่นก่อนเหอะจะได้เตรียมตัว”
ใบหน้าของหญิงสาวยิ้มเล็กน้อยแต่ตาไม่ยอมลืมก่อนจะบอกกับกริชว่า
“หอมแก้มมี่ก่อน”
ชายหนุ่มทำตามแต่โดยดีพร้อมรอยจูบ ที่หญิงสาวรับแต่โดยดี เธอถึงลืมตาขึ้นพร้อมหอมแก้มกริชแรงก่อนจะลุกไปแต่งตัวแล้วหันมาบอกกริชก่อนออกจากห้องว่า
“กลับเมืองไทยแล้วมี่ขอร้องนะคะอย่าซีเรียสกับชีวิตให้มากนัก”
กริชจัดการเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วสายตาเหลือบไปบนที่นอนที่ที่ผ้าปูยับยู่ยี่ และมีสีแดงๆคล้ายเลือดเปื้อนอยู่ ทำเอาชายหนุ่มยิ่งเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและหญิงสาวมีทีท่าที่จะไม่สนใจกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้วต่อไปจะทำอย่างไร เพราะกริชนั้นวางแผนอนาคตให้กับตัวเองไว้บ้างแล้ว แต่อยู่ที่มี่จะรอตนเองไหวหรือเปล่า เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย กริชมายืนรอหญิงสาวที่หน้าห้องที่อยู่ติดๆกัน ใช้เวลาไม่นานมี่ก็เดินออกจากห้องพร้อมบอกว่า
“เกือบยัดกระเป๋าไม่ลงของฝากเยอะมาก”
แล้วเธอยื่นถุงกระดาษให้กริช โดยที่ชายหนุ่มทำหน้าสงสัย
“รับไว้สิ มี่ซื้อให้ถือว่าแทนคำขอบคุณที่ช่วยงานมี่มาตลอดจะให้ในห้องแล้วก็ลืม “
กริชรับมาก่อนเปิดถุงพบว่าเสื้อเชิ้ตแขนยาวยี่ห้อดัง
“ไว้ใส่ทำงานนะ วันจันทร์นี่ใส่เลยก็ได้มี่อยากเห็น มี่กะไซส์ไม่ผิดแน่นอน”
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มตอบก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปที่ลิฟท์ ระหว่างตั้งแต่ทานอาหารที่โรงแรมจนถึงสนามบิน มี่ไม่พูดถึงเรื่องเมื่อคืนเลยพอกริชทำท่าจะพูดถึงเธอก็ยืนยันคำพูดในห้อง จนชายหนุ่มไม่กล้าพูด ซึ่งที่จริงแล้วมี่เห็นว่ากริชกำลังสับสนเธอรู้ว่ากริชสับสนเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่จะมีต่อไป เรื่องของแฟนเธอ แต่มี่อยากใช้เวลามากกว่านี้เพื่อหาทางออกให้กับตัวเองด้วย บนเครื่องบินผู้โดยสารนั้นจำนวนพอๆกลับขามา แต่มี่ให้กริชนั่งติดกับเธอและเธอนั้นนั่งซบไหล่กริชมาตลอดทาง และบอกว่าพี่ไหมจะมารับ เธอจะเลยไปส่งกริชที่บ้านดีกว่าที่กริชจะนั่งแท็กซี่กลับบ้านไหนๆก็ทางผ่านอยู่แล้วแต่กริชไม่รู้ความจริงว่าตอนแรกแฟนมี่จะมารับแต่หญิงสาวโทรไปบอกว่าไม่ต้องมาเพราะพี่สาวจะมารับแล้วเธอถึงโทรไปบอกให้ไหมมารับแทน จนเครื่องบินลงหลังจากทั้งคู่ผ่านขั้นตอนต่างๆเรียบร้อยแล้ว ก็พากันเดินออกมาด้านนอก พบไหมที่ยืนยิ้มรอยู่ก่อนทั้งสามคนจะพาไปกันไปที่รถ ระหว่างทางไหมสังเกตว่ากริชพูดน้อยลงกว่าทุกครั้งที่พบ จนไปถึงบ้านของกริชหลังจากที่ชายหนุ่มลงจากรถเรียบร้อยแล้ว ไหมมองกระจกหลังเห็นกริชกำลังเดินเข้าบ้าน เธอจึงถามน้องสาวว่า
“มี่กริชเป็นอะไรดูไม่ค่อยพูดเหมือนทุกครั้งเลย”
“คงเครียดกับงานนะพี่ไหม งานคราวนี้ค่อนข้างยากโจทย์หินเลยทำให้ดูเครียด”
เธอตอบพี่ด้วยด้วยเรื่องที่ไม่จริงแต่ไหมพยักหน้าเพราะนึกว่าเรื่องจริง จนวันจันทร์กริชทำตามที่หญิงสาวบอกคือใส่เสื้อตัวที่มี่ซื้อให้ไปทำงาน ทำเอามี่ดีใจมากๆแต่เก็บอาการไว้เพราะกลัวความในใจเปิดเผยให้คนอื่นรับรู้ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่หาได้คืบหน้าไม่ ทั้งๆที่มี่พยายามเปิดทางให้แต่กริชนั้นกลับไม่เปิดใจเท่าไหร่ แต่ทั้งคู่ได้เดินทางไปสิงคโปร์ด้วยกันอีก 2-3 ครั้งและทุกอย่างก็เหมือนเดิม จริงๆแล้วกริชนั้นอยากจะบอกว่าตัวเองนั้นรักมี่อย่างสุดหัวใจแต่ยังติดอยู่2-3เรื่อง คือเรื่องที่ตนเองไม่อยากเป็นมือที่ 3 เพราะประสบการณ์เรื่องของแม่มันฝังใจอยู่ทุกวันนี้ว่าแม่โดนตั้งข้อรังเกียจขนาดไหน เรื่องที่สอง กริชนั้นได้รับคำบอกเล่าจาก CEO เป็นการส่วนตัวว่า ตำแหน่ง ผช.ผอ.ฝ่ายการตลาดที่บริษัทแม่กำลัง ว่างลงเพราะ คนที่ตอนนี้เป็นผู้ช่วยกำลังถูกเลื่อนไปเป็นผู้อำนวยการแทนคนเก่าที่กำลังเกษียณอายุ ทางบริษัทกำลังจะเปิดรับสมัครจากพนักงานที่ของบริษัทที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก CEO อยากให้กริชไปสมัครด้วย และกริชไปปรึกษากับสินซึ่งสินสนับสนุนเต็มที่ กริชเลยมุมานะเพื่ออยากจะไปสอบและเริ่มศึกษาภาษาเยอรมันเพิ่มขึ้นเพราะรู้ว่าที่สวิตฯนั้นใช้ภาษาเยอรมันด้วย
แต่เงื่อนไขคือถ้าได้รับตำแหน่งนี้ต้องอยู่ประจำอย่างน้อย 5 ปี ถ้าลาออกก่อนหรือขอกลับประเทศก่อน พวกบำเหน็จบำนาญจะถูกงดหรือจ่ายให้น้อยลงเพราะต้องไปทดแทนเป็นค่าเสียหายๆต่างๆที่บริษัทออกให้ รวมทั้งอาจถูกงดพิจารณาโบนัสหรือขึ้นเงินเดือนประจำปี อย่างน้อย 2 ปี แต่ด้วยค่าตอบแทนที่สูงรวมถึงที่พักอย่างหรูที่และรถยนต์ประจำตำแหน่งที่ทางบริษัทมีให้ แต่พอพ้น 5 ปีไปแล้วจะอยู่ต่อหรือขอกลับประเทศก็ได้ ทำให้กริชตัดสินใจไม่ยาก เพราะมันจะช่วยกริชทั้งเรื่องฐานะและตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่าเก่า แต่ต้องอยู่ที่นั่นอย่างน้อย 5ปี หญิงสาวจะรอตัวเองได้หรือไม่ยิ่งคิดกริชยิ่งปวดใจ ทำให้ไม่กล้าบอกอะไรกับหญิงสาว จนในที่สุดก่อนที่กริชจะทำการสอบเลื่อนตำแหน่งโดย CEO จากบริษัทแม่มาสัมภาษณ์และทดสอบเอง ร้านสาขาที่สิงคโปร์และเชียงใหม่ก็เปิดทำการสำเร็จ โดยเปิดที่เชียงใหม่ก่อนและไปเปิดที่สิงคโปร์ ทีมงานของกริชได้รับคำชมมากมาย แต่บนข่าวดีนั้นก็มีข่าวร้าย หลังจากงานเปิดร้านสาขาที่สิงคโปร์เสร็จ มี่นั้นได้ตัดสินใจที่จะคุยกับกริชถึงเรื่องความสัมพันธ์ ว่าจะดำเนินไปอย่างไร เธอนั้นไม่รู้เรื่องที่กริชกำลังจะสัมภาษณ์เพื่อเลื่อนตำแหน่งหลังจากกลับไปเมืองไทย
ทั้งคู่ได้มาพูดคุยกันโดยกริชนั้นเตรียมจะเล่าเรื่องที่ตัวเองจะสัมภาษณ์เลื่อนตำแหน่งและซื้อสร้อยคอมือที่สลักชื่อมี่ ให้กับหญิงเพื่อจะเผยความในใจให้มี่รู้ โดยเตรียมใจไว้กับผลที่ออกมาทุกทางแต่ทุกอย่างมันไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ เพราะมี่นั้นตัดพ้อต่อว่ากริชอยู่ฝ่ายเดียวโดยจี้ไปที่ปมของชายหนุ่ม เพราะเธอตั้งใจจะพูดให้กริชคลายปมนั้นเสียจะได้เลิกคิดว่าตัวเองต่ำต้อยจะได้มาคบกับเธออย่างเปิดเผยเพราะมี่ตั้งใจว่าพอกลับไปที่ประเทศไทยเธอจะบอกเลิกกับแฟนทันที แต่มี่หารู้ไม่ว่ามันไปกระทบจิตใจของกริชเต็มที่กริชแทบจะไม่ตอบอะไรเลย จนมี่ที่น้อยใจสุดขีดพูดทั้งน้ำตาว่า
“กริชมี่คิดว่า ความสัมพันธ์ของเราคงไปต่อไม่ได้ ถ้ากริชยังเป็นแบบนี้อยู่ มี่อยากได้คนที่ยอมรับความจริงสู้กับทุกเรื่องมากกว่าคะกริช เรื่องที่ผ่านมาขอนึกว่าเป็นความฝันของเราแล้วกัน”
เธอพูดจบเธอเดินจากไปทันทีโดยไม่หันมามองปล่อยให้ชายหนุ่มที่มีความรู้สึกชาไปทั้งร่างกับความเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก นั่งจมอยู่กับความทุกข์ความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้น คืนนั้นทั้งคู่ต่างนอนไม่หลับทั้งคู่ จนกลับมาถึงเมืองไทยมี่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับทั้งบริษัทโดยการยื่นใบลาออก โดยให้เหตุผลว่าจะไปช่วยพี่สาวดูแลธุรกิจทางบ้านที่ทำเรื่องส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศ เพราะธุรกิจกำลังขยายตัว ใบลาออกเธอได้รับการอนุมัติ เธอกับกริชไม่ได้คุยกันอีกเลย กริชนั้นพยายามหลบหน้าเธอตลอด จนวันสุดท้ายที่เธอมาทำงาน กริชนั้นก็ไม่อยู่หาเรื่องออกไปตรวจตลาดที่เชียงใหม่เพื่อจะได้ไม่เจอเธอ มี่อยากจะโทรไปลาและขอโทษกริชกับคำพูดในวันนั้นที่เธอคิดว่ามันรุนแรงไปแต่แล้วเธอก็ไม่กล้า ส่วนกริชนั้นได้ตั้งสติลืมความผิดหวังที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชีวิต เพื่อมีสมาธิกับการสอบจนในที่สุดกริชสัมภาษณ์ผ่านเพราะผลงานที่ผ่านๆมาด้วย กริชเตรียมที่จะไปรับตำแหน่งใหม่ในอีก 2เดือนข้างหน้าโดยที่ตุ๊กตานั้นถึงจะใจหายที่จะไม่เจอกริช แต่เธอก็นึกได้ว่าตราบใดที่เธอเป็นเลขา CEO ที่นี่เธอจะได้พบกริชอย่างน้อยปีละครับ เพราะต้องเธอกับผู้บริหารระดับสูงจะต้องบินไปประชุมที่สวิตฯทุกปี ยังไม่รวมถึงการติดต่อกันเรื่องงานเป็นประจำ เธอแสดงความยินดีกับกริชอย่างจริงใจ
วันนั้นกริชกลับไปที่บ้านและไปยืนมองที่รูปของแม่ก่อนจะบอกว่า
“แม่ครับเราจะไปอยู่ที่สวิตฯกันครับ แม่จำได้หรือเปล่าครับตอนที่แม่สอนให้กริชพูดภาษาฝรั่งเศสและแม่บอกว่าภาษานี้เป็นภาษาประจำชาติของสวิตฯที่เป็นประเทศที่สวยงาม แม่ยังอยากไปสักครั้งในชีวิต กริชจะพาแม่ไปครับเราจะไปอยู่ที่นั่นด้วยกันครับ”
กริชพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดแล้วกำหนดวันที่กริชจะเดินทางไปรับตำแหน่งออกมาแล้ว เป็นอีก 2เดือนข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันเกิดของกริชพอดี ระหว่างนี้ชายหนุ่มได้เริ่มเตรียมการหลายๆอย่างรวมทั้งไม่รับงานแปลเอกสารแล้ว แต่หม่อนยังโทรมาปรึกษาพูดคุยเรื่องคำศัพท์ต่างๆซึ่งกริชให้คำแนะนำด้วยความเต็มใจแต่พยายามจะไม่เอ่ยถึงมี่ และกริชยังไม่บอกกับพ่อว่าจะย้ายไปทำงานที่สวิตฯกริชมีเหตุผลของตัวเองอยู่แล้ว แต่แล้วเหมือนฟ้าผ่ามากลางใจ กริชรู้ข่าวว่ามี่จะแต่งงานจากหม่อน กริชได้แต่รับฟังด้วยความเศร้าหมอง จนวันหนึ่งก่อนที่กริชจะเดินทาง 1 เดือน มี่ได้โทรมาหาพร้อมบอกว่าจะไปหาที่บ้าน จะเอาการ์ดงานแต่งไปให้ กริชนั้นฟังด้วยความปวดใจแต่ยอมให้หญิงสาวมาหา วันรุ่งขึ้นมี่ได้ขับรถมาหากริชเพียงคนเดียว กริชออกมารับเธอด้วยสีหน้าปกติก่อนจะพาเธอเข้าบ้าน มี่มองไปรอบๆบ้าน บ้านที่มีของตกแต่งไม่มากแต่ทุกอย่างดูสะอาดเรียบร้อยไร้ฝุ่น เธอไต่ถามทุกข์สุขของกริช ซึ่งได้คำตอบตามปกติจนเธอยื่นการ์ดให้ เธอเห็นได้ชัดว่าใบหน้าของกริชซีดเผือด กริชรับและเปิดการ์ดออกมาอ่านพร้อมสีหน้าที่กลับมาเป็นอย่างเดิม แต่แววตานั้นดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเอ่ยคำแสดงความยินดีวันแต่งงานของมี่คือก่อนที่กริชจะเดินทาง 1 วัน
หญิงสาวนั้นความรู้สึกไม่แพ้กัน แต่จังหวะถูกขัดด้วยเสียงโทรศัพท์ พอกริชรับเธอรู้จากที่ได้ยินว่ากริชคุยกับพี่สาวคนเล็ก จนคุยจบกริชเอาโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ มี่นั้นที่มาวันนี้เธออยากได้ยินคำจากปากของกริชว่าคิดยังไงกับเธอ มี่พร้อมที่จะยกเลิกงานแต่งงานถ้าได้ยินคำว่ากริชชอบหรือรักเธอรวมถึงเรื่องที่กริชจะไปสวิตฯที่เธอรู้จากใจหัวหน้างานเก่าของเธอ พอเธอรู้เรื่องทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่ากริชนั้นเริ่มศึกษาภาษาเยอรมันอย่างจริงจังระหว่างไปสิงคโปร์ เธอตื่นมาเห็นกริชนั่งอ่านหนังสืออยู่บ่อยๆครั้ง ไม่ก็นอนหนุนตักเธอพร้อมกับอ่านหนังสือภาษาเยอรมัน ตอนนั้นเธอนึกว่ากริชแค่อยากรู้อยากศึกษาเพิ่มเท่านั้น แต่แล้วเธอก็มารู้ว่ากริชศึกษาเพื่อจะได้ไปทำงานที่สวิตฯ มี่รอว่ากริชจะบอกเรื่องกับเธอนี้ด้วยหรือไม่ และระหว่างที่กริชโทรศัพท์อยู่นั้นสายตาเธอเหลือบไปเห็นสร้อยเงินที่เป็นสร้อยข้อมือบนโต๊ะทำงานของกริชที่อยู่ใกล้เธอ บนสร้อยนั้นสลักชื่อเล่นของเธอ ยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดในถึงคำพูดในวันนั้น เธอมองหน้าของกริชที่ไม่พูดอะไรต่อ
“มี่จะกลับแล้วนะกริช”
ในที่สุดเธอตัดสินใจพูดออกมา พร้อมลุกขึ้นยืน กริชลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปส่งแต่แล้วความรู้สึกชั่ววูบที่เกิดขึ้นเพราะความรักและความน้อยใจ เธอตบหน้ากริชอย่างแรง จนใบหน้าของกริชสะบัดไปตามแรงตบพร้อมกับโทรศัพท์ที่กริชใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างหมิ่นๆได้ตกลงบนพื้น กริชรีบก้มลงไปหยิบโทรศัพท์มาดู สติของหญิงสาวกลับคืนมาทันที เธอรู้ว่าของทุกสิ่งที่พ่อซื้อให้กริชนั้นมันสำคัญต่อจิตใจของกริชอย่างไร ช่วงที่เธออยู่กับกริชที่สิงคโปร์นั้นก่อนนอนกริชจะเอาโทรศัพท์ นาฬิกาพร้อมแว่นกันแดดมาเช็ดทำความสะอาดทุกครั้งและเธอดูออกว่ากริชใช้อย่างถนอม
“กริชๆๆ มี่ขอโทษ โธ่ไม่น่าเลยกริชๆๆๆ”
น้ำตาที่พยามสะกดกลั้นมาตลอดตั้งแต่เห็นชายหนุ่มหน้าซีดไหลพรั่งพรูออกมาพร้อมเอามือไปจับโทรศัพท์
“โทรศัพท์เป็นอะไรหรือเปล่า โธ่ๆๆๆมี่ขอโทษ”
ชายหนุ่มที่ใบหน้าชาไปทั้งแถบพูดออกมาว่า
“ไม่เป็นไรหรอก มันตกหลายครั้งแล้ว ดูสิ”
กริชยื่นโทรศัพท์ให้มี่ดู เพื่อจะยืนยันว่าไม่เป็นอะไร แต่หญิงสาวเห็นหน้าจอโทรศัพท์เธอยิ่งปวดร้าวหนักเข้าไปอีก หน้าจอเป็นภาพที่เธอเป็นคนถ่ายเซลฟี่คู่กับกริชตอนอยู่สิงคโปร์ ทั้งคู่นั่งติดกันและเธอซบไปที่ไหล่ของกริช กริชยื่นมือเพื่อขอโทรศัพท์คืน
“เห็นมั้ยมันไม่เป็นอะไรเลย”
เสียงพูดที่สั่นเครืออกจากปากของกริช มี่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นรอยนิ้วสีแดงบนแก้มของกริช ทำเอาเธอทำอะไรไม่ถูกก่อนที่จะเอามือไปลูบแก้มตรงรอยที่โดนตบอย่างแผ่วเบา
“กริชเจ็บมั้ย มี่ไม่ตั้งใจ มี่ขอโทษ”
เธอพูดวนไปวนมาพร้อมเอามือลูบคลำไม่หยุด กริชจับมือของหญิงสาวออกแล้วส่ายหน้า
“ทนได้มี่ ชีวิตกริชเจ็บกว่านี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว ทำไมแค่นี้จะทนไม่ได้”
ได้ยินคำพูดแบบนี้หญิงสาวยิ่งเจ็บปวดโผเข้ากอดชายหนุ่มอย่างลืมตัว เสียงสะอื้นของเธอนั้นบอกมาว่า
“ทำไม กริช ทำไม ทำไมกริชไม่........ “
กริชเชยคางของหญิงสาวขึ้นแล้วเอานิ้วแตะที่ปากก่อนตอบไปว่า
“เราเปลี่ยนอดีตไม่ได้แล้วมี่ กริชขอใช้คำพูดของมี่มาบอกว่า เข้มแข็งนะมี่ เรื่องอนาคตเราไม่มีทางรู้”
สายตาของมี่ดูจะเว้าวอน กริชเกือบเผลอที่จะทำตามสายตาที่เรียกร้องของหญิงสาว แต่ต้องตัดใจเปลี่ยนเป็นกอดหญิงสาวเพื่อปลอบใจ มี่นั้นอยากให้กริชจูบเธอเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็เข้าใจที่ชายหนุ่มปฏิเสธ จนกริชดันตัวเธออกแล้วเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบน้ำตา หญิงสาวสะอื้นเบาๆแต่พอสายตาทอดไปบนโต๊ะก็เห็นสร้อยคอมือ กริชมองตามแล้วเอื้อมไปหยิบก่อนจะบรรจงสวมให้ที่ข้อมือด้านขวาพร้อมบอกว่า
“สร้อยเป็นของมี่กริชรออยู่ว่ามี่จะมารับไปวันไหน กริชดูแลทำความสะอาดอย่างดี กริชสวมให้นะ แต่หลังจากนี้มี่จะเก็บไว้ที่ไหนก็แล้วแต่มี่ เพราะมันเป็นของมี่แล้ว”
น้ำตาที่เริ่มจะหยุดไหลกลับไหลออกมาอีก เธอกอดกริชแน่น กริชรอจนเธอหายสะอื้นแล้วเช็ดหน้าให้อีกครั้งก่อนพยักหน้า
“ไปเถอะ ได้เวลาแล้วกริชไปส่ง”
มี่พยักหน้ารับรู้กริชเดินพาเธอมาที่รถแล้วมองด้วยใบหน้ายิ้มๆแต่ภายในดวงตาของกริชน้ำอุ่นเริ่มคลอออกมาให้เห็น มี่มองกริชอย่างเต็มตาก่อนบอกว่า
“โชคดีในตำแหน่งใหม่นะคะกริช มี่เอาใจช่วย”
เธอกลั้นน้ำตาอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาของกริชก่อนจะขับรถออกไป กริชเดินเข้าบ้านพร้อมกับนึกว่า “เราทำได้แค่นี้ เค้าไม่ใช่เนื้อคู่ของเรา”
สองสัปดาห์ก่อนที่กริชจะเดินทางไปสวิตฯ กริชขับมอเตอร์ไซด์มาที่หน้าบ้านหลังใหญ่ก่อนจอดลงตรงหน้าประตูก่อนมองเข้าไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
“คุณครับมาติดต่อใครหรือครับ”
เสียง รปภ.ที่อยู่ในป้อมหลังประตูรั้วถามมา
“มาหาคุณพ่อครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบ รปภ.ทำหน้างงๆ ก่อนที่จะโทรศัพท์เข้าไปในบ้าน สักพักรีบวิ่งมาเปิดประตูพร้อมโค้งแทบจะติดพื้น
“ขอโทษครับ ผมไม่ทราบว่าเป็นคุณกริช ผมพึ่งมาอยู่ไม่กี่เดือน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้มาที่นี่เกือบปีแล้วครับ”
กริชตอบอย่างไม่ถือสาก่อนจะขับมอเตอร์ไซด์เข้าไปในบ้าน เอาจอดข้างๆโรงรถที่มีรถหรูราคาแพงจอดอยู่ 10 กว่าคัน กริชมองรถหรูเหล่านั้นแล้วยิ้มๆก่อนถอดหมวกกันน็อคแล้วเดินเข้าไปในบ้าน ก่อนจะขึ้นบันไดที่มีอยู่4-5ขั้นไปสู่ลานเทอเรสอันกว้างใหญ่ที่ทำด้วยหินอ่อน แต่มีร่างๆหนึ่งที่สูงวัยเดินออกมารับพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“คุณกริช ป้านีคิดถึงจังเลย ไม่มาตั้งนานแล้ว”
กริชยกมือไหว้แม่บ้านแล้วกอดเบาๆ ก่อนจะทักทายด้วยความเคารพแม่บ้านคนนี้ก็เป็นอีกคนที่ช่วยดูแลกริชมาตั้งแต่ๆเล็กๆและไปนั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจในงานศพของแม่กริช
“มาคะกำลังตั้งโต๊ะพอดี วันนี้ป้าสั่งแม่ครัวให้ทำของชอบคุณกริชไว้หลายอย่าง”
เธอเดินจูงมือกริชไปที่ห้องอาหาร ระหว่างทางที่ไปกริชมองไปรอบบ้านอันใหญ่โตหรูหา ที่กริชมาวันนี้พ่อเป็นคนโทรมาบอกเองว่าอยากให้กริชมากินข้าวซึ่งกริชไม่บ่ายเบี่ยงเพราะอยากจะหาโอกาสบอกพ่อว่าตนเองจะย้ายไปทำงานที่สวิตฯ ที่กริชเลือกมาบอกช่วงนี้เพราะพ่อกับพี่กลอยจะคัดค้านไม่ได้เนื่องจากมันใกล้เวลาที่กริชจะเดินทางแล้วและกริชจะคืนบ้านให้พ่อด้วย ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะตัดใจจากทุกอย่างที่เมืองไทย พอไปถึงโต๊ะอาหาร ทุกคนนั่งอยู่แล้ว พ่อนั่งที่หัวโต๊ะ อีกฝั่งคือคุณป้า ส่วนอีกด้านเป็นคุณไก่กับคุณก้อง และพี่กลอยที่หันมามองน้องชายก่อนกวักมือมาให้นั่งข้างๆ กริชยกมือไหว้ไปที่ผู้เป็นพ่อ
“สวัสดีครับพ่อ”
ผู้เป็นพ่อมองมาพร้อมพยักหน้ารับ ส่วนกริชหันไปยกมือไหว้คนอื่นและพูดว่า
“สวัสดีครับทุกคน”
โดยไม่สนว่าจะมีการตอบรับหรือไม่แต่กับพี่สาวคนเล็กกริชยกมือไหว้และบอกว่า
“สวัสดีครับพี่กลอย”
ทำเอาผู้เป็นภรรยาของพ่อนั่งคอแข็งและเมินไปทางอื่นด้วยความไม่พอใจ
“นั่งสิกริช”
ผู้เป็นพ่อบอกและหันไปบอกแม่บ้านให้ตักข้าวได้ การทานข้าวมื้อนี้ช่างเงียบเหลือเกินมีแต่เสียงพี่สาวคนเล็กที่คุยกับน้องชายส่วนพี่สาวคนโตคุยกับแม่เรื่องการท่องเที่ยวไปต่างประเทศเหมือนอยากจะข่มลูกคนเล็กของบ้านนี้ แต่กริชนั้นเฉยไม่สนใจทำให้ไก่ที่ขัดใจที่กริชไม่สนใจเลยถามขึ้นมาด้วยเสียงวางอำนาจว่า
“กริช วันนั้นที่ไปสิงคโปร์นะแฟนออกเงินให้พาไปซื้อของหรือไงถึงซื้อกันพะรุงพะรัง”
ประโยคนี้มันสร้างความเจ็บปวดให้กับกริชเป็นอย่างยิ่ง แต่พี่ชายคนกลางเป็นคนดุพี่สาวแทนโดยที่กริชนึกไม่ถึง
“พี่ไก่ทำไมพูดแบบนั้น”
“เงียบไปเลยก้องพี่มีเรื่องจะเคลียร์กับมันเรื่องกิริยาวันนั้น”
กริชจ้องตาแบบไม่หลบโดยผู้เป็นพ่อเหลือบตามองก่อนจะก้มหน้าทานข้าวต่อไปเหมือนไม่สน กริชยิ้มนิดๆก่อนบอกว่า
“เพื่อนที่ทำงานจะไปซื้อของครับเลยเดินไปเป็นเพื่อนเท่านั้น”
“อ้อ มิน่านึกว่ามีเงินไปช็อปปิ้งซื้อของที่ไหน ที่แท้เป็นแค่ลูกหาบ”
ก่อนที่กริชจะตอบ ผู้เป็นภรรยาของพ่อพูดต่อจากลูกสาวคนโตทันที
“แล้วนี่จะมาขอเงินพ่อหรือไง จะเอาไปซื้ออะไรละ ถ้าจะขอไปซื้อรถนะมีปัญญาหาเงินเติมน้ำมันหรือเปล่า”
“คุณทำไมพูดแบบนี้”
เป็นเสียงของพ่อที่เงียบมาตลอด พูดด้วยเสียงที่ไม่พอใจ กริชนั้นวางช้อนส้อมทันที โดยที่พี่สาวคนเล็กหันมามองด้วยความวิตก กริชนั้นตอบไปทันทีว่า
“ไม่หรอกครับทำไมป้าถึงคิดว่าผมจะมารบกวนพ่อ ทั้งๆที่หลายปีที่ผ่านมา ผมทำด้วยตัวเองตลอดตั้งแต่แม่เสีย ผมเคยมารบกวนพ่อหรือเปล่าครับ อย่าบอกนะครับว่าผมไปขอเงินพ่อโดยที่ป้าไม่รู้ไม่เห็น ป้าดูละครน้ำเน่ามากไปหรือเปล่าครับ จริงๆแล้วผมมีเรื่องจะคุยกับพ่อพอดี แต่ไหนๆแล้วก็คุยตอนนี้เลยแล้วกันไม่ต้องรอให้อิ่มก่อน”
ผู้เป็นภรรยาของพ่อทำท่าจะตอบด้วยความโกรธแต่เจอสายตาที่แข็งกร้าวของสามีมองมาเลยได้แต่นั่งเม้มปากสะบัดหน้าไปทางอื่นกริชนิ่งไปสักครู่ก่อนมองไปรอบๆโต๊ะแล้วไปสิ้นสุดที่ผู้เป็นพ่อก่อนบอกว่า
“เรื่องแรกที่ผมจะบอกกับพ่อว่าได้ย้ายไปทำงานที่สวิตฯแล้ว คงไม่อยู่ให้เกะกะหลายๆคนอีกต่อไปที่คิดเป็นอย่างเดียวว่าผมจะมาสูบเงินจากพ่อ ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องบ้านตั้งแต่แม่เสียชื่อเจ้าของบ้านก็โอนมาเป็นชื่อผม ผมอยากจะโอนให้กลับไปเป็นชื่อพ่อครับ เพราะเป็นบ้านของพ่อ เท่านี้แหละครับที่ผมจะบอกให้พ่อรู้”
ผู้เป็นพ่อยังหน้านิ่งสายตามองไปที่จานข้าวก่อนจะวางช้อนส้อมโดยไม่พูดอะไร มีแต่พี่สาวคนเล็กเท่านั้นที่สอบถามด้วยความตกใจว่าจะไปกี่ปี ไปเมื่อไหร่ แต่ก้องพี่ชายคนกลางจับตาดูน้องชายคนเล็กและคิดว่า กริชนั้นเป็นคนที่คมในฝักเป็นเสือซ่อนเล็บ ก้องอยู่ในวงการของการตลาดพอจะรู้ความเคลื่อนไหวและฝีมือของน้องชายต่างมารดาเป็นอย่างดีว่ามีฝีมือขนาดไหน ผู้เป็นพ่อนั้นไม่พูดอะไรเลย จนพี่สาวคนโตถามมาอีก
“แล้วยังไง จะมาขอเงินพ่อเป็นค่าเครื่องบินหรือไงถึงได้บอกนะ”
กริชตอบไปแบบที่ทุกคนคาดไม่ถึง
“คุณไก่ไม่น่าจะถามแบบนี้ทั้งๆเป็นรอง MD.ของบริษัทใหญ่เลยนะครับ หรือบริษัทนี้คุณไก่ให้พนักงานออกค่าเดินทางเองบริษัทไม่ออกค่าใช้จ่ายให้ เรื่องเบสิคขนาดนี้ผู้บริหารระดับสูงต้องรู้สิครับ”
กริชย้อนไปแบบที่ทุกคนไม่คาดคิดเพราะตั้งแต่โตมากริชไม่เคยโต้ตอบเลย ก่อนที่กริชจะลุกขึ้นยืนแต่ก้องรีบพูดทันที
“กริชเดี๋ยวก่อน พี่อยากจะรู้ว่ากริชไปทำตำแหน่งอะไร และดูแลเรื่องไหนบ้าง”
กริชตอบไปแบบปัดๆโดยไม่บอกรายละเอียดมากนัก แต่นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ก้องแทนตัวเองว่าพี่ แล้วคำพูดที่กริชนึกไม่ถึงว่าจะมีได้ออกจากปากก้อง
“กริชพี่มีข้อเสนอ ตอนนี้ที่บริษัทตำแหน่ง ผจก.ฝ่ายการตลาดว่างพอดี พี่อยากให้กริชมาช่วย แล้วอีก5-6 เดือนค่อยเลื่อนเป็นผู้ช่วยพี่ ถ้ามีค่าปรับชดใช้อะไรพี่รับผิดชอบทั้งหมดส่วนเงินเดือนถึงจะให้สู้ไม่ได้กับทางนั้น แต่กริชก็จะได้มาช่วยงานพ่อ เหมือนที่ปู่สั่งเสียไว้ก่อนจากไปว่าให้เรา 4 คนพี่น้องช่วยกันดูแลกิจการที่ปู่สร้างมากริชว่ายังไง ลองไปคิดดูนะ แต่พี่อยากให้กริชมาช่วยจริงๆ”
แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นรวมถึงผู้เป็นพ่อที่เหลือบตามองลูกชายคนเล็กที่ลุกขึ้นยืนทำท่าจะกลับ คือรอยยิ้มที่ดูออกว่าเหยียดๆ ก่อนหันมาทางผู้เป็นพ่อว่า
“พ่อครับ ถ้าพ่อสะดวกวันไหนโทรมาบอกผมนะครับ จะได้ไปเจอกันที่กรมที่ดินเรื่องโอนบ้าน ผมลาละครับ”
กริชยกมือไหว้พ่อและหันมาทางพี่สาวคนเล็กที่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกพร้อมยกไหว้ลา
“ไปก่อนนะพี่กลอย รักษาสุขภาพด้วย”
และหันไปมองอีก 3 คนก่อนจะก้มหัวให้เล็กน้อยแล้วเดินไปหาแม่บ้านที่ยืนตรงประตูพร้อมน้ำตาที่ไหลเพราะเธอรู้ความเป็นมาของครอบครัวนี้อย่างดี พร้อมกับการกระทำที่ผู้เป็นพ่อคอแข็ง กริชนั้นก้มลงกอดแม่บ้านและกราบที่บ่า
“ลาละครับป้านี รักษาสุขภาพด้วย”
เธอโอบกอดชายหนุ่มตอบก่อนที่กริชจะเดินออกไปโดยไม่หันมามอง แต่พี่สาวคนโตพูดขึ้นกับน้องชายคนกลางทันที
“ก้อง แกทำอะไรลงไปเห็นทีท่าของมันหรือเปล่า ไอ้เด็กคนนี้มันยะโสโอหังมาตลอดยังง้อให้มันมาทำงานด้วยอีก”
“พี่ไก่เงียบไปเลย ถ้าพี่ไก่ยังทำงานแบบนี้อีกไอ้ตำแหน่ง MD .ของพ่อที่ฝันไว้อย่างหวังจะได้เลย หัดดูโลกซะบ้างอย่ามัวแต่กรีดกรายนั่งบนหอคอยงาช้าง ก้มลงมาดูข้างล่างบ้าง น้องมันฝีมือขนาดไหน ฝรั่งยังยอมรับ ไอ้เครื่องสำอางที่พี่กับแม่เห่อกันนักจนต้องให้คนไปต่อคิวซื้อวันเปิดร้านนะ ฝีมือกริชล้วนๆ สาขาที่สิงคโปร์ก็เหมือนกัน ตำแหน่งที่กริชได้กริชบอกเราไม่หมดนะน้องมันไปรับตำแหน่ง ผช.ผอ.ฝ่ายการตลาดรับผิดชอบภาคพื้นยุโรปทั้งหมด มีห้องพักอย่างหรูให้ มีรถประจำตำแหน่ง ไม่ใช่ตำแหน่งเล็กๆ”
ระหว่างนั้นกลอยมองหน้าผู้เป็นบิดาเมื่อเห็นไม่พูดอะไร กลอยวิ่งตามน้องชายออกไปทันที ก้องพูดต่อว่า
“เงินเดือน กริชมันก็ปรับด้วยผลประเมินเกรด A ตลอด ไม่ต้องถามนะว่าก้องรู้ได้ยังไง เพื่อนก้องเป็น AVP HR.ที่นั่นก้องตามดูน้องตลอด วันที่บริษัทเปิดแถลงข่าวเรื่องร้านเครื่องสำอางที่พ่อกับก้องได้รับเชิญไปนะ”
พูดถึงตอนนี้ ก้องหยุดพูดเพราะเห็นพ่อเดินออกไปจากห้องอาหารอีกคนและบอกต่อไปว่า
“นักข่าวมาสัมภาษณ์ก้องว่าทำไมน้องคนเล็กถึงไม่ได้มาทำงานกับบริษัทของเรา ก้องได้แต่ตอบปัดๆไปพวกเรานะเหมือนลิงได้แก้ว ไก่ได้พลอยรู้ไว้ซะด้วย”
ก้องพูดและเดินออกจากห้องอาหารขึ้นไปบนห้องนอนปล่อยให้สองแม่ลูกนั่งอยู่ในห้องอาหารด้วยความเงียบต่อไป
“กริช กริช รอก่อน”
กลอยวิ่งตามน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆมอเตอร์ไซด์และมองไปรอบๆบริเวณก่อนสายตาจะไปหยุดที่บ้านหลังน้อยริมรั้ว เธอมองตามน้องชายไป กริชหันมาถามพี่สาวว่า
“กริชลืมอะไรหรือพี่”
“กริชจะไปที่สวิตฯจริงๆหรือ”
“ครับพี่”
“แล้วพ่อละ กริชไม่ห่วงพ่อหรือ”
กริชนิ่งไปนิดก่อนตอบพี่สาวไปว่า
“กริชเลือกแล้วพี่ โอกาสของกริช กริชคงไม่ปล่อยให้หลุดมือเหมือนหลายๆสิ่งที่กริชปล่อยให้หลุดมือ”
พี่สาวไม่สนเสียงของน้องที่ดูสั่นๆ ถามต่อไปว่า
“กริชจะไปแค่ 5 ปี หรือเปล่า”
“ไม่รู้สิพี่ ตอบไม่ได้เราไม่รู้อนาคต”
เมื่อเห็นว่าน้องชายไม่เปลี่ยนใจแน่นอนเธอจับมือของน้องชายทั้งสองข้าง
“กริชสัญญานะว่า จะติดต่อมาตลอด ไม่เงียบหายไปเลย สัญญากับพี่นะกริช”
“สัญญาพี่ กริชสัญญา”
“เล่นเฟซด้วยนะ เราจะได้คุยกันตลอด”
“ไว้กริชไปถึงก่อนแล้วจะสมัครพี่กลอย”
กริชดึงพี่สาวมากอดด้วยความรักก่อนบอกอีกครั้งว่า
“รักษาสุขภาพด้วยนะพี่ และฝากดูแลพ่อด้วยนะ”
กลอยพยักหน้ารับคำพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา กริชหันมายิ้มให้ก่อนขับมอเตอร์ไซด์ออกไป กลอยเดินกลับมาที่บ้านและเห็นผู้เป็นพ่อยืนมองลูกชายคนเล็กบนเทอเรสก่อนเดินขึ้นบันไดไปหา ทั้งคู่มองกริชที่ขับมอเตอร์ไซด์ออกนอกประตูไปแล้ว ผู้เป็นพ่อหันมาดูลูกสาวที่เริ่มสะอื้น
“พ่อไม่พูดอะไรไม่ห้ามน้องเลยหรือคะ”
“อย่าพึ่งเลย ภูเขาไฟกำลังคุถ้าไปพูดอะไรดีไม่ดีปะทุเปล่าๆ ปล่อยไว้ก่อนแล้วพ่อจะหาเวลาไปคุยกับกริชเอง”
“พ่อจะไปคุยไม่ให้น้องไปหรือคะ”
“เปล่าหรอกลูก เค้าเลือกทางเดินของเค้าแล้วปล่อยไปตามทางเดินที่เค้ามีอนาคตดีกว่า”
“ดูพ่อไม่แปลกใจเลยเรื่องของกริช”
“พ่อรู้ตั้งนานแล้วลูก รู้ตั้งแต่วันที่มีประกาศแต่งตั้งออกมา พ่อรู้ได้ยังหรือ สินที่เป็นหัวหน้ากริชนะลูกน้องเก่าพ่อ กริชไม่รู้เรื่องนี้ สินแอบรายงานพ่อมาตลอด ทำไมพ่อจะไม่รู้ว่ากริชเก่งขนาดไหน มันน่าภูมิใจไม่ใช่หรือที่ มีลูกเก่งขนาดนี้ พ่อรอมาตลอดรอว่าเค้าจะบอกพ่อเมื่อไหร่จนวันนี้”
“แล้วพ่อคิดยังไงคะ ที่มาบอกวันนี้ “
“เราจะได้รั้งเค้าไม่ได้ไง เหลืออีกแค่ 2 อาทิตย์ กริชจะได้ไม่ลังเลเปลี่ยนใจเค้าตั้งใจให้เป็นแบบนี้ ปล่อยเค้าไปเหอะลูก ความก้าวหน้าของตัวกริช เราควรภูมิใจที่น้องเก่งขนาดนี้โดยไม่พึ่งพาอะไรเราเลย แม่เค้าสอนลูกมาอย่างดี ปู่อีกคน อย่างที่พ่อบอกกับใครๆว่ากริชได้เลือดปู่มามันก็จริงๆ เรื่องพึ่งพาตัวเองไม่อาศัยใคร เหมือนปู่กับย่าที่ช่วยกันบุกเบิกจนเรามีถึงทุกวันนี้ไงลูก”
ผู้เป็นพ่อพูดพร้อมนึกถึงความหลัง นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่มีครอบครัวที่อบอุ่นมีลูก 3 คนได้พบกับครูสาวที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่เจ้าตัวไปบริจาคทุนการศึกษา ให้นักเรียน ความสวยของครูสาวไปสะดุดตานักธุรกิจทันที และในที่สุดครูสาวคนนั้นที่ได้สูญเสียผู้เป็นบิดากับมารดาไปแล้วเหลือแต่น้องสาวคนเดียว และด้วยความที่อ่อนต่อโลกได้หลงรักนักธุรกิจทันทีจนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจนครูสาวตั้งท้อง นักธุรกิจรีบมาปรึกษาผู้เป็นพ่อ ทันที ผู้เป็นพ่อสั่งให้รับผิดชอบและให้ไปคุยกับภรรยาเอง ก่อนที่จะสั่งให้สร้างบ้านเพื่อรับครูสาวที่ตั้งท้องมาอยู่ในรั้วเดียวกัน แต่กว่าจะเคลียร์กับภรรยาได้ก็กินเวลาพอสมควรแต่ด้วยความเกรงใจกับผู้เป็นพ่อสามีที่ครอบครัวของภรรยาต้องพึ่งพาในเรื่องธุรกิจ ทำให้ยอมอย่างไม่เต็มใจพร้อมคำประกาศว่าต่างคนต่างอยู่
จนกริชคลอดออกมา ผู้เป็นพ่อนั้นจะดูแลใกล้ชิดเหมือนลูกๆอีก 3 คนก็ไม่ได้ เพราะความเกรงใจภรรยากับสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้น แต่ยังดีปู่ของกริชเข้ามาอุ้มชูสองแม่ลูกด้วยความรักในหลานคนเล็ก แต่ผู้เป็นพ่อนั้นพยายามแบ่งความรักให้ลูกๆเท่ากันแต่ไม่เป็นผลเพราะลูกคนโตกับคนกลางตั้งแง่รังเกียจ ทำให้ผลกระทบเกิดกับกริชตลอดทำไมผู้เป็นพ่อจะไม่รู้ ยิ่งเด็กน้อยโตขึ้นยิ่งได้รับผลกระทบ แต่ผู้เป็นพ่อก็ทำอะไรมากไม่ได้นักเพราะตัวเองนั้นมีชนักปักหลังอยู่ จนช่วงกริชเรียนอยู่ ป.5 กริชนั้นได้ระเบิดอารมณ์ขึ้นมาจะคว้าไม้มาตีไก่กับก้องที่มาต่อว่าเรื่องรถบังคับที่พ่อซื้อให้ว่ากริชแค่ลูกเมียน้อยทำไมต้องมีของเทียบเท่าพวกพี่ๆด้วย ทำแบบนี้เหมือนมาแย่งของเล่นทั้งๆที่แย่งพ่อไปแล้ว กริชขึ้นมึงขึ้นกูทำท่าจะเอาไม้มาตีพี่ทั้งสองคน
แต่ผู้เป็นแม่ของกริชมาห้ามก่อนและกริชถูกแม่ตีเป็นครั้งแรก กริชไม่ร้องไห้เลยแต่แล้วต้องนอนซมเพราะไข้ขึ้น กริชไม่บอกแม่ด้วยว่าตัวเองไม่สบายเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำเอาผู้เป็นพ่อที่วันนั้นมีประชุมกับลูกค้าต้องขอเลื่อน และรีบพาลูกคนเล็กไปส่งโรงพยาบาล แล้วเรื่องสงบลงเพราะผู้เป็นปู่ที่เรียกภรรยาหลวงและไก่กับก้องไปกำชับว่าอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ด้วยความเกรงกลัวผู้เป็นปู่ทำให้ทั้งหมดไม่กล้ามารังแกกริชอีกต่อไป แต่หลังจากวันนั้นกริชมองพ่อด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป และกริชดูเป็นเด็กที่เกเรขึ้น
ตั้งแต่นั้นกริชไม่เรียกร้องอะไรเหมือนเด็กทั่วๆไปอีกเลย มีแต่กับปู่เท่านั้นที่เด็กชายกล้าที่จะขอความห่างเหินของพ่อกับลูกคนเล็กยิ่งห่างออกไปพ่อได้แต่แอบมานั่งเสียใจ แล้วผลการเรียนของกริชก็ต่ำลง จนถึงช่วงมัธยมกริชเริ่มโตเป็นหนุ่ม พ่อได้ลองไปสอบถามครูที่โรงเรียนต่างยืนยันว่ากริชเป็นเด็กที่เรียบร้อยเอาใจใส่กับการเรียนเป็นอย่างดี แต่ทำไมคะแนนสอบถึงออกมาไม่ดีเรื่องนี้บรรดาครูที่สอนถึงกับแปลกใจ แต่ได้สอบถามแล้วกริชได้แต่บอกตีความข้อสอบผิด จนปู่ได้จากไป สองแม่ลูกได้ตัดสินใจที่ไปอยู่ข้างนอกเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้นอีก ตนเองก็ทัดทานแล้วแต่ไม่เป็นผล ตอนแรกจะซื้อบ้านเดี่ยวให้ แต่แม่ของกริชบอกว่าอยู่แค่สองคนแม่ลูกขอบ้านหลังเล็กๆก็พอเลยเปลี่ยนเป็นทาวน์เฮ้าส์และกริชบอกผ่านแม่ว่าอยากให้อยู่ไกลๆจากบ้านหลังใหญ่ ผู้เป็นพ่อพอเข้าใจความต้องการเลยจัดหาให้
พร้อมติดเครื่องอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง แต่กริชไม่เอาทั้งแอร์ทั้งอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในห้องนอนของตัวเอง ขอแต่ที่นอนเท่านั้น ผู้เป็นพ่อก็ตามใจเพราะไม่รู้จะพูดยังไง ทุกอย่างที่เป็นภาระค่าใช้จ่ายในบ้านผู้เป็นพ่อรับหมดทุกอย่าง มีหลายๆครั้งที่จะไปรับกริชเพื่อไปทานข้าวนอกบ้านหรือพาไปเที่ยว คำตอบที่ได้รับคือไปไม่ได้เพราะ ทำการบ้าน ทำรายงาน อ่านหนังสือสอบวนอยู่แค่นี้ เลยทำได้แต่ซื้ออาหารไปกินในบ้าน กริชนั้นลงมาร่วมวงไม่นานก็จะรีบขึ้นไปบนห้องนอนด้วยด้วยข้ออ้างต่างๆ ผู้เป็นแม่ได้แต่ถอนใจกับการกระทำของลูก แต่พ่อนั้นรู้ดีว่าเพราะอะไรลูกชายถึงเป็นแบบนี้ จนกริชเข้ามหาวิทยาลัยมีเทอมแรกเท่านั้นที่ตนเองออกเงินค่าเทอมให้
แต่เทอมต่อๆมานั้นทั้งสองแม่ลูกไม่เคยรบกวนอีกเลยพอสอบถามก็รู้ว่าลูกชายสอบชิงทุนได้ และยิ่งรู้ว่ากริชอยากจะเปลี่ยนนามสกุลคนที่เป็นพ่อยิ่งเสียใจหนักเข้าไปใหญ่ แต่ผลการเรียนของกริชดีขึ้นทำให้ผู้เป็นพ่อแน่ใจในบางเรื่อง พอกริชเรียนจบ กริชปฏิเสธที่จะเรียนต่อปริญญาโทเพราะอ้างว่าอยากทำงานทั้งๆที่พ่อจะออกเงินให้เรียนต่อ แต่พ่อจำได้ดีวันที่ให้นาฬิการาคาเรือนแสนให้กริชเป็นของขวัญที่เรียนจบตอนแรกกริชทำท่าไม่อยากจะได้ แต่แม่บอกให้รับของขวัญจากพ่อ กริชนั้นดูดีใจมากพร้อมกับสายตาที่ขอบคุณพ่ออย่างจริงใจ เป็นแววตาที่ไม่เห็นมานานแล้ว แต่พอลูกชายคนเล็กทำงานได้ไม่นานเท่าไหร่ ผู้เป็นพ่อก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับแม่ของกริช เวลาไปเยี่ยมที่บ้านก็เห็นถุงใส่ยาจำนวนมากคำตอบที่ได้รับจากแม่ของกริชคือ
“อายุเยอะแล้วคะ โรคคนแก่นะ คุณไม่ต้องห่วงกินยาแล้วก็หาย”
แต่แล้วข่าวร้ายก็มาเยือนเมื่อรู้ว่าแม่ของกริชเป็นมะเร็งและก่อนหน้านี้กริชใช้เงินที่มีเกือบทั้งหมดมารักษาแม่โดยไม่ยอมบอกผู้เป็นพ่อ จนตนเองต้องเข้ามาดูแลทั้งเปลี่ยนโรงพยาบาลจัดหาหมอมือดีที่สุดมารักษาแต่แล้วทุกอย่างก็สายไป มีบางสิ่งที่พ่อไม่เคยบอกกริชเลย เพราะเป็นคำพูดแม่ของกริชที่ได้บอกตนเองว่า อย่ายื้ออีกเลยเธอเองทนไม่ไหวแล้วปล่อยให้เธอไปจะดีที่สุด พ่อเลยรับคำทั้งน้ำตาก่อนเธอจะฝากให้ช่วยดูแลกริช และหลังจากนั้นไม่นานเธอจากไปอย่างสงบ พ่อของกริชรับจัดการงานศพทั้งหมด และวันที่เผาแม่ของกริชผู้เป็นสามีได้ไปยืนน้ำตาซึมหน้าเตาเผา พร้อมอธิษฐานไปว่า
“อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะคุณเวรกรรมที่ผมทำกับคุณไว้ผมจะไปชดใช้ในชาติหน้า ส่วนเวรกรรมที่ผมทำกับลูกของเรานะมันตามผมมาตั้งแต่วันที่กริชเกิดแล้ว ผมไม่รู้จะชดใช้ให้ลูกยังไงดี”
หลังจากงานศพ พ่อได้เรียกกริชมาถามว่าจะย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านอีกหรือไม่ รวมถึงงานด้วยว่าจะมาทำกับบริษัทของพ่อหรือไม่ แต่กริชปฏิเสธทุกอย่าง ต่อมาอีกไม่นานตนเองก็รู้ว่าค่าน้ำค่าไฟที่เปิดบัญชีไว้โดยเฉพาะกริชได้ยกเลิกและเป็นคนจ่ายเอง แต่พ่อก็แอบไปที่บ้านบ่อยครั้งเพื่อดูความเป็นอยู่ของลูกชายส่วนใหญ่จะไปวันที่ภรรยาเสียเพื่อเอาดอกไม้พวงมาลัยไปไหว้ที่รูปไม่ก็ให้ลูกสาวคนเล็กไปเยี่ยมน้องชาย เมื่อรู้ว่ากริชเปลี่ยนงานใหม่ตำแหน่งที่สูงขึ้นและใกล้กับวันเกิดก็ซื้ออาหารไปกินกับลูกชายที่บ้านพร้อมเอาโทรศัพท์รุ่นใหม่ไปให้เป็นของขวัญเพราะกริชใช้โทรศัพท์ที่ราคาพันเศษๆ โดยพ่อบอกว่ากริชได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น ใครๆจะได้ไม่ดูถูกเวลาไปคุยงานกับลูกค้ามันดูน่าเชื่อถือทำให้กริชยอมรับและเหมือนกับตอนที่ได้นาฬิกาชายหนุ่มเก็บความดีใจไม่อยู่
เช่นเดียวกันกับตอนที่ซื้อแว่นกันแดดให้เพราะลูกชายซื้อมอเตอร์ไซด์ก็ต้องหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลกริชถึงยอมรับด้วยความดีใจ ผู้เป็นพ่อจับตาดูความก้าวหน้าของลูกชายมาตลอดจนเก็บความภูมิใจไม่ได้ ถึงกับคุยอวดเพื่อนฝูงหรือคนรู้จักตลอดถึงความเก่งของกริชจนถึงวันนี้ ยิ่งคิดทำให้ผู้เป็นพ่อนั้นยิ่งมีความทุกข์ ก่อนจะเอ่ยกับลูกสาวว่า
“กลอยรู้ไหมทำไมตอนเด็กๆน้องถึงดูเป็นเด็กเกเร เค้าทำเพราะป้องกันตัวไม่ให้พี่ๆเราไปรังแกจะได้ไม่กล้าไปยุ่งกับเค้าและแม่ อยู่โรงเรียนกริชเป็นเด็กเรียบร้อยนะ เรื่องผลการเรียนก็เหมือนกัน กริชรู้ว่าต่อให้เรียนดีขนาดไหนก็ไม่มีวันได้รางวัลจากพ่อทั้งๆที่เป็นเด็กหัวดีฉลาดเพราะแม่เค้าสอนมาอย่างดี ยังไม่ถึง 10 ขวบดีพูดภาษาอังกฤษประโยคยาวๆได้ แค่ ป.6 ก็พออ่านภาษาฝรั่งเศสออก แต่กริชกับจงใจทำให้ผลสอบบอกมาปานกลาง พ่อก็ได้แต่บ่นเค้ากับแม่เพราะไม่รู้ถึงสาเหตุ แต่มารู้ตอนที่เค้าเรียนปริญญาตรี ที่เค้าขอทุนได้ตลอดพ่อเลยรู้ว่าน้องนั้นจงใจทำ เค้าเปลี่ยนไปห่างเหินกับพ่อไปเยอะ หลังจากวันที่กริชถูกแม่เค้าตีเพราะทะเลาะกับพี่ๆของเราจนไข้ขึ้น ทำเอาวุ่นไปทั้งบ้านพ่อต้องพาไปส่งโรงพยาบาล จนถึงทุกวันนี้บางเรื่องทำไมพ่อจะไม่รู้ แต่พ่อพูดไม่ได้เท่านั้น ตอนเด็กๆลูกทุกคนมีงานวันเกิด แต่ลูกคนเล็กต้องมาแอบดูงานเลี้ยงเพราะเข้ามาร่วมไม่ได้ เหตุผลกลอยก็น่าจะรู้นะว่าแม่ของกลอยกับพี่ของกลอยไม่ยอมให้กริชเข้ามาในงาน สองแม่ลูกนั่งกินข้าวเงียบๆกันสองคนเท่านั้น”
เสียงของผู้เป็นพ่อเริ่มสะอื้นขึ้นก่อนพูดกับลูกสาวคนเล็กต่อไป
“พอโตขึ้น ลูกๆสามคนขับรถไปเรียนในมหาวิทยาลัย ลูกคนเล็กนั่งรถเมล์ไปเรียน สอบให้ได้คะแนนดีๆเพื่อหาทุนเรียน ช่วยแม่สอนภาษารับงานแปล เรากินดีอยู่ดี อาหารดีๆไม่ก็ตามร้านอาหารหรูๆไปกินกันที่โรงแรม 5 ดาว สองแม่ลูกกินอยู่อย่างประหยัด ข้าวกับน้ำพริกผักต้มบ้าง ข้าวกับน้ำพริกปลาทอดบ้าง ปลาก็แบ่งกันคนละตัวสองแม่ลูก พ่อไปเยี่ยมทีไรก็เจ็บใจพร้อมโกรธตัวเองทุกครั้ง พ่อถึงซื้ออาหารไปให้ตลอดเงินที่ให้เค้าก็เก็บฝากธนาคารไว้กับเงินมรดกที่ปู่ให้จนกริชเอาไปใช้เกือบหมดตอนรักษาตัวแม่ของเค้า เรื่องนี้พ่อโทษตัวเองมาตลอดว่าไม่ใส่ใจแม่ของกริชเลย”
เสียงที่เริ่มสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัดทำเอาลูกสาวคนเล็กจับมือของพ่อเหมือนให้กำลังใจก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะพูดต่อไปอีก
“กลอยรู้ไหมลูกช่วงที่น้องเปลี่ยนงานใหม่ๆกริชเอาเงินเก็บไว้จากการทำงานเกือบทั้งหมดไปซื้อมอเตอร์ไซด์มือ 2 เพราะที่ทำงานมันไกลจากบ้าน น้องแทบจะไม่มีเงินติดกระเป๋า มื้อเช้าพ่อว่าเค้าคงไม่ได้กิน แต่มื้อกลางวันกริชกิน ขนมปังก้อนเล็กๆกับน้ำเปล่าไม่ก็นม กลับมาบ้านก็กินแตงโมต่างข้าว พ่อรู้เพราะพ่อเข้าไปในบ้านตอนกลางวัน ในครัวไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งข้าวสาร เปิดตู้เย็นก็มีแต่น้ำเปล่ากับแตงโมที่ปอกไว้ ถังขยะก็มีแต่เปลือกแตงโมแปลว่ากริชกินแตงโมประทังความหิวแทนข้าว กระปุกที่ปู่เคยซื้อให้ตอนกริชเล็กๆและกริชเอาเหรียญมาหยอดตลอดก็ว่างเปล่า พ่อเลยเอาเงินวางไว้ให้ตรงหน้ารูปแม่เค้า 2หมื่น ออกไปซื้ออาหารให้2-3อย่างไว้ให้กริชกินตอนเย็น แล้วยังไงรู้ไหมลูกวันรุ่งขึ้นเงินก้อนนั้นกลับมาอยู่ในบัญชีพ่อตามเดิม พอพ่อเห็นข้อความที่โทรศัพท์ว่าบัญชีส่วนตัวของพ่อมีเงินเข้าก็รู้แล้วว่ากริชคืนเงินพ่อ
เค้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ ตอนแรกพ่อจะบอกให้นีซื้อของไปให้กริชที่บ้านเจอแบบนี้พ่อต้องหยุด ส่วนที่ว่ากลางวันกริชกินอะไรบ้างทำไมพ่อถึงรู้ พ่อให้คนของพ่อไปดูนะลูกถึงรู้ว่าน้องลำบากขนาดไหนเก็บเงินไว้เพื่อเติมน้ำมันมอเตอร์ไซด์ มันน่าสงสารน้องหรือเปล่าละลูก ลูกชายคนเล็กมหาเศรษฐีที่มีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านขับมอเตอร์ไซด์มือ 2ไปทำงาน อดมื้อกินมื้อแต่ลูกคนอื่นๆมีรถสปอร์ตราคาเป็นสิบล้านขับกันหลายคัน ”
แต่ผู้เป็นพ่อนั้นเล่าไม่หมด ว่าหลังจากเดินสำรวจทั่วบ้านแล้วรู้ว่าลูกชายลำบากขนาดไหน ก็ไปยืนร้องไห้ต่อหน้ารูปภรรยาพร้อมกับพูดว่า
“คุณผมขอโทษ ผมขอโทษผมทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับคุณไม่ได้”
เงินที่ติดตัวตอนนั้นไม่ถึงสองหมื่นต้องขับรถออกไปหาตู้เอทีเอ็มเพื่อถอนเงินมาให้ลูกชาย แต่สิ่งที่ได้รับคือการปฏิเสธอย่างเงียบๆ น้ำตาของผู้เป็นพ่อเริ่มไหล กลอยนั้นตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้มาก่อนในชีวิต ก่อนที่พ่อจะตั้งสติแล้วเล่าให้ลูกสาวฟังต่อ
“เดือนต่อมาพอพ่อไปอีก คราวนี้ดีหน่อยมีข้าวสาร 1ถุง มีมาม่ามีปลากระป๋อง แต่ตู้เย็นก็มีแค่แตงโมกับน้ำเปล่า พ่อเอาเงินวางไว้ให้ 3 หมื่น มันก็เหมือนเดิม กริชคืนเข้าบัญชีพ่อในวันต่อมาแล้วโทรมาบอกว่า ขอบคุณมากๆสำหรับเงิน แต่เค้าพอมีไม่อยากรบกวนพ่อแล้วก็วางสาย พ่อแอบช่วยกริชมาตลอดให้คนเอางานแปลเอกสารไปให้กริชและจ่ายค่าจ้างให้สูงกว่าที่ตกลงเล็กน้อยเหมือนให้ทิปนะกลอย น้องจะได้ไม่สงสัย ตั้งแต่แม่เค้าเสียพ่อก็แอบไปดูหลายครั้งบางที5ทุ่ม6ทุ่มไฟชั้นล่างก็ยังไม่ปิด กริชนั่งทำงานแปลเอกสาร วันหยุดก็ไม่ค่อยจะไปไหน อยู่กับบ้านทำงานที่รับมา ดูแลบ้านทำความสะอาดบ้านอย่างดี ไม่เคยไปเที่ยวที่ไหน ไม่เหมือนเราไปเมืองนอกกันตลอดผลาญเงินกันเป็นว่าเล่น ลูกก็น่าจะรู้อยู่นะว่าทำไมน้องเป็นแบบนี้ เพราะเราไงลูก เพราะพ่อนี่แหละพ่อไม่โทษใครนอกจากตัวเอง ทั้งแม่กับกริชตั้งแต่ที่กริชเกิดมาแล้ว ทั้งสองคนจะโดนว่าตลอดว่าจะมาเอาเงินเอาทรัพย์สินจากเรา ไม่ว่าพ่อจะซื้ออะไรให้ กริชก็จะโดนรุมว่าจากแม่จากพี่ของเราทุกครั้ง “
ผู้เป็นพ่อเว้นคำพูดไว้ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเล่าต่อไปว่า
“แต่พ่อก็ไม่กล้าที่จะไปห้ามไปเตือน มันเลยฝังใจเป็นปมให้กับเค้าถึงทุกวันนี้ ว่าถ้าได้อะไรจากพ่อแล้วจะเกิดอะไรตามมา กริชเลยไม่อยากได้ของจากเราเค้าไม่อยากพึ่งพาเรา ขนาดตอนทำงานที่แรก พอเค้ารู้ว่าเจ้าของบริษัทเป็นเพื่อนสนิทของพ่อที่เรียนมาด้วยกัน เค้าลาออกทันที เรื่องรถก็เหมือนกันพ่อเห็นสายตาของเค้าที่มองไปที่โรงรถเวลากริชมาที่นี่มันบอกอะไรได้หลายอย่าง ทำไมเค้าจะไม่อยากได้ รถคันเดียวทำไมพ่อจะไม่มีปัญญาซื้อให้ลูก แต่ก็รู้ว่าว่าซื้อให้เค้าก็ไม่รับ อนาถไหมละลูก นึกซิใครจะว่ายังไง ลูกชายคนเล็กของคุณพจน์นักธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทยขับมอเตอร์ไซด์มือ 2ไปทำงาน วันเกิดพ่อที่จัดที่โรงแรม เค้าก็โผล่หน้าไปให้เห็นแล้วกลับทันที พอจัดที่บ้านกริชไปกินข้าวที่ห้องครัวขอให้แม่ครัวทอดไข่ไม่ก็ยำปลากระป๋องให้ ขนาดคนในบ้านทุกคนพ่อให้มาร่วมโต๊ะที่จัดไว้ให้
แต่ลูกคนเล็กไม่กล้ามานั่งด้วยกลับไปนั่งกินข้าวคนเดียว ขากลับก็ไม่เอาอะไรกลับไปเลย ขนาดอาหารที่นีห่อให้ก็ไม่เอากลับ ถ่ายรูปกันในครอบครัวก็ไม่เคยมีรูปกริช นามสกุลเราเค้าก็ไม่อยากใช้ ถ้าไม่ติดที่แม่เค้าขอร้องไว้ก่อนจะเสียกริชเปลี่ยนนามสกุลไปแล้ว อันไหนที่เกี่ยวข้องกับเราเค้าจะออกห่างให้ไกลที่สุด แต่ก็อีกนั่นแหละพ่อกลัวไอ้ความมีทิฐิ ไม่ยอมคลายปมของตัวเอง ไม่ลดศักดิ์ศรี พ่อกลัวว่ากริชอาจจะพลาดหรือสูญเสียบางอย่างไป พ่อห่วงกริชตรงนี้”
ลูกสาวคนเล็กที่ตอนนี้ก็ร้องไห้ออกมาเช่นกันด้วยความสงสารน้องชายคนเล็กและพ่อตัวเองกับความจริงในหลายๆเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อนั้นจะเอาใจใส่กับกริชถึงขนาดนี้
“แล้วพ่อจะทำยังไงต่อคะ”
“ก็วันนี้ไงลูกพ่อตั้งใจที่เรียกกริชเข้ามาเพื่อถามเรื่องที่จะไปทำงานที่สวิตฯ พ่อเตรียมเงินไว้ให้น้องแล้ว อย่างน้อยมันก็ต้องใช้จ่ายพอสมควรพ่อไม่รู้ว่ากริชมีเงินเก็บไว้เท่าไหร่เงินเดือนที่กริชได้พ่อรู้ว่ามันก็ไม่น้อย แต่เค้าประหยัดเก็บไว้ตลอดคงมีประสบการณ์จากตอนที่รักษาแม่เค้านั่นแหละ แต่พ่อเซ็นเช็คไว้ให้เค้าแล้ว”
ผู้เป็นพ่อพูดพร้อมล้วงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบเช็คออกมาส่งให้ลูกสาวดู กลอยรับเช็คและก้มลงดูเห็นว่าพ่อของเธอเซ็นสั่งจ่ายให้กริชเป็นเงิน 5 ล้านบาท
“นี่แหละที่พ่อพอจะช่วยเค้าได้”
“แล้วบ้านละคะ”
“มันเป็นของเค้าก็ต้องเป็นของเค้าลูก พ่อจะช่วยดูแลกะว่าให้นีพาเด็กๆไปทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้ง ถ้าเค้าเปลี่ยนใจจะกลับเมืองไทยเค้าจะได้มีบ้านอยู่ ส่วนบ้านหลังนี้ก็เหมือนกัน”
ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นพร้อมชี้ไปทางบ้านที่กริชกับแม่เคยอยู่
“บ้านหลังนั้นพร้อมที่อีก 5ไร่ เป็นของกริชปู่สั่งไว้และพ่อทำพินัยกรรมไว้แล้ว”
“กริชรู้ไหมคะ”
“รู้สิ พ่อบอกเค้ากับแม่ไปแล้ว แต่เจ้าตัวทำเหมือนไม่สนใจ”
“แล้วพ่อจะไปคุยกับน้องวันไหนคะ กลอยอยากไปด้วย”
“คงอีก 2-3วัน รอให้อารมณ์สงบก่อน ดีที่กริชเก็บอารมณ์เก่ง ไม่งั้นเดือดกว่านี้ พ่อรู้เวลาเค้าทำงานกริชเอาจริงขนาดไหนฝรั่งถึงยอมรับในฝีมือ กริชแบ่งถูกระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว เค้าทำงานกับเราไม่ได้หรอกลูก ไก่กับก้องโดนตีกระเจิงแน่นอนพ่อพอจะประเมินได้”
ก่อนจะทิ้งท้ายกับลูกสาวว่า
“เกิดอะไรขึ้นฝากดูแลน้องด้วยนะลูก มีลูกคนเดียวที่พ่อพอจะฝากได้”
“คุณพ่อทำไมพูดแบบนี้”
“ใครจะไปรู้ลูก ทุกอย่างมันไม่แน่นอนพ่อพูดเผื่อไว้”
ก่อนที่ทั้งสองพ่อลูกต่างมองไปยังประตูหน้าบ้านที่น้องชายคนเล็กได้ขับมอเตอร์ไซด์ออกไปพักใหญ่แล้ว
ณ โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง กริชได้มาร่วมงานแต่งของมี่ ทั้งคู่ต่างสบตากันเล็กน้อยก่อนที่กริชจะเป็นฝ่ายหลบตาตอนที่จะถ่ายรูปร่วมกันหน้างาน กริชได้คุยกับพ่อและแม่ของมี่เล็กน้อยเพราะทั้งคู่ต่างยุ่งกับการรับแขก เช่นเดียวกันกับไหมและหม่อนที่ต่างพูดคุยกันเล็กน้อยเช่นเดียวกับตุ๊กตาที่มาร่วมงานเพียงคนเดียว เธอส่งสายตาให้กริชอย่างมีความหมายเธอรู้ดีว่ากริชจะเดินทางพรุ่งนี้แต่ทั้งคู่ไม่คุยอะไรกันมากนัก จนได้เวลาของพิธีการบนเวทีกริชเห็นว่าได้เวลาที่จะกลับ แต่หารอดพ้นสายตาของหม่อนไปได้ น้องสาวคนเล็กวิ่งตามกริชมาทันตรงบันไดเลื่อน
“พี่กริช พี่กริช จะกลับแแล้วหรือ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงหอบๆ
“ใช่พี่จะไปเตรียมตัวนะ พรุ่งนี้พี่จะไปสวิตฯแล้ว”
“หาไปสวิตฯ ไปทำไมพี่ พี่ไปฉลองวันเกิดที่นั่นหรือ พรุ่งนี้วันเกิดของพี่นี่”
กริชส่ายหน้าก่อนอธิบายให้หม่อนฟังอย่างคร่าวๆ ทำเอาเธอตกใจอย่างมากก่อนที่จะถามว่า
“แล้วพี่มี่รู้หรือยัง”
“รู้หรือไม่รู้ก็มีค่าเท่ากันนะหม่อน ไม่มีอะไรรั้งพี่ไว้ได้”
กริชพูดอย่างมั่นใจเพราะขนาดที่เจอกับพ่อที่บ้านของกริชเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ กริชก็ให้คำตอบกับพ่อไม่ได้ว่าจะกลับมาอีกหรือไม่ ทั้งๆที่ผู้เป็นพ่อแสดงทีท่าชัดเจนว่าอยากให้กริชรับปากว่าจะกลับมาเมืองไทยหลังจากผ่าน 5 ปีไปแล้ว แต่กริชไม่กล้ารับคำ ส่วนเงินที่พ่อให้นั้นกริชไม่อยากรับ พร้อมทั้งเรื่องบ้าน แต่พี่สาวได้พูดอ้อนวอนพร้อมกับน้ำตาที่คลอออกมาให้เห็นของพ่อ ทำให้กริชใจอ่อนยอมรับรวมถึงสิ่งที่พ่อขอร้องไว้คือขออย่าให้กริชนำรูปของแม่ไปด้วยขอให้ไว้ที่บ้าน พ่อจะได้มาไหว้ทุกเดือน กริชยอมทำตามที่พ่อขอเปลี่ยนเอารูปวันที่ถ่ายตอนรับปริญญากับแม่ไปแทน และกริชได้ทำสิ่งที่ไม่เคยในชีวิตคือการกราบที่เท้าของพ่อเป็นการอำลา พ่อกับลูกกอดกันทั้งน้ำตาของทั้งคู่ที่ไหลออกมา ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะบอกกับลูกชายคนเล็กว่า
“กริชพ่อขอโทษ”
เท่านี้กริชก็ซาบซึ้งแล้วแต่ไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจ ก่อนที่จะมองหน้าของหม่อนพร้อมยิ้มให้ หม่อนที่น้ำตาเริ่มคลอเพราะรู้อะไรบางอย่างแต่พูดไม่ได้ จึงได้แต่พูดว่า
“โชคดีนะพี่กริชติดต่อมาบ้างละ ถ้าเป็นไปได้พี่กริชเล่นเฟซนะจะได้คุยกันบ่อยๆ”
“ได้สิ พี่ไปถึงก่อนแล้วจะสมัครจะแอดมาที่หม่อนทันที พี่ไปก่อนนะ ดูแลตัวเองด้วย ฝากกราบลาพ่อกับแม่หม่อนด้วยละ พี่เสียมารยาทที่ไม่ได้ไปลาด้วยตัวเองแต่เห็นยุ่งๆอยู่ บอกว่าพี่กราบขอโทษจริงๆที่มาลาด้วยตัวเองไม่ได้ ไปนะ”
“พี่กริชพรุ่งนี้หม่อนไปส่งพี่กริชได้หรือเปล่า”
“ได้สิ”
หม่อนได้สอบถามเวลาก่อนที่กริชจะลงบันไดเลื่อนไป เธอมองกริชจนลับตาก่อนจะนึกย้อนไปว่าหลังจากที่มี่กลับมาจากบ้านของกริชวันที่ไปแจกการ์ดมี่ดูเศร้าหมองมาก หม่อนเลยไปถามตรงๆว่ามี่รักกริชใช่หรือเปล่าคำตอบคือ
“ใช่หม่อนพี่รักผู้ชายคนนี้ทั้งๆที่....”
มี่เหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่หยุดไว้ทันทีเธอหยุดปากไว้ทันก่อนจะหลุดปากให้น้องสาวรู้ว่าเธอกลับกริชมีอะไรกันแล้ว
“ทั้งๆที่อะไรพี่มี่”
“ทั้งๆที่พี่แสดงออกให้เห็นว่ารักแต่กริชกับนิ่งเฉย เค้ามัวแต่ยึดกับปมกับศักดิ์ศรีของเค้านั่นแหละ”
มี่บอกน้องสาวไม่หมดและได้ร้องไห้ออกมา พร้อมบอกว่ามันย้อนเวลาไปไม่ได้แล้วเธอตัดสินใจแล้วกริชก็เช่นกัน ทำให้หม่อนที่มองตามหลังกริชไปแล้วพร้อมกับความคิดที่ว่า
“พี่กริชถ้าพี่กริชยอมลดศักดิ์ศรีคลายปมของตัวเองออก ผู้ชายที่ยืนคู่กับพี่มี่ในวันนี้คือพี่กริช แต่ในเมื่อพี่กริชเลือกทางเดินของพี่แล้ว หม่อนของให้พี่โชคดีประสพความสำเร็จในเส้นทางที่พี่กริชเลือก”
หม่อนเช็ดน้ำตาที่คลอออกมาก่อนเดินกลับเข้าไปในงานด้วยความรู้สึกสงสารทั้งพี่สาวตัวเองกับกริชที่รักกันแต่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้