ระหว่างที่ทานอาหารอัปษรก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงเรื่องของยู เธอนั้นรู้แต่ชื่อเล่นเท่านั้น นอกจากนั้นเธอไม่รู้อะไรเลย ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้กับเธออย่างมาก เพราะปกติทุกเรื่องที่เธอต้องการจะมีคนสนองตอบได้ทุกครั้งแต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ แต่เธอก็ไม่กล้าพาลใส่คนอื่นเหมือนเช่นเคย เพราะรู้ว่าเรื่องนี้มันลำบากเกินความสามารถ เพราะทุกคนรู้จากพนักงานของโรงแรมว่า ห้องจัดเลี้ยงที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมมีงานเลี้ยงซึ่งมีแต่บุคคลสำคัญเข้าร่วมทั้งนั้น แต่พอทานเสร็จและพวกเธอกำลังจะเดินทางกลับที่พัก เหมือนจะมีความหวังเข้ามาเพราะระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากโรงแรม ในกลุ่มผู้สื่อข่าวที่รอทำข่าวอยู่ในห้องโถงนั้น มีเสียงเรียกเธอเป็นภาษาไทยว่า
“คุณษร คุณษร”
ทำให้กลุ่มของเธอหันไปมอง และพบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินมาหาเธอคือนักข่าวสาวชื่อดังที่กำลังมาแรงแต่ส่วนใหญ่เธอจะทำข่าวด้านการเมือง
“อ้าวคุณตรีสวัสดีคะ มาเที่ยวหรือมาทำงานคะ”
เธอรีบไหว้นักข่าวสาวที่เดินมาหา
“มาทำงานคะ แล้วนี่คุณษรมาเที่ยวหรือคะ”
“ทำงานคะ ษรมาถ่ายแบบนะคะ แล้วคุณตรีมาทำข่าวอะไรหรือคะ”
นักข่าวสาวยิ้มให้กับนักแสดงสาวชื่อดังก่อนบอกว่า เธอกับทีมงานได้รับมอบหมายให้มาทำข่าวการเจรจาการค้านอกรอบของไทยกับประเทศในแอฟริกาที่นี่ แต่ตั๋วเครื่องบินเต็มเธอเลยถึงมาก่อนคณะเจรจาตั้งแต่เมื่อวาน ก่อนจะบอกว่า
“และบังเอิญ พอดีมีงานเลี้ยงของ พวกระดับรัฐมนตรีในยุโรปกับพวกนายทหารระดับ ผู้บัญชาการที่นี่นะคะ บก.เลยลองให้มาหาข่าวดูเผื่อจะมีสกู๊ปเด็ดๆ”
“มีคนไทยเข้าร่วมด้วยหรือคะ”
ครั้งนี้ดีดี้เป็นคนถาม แต่นักข่าวสาวตอบมาว่า
“ไม่มีนี่คะ นอกจากในยุโรปก็จะ มีแต่พวกจากตะวันออกกลางกับพวกญี่ปุ่นเกาหลีเท่านั้น ขนาดท่านทูตไทยยังไม่ได้รับเชิญเลยคะ”
อัปษรกับผู้จัดการหันมามองหน้ากัน แต่แล้วเธอเกิดความคิดอะไรออกมาก่อนจะบอกไปทางนักข่าวที่คุ้นเคยกันว่า
“แต่คุณตรี ษรเห็นคนไทยด้วยนะคะ เห็นเค้าเดินไปกับพวกฝรั่งตัวโตๆที่มางานเลี้ยง”
“หืม แน่ใจหรือคะ”
“คะ เพราะษรมาเครื่องบินลำเดียวกับเค้า เลยรู้ว่าเป็นคนไทยคะ”
“อืมชักน่าสนแล้วสิขอบคุณมาก นะคะคุณษร”
“ไม่เป็นไรคะ แต่ถ้าคืบหน้ายังไงรบกวนบอกษรหน่อยนะคะ อยากรู้เหมือนกัน เบอร์ษรเบอร์เดิมนะคะ ไม่ก็ทางไลน์ก็ได้คะ”
ทั้งคู่ต่างพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งก่อนที่ดาราสาวกับทีมงานจะขอตัว พอเดินพ้นไปไม่ไกลนัก ผจก.ได้หันมากระซิบกับดาราสาวว่า
“แหมถือโอกาสเลยนะ”
“ไม่ได้พี่ พี่ก็รู้ษรอยากได้อะไรก็ต้องได้”
เธอพูดด้วยความลำพองใจและหมายมั่นปั้นมือว่าต้องรู้เรื่องของยูให้ได้ จนถึงเวลางานเลี้ยงเลิกนักข่าวนั้นได้แห่กันไปรอที่ลิฟท์ แต่ก็สร้างความผิดหวังให้พอสมควร เพราะแขกของงานหลายคนพักในโรงแรมนี้ และบางคนได้หลบออกไปขึ้นรถที่ลานจอดด้านหลัง แต่ก็มีบางคนยอมให้สัมภาษณ์ จน คณะของยูเดินลงมา มีนักข่าวท้องถิ่นบางคนได้ไปขอสัมภาษณ์พ่อทูนหัวของยู ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์สั้นๆก่อนจะเดินออกไป และตรีนั้นพอเห็นยูเธอรู้ว่ายูเป็นคนไทยทำให้เธอเดาว่าคนไทยคนนี้คือคนที่ษรบอกแน่นอนแต่เธอรู้สึกว่าคุ้นหน้ายูอยู่พอสมควร ก่อนที่จะสั่งให้ช่างภาพบันทึกภาพยู แต่แล้วเธอก็ถูกคาร์รอสที่เดินประกบยูสังเกตเห็นว่าจูเนียร์ถูกถ่ายภาพ จึงเดินไปคุยกับนายตำรวจที่เดินมาส่งแล้วชี้มาทางตรีกับทีมงาน นายตำรวจคนนั้นได้เดินมาที่เธอก่อนจะทักทายด้วยคำพูดเป็นภาษาอังกฤษที่สุภาพ โดยสอบถามว่าเธอมาจากประเทศไหน พอได้รับคำตอบจึงได้รับคำชี้แจงว่ากรุณาอย่านำรูปที่มียูอยู่ในภาพไปลงในสื่อทุกชนิดเพราะยูต้องการความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะที่เมืองไทย
ซึ่งตรีรับปากทันที เพราะเธอไม่รู้ยูกับพ่อทูนหัวเป็นใคร ที่เธอมาหาข่าวในงานนี้เพราะ บก .บอกว่าให้ลองมาถ้าไม่ได้ข่าวก็ไม่เป็นอะไรเพราะไหนๆก็มาถึงมาดริดแล้วและเธอกับทีมงานอีก 2คน ก็ไม่ได้หาข้อมูลมาเท่าไหร่นักนอกจากที่เธอแค่รู้สึกว่าคุ้นหน้าชายหนุ่มที่หน้าตาดีคนนี้แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน แต่เธอไม่รู้ว่านายตำรวจคนนั้นได้โทรไปรายงานให้คาร์รอสทราบว่าได้ดำเนินการไปอย่างไรบ้าง ซึ่งรองหัวหน้า รปภ.ที่นั่งอยู่ตอนหน้ารถได้รับทราบก่อนที่จะประเมินว่าเรื่องนี้แค่รายงานให้มิเกลรับทราบก็พอแล้ว ไม่ต้องให้ไปถึงบอสเพราะทุกคนในทีม รปภ.และฝ่ายประชาสัมพันธ์จะรู้กันว่าเป็นนโยบายของบอสที่จะต้องกันให้จูเนียร์พ้นจากสื่อให้มากที่สุด เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะให้พวกสื่อมายุ่งกับชีวิตของยู
จึงไม่มีสื่อฉบับใดในสเปนหรือในยุโรปได้ลงข่าวหรือรูปของยูเลย เพราะเป็นที่รู้กันว่า เคยมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ลงข่าวซุบซิบหน้าสังคมตอนที่ยูกลับไปเรียนที่เมืองไทย ผลคือ โรแบร์โต้สั่งถอนโฆษณาของบริษัททุกอย่างที่เกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นและสื่อในเครือออกทันที ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทุกสื่อในสเปนกับในยุโรปจะพร้อมใจที่จะไม่ลงภาพและเอ่ยถึงยูไม่ว่าจะยูจะไปออกงานไหนๆร่วมกับพ่อและแม่ทูนหัว
แต่ตรีนั้น ถูกนักข่าวท้องถิ่นหันมาถามเธอว่า
“คุณมาจากเมืองไทยใช่ไหมครับ”
“ใช่คะ”
“มิน่า คุณถึงไม่รู้จัก บิ๊กบอสของกลุ่มบริษัท“เมนเตซ” กับพรินซ์ออฟบาร์เซโลน่า “
“หืมอะไรนะ พรินซ์ออฟบาร์เซโลน่า”
พอเธอทำหน้าสงสัย นักข่าวผู้นั้นได้อธิบายให้เธอรู้คร่าวๆ พร้อมเรื่องของยู ที่หลายๆคนทราบว่ายูนั้นคือใครเกี่ยวข้องกับตระกูลนี้อย่างไรจนนักข่าวและคนในวงการสื่อให้ฉายากับยูว่า พรินซ์ออฟบาร์เซโลน่าแต่ได้รับการขอร้องจากทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกลุ่มเมนเตซว่าอย่าลงข่าวเกี่ยวกับยู ทำเอาเธอเริ่มสนใจก่อนที่เธอจะชวนทีมงานกลับไปที่พัก พอถึงห้องพัก ตรีเธอรีบเปิดคอมพิวเตอร์และหาข้อมูลของ เมนเตซ โรแบร์โต้ จนได้รู้ว่าเป็นนักธุรกิจคนสำคัญของภาคพื้นยุโรป มีธุรกิจการค้าที่ดูแลหลายประเภทและมีสำนักงานที่ตั้งอยู่เกือบทั่วทวีปยุโรปแต่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ บาร์เซโลน่าแต่ไม่มีข้อมูลตรงไหนที่เอ่ยถึงยูหรือ พรินซ์ออฟบาร์เซโลน่าเลย แต่เธอนั้นยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่า เธอเคยหน้าของยูจากที่ไหน
ในส่วนของยูนั้น พ่อทูนหัวนั้นพอใจเป็นอย่างมากที่ยูทำหน้าที่ได้อย่างดีในงานเลี้ยงวันนี้ ทำให้บุคคลสำคัญของหลายๆประเทศรู้จักลูกชายตนเองมากขึ้น จนในงานเลี้ยงระหว่างที่ยูกับคุยกับเจ้าชายจากตะวันออกกลางที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหมด้วยพร้อมทีมงานของเจ้าชาย โรแบร์โต้ที่ยืนอยู่ไม่ห่างได้หันไปคุยกับมิเกลและแมรี่ว่า
“จูเนียร์ สอบผ่านนะงานนี้ ไม่เสียแรงที่สอนกันมา”
“ครับเพราะบอสกับมาดาม และคุณพ่อคุณแม่ของจูเนียร์ด้วย ที่ช่วยกันสอนกันอบรมจนจูเนียร์เป็นคนเก่งได้ในวันนี้”
แมรี่นั้นไม่ตอบอะไรได้แต่ส่งสายตาที่ชื่นชมไปยังยู เธอพอจะรู้อยู่บ้างว่ากว่าจะถึงวันนี้จูเนียร์ต้องผ่านการอบรมที่เข้มงวดมากขนาดไหนและ ระหว่างที่นั่งเครื่องบินกลับบ้านโดยที่แมรี่กับทีมงานจะเดินทางกลับวันพรุ่งนี้พร้อมรถ โรแบร์โต้ได้พูดคุยกับลูกชายในเรื่องที่ได้พูดคุยกับเจ้าชายจากประเทศตะวันออกกลาง ที่ดูไม่ถือตัว แล้วทางมิเกลได้เดินมาบอกหลังจากที่วางโทรศัพท์ที่คุยกับนักบินว่า
“บอสครับ นักบินแจ้งว่า ลมค่อนข้างแรงและเมฆค่อนข้างเยอะ ทางนักบินคอปเตอร์แนะนำไม่ควรนำเครื่องขึ้นครับ ผมแนะนำให้กลับรถจะดีกว่าครับ”
ผู้เป็นพ่อพยักหน้า มิเกลจึงเดินกลับไปโทรศัพท์กับนักบินเพื่อให้ประสานเรื่องการเดินทางกลับบ้านของสองพ่อลูก จนเครื่องลงที่สนามบิน หลังจากที่ก้าวลงมาที่ลานจอด ซึ่งมีรถ เอสยูวี สีดำ 3 คันมาจอดรออยู่แล้ว มิเกลเดินนำสองพ่อลูกไปที่รถคันกลาง และตนเองขึ้นไปนั่งด้านหน้าหลังจากปิดประตูให้เรียบร้อย ก่อนพูดวิทยุให้เคลื่อนขบวน จนถึงบ้านพอขบวนรถวิ่งอ้อมวงเวียนน้ำพุที่อยู่หน้าทางเข้าบ้าน หลังจากรถจอดสนิท ทันทีที่ยูก้าวลงจากรถ สุนัขพันธ์โดเบอร์แมน 4 ตัว ที่วิ่งตามมาตั้งแต่รถเลี้ยวเข้าบ้านได้วิ่งเข้ามาหายูพร้อมทำท่าจะตะกายแต่ มิเกลส่งเสียงปรามออกมาก่อน แต่ยูก้มลงไปเล่นกับสุนัขทั้ง 4 ตัวก่อนที่ บลูกับซีซ่าร์จะวิ่งตามมา และบลูเหมือนจะส่งเสียงอะไรบางอย่างออกมา จนโดเบอร์แมนทั้ง 4 ตัวต่างแยกย้ายไปทางหน้าบ้าน โดยมิเกลบอกมาว่า
“บูลไล่ลูกน้องไปเดินตรวจบ้าน แต่ตัวเองมาเล่นกับจูเนียร์แทน”
ยูหัวเราะออกมาเพราะรู้ดีว่าสุนัขเซนเบอร์นาดตัวนี้สืบทอดตำแหน่งจ่าฝูงมาจากรุ่นพ่อ ที่จะทำหน้าที่ปกครองสุนัขทุกตัวในบ้านนี้ ก่อนที่ยูจะกล่าวขอบคุณทีมบอดี้การ์ดทุกคน ที่มาดูแลตนเองในวันนี้ ซึ่งทุกคนยิ้มรับเพราะรู้ดีว่า จูเนียร์จะทำแบบนี้ทุกครั้ง ก่อนที่สองพ่อลูกจะเดินเข้าไปในบ้าน โดยมี ปาสกาลยืนรออยู่แล้ว ก่อนที่ โรแบร์โต้จะบอกกับยูว่า
“ถ้ายูยังไม่ง่วง พ่อว่าสักเกมส์กันดีไหม”
“งั้นเราไปห้องสมุดเลยครับ ดีเหมือนกัน เราไม่ได้เล่นกันมา 2 เดือนแล้ว”
ทำให้พ่อบ้านถามว่า
“งั้นสองคนพ่อลูกจะรับอะไรเพิ่มเติมไหมครับ”
ยูตอบไปว่า
“งั้นขอโกโก้ให้ยู แล้วนมร้อนให้แด้ดแล้วกันครับ วันนี้ดื่มแชมเปญมา3-4 แก้วแล้ว เล่นเอามึนเหมือนกัน”
พ่อบ้านรับคำสั่งก่อนเดินไปทางห้องครัวก่อนที่ยูกับพ่อทูนหัวจะเดินขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้าน เลี้ยวไปที่ห้องสมุดที่มีขนาดใหญ่และยูเป็นคนจัดการเอากระดานหมากรุกฝรั่งมาวางบนโต๊ะก่อนที่จะเริ่มเล่นกันระหว่างพ่อกับลูก ซึ่งเป็นกีฬาที่ยูกับพ่อทูนหัวโปรดปรานมากและ โรแบร์โต้เป็นคนสอนให้ยูเล่นตั้งแต่วัยเยาว์ และการประลองสมองของสองพ่อลูกทำท่าจะยาวนานโดยไม่สนกับเวลา จนมิเชลที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมได้มายืนตรงหน้าประตูห้องสมุดและบอกว่า
“พอได้แล้วคะ พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นกันต่อ นี่เกือบจะตี 2แล้ว พักผ่อนก่อนเถอะคะ จูเนียร์ยังไม่ได้พักเลย”
ทำเอาสองพ่อลูกหัวเราะ และทำตามคำขอของแม่บ้านเจ้าระเบียบได้อย่างดี ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอน จนช่วงเช้าตรู่ ยูได้ตื่นขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนลงไปที่คอกม้า แล้วสวมอานไปที่ม้า 2ตัว โดยมีคนเลี้ยงคอยช่วยอำนวยความสะดวก พอเรียบร้อย ยูให้สัญญาณกับคนเลี้ยงก่อนที่ตัวเองจะขึ้นม้าตัวสีน้ำตาลแล้วขี่นำม้าอีก 4ตัวออกมาวิ่งที่สนามขี่ม้า และ บลูกับซีซ่าร์ที่ยังไม่ถูกนำกลับเข้าไปที่กรง พอเห็นเจ้านายขี่ม้า จึงมาวิ่งเล่นด้วยเหมือนอย่างทุกครั้ง จนพ่อทูนหัวของยูออกมาเห็นพร้อมกับพ่อบ้านทั้งคู่ยืนมองไปที่ยูที่ขี่ม้าอยู่ ก่อนที่โรแบร์โต้จะบอกว่า
“เค้าทำให้ผมไม่ผิดหวังเลยนะปาสกาล ทุกสิ่งที่เราอบรมกับสอนเค้ามามันได้ผลจริงๆ ถ้าพ่อเค้าอยู่คงภูมิใจกับลูกชายเค้ามาก”
โรแบร์โต้พูดพร้อมนึกไปถึงเพื่อนสนิทที่เสียชีวิตไปอย่างกะทันหันด้วยโรคหัวใจเมื่อ 2 ปีก่อนและนึกย้อนไปตอนที่จะรับยูมาดูแลพร้อมคำสัญญากับพ่อและแม่ของยูว่าจะดูแลยูอย่างดีเหมือนกับลูกของตัวเอง ซึ่งตนเองกับภรรยานั้นทำตามสัญญาจริงๆ จนยูนั้นกลายเป็นผู้ที่จะสืบทอดธุรกิจจากตนเองในอนาคตอันใกล้นี้
“ครับท่าน ผมก็ว่าแบบนั้น รวมถึงคุณผู้หญิงด้วยที่ดูแลมาตั้งแต่เล็กๆถึงจะเข้มงวดไปบ้าง ”
“ใช่ เทราซ่าเข้มงวดกับยูมากจริงๆ แต่ก็ได้ผล แต่ผมก็ยอมรับนะว่าช่วงหลังนี้ๆผมมอบภาระหนักๆให้เค้าหลายเรื่อง ผมเองก็หวั่นๆว่ายูจะรับไม่ไหว แต่เค้าก็ทำได้ แต่ถ้าผมไม่ทำตั้งแต่ตอนนี้ ผมกลัวอนาคตยูอาจจะรับไม่ไหวก็ได้ ในเมื่อตอนนี้ผมยังไหว ยังมีอำนาจมีบารมีอยู่ ผมต้องส่งเค้าให้โตกว่านี้ให้ได้ แต่ผมก็คุยกับคุณพี่ตลอด แม่เค้าก็บอกว่ายูยังรับได้”
การสนทนาสิ้นสุดลง เพราะยูขี่ม้านำม้าตัวสีขาวที่มีอานสวมเรียบร้อยขี่มาหาโดยสุนัขทั้งสองตัววิ่งตามาติดๆ แล้วยูหยุดม้าให้ยืนพร้อมบอกว่า
“แด้ดครับยูเตรียมไว้แล้ว มาออกกำลังด้วยกันครับ”
ผู้เป็นพ่อหัวเราะออกมาแล้วตอบลูกชายว่า
“พ่อว่ายูขี่ไม่เร็วเลยนะวันนี้”
“ไม่อยากเร็วครับ สงสารบลูกับซีซ่าร์แค่นี้ก็ลิ้นห้อยแล้วแต่ไม่ยอมหยุดวิ่ง”
ยูตอบพร้อมมองไปที่สุนัขทั้งสองตัวที่ตอนนี้ต่างก้มไปดื่มน้ำในอ่างที่ตั้งวางไว้ใกล้ๆ โรแบร์โต้ไม่พูดอะไรก่อนก้าวขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่ว พร้อมพยักหน้าให้กับบุตรชายก่อนที่ทั้งคู่จะขี่ม้าคู่กันออกไปที่สนามขี่ม้าโดยสุนัขทั้งสองตัวตามไปติดๆหลังจากนั้นพอขี่ม้ากันเรียบร้อย ยูได้ให้คนเลี้ยงนำมาไปที่คอกรวมถึงบลูกับซีซ่าร์ด้วย และทั้งคู่ต่างทานอาหารเช้าที่มิเชลจัดเตรียมไว้ให้ตรงศาลาทรงไทยที่อยู่บริเวณที่ทำเป็นเนินที่อยู่ไม่ห่างจากคอกม้าไม่เท่าไหร่ ซึ่งศาลานี้สร้างตั้งแต่ยูมาอยู่ที่นี่และมีการปรับปรุงให้ดูใหม่อยู่ตลอด ซึ่งบางครั้งจะใช้เป็นที่ให้ยูมานั่งทำการบ้าน หรือใช้เรียนภาษาเพิ่มเติมโดยมีแม่ทูนหัวจะมาควบคุมอย่างใกล้ชิดทุกครั้งไป ระหว่างที่ทานอาหารโรแบร์โต้ได้ถามไปที่บุตรชายว่า
“พรุ่งนี้ ที่มาดริดยูจะใช้รถคันไหนลูก”
ยูนิ่งคิดไปก่อนจะบอกว่า
“ออฟฟิตที่นั่นมีแลนด์โรเวอร์อยู่ ยูใช้คันนั้นก็ได้ครับ คันที่ทีมบอดี้การ์ดใช้เมื่อคืนนะครับ”
ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าแบบไม่เห็นด้วย ยูนั้นรู้ว่าหมายถึงอะไร เลยบอกว่า
“งั้นเอาแอสตั้นมาร์ตินก็ได้ครับ”
“แบบนี้ โอเคหน่อยลูก จะไปเจรจาทั้งทีเอารถที่เหมาะหน่อยถึงจะเจรจาที่โรงแรมก็เหอะแล้วเรื่องทีมของมิเกลละ”
“เอ่องานนี้ ยูฉายเดี่ยวดีกว่าครับ ไม่น่าจะมีอะไร”
ผู้เป็นพ่อพยักหน้าแล้วบอกมาว่า
“ งั้นพ่อให้คนขับรถ ขับไปเลยแล้วกันเอาไปจอดที่ออฟฟิตที่นั่นก่อนแล้วพรุ่งนี้ให้ขับไปรอ ยูที่สนามบิน”
“ครับแด้ด”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าพ่อทูนหัวของตนเองนั้นหมายถึงอะไร ในเมื่อยูจะใช้ธุรกิจของตนเองไปเป็นเรื่องในการเจรจากับล็อบบี้ยิสต์ มันหมายถึง หน้าตาของกลุ่มเมนเตซด้วย ยูต้องทำให้อะไรให้เหมาะกับฐานะของผู้ที่จะสืบทอดของกลุ่มธุรกิจนี้ พอทานเสร็จยูได้แยกตัวไปที่ห้องนอนเพื่อหยิบไอแพ่ดและเดินมาห้องทำงานที่เคยเป็นห้องทำงานของพ่อยู มาก่อน เพื่อจะเตรียมการสำหรับการประชุมในวันพรุ่งนี้ พอเปิดประตูเข้าไป ห้องทำงานที่จะอยู่บนชั้น 2 ของบ้านแต่คนละด้านกับห้องสมุด ทุกอย่างยังเหมือนเดิมกับสภาพของห้องที่ดูโอ่อ่า โต๊ะทำงานกับเก้าอี้ราคาแพง ตู้เก็บเอกสารและชั้นวางตำราที่อยู่อีกมุมของห้อง ซึ่งทุกอย่างได้รับการดูแลอย่างดีและสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาหลังจากที่ พ่อของยูเสียชีวิตแล้วคือรูปพ่อของยูที่อยู่ในชุดสูท มีขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวจริง อยู่ในกรอบสีทองขนาดใหญ่ที่นำมาติดบนผนังหลังโต๊ะทำงาน ยูส่งยิ้มให้กับรูปของพ่อ
แล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานพอนั่งเก้าอี้ ก่อนจะเปิดคอม ยูมองไปกรอบรูปบนโต๊ะที่เป็นรูปที่ถ่ายร่วมกับพ่อและแม่ที่แท้จริง โดยในภาพพ่อกำลังอุ้มยูโดยมีแม่ยืนข้างๆ ภาพนี่ถ่ายที่เมืองไทยตอนยูกลับไปเยี่ยมญาติที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก ยูมองแล้วนึกถึงพ่อที่จากไปอย่างกะทันหันทำให้มีน้ำตาคลอออกมา แต่ก็พยายามทำใจ แล้วยูเริ่มนั่งอ่านรายละเอียดของงานอีกครั้ง โดยที่เวลาผ่านไปนานพอสมควร ยูได้ยินเสียงเห่าเรียกเบาๆที่ตรงประตูห้องที่ยูเปิดอ้าไว้ ยูเงยหน้าและชะโงกผ่านคอมแล้วเห็นซีซ่าร์โผล่มาตรงประตู ชายหนุ่มเลยส่งเสียงเรียกเข้ามา ซึ่งซีซ่าร์ไม่ได้มาตัวเดียวพาบลูมาด้วย ก่อนที่ซีซ่าร์จะเอาคางมาเกยกับตักของชายหนุ่ม ส่วนบลูนั้นนั่งลงข้างๆเก้าอี้
“ว่าไง บลูชวนซีซ่าร์หลบขึ้นมาอีกละซิ”
ยูพูดพร้อมเอามือไปขยี้หัวของซีซ่าร์ ซึ่งสุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยนเห่ารับเบาๆ แต่ระหว่างนั้น พนักงานรับใช้ผู้หญิงได้โผล่หน้าเข้ามาแล้วถามว่า
“ขอโทษนะคะ จูเนียร์เห็น...........”
คำถามที่ยังไม่ครบประโยค ยูชี้ให้ดูไปที่สุนัขทั้งสองตัว ก่อนบอกว่า
“ไม่เป็นไรครับ ปล่อยไว้แบบนี้ สักพักผมจะไปที่คอกเอง ฝากบอกคนเลี้ยงด้วยไม่งั้นหากันวุ่นอีก”
“ได้คะ เห็นหลังไวๆตอนขึ้นบันไดมาเลยรีบมาตาม ที่ไหนได้แอบมาหาจูเนียร์นี่เอง”
ยูยิ้มแทนคำตอบก่อนที่พนักงานรับใช้จะเดินไป ยูจึงก้มไปบอกสุนัขทั้งสองตัวว่า
“ฮานามิหมดละซิ ให้แม่ส่งมาให้แล้ว คราวนี้รีบมาจนลืมติดมือมา”
สุนัขทั้งคู่ต่างมองมาที่เจ้านายน้อยแล้วถึงนอนข้างๆเก้าอี้ที่ยูพูดแบบนี้เพราะรู้ว่า ขนมสุดโปรดของสุนัขที่เลี้ยงไว้คือฮานามิและเวลาที่ยูมาทุกครั้งยูจะนำติดมือมาด้วยตลอด จนถึงเวลาอาหารกลางวัน ยูจึงพาสุนัขทั้งคู่ไปกลับไปที่กรงและระหว่างอาหารกลางวัน พ่อทูนหัวไปแอบกระซิบบอกว่าเป็นคนแอบปล่อยให้สุนัขทั้งคู่ไปหายู เพราะรู้ว่าทั้งบลูกับซีซ่าร์นั้นคิดถึงยูมาก ทำเอาชายหนุ่มหัวเราะไม่หยุด พอถึงช่วงบ่ายๆยูได้โทรหามารดาอีกครั้ง พร้อมกับรายงานเรื่องต่างๆให้มารดารับทราบ
จนเช้าวันต่อมา หลังจากทานอาหารเช้ากับพ่อทูนหัวเรียบร้อยยูที่อยู่ในชุดสูทและมีเสื้อโค้ทสวมทับได้เดินไปที่ทางลงไปชั้นใต้ดินในส่วนของลานจอดรถ ที่มีรถหรูจอดเรียงรายอยู่ 10 กว่าคัน ก่อนจะมองไปรถวอลโว่ที่พ่อของตนเองใช้ประจำเวลาที่มาที่นี่ ยูยิ้มเศร้าๆเมื่อมองไปที่รถคันนี้ พร้อมนึกถึงอีกคันที่เป็นยี่ห้อเดียวกันที่จอดอยู่ที่บ้านที่เป็นของพ่อเช่นกันและยูก็ไม่เคยนำเอามาใช้ ก่อนที่ตนเองจะใช้รถบีเอ็มที่เป็นรถของตนเองขับออกไป ส่วนพ่อทูนหัวของตนเองนั้นจะออกไปที่ออฟฟิตสายกว่านี้เล็กน้อย
จนถึงสนามบินยูขับรถไปจอดไม่ห่างจากเครื่องบินเท่าไหร่นัก โดยมีนักบินยืนรออยู่แล้ว ยูเดินเข้าไปจับมือนักบินก่อนที่นักบินจะทักด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มว่า
“จูเนียร์จะลองขับไหมครับ”
“ไม่ละครับกัปตัน ผมแค่เริ่มฝึกไปได้ 20 ช.ม.เอง และทิ้งไว้นานแล้ว สงสัยต้องลางานมาเริ่มเรียนใหม่”
ยูตอบแล้วเดินขึ้นไปบนเครื่องโดยนักบินก้าวตามไปติดๆและปิดประตูเครื่อง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนักบินเมื่อเห็นยูนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อย ต่อจากนั้นไม่นานเครื่องบินได้บินขึ้นไปเพื่อมุ่งหน้าไปที่มาดริด จนเครื่องลงจอด รถแอสตั้นมาร์ตินได้มาจอดรอยูอยู่แล้ว ชายหนุ่มหันมาโบกมือแทนคำขอบคุณให้กับนักบินทั้ง 2คน ก่อนจะขับรถออกไปมุ่งหน้าไปสถานทูตไทย และก่อนที่ยูจะเลี้ยวรถเข้า ยูเห็นรถแลนด๋โรเวอร์คันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกลออกจากสถานทูตเท่าไหร่ ชายหนุ่มยิ้มออกมาพร้อมส่ายหน้า เพราะรู้ว่ามิเกลต้องส่งคนมาคุ้มกันตนเองแบบห่างๆแน่นอน ยูยื่นบัตรประจำตัวให้เจ้าหน้าที่ ก่อนจะเดินเข้าไปในสถานทูต แล้วมีเจ้าหน้าที่ของสถานทูตไทย ที่ยูรู้จักเดินมารับแล้วรีบพายูไปพบกันท่านทูตทันทีในห้องทำงานของทูต ยูยกมือไหว้ผู้ที่อาวุโสกว่า พร้อมกับคำพูดของท่านทูตว่า
“นั่งเลยยู ไม่ต้องพิธีรีตองเอาโค้ทแขวนไว้ที่ห้องอาก่อนก็ได้”
ชายหนุ่มทำตามตามคำบอกพร้อมมองไปที่อีกฝ่ายที่ รู้จักคุ้นเคยกันดีมานานแล้ว ทั้งสองคนต่างทักทายกันพอสมควร ซึ่งฝ่ายท่านทูตรู้ดีว่า ยูนั้นพักที่บาร์เซโลน่า เพราะรู้เรื่องของชายหนุ่มเป็นอย่างดีก่อนจะบอกว่า
“อาต้องขอโทษด้วยนะ ที่ขอให้ยูมาช่วยงานโดยเร่งด่วนเพราะอารู้ว่ายูก็บินด่วนมาสเปนเหมือนกัน เอาละเข้าเรื่อง เดี๋ยวอาจะให้ทูตพาณิชย์มาช่วยบรรยายสรุปให้ยู ก่อนจะไปร่วมคุยกับทีมงาน หลายคนยูรู้จักดีอยู่แล้วละ”
“ครับอาธวัชชัย”
ชายหนุ่มตอบสั้นๆก่อนที่ทูตจะเรียกทูตพาณิชย์เช้ามาในห้องซึ่งยูนั้นรู้จักเป็นอย่างดี ทั้งคู่ช่วยกันบรรยายสรุปให้ยูฟังอีกครั้ง ซึ่งเนื้อหาก็ใกล้เคียงกับที่ยูได้อ่านมา ซึ่งชายหนุ่มได้เตรียมคำถามมาพอสมควร ซึ่งบางเรื่องก็ได้รับคำตอบที่น่าพอใจจนเสร็จเรียบร้อย ท่านทูตได้บอกให้ทูตพาณิชย์ไปรอที่ห้องประชุมก่อน แล้วจะพายูตามไปทีหลัง พอทูตพาณิชย์ออกจากห้อง ท่านทูตได้ถามชายหนุ่มที่ตนเองคิดมาตลอดว่าเหมือนหลานคนหนึ่ง
“งานนี้ไหวไหมยู”
“บอกตรงๆลำบากพอสมควรครับอา และหน้าที่ของยูคือนั่งจดข้อมูลและสรุปเป็นข้อๆให้กับ หัวหน้าคณะเจรจาที่ไม่มีพื้นฐานในเรื่องนี้ แต่ต้องก็ลองดูครับ ไหนๆแล้ว อย่างที่เรารู้กัน ถ้าสำเร็จ คนได้หน้าคือใคร แต่ถ้าล้มเหลว อารับไปเต็มๆและแน่นอนมาถึงยูด้วยเพราะอาเสนอให้ยูเข้ามาช่วย ทางนั้นไม่ได้เลือกยูมาร่วมทีมแต่แรก”
ยูตอบรับแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ท่านทูตก็พอใจกับคำตอบและสีหน้าที่แสดงออกมาถึงความมั่นใจของลูกชายอดีตหัวหน้าของตนเองแล้วบอกว่า
“เราทำเพื่อประเทศชาตินะยูและอีกอย่าง ไม่เปลี่ยนใจที่จะย้ายมาที่แน่นะ จะได้อยู่ใกล้ๆกับแด้ด กับลูกสมุนเกือบ 20 ตัวที่บ้าน”
ท่านทูตพูดออกมาเพราะอย่างรู้ข้อมูลเป็นอย่างดีและตนเองเคยเป็นแขกรับเชิญไปทานอาหารที่คฤหาสน์นั้น2-3ครั้งแล้ว ก่อนที่ยูจะตอบมาว่า
“ไม่ละครับอา ยูห่วงแม่ และอีกอย่างอารับไหวหรือครับ ที่จะมีรถมาจอดซุ่มใกล้ๆสถานทูตตลอด”
ทำเอาท่านทูตหัวเราะออกมา พร้อมรู้ดีว่า ถ้าชายหนุ่มย้ายมาประจำที่นี่จะเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเปิดลิ้นชักและหยิบเข็มกลัดที่เป็นสัญลักษณ์กระทรวงการต่างประเทศส่งให้พร้อมบัตรประจำตัวที่ต้องใช้ในการประชุมคราวนี้ ยูรับมาก่อนบอกไปว่าตนเองไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย ดีที่ในกระเป๋าเงินมีบัตรข้าราชการติดมาด้วย ฝ่ายท่านทูตธวัชชัยมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าแล้วนึกไปถึงพ่อของยูที่เคยเป็นหัวหน้างานมาก่อน ยูนั้นถอดแบบผู้เป็นพ่อมาเกือบทุกอย่างทั้งแนวคิดและลักษณะท่าทาง
แต่สิ่งที่ดูจะเด่นกว่าผู้เป็นพ่อคือทักษะใจการเจรจาที่ยูผ่านการอบรมมาจากนักธุรกิจและทีมงานระดับแนวหน้าของยุโรป วิธีการเจรจาขอยูนั้นมีทั้งการใช้ทักษะทางการทูตผสมกับการต่อรองทางธุรกิจ ซึ่งท่านทูตรู้ดีว่าทีมงานที่สนับสนุนของชายหนุ่มนั้นไม่ธรรมดา ก่อนที่ท่านทูตจะเดินพายูไปที่ห้องประชุม ระหว่างทางได้เดินสวนกับผู้หญิงไทย 1คน ที่ทำงานที่สถานทูตแห่งนี้ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นได้ยกมือไหว้ท่านทูต ซึ่งท่านได้หยุดเดินและได้แนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน
“ยูนี่คุณแพงนะ คุณแพงเป็นเจ้าหน้าที่ของสถานทูตและเป็นคนที่ทำหน้าที่เตรียมเอกสารในการเจรจาครั้งนี้ และคุณแพงนี่คือยูทีมงานที่ผมขอตัวเร่งด่วนมาให้ช่วยในการเจรจาครั้ง นี้ อีกอย่างยูเป็นหลานของผมด้วยนะ แต่ที่ไทยคงไม่เคยเจอกันมั้งเพราะทำงานคนละกอง”
ทั้งสองฝ่ายต่างยิ้มให้กันก่อนกล่าวคำทักทาย ยูมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า ประเมินคร่าวๆว่าอายุคงไล่เลี่ยกับตนเองและที่สำคัญหน้าตาดีซะด้วยก่อนที่ท่านทูตจะพายูเดินไปที่ห้องประชุม ส่วนหญิงสาวได้เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะหันไปถามรุ่นพี่ที่อยู่ที่นี่มาก่อนว่า
“พี่เบญ พี่เบญรู้หรือเปล่าว่าท่านทูตเดินไปกับใคร เห็นบอกว่าเป็นทีมงานที่มาจากไทยที่มาเรื่องเจรจานะและบอกว่าเป็นหลานแต่แพงจำได้ว่า ไม่ได้มาพร้อมกับพวกที่อยู่ในห้องประชุมนะ”
หญิงสาวรุ่นพี่ นั่งนึกก่อนถามลักษณะท่าทาง พอหญิงสาวอธิบายลักษณะของยูคร่าวๆทำให้เธอนึกออกทันที
“อ๋อรู้แล้ว ยูนั่นเอง พี่รู้จักเคยทำงานกับพี่ตอนที่ยูเข้ามาทำงานที่กระทรวงใหม่ๆ”
ก่อนที่เธอจะอธิบายคร่าวๆว่ารู้จักชายหนุ่มได้อย่างไร และบอกเพิ่มว่า พ่อของยูก็เคยทำงานที่นี่ และเคยเป็นถึงเลขานุการเอกของสถานทูตไทยที่อิตาลีแต่ลาออกไปทำธุรกิจแล้ว หญิงสาวที่ชื่อแพงพยักหน้ารับรู้ส่วนยูหลังจากที่เข้าประชุม ชายหนุ่มก็รู้ทันทีว่าตนเองนั้นคาดการณ์ไม่ผิดเพราะ หัวหน้าคณะเจรจานั้นไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย มันสร้างความหนักใจให้กับทีมงานเป็นอย่างยิ่ง จนช่วงพักยูได้เดินออกมาจากห้องประชุม และเดินไปทักทายกับเจ้าหน้าที่สถานทูตที่รู้จักอยู่หลายคนแล้วมาสิ้นสุดที่
“พี่เบญสวัสดีครับ สบายดีนะพี่”
ทั้งคู่ต่างพูดคุยกันด้วยความคุ้นเคยก่อนที่เบญจะหันไปหาแพงที่นั่งข้างเธอว่า ระหว่างแพงกับยูใครเริ่มงานก่อนกัน ซึ่งพอนั่งไล่ปีแล้วก็รู้ว่าหญิงสาวนั้นเริ่มงานก่อนชายหนุ่มและแพงแอบสังเกตเห็นแหวนที่ชายหนุ่มสวมที่นิ้วนางข้างขวาซึ่งมันสะดุดตาเธอมาก กับลักษณะของแหวนที่ดูเหมือนสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง ต่างจากแหวนทองที่สวมที่นิ้วนางข้างซ้ายที่ดูออกว่าเป็นแหวนนามสกุลเพราะเป็นภาษาไทย ก่อนที่ยูจะขอตัวไปประชุมต่อ โดยเบญแอบกระซิบกับเพลงว่า
“สูทที่ยูใส่นะคิดเป็นเงินไทยหลายหมื่น”
“คงจะรวยมากสิพี่”
“อ้าวเธอไม่รู้จัก พรินซ์ออฟบาร์เซโลน่า หรือไง”
แพงส่ายหัวแล้วทำหน้างงๆ แต่สาวรุ่นพี่นั้นบอกว่า
“งั้นก็ไม่รู้ต่อไป อยากรู้สืบเอาเอง เพราะนี่คือฉายาของยูที่คนที่นี่เรียก”
ทำแพงหัวเราะออกมาทั้งๆยังสงสัยอยู่ จนช่วงเย็นหลังเลิกงาน ระหว่างที่แพงกำลังจะเดินออกจากสถานทูตเพื่อกลับที่พัก เธอเห็น ยูขับรถแอสตั้นมาร์ตินออกไป ทำให้เธอรู้ว่าฐานะของยูนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะเบญได้เล่าเสริมว่า ยูนั้นมีที่พักอยู่ที่บาร์เซโลน่าแต่ไม่บอกอะไรเพิ่มเติมรวมทั้งคำว่าพรินซ์ออฟบาร์เซโลน่า ส่วนยูนั้นได้ขับรถไปจอดที่สนามบินและขึ้นเครื่องบินที่มาจอดรออยู่แล้วกลับบาร์เซโลน่า พอเครื่องบินไปถึง ยูได้ขับรถกลับบ้านทันที พร้อมกับโซเฟียร์ได้โทรมาแจ้งว่ามีงานที่ต้องรายงานให้ชายหนุ่มรับทราบและตอนนี้เธอได้รออยู่ที่บ้านแล้วพร้อมกับพ่อทูนหัวของยู พอไปถึงยูนำรถไปจอดที่ลานจอดชั้นใต้ดินก่อนเดินขึ้นไปและพบว่าหญิงสาวได้รออยู่ที่ห้องโถงแล้ว ยูชี้มือขึ้นไปที่ชั้นบนแล้วบอกว่า
“ไปคุยที่ห้องทำงานพ่อผมแล้วกัน”
หญิงสาวเดินคู่ไปกับยูทันที และพอถึงห้องทำงานเมื่อนั่งที่เก้าอี้เรียบร้อยแล้ว โซเฟียร์สังเกตสีหน้าของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานที่หรูหราและดูออกว่ายูนั้นเครียดอยู่พอสมควร แต่เธอก็รายงานทันทีเมื่อยูพยักหน้า จนเธอรายงานจบพร้อมตอบข้อซักถามของยูแล้ว เธอจึงถามไปว่า
“เครียดมากหรือคะ จูเนียร์”
ยูพยักหน้าแต่ไม่ตอบอะไรนอกจากเอ่ยปากชวนเธอทานมื้อเย็นที่บ้านซึ่งเธอตอบตกลง ซึ่งพอดีกับยูรับโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานและรู้ว่าพ่อทูนหัวนั้นโทรมาเรียกให้ไปทานอาหารมื้อเย็น ยูพยักหน้ากับหญิงสาวและเดินออกไปจากห้องทำงานเพื่อไปที่ห้องครัว ทั้งคู่ต่างเดินผ่านห้องอาหารขนาดใหญ่ที่มีโต๊ะยาว ที่นั่งทานอาหารได้พร้อมกัน 20 คน ทั้งคู่ต่างมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ก่อนที่ยูจะบอกว่า
“ไว้ให้ทำงานเสร็จก่อนจะเอารถไฟมาวิ่งบนโต๊ะตัวนี้”
ทำเอาหญิงสาวหัวเราะเพราะรู้วีรกรรมของชายหนุ่มตั้งแต่สมัยเด็กๆเป็นอย่างดี เพราะบางครั้งเธอกับเพื่อนคนไทยของยูอีก 2 คนที่เป็นคู่แฝดชายหญิงมักจะมีส่วนร่วมกับกับการเล่นที่แผลงๆของยูในคฤหาสน์หลังนี้ จนทำให้มิเชลกับแม่ของเธอนั้นปวดหัวอยู่หลายครั้งถ้าตัวแสบทั้ง 4 คนมารวมตัวกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปที่ห้องครัว ซึ่งโรแบร์โต้นั้นนั่งรออยู่แล้วพร้อมอาหารบนโต๊ะ พอยูกับโซเฟียร์นั่งลง สายตาของยูนั้นไปเห็นอาหารบนโต๊ะจานหนึ่ง แล้วมองหน้าพ่อทูนหัวก่อนถามว่า
“คะน้าหมูกรอบ แด้ดสั่งหรือมิเชลทำให้ครับ”
ยูนั้นรู้ดีว่า อาหารบนโต๊ะของบ้านหลังนี้ตั้งแต่ยูมาอยู่ จะต้องมีอาหารไทยอยู่บนโต๊ะอย่างน้อย 1 อย่างเสมอ และแม่ของยูเป็นคนสอนให้แม่ทูนหัวกับมิเชลเป็นคนทำซึ่งพ่อทูนหัวของยูนั้นก็โปรดปรานอาหารไทยอยู่แล้วด้วย ไม่ว่ายูจะอยู่หรือไม่ก็ตามจะต้องมีอาหารไทยอย่างน้อย 1อย่างอยู่บนโต๊ะอาหารทุกครั้งไป ส่วนอาหารอย่างอื่นนั้นจะมีเชฟฝีมือดีทำให้อยู่แล้ว ซึ่งโรแบร์โต้ตอบไปว่า
“พ่อสั่งเอง อยากกินขึ้นมา แต่รสชาติอาจจะแตกต่างกับต้นตำรับไปบ้างจริงหรือเปล่าโซเฟียร์”
ประโยคหลังได้ถามหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ตนเองมองเหมือนคนในครอบครัวคนหนึ่งที่เห็นมาแต่เล็กๆและโตมาพร้อมกับกับยูซึ่งตอนนี้ก็เป็นเหมือนเลขาของลูกชายตนเอง
“คะท่าน ถ้าคุณแม่จูเนีย์ทำ จะเข้มข้นกว่าที่มิเชลทำเล็กน้อย”
โรแบร์โต้พยักหน้าก่อนจะลงมือทานอาหารซึ่งหัวข้อการสนทนาเป็นเรื่องทั่วไปไม่มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้อง หลังจากทานเสร็จ ยูนั้นเดินไปส่งโซเฟียร์ที่รถ ซึ่งเธอนั้นได้รับสิทธิพิเศษให้นำรถมาจอดได้ที่ลานจอดรถใต้ดินซึ่ง โซเฟียร์ได้บอกกับยูว่าไม่อยากให้ยูเครียดไปมากกว่านี้ อยากจะให้ยูผ่อนคลายลง ซึ่งยูได้แต่ยิ้มรับ จนโซเฟียร์ขับรถออกไป ยูนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังไม่โทรหามารดา จึงโทรหาทันที ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้น 2เพราะรู้ว่าพ่อทูนหัวของตนเองต้องอยู่ในห้องทำงานแน่นอน ซึ่งยูนั้นคาดไว้ไม่ผิด พ่อทูนหัวอยู่ในห้องทำงานจริงๆ ยูเดินเข้าไปพร้อมสายตาที่มองไปที่ รูปขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังหลังโต๊ะทำงาน ซึ่งเป็นรูปของแด้ดและมัม โดยมียูยืนอยู่ตรงกลาง ภาพนี้ถ่ายหลังจากที่ยูจบปริญญาโททางสหรัฐ โรแบร์โต้ถอดแว่นก่อนละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และถามว่า
“โซเฟียร์กลับไปแล้วใช่ไหมลูก”
“ครับแด้ด”
ก่อนที่จะเล่าเรื่องงานของตนเองในวันนี้พร้อมถึงความกังวลใจที่ฝ่ายไทยได้หัวหน้าทีมที่ไม่มีความสามารถและคาดการณ์ไว้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจอศึกหนักแน่นอนซึ่งพ่อทูนหัวนั้นรับฟังและสอบถามข้อสงสัยแต่ไม่ได้แนะนำอะไร เพราะอยากให้ยูนั้นแสดงความสามารถออกมา และโรแบร์โต้ได้ยื่นกล่องซิการ์มวนเล็กให้บุตรชาย 1กล่องยูนั้นรับแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะขอตัวลงไปข้างล่างเพื่อจะไปดูสุนัข ซึ่งผู้เป็นพ่อนั้นมองตามบุตรชายที่เดินออกจากห้องก่อนหยิบโทรศัพท์แล้วโทรหามารดาของยู
“ครับคุณพี่...................”
ยูนั้นลงไปดูสุนัขที่เลี้ยงไว้ พร้อมเอาพวกตัวเล็กๆที่แม่ทูนหัวของตนเองชอบเลี้ยงมาอุ้มโดยมีอยู่ตัวหนึ่งที่ยูนั้นอุ้มขึ้นมาเล่นนานเป็นพิเศษ เพราะรู้ว่าตัวนี้แม่ทูนหัวของตัวเองรักมาก ยูนั้นเล่นกับสุนัขเสร็จถึงเดินกลับไปบนบ้านและเข้าห้องนอนก่อนจะเตรียมตัวเข้านอนเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้ตนเองต้องเจอกับศึกหนักแน่นอน เพราะยูดูออกว่า หัวหน้าทีมเจรจานั้นมีท่าทีที่ค่อนข้างจะดูหมิ่นยูและไม่ค่อยสนใจในคำแนะนำของยูไหร่นัก จนถึงเวลาเช้าหลังจากทานอาหารเรียบร้อย พ่อทูนหัวได้ถามกับยูว่า
“ที่โรงแรมยูต้องการอะไรพิเศษหรือเปล่า”
ชายหนุ่มนิ่งคิดก่อนตอบไปว่า
“ขอพื้นที่สูบบุหรี่ที่อยู่ไม่ห่างห้องประชุมนะครับแด้ด”
โรแบร์โต้พยักหน้า ก่อนที่บุตรชายจะเดินออกจากห้องครัว และยกโทรศัพท์เพื่อสั่งงานไปยังเลขานุการส่วนตัว ส่วนยูนั้นพอไปถึงมาดริดยูไม่เข้าสถานทูตแต่ขับรถไปที่โรงแรม 5 ดาวที่ใช้เป็นสถานที่ประชุมและที่พักของคณะเจรจาฝ่ายไทย ยูนำรถไปจอดบริเวณที่สงวนให้เฉพาะสำหรับผู้บริหารและแขก VIP. ทันทีที่ก้าวลงจากรถ ผู้จัดการโรงแรมได้เดินเข้ามาต้อนรับทันที ก่อนจะพายูไปที่ห้องประชุม ซึ่งผู้จัดการโรงแรมแจ้งว่า คณะของอีกประเทศกำลังเดินทางมา ส่วนคณะของไทยเริ่มทยอยกันมาที่ห้องประชุมกันบ้างแล้ว ยูพยักหน้ารับทราบก่อนอนุญาตให้ ผจก.ไปทำงานตามปกติ
ส่วนตนเองขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องประชุม ซึ่งชายหนุ่มก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกันที่ต้องมาประชุมที่นี่เพราะโรงแรมนี้เป็นหนึ่งในเครือเมนเตซกรุ๊ป ซึ่ง ผจก.โรงแรมนั้นรู้จักตนเองเป็นอย่างดี แต่ข้อดีอีกอย่างวันนี้มิเกลไม่จัดทีมมาคอยดูแลยู เพราะยูมาทำงานในพื้นที่ของบริษัทซึ่ง รปภ.ของโรงแรมสามารถดูแลปกป้องยูได้ระดับหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือมีสื่อมวลชนของไทยมาทำข่าวพอสมควร ทางมิเกลเลยไม่อยากให้ยูเป็นจุดสนใจเพิ่มขึ้น ยูเอาบัตรที่ได้รับแจกจากสถานทูตเมื่อวานมาคล้องที่คอ แล้วเดินออกจากลิฟท์ ซึ่งยูเห็นมีสื่อมวลชนมาดักรอทำข่าวพอสมควร
ซึ่งระหว่างที่ยูกำลังจะเดินเข้าไปในห้องประชุมนั้น ไม่รอดพ้นสายตาของนักข่าวสาวที่ชื่อตรี ความรู้สึกของเธอกับทีมงานที่พอเห็นชายหนุ่มก้าวออกจากลิฟท์พร้อมคล้องบัตรที่แสดงตัวเองว่าเป็นคณะเจรจาจากทางประเทศไทยนั้น ถึงกับแปลกใจเพราะทุกคนจำยูได้อย่างดีและการประชุมเมื่อวานคณะสื่อมวลชนที่ติดตามนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำข่าวที่สถานทูต ซึ่งเธอหันไปถามตากล้องหลังจากที่ยูเดินเข้าไปในห้องประชุมแล้วว่า
“จับภาพทันหรือเปล่า”
“ทันครับ แต่ผมอยากรู้แล้วละสิ หนุ่มรูปงามนี้เป็นใครแต่มาครั้งนี้ไม่มีบอดี้การ์ดรอบตัวเหมือนคราวที่แล้ว”
ซึ่งไม่พ้นการสังเกตจากนักข่าวคนอื่นๆซึ่งได้เดินมาสอบถาม ซึ่งตรีได้บอกปัดไปแค่บอกว่าเห็นหน้าตาดี แต่นักข่าวคนอื่นนึกว่ายูนั้นเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยที่สเปนเพราะไม่เห็นตอนเดินทางมาด้วย ซึ่งยูนั้นพอเข้าไปในประชุมก็พบกับท่านทูตที่มาถึงก่อนหน้ายูเล็กน้อย และทีมงานบางส่วน ซึ่งยูนั้นรู้จักอยู่หลายคน ต่างฝ่ายทักทาย แต่ท่านทูตได้แอบมาถามยูว่า
“วันนี้ยูคิดว่ายังไง”
“ดูท่าทีก่อนครับ แล้วค่อยเอาไปสรุปกันตอนเย็นอีกทีเรายังมีพรุ่งนี้อีกวันครับอา”
ท่านทูตพยักหน้า แล้วได้เวลาในการเจรจาซึ่งได้มีการอนุญาตให้นักข่าวมาทำข่าวก่อนการเจรจาซึ่งตรีนั้นสังเกตุเห็นยูนั้นไม่ได้นั่งในโต๊ะของทีมที่ใช้เจรจา แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลัง ยิ่งทำให้เธอกับทีมงานสนใจชายหนุ่มมากขึ้น เพราะคนที่นั่งด้านหลังนั้นจะเป็นระดับเจ้าหน้าที่ ที่คอยให้ข้อมูลหรือไม่ก็จดบันทึกการเจรจาเท่านั้น พอนักข่าวถูกเชิญออกนอกห้องการเจรจาได้เริ่มขึ้น โดยสายตาของยูนั้นจับจ้องไปที่ผู้ชายชาวสหรัฐคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะเจรจาของอีกฝ่ายด้วย ซึ่งเท่ากับว่าประเทศจากแอฟริกาประเทศนี้ให้ความสำคัญกับล็อบบี้ยิสต์ที่ชื่อโจชัวร์อย่างมาก และการเจรจาเป็นอย่างที่ยูคาดไม่ผิด เพราะหัวหน้าคณะเจรจานั้นไม่มีความสามารถจนในที่สุดต้องตกไปเป็นหน้าที่ของทูตพาณิชย์และท่านทูตธวัชชัยแทน
ซึ่งจนถึงช่วงพักการเจรจา ยูนั้นไม่ได้ออกไปนอกห้องโดยที่รู้ว่าคนที่ชื่อโจชัวร์นั้นจ้องมองมาที่ตนเอง แต่ยูแกล้งทำเป็นไม่สนใจ เพราะเป็นรู้กันว่า ระหว่างการพักการเจรจานั้นจะมีการสนทนาหรือหารือกันระหว่างเจ้าหน้าทั้งสองฝ่าย เพื่อการหยั่งเชิงหรือการหาข้อมูลของอีกฝ่าย เพื่อที่จะนำมาเป็นประโยชน์ในโต๊ะเจรจาของทั้งสองฝ่าย แต่ยูนั้นไม่ออกไปเพราะ รู้ว่าสิ่งที่ตนเองสั่งงานโซเฟียร์นั้นเริ่มได้ผล
เพราะโจชัวร์นั้นคงรู้แล้วว่าสินค้าที่ตนเองเป็นนายหน้าในการจัดส่งครั้งนี้ติดขัดขั้นตอนที่ศุลกากร ทำให้ตนเองยังไม่ได้รับเงินค่านายหน้า 3 ล้านยูโร เพราะยูเห็นมีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาโจชัวร์ระหว่างการเจรจา อยู่2-3ครั้ง จนกระทั่งการเจรจาเริ่มอีกรอบแล้วไปถึงเวลาพักทานอาหารกลางวัน ยูนั้นก็เลี่ยงที่จะพบกับโจชัวร์ที่มีท่าทีอยากจะเข้ามาคุยกับยู พอได้เวลาการเจรจาในรอบบ่ายเริ่มขึ้น และมีทีท่าที่ฝ่ายไทยนั้นจะไม่ได้รับสิ่งที่ตนเองต้องการ เพราะอีกฝ่ายนั้นไม่ยอมที่จะยอมลดกำแพงภาษีลง ซึ่งการเจรจาเป็นไปอย่างเคร่งเครียด
แม้จะมีการขอพักการประชุมแต่ยูนั้นถือโอกาสหลบออกไปนอกพื้นที่การประชุมเพราะรู้ว่าโจชัวร์นั้นอยากจะคุยกับตนเอง พอมีการเจรจาเริ่มอีกรอบซึ่งดูไม่คืบหน้าเท่าที่ควร จนการเจรจาวันแรกจบลง ก่อนจะมีแถลงข่าวซึ่งฝ่ายไทยบอกข่าวว่าพรุ่งนี้ยังมีการเจรจาอีกวัน เลยยังสรุปอะไรไม่ได้ ส่วนคู่เจรจานั้นบอกสั้นๆว่า จะแถลงร่วมกับฝ่ายไทยในวันพรุ่งนี้
พอฝ่ายแอฟริกาเดินทางกลับฝ่ายไทยได้ประชุมต่อทันที โดยยูมีโอกาสบรรยายสรุป โดยยูนั้นบอกว่าข้อเสนอต่างๆวันนี้ทางไทยเสียเปรียบทุกประตูเพราะอีกฝ่ายนั้นถือไพ่ที่เหนือกว่ามาก ซึ่งบทสรุปส่วนใหญ่จากทีมงานจะเป็นแบบนี้ แต่ก่อนที่จะเลิกประชุม หัวหน้าทีมเจรจาจู่ๆก็ถามยูต่อหน้าทุกคนที่ยังประชุมอยู่ว่า
“คุณยู ผมเห็นคุณขับแอสตั้นมาร์ตินคุณเช่ามาจากที่ไหนนะ และคงไม่เกี่ยวกับงบประมาณที่ใช้ในการเจรจาครั้งนี้นะ”
แต่ยูตอบสั้นๆว่า
“รถของพ่อทูนหัวผมครับ”
และทำท่าไม่สนใจอะไรต่อไปส่วนคนที่เป็นหัวหน้าคณะเจรจาก็ไม่กล้าถามอะไรต่อ แต่พอเดินออกไปนอกห้องประชุม ทั้งหัวหน้าคณะเจรจากับทูตโดนนักข่าวรุมสัมภาษณ์ แต่ ตรีนั้นเดินเข้ามาหายูทันทีโดยที่ชายหนุ่มมีอาการสงสัยแต่พอนักข่าวสาวทำท่าจะสอบถามอะไร ยูนั้นตัดบทออกมาทันทีว่า
“ให้ไปคุยกับทางท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีหรือไม่ก็ท่านทูตครับ ผมไม่มีข้อมูลให้ หรือจะให้ผมเป็นแหล่งข่าวผมก็บอกอะไรไม่ได้ครับ”
แต่นักข่าวสาวนั้นบอกมาว่า
“เรื่องนั้นไว้ก่อนคะ แต่ดิฉันสงสัยถึงเรื่องที่เจอคุณกับประธานกลุ่มเมนเตซกรุ๊ปเมื่อคืนก่อนที่งานเลี้ยงกับทางพวกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงกับอีกหลายๆประเทศในยุโรปนะคะ “
“อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวครับ ผมขอที่จะไม่ตอบครับ เท่านี้ก่อนนะครับ”
ยูขอตัวพร้อมยิ้มอย่างสุภาพก่อนเดินจากไป นักข่าวสาวยิ้มเล็กน้อยเธอนั้นก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบจากยูอยู่แล้ว เพราะอย่างน้อยเธอได้ชื่อและนามสกุลของยูมาเรียบร้อยแล้ว แต่เธอก็คิดว่ายังไม่เวลาที่จะตามติดเรื่องของยูเพราะยังมีเวลาตอนกลับที่เมืองไทย มันน่าสนอยู่แล้วที่จู่ๆหนุ่มไทยทำไมถึงได้เป็นทายาทของกลุ่มบริษัทที่มีอิทธิพลสูงมากในทวีปยุโรปแต่ไม่เคยมีข่าวออกมาจากสื่อเลย พร้อมทั้งนึกว่าอัปษรนั้นเลือกที่จะสนใจคนได้ดีจริงๆ เพราะในเมืองไทยคู่ควงของอัปษรนั้นมักจะเป็นนักธุรกิจหนุ่มหรือไม่ก็พวกไฮโซรุ่นใหม่ทั้งนั้น
ส่วนยูนั้นพอลงไปที่ลานจอดรถและรีบเดินทางไปที่สนามบินทันทีโดยไม่สนใจที่ร่วมทานมื้อเย็นกับทีมเจรจา ฝ่ายหญิงสาวที่ชื่อแพงนั้นเธอไม่ได้เข้าร่วมด้วยเพราะหน้าที่ของเธอนั้นแค่เตรียมเอกสารเท่านั้น แต่วันนี้เธอเล่าให้เบญฟังต่อว่าเมื่อวานตอนกลับที่พักเธอเห็นยูขับรถหรูออกไป ทำเอาเบญยิ้มออกมาก่อนย้อนถามไปว่า
“แพงจำได้หรือเปล่าที่เราไปเที่ยวที่บาร์เซโลน่ากันตอนวันหยุดยาวเมื่อปีที่แล้วนะ”
“ได้สิพี่ ทำไมหรือ”
“แพงจำคฤหาสน์หลังหนึ่งได้หรือเปล่าที่เรามองเห็นจากตัวเมืองนะ เป็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขานะที่แพงบอกว่าสวยมาก”
“จำได้สิพี่ ทั้งสวยทั้งใหญ่อย่างกับปราสาทเลย ที่พี่บอกว่าเป็นบ้านของเจ้าของกลุ่มบริษัทเมนเตซใช่หรือเปล่า”
สาวรุ่นพี่ยิ้มกลั้นหัวเราะก่อนบอกรุ่นน้องว่า
“ที่พี่บอกเรานะว่ายูพักที่บาร์เซโลน่านะ คฤหาสน์หลังนั้นเป็นที่พักของยูเวลามาที่สเปนทุกครั้ง”
ทำเอาแพงถึงกับตะลึงอ้าปากค้างก่อนถามกลับไปว่า
“หาอะไรนะพี่ คุณยูพักอยู่ที่นั่นหมายความว่าไง”
ทำเอาสาวรุ่นพี่หัวเราะออกมาที่เห็นสีหน้าที่แสดงถึงความประหลาดใจของแพง เพราะเธอรู้ดีว่า แพงนั้นเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยห่วงสวย ช่างพูดช่างซักถามและออกจะโก๊ะๆ แล้วเธออธิบายในสิ่งที่เธอพอจะรู้ว่า ยูนั้นมีพ่อทูนหัวเป็นเจ้าของกลุ่มบริษัทเมนเตซ และยูนั้นโตที่นี่ ก่อนกลับไปเรียนปริญญาตรีที่ไทยและไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ด้านรัฐศาสตร์การทูตก่อนจะมาทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งตอนแรกที่เธอรู้ก็แค่ยูจบจากที่ไหนเป็นลูกชายของใครเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นนั้นเธอรู้เพราะว่าท่านทูตธวัชชัยเล่าให้ เพราะตอนที่อยู่เมืองไทยยูไม่เคยเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟัง เพียงแต่ทุกคนรู้ว่าบ้านของยูนั้นมีฐานะ
ยิ่งตอนที่มาทำงานตอนแรกยูนั้นขับรถบีเอ็มป้ายแดงมา แต่แล้วจู่ๆก็เปลี่ยนไปขับโตโยต้าแทนแต่ก่อนที่เธอจะถูกย้ายมาทำงานที่นี่ยูก็หันไปขับบีเอ็มคันเดิมมาทำงาน แต่เรื่องอื่นๆของยูนั้นเธอก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักยกเว้นแต่เรื่องซุบซิบที่รู้กันว่ายูนั้นมีสาวๆมาสนใจเยอะ แต่ยูนั้นกลับไม่สนใจใครเลยส่วนเรื่องที่ยูมีแฟนหรือเปล่าเธอก็ไม่ทราบเหมือนกัน จนเธอปิดท้ายว่า
“ก็นี่แหละที่มาของคำว่า พรินซ์ออฟบาร์เซโลน่าที่บรรดานักข่าวที่นี่ให้ฉายา เพราะถ้าแพงไปเจอยูข้างนอกดีไม่ดี จะเห็นรอบตัวยูนั้นมีบอดี้การ์ดเพียบ ตามประสาลูกคนรวยมีอิทธิพลแต่สื่อไม่กล้าเอ่ยถึงนะ แต่ดีที่ยูเป็นคนนิสัยดี ไม่ถือตัว ถ้ารู้จักยูมากกว่านี้แพงจะรู้เองว่าเป็นอย่างที่พี่บอก”
ทำเอาหญิงสาวเข้าใจของความหมายที่สาวรุ่นพี่บอกไว้เมื่อวาน แต่เธอก็บอกต่อไปว่า
“งั้นก็ยังน่าอิจฉาเนอะพี่เบญ ไม่เหมือนเรา ที่ต้องทำงานเลี้ยงชีพและครอบครัวใช้เงินเดือนชนเดือน”
ทำเอาสาวรุ่นพี่หัวเราะออกมาเพราะน้ำเสียงของแพงที่แกล้งดัดเสียงให้ห้าวๆ เธอรู้ดีว่าแพงนั้นค่อนข้างจะสู้ชีวิตพอสมควร แพงนั้นจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชื่อดังและสอบเข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศได้ก่อนจะเก็บเงินเพื่อเรียนต่อปริญญาโทพอเรียนจบ ก็สอบเพื่อจะมาประจำที่ต่างประเทศเพราะอยากได้รายได้ที่สูงขึ้นเพื่อมาช่วยเหลือครอบครัวที่เมืองไทย จนได้มาอยู่ที่ประเทศสเปน ซึ่งแตกต่างกับยูลิบลับ แต่ทั้งคู่นั้นต่างเป็นคนที่นิสัยดีทั้งคู่ แต่เบญนั้นก็แปลกใจอยู่อย่างที่ว่า คนเก่งอย่างยูนั้นทำไมถึงไม่ย้ายมาอยู่สถานทูตไทยในต่างประเทศ เพราะทุกอย่างในตัวยูนั้นพร้อมรวมถึงเส้นสายที่พ่อของยูวางไว้และยังมีเพื่อนสนิทของพ่อยูที่เป็นถึงอดีตรองปลัดกระทรวงที่เกษียณไปไม่นานนี้ ทำให้ยูนั้นย้ายมาประจำที่ต่างประเทศได้สบายๆเพื่อปูทางสู่ตำแหน่งทูตในอนาคตแต่ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่สนใจเท่าไหร่นัก
ในส่วนของยูนั้น ชายหนุ่มรู้สึกอ่อนล้าทั้งทางร่างกายและทางสมองมาก ยูยอมรับว่าตนเองเครียดจริงๆ ถึงกับเอาเบียร์มาดื่มระหว่างที่อยู่บนเครื่องบินซึ่งพอขับรถกลับไปถึงบ้าน ปาสกาลได้แจ้งกับชายหนุ่มว่าพ่อทูนหัวจะกลับบ้านช้าแต่ขอให้ยูรอทานมื้อเย็นด้วย ยูเลยใช้เวลาที่รอคอยโทรหามารดาที่เมืองไทยก่อนจะไปว่ายน้ำในสระว่ายน้ำในร่มที่อยู่ด้านหลังของบ้านเพื่อผ่อนคลายความอ่อนล้าและความตึงเครียดที่เกิดขึ้น ซึ่งสระว่ายน้ำนี้ได้สร้างขึ้นหลังจากที่ยูมาอยู่ได้ปีเศษๆและมีการสร้างโรงยิมตามมาติดๆ ทั้งนี้เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเรียนว่ายน้ำและการออกกำลังกายของยูโดยเฉพาะ ยูนั้นว่ายน้ำอยู่พักใหญ่ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ซึ่งพอดีกับที่พ่อทูนหัวกลับมา ระหว่างที่สองพ่อลูกนั่งทานมื้อเย็นด้วยกันการพูดคุยก็เป็นเรื่องของงานที่ยูเจอวันนี้ ซึ่งพ่อทูนหัวนั้นรับฟังตลอด พอทานเสร็จ โรแบร์โต้ได้พูดกับบุตรชายว่า
“พรุ่งนี้ยูก็รุกฆาตแต่เช้าได้เลยลูก ส่วนคืนนี้ยูก็ไปพักผ่อนได้แล้วก่อนที่คุณพี่จะโทรมาบ่นกับพ่อ เพราะยังไงมิเชลก็โทรไปรายงานแม่ยูได้ตลอดนะลูกอย่าลืมสิ อ้อพรุ่งนี้โซเฟียร์ไปกับลูกด้วยนะ เพราะมีประชุมกับบริษัทที่นั่นคงจะมาที่บ้านก่อนแล้วไปพร้อมยู”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบพร้อมหัวเราะออกมาในเรื่องของมิเชลท่จะต้องแอบโทรไปหาแม่ของยูทุกครั้งเพื่อรายงานเรื่องของยูเวลาที่ยูมาที่นี่ตลอด ก่อนเดินขึ้นไปที่ห้องนอนและเข้านอนพร้อมหลับทันทีด้วยความอ่อนเพลีย จนถึงเช้าหลังจากทานมื้อเช้าเรียบร้อย ยูพบว่าโซเฟียร์นั่งจิบกาแฟรอที่ห้องโถงแล้ว จึงได้ทักไปว่า
“ทำไมไม่เข้าไปกินมื้อเช้าด้วยกันละ”
“ทานมาแล้วคะ เลยมานั่งดื่มกาแฟที่นี่”
ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปที่ชั้นลานจอดรถ ยูขับรถคันที่ใช้เมื่อวานไป โดยมีหญิงสาวนั่งไปข้างๆและหญิงสาวบอกมาว่า
“จูเนียร์คะเรื่องสินค้าถ้าจะให้ปล่อยเมื่อไหร่โทรบอกชั้นได้เลยนะคะ”
“ครับ เมื่อวานถูกตามละสิ”
“คะ แต่ก็บอกไปว่าถ้าสินค้ายังไม่ถึงเราทางเราก็ไม่จ่าย”
“โอเคตามนั้นไปก่อน”
หลังจากที่ทั้งคู่อยู่บนเครื่องบินแล้ว พอเครื่องบินตั้งระดับ โซเฟียร์ได้ชงกาแฟร้อนมาให้ยู ก่อนบอกว่า
“เพิ่มคาเฟอีนอีกหน่อยเถอะคะ วันนี้จูเนียร์ต้องใช้สมองใคร่ครวญมากกว่าทุกวัน”
ชายหนุ่มขอบคุณโซเฟียร์และรู้ว่าบางครั้งโซเฟียร์นั้นรู้ว่าตนเองต้องการอะไร และที่พ่อทูนหัวบอกว่าเธอมาประชุมกับอีกสำนักงานในแมดริดคือเรื่องบังหน้า ความจริงคือเธอถูกส่งมาช่วยยูในเรื่องข้อมูลต่างที่ต้องใช้ในการเจรจา พอไปถึงสนามบิน โซเฟียร์นั้นมีรถมารับไปที่สำนักงาน ส่วนยูขับรถไปโรงแรม ซึ่งพอไปถึงฝ่ายไทยมีการหารือกันอีกครั้งก่อนจะเริ่มเจรจาส่วนยูนั้นแอบไปกระซิบบอกกับท่านทูตธวัชชัยว่า ช่วงพักการเจรจาช่วงเช้าถ้าอีกฝ่ายมีการขอเพิ่มเวลาพักออกไปอีก เท่ากับว่าฝ่ายไทยกำลังจะได้อย่างที่ต้องการหรืออย่างน้อยก็พบกันครึ่งทาง
แต่อย่าพึ่งไปบอกหัวหน้าคณะเจรจาให้ไปบอกกับทูตพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งท่านทูตพยักหน้ารับทราบและมองผู้เปรียบเสมือนหลานชายด้วยสายตาที่ขอบคุณ จนการเจรจาเริ่มขึ้น ซึ่งดูไม่คืบหน้าเท่าที่ควร จนมีการพักเจรจา ยูได้เดินไปตรงบริเวณที่พึ่งทำขึ้นให้เป็นโซนให้สูบบุหรี่โดยเฉพาะ ที่ไม่ห่างจากห้องประชุมเท่าไหร่ ชายหนุ่มทำเป็นยืนมองดูวิวของนครแมดริดผ่านกระจกและไม่นานนักชายที่โจชัวร์ได้เดินเข้ามาหาก่อนทักด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งยูตอบรับอย่างดี และโจชัวร์ได้พูดต่อทันทีว่า
“จะให้ผมเรียกชื่อคุณหรือเรียกจูเนียร์หรือเรียกว่าพรินซ์ออฟบาร์เซโลน่าดีครับ มิสเตอร์อลงกรณ์”
ยูนั้นรู้ทันทีว่าฝ่ายโจชัวร์ได้หาข้อมูลของตนเองมาเรียบร้อยแล้วเช่นกันจึงตอบไปว่า
“พรินซ์ออฟบาร์เซโลน่าเป็นฉายาที่พวกสื่อเรียกผม ส่วนชื่อจริงผมคุณออกเสียงลำบาก เรียกผมตามชื่อเล่นว่ายูดีกว่าครับ”
อีกฝ่ายตอบตกลง และเริ่มทำทีเป็นคุยเรื่องของการเจรจา ซึ่งยูก็แกล้งยอมรับว่า การเจรจาอาจล้มเหลวและน่าจะสะเทือนไปถึงการเยือนของรัฐมนตรีต่างประเทศไทยในเดือนหน้า เพราะอีกฝ่ายดูจะให้ความสำคัญกับประเทศจีนมากกว่าซึ่งสายตาของโจชัวร์นั้นดูทีท่าสมหวัง แต่แล้วก็เริ่มอ้อมเข้าไปคุยเรื่องส่วนตัว แต่ยูนั้นรู้ทันว่าอีกฝ่ายอยากสื่อถึงอะไร จนในทีสุดโจชัวร์ก็เข้าประเด็นว่า
“คุณยูครับ บังเอิญผมมีปัญหาเรื่องสินค้าที่ทางบริษัทในเครือกลุ่มเมนเตซสั่งไป แต่ตอนนี้สินค้ายังไม่สามารถออกจากท่าเรือได้เพราะศุลกากรยังตรวจไม่เสร็จซึ่งทุกทีมันใช้เวลาไม่นานขนาดนี้นี่ครับ”
“มันเป็นธุรกิจของพ่อทูนหัวผม นะครับ ผมไม่มีอำนาจไปดูแลเท่าไหร่นัก เพราะอาจผิดระเบียบของทางราชการไทยถ้าผมเข้าไปเกี่ยวข้อง”
ยูนั้นตอบคำถามแบบไม่ปฏิเสธซะทีเดียวทำให้โจชัวร์รีบรุกต่อไปทันทีว่า
“คุณยู อย่าอ้อมค้อม ผมรู้ว่าทางพ่อทูนหัวของคุณนั้นฟังคุณขนาดไหนและคำว่าจูเนียร์นั้นมันสำคัญขนาดไหนกับกลุ่มบริษัทนี้ แต่มันเป็นเรื่องของธุรกิจที่ผมดูแลอยู่ ถ้ามันเป็นแบบนี้อีกต่อไป ทางบริษัทขนส่งอาจไม่รับงานของกลุ่มบริษัทเมนเตซอีกต่อไปก็ได้นะ ทางพ่อทูนหัวคุณก็อาจมีปัญหาเรื่องขนสินค้าเองเพราะเกิดจากการจ่ายเงินไม่ตรงตามเวลา”
ยูนั้นยิ้มออกมาแบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่าพร้อมนึกว่า เหยื่อล่อได้ผลอีกฝ่ายเริ่มกินเบ็ดเข้าไปแล้ว เหลือแต่ยูจะตวัดเบ็ดขึ้นมาเมื่อไหร่เท่านั้น ยูหยิบเอากล่องซิการ์ออกมา แล้วทำทีเป็นยื่นให้อีกฝ่ายซึ่งโจชัวร์ตอบมาแบบสุภาพว่า
“ขอบคุณครับผมไม่สูบ”
ยูจัดการแกะพลาสติกที่หุ้มซิการ์ขนาดเล็กออก ก่อนกัดตรงปลายแล้วถ่มออก ถึงเอามาคาบไว้ก่อนเอาไฟแช็คมาจุด ซึ่งอีกฝ่ายรอด้วยความอดทน ก่อนที่ยูจะบอกว่า
“ผมชอบสูบซิการ์ตัวเล็ก มันไม่ฉุนเหมือนพวกซิการ์ตัวใหญ่ ส่วนเรื่องสินค้านะคุณโจชัวร์ ทางบริษัทพ่อทูนหัวผมไม่ผิดนี่ เพราะเราต้องทำตามขั้นตอนศุลกากรอยู่แล้ว ส่วนที่คุณบอกว่า อาจจะมีปัญหาที่บริษัทที่คุณเป็นนายหน้าอยู่ไม่ยอมรับ งานจากทางเราต่อไป ผมว่าทางเราไม่วิตกนะ เพราะถ้าเรายกเลิกสัญญาเมื่อไหร่ก็ต้องมีบริษัทอื่นมายื่นข้อเสนอเพื่อจะทำแทนให้ทันทีอีกไม่รู้กี่สิบบริษัท แค่บริษัทเดียวผมว่าผมตัดทิ้งได้ถ้ามีปัญหามีบริษัทไหนบ้างที่ไม่อยากทำธุรกิจกับกลุ่มบริษัทเมนเตซ แม้กระทั่งบริษัทในประเทศจีน”
ยูตอบพร้อมอัดควันซิการ์ก่อนจะพ่นออกมาเพราะรู้ว่ากลิ่นของมันนั้นสามารถรบกวนทำให้อีกฝ่ายนั้นมึนงงได้ ก่อนจะบอกต่อไปว่า
“ในเมื่อมันเป็นเรื่องธุรกิจทางผมก็ต้องดูในสิ่งที่ให้ผลประโยชน์กับทางผมมากที่สุดพอๆกับอีกฝ่ายที่ได้จากทางผมเช่นกัน คือไม่มีใครเสียเปรียบ ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แบบนี้การทำธุรกิจถึงจะราบรื่นครับคุณโจชัวร์ ถ้ามีปัญหานักผมก็พร้อมจะยกเลิกทันที”
พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะสำลักกับกลิ่นฉุนของควันซิการ์ ยูจึงเป็นฝ่ายถามไปว่า
“ถ้าเป็นแบบนี้ทางคุณต้องการอะไรที่จะให้ผมไปคุยกับทางพ่อทูนหัวในเรื่องนี้”
โจชัวร์ที่กำลังสำลักและมึนหัวกับควันจากซิการ์ของอีกฝ่ายและรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่กลัวคำขู่ของตนเองแถมยังขู่กลับ ทำให้พูดออกมาว่า
“ผมขอร้องให้คุณช่วยไปบอกว่า ช่วยเร่งการปล่อยสินค้าให้ผมด้วย เพราะผมรู้ว่าทีมงานของพ่อคุณนั้นเก่งขนาดไหน สามารถเจรจาโดยตรงคนที่เกี่ยวข้อง”
ยูได้ทีเลยบอกไปว่า
“จะให้ผมไปบอกเปล่าๆนะหรือ”
ทำเอาโจชัวร์นั้นรู้ทันทีว่าตนเองพลาดไปแล้วและรู้ว่าทางยูนั้นต้องการอะไร มันเกิดจากการประเมินยูต่ำไปจริงๆ เพราะตั้งแต่รู้ว่าสินค้านั้นไม่สามารถออกจากท่าเรือได้และอีกฝ่ายนั้นไม่จ่ายเงินส่วนที่เหลือทำให้ตนเองนั้นไม่ได้ค่านายหน้าถึง 3 ล้านยูโร โจชัวร์นั้นได้ลองติดต่อไปและพบกับคำตอบที่ว่าถ้าของไม่ออกทางบริษัทก็ไม่สามารถจ่ายเงินได้ ซึ่งทุกครั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหา แต่คราวนี้เกิดมีขึ้นมาจนในที่สุดโจชัวร์ได้ข้อมูลมาว่าผู้มีอำนาจนั้นยังไม่อนุมัติและได้ข่าวมาอีกว่า คนที่เปรียบเสมือนบุตรชายของ เมนเตซ โรแบร์โต้จะเข้ามาร่วมคณะเจรจาฝ่ายไทยด้วย และข้อมูลที่ได้เพิ่มขึ้นมานั้นคือ โรแบร์โต้นั้นรักบุตรชายคนนี้มาก แถมยังตามใจแทบทุกเรื่อง โจชัวร์พอรู้จึงอยากจะให้ยูเข้าไปช่วยพูดกับผู้เป็นพ่อโดยอาจจะมีขอเสนอแลกเปลี่ยนอะไรเล็กน้อย
และตนเองนั้นเห็นว่ายูมีหน้าที่แค่จดการบันทึกการประชุมเท่านั้น พร้อมกับข้อมูลที่ได้มาคือ ยูนั้นเหมือนลูกคนรวยทั่วๆไปที่ถูกตามใจในทุกเรื่อง ไม่ค่อยจะมีความสามารถอะไรมากนัก โจชัวร์คิดไปว่ายูนั้นขับรถหรูมาประชุมเพื่ออวดความรวย แต่จากการพูดไม่กี่ประโยคทำให้รู้ว่าตนเองนั้นพลาดไปจริงๆพร้อมกับข้อมูลที่ได้มานั้นเหมือนจะไม่ตรงเท่าไหร่ ก่อนจะตอบไปแบบรู้ทันทีว่ายูนั้นหมายถึงอะไร
“คุณอย่าลืมสิสิ่งที่ฝ่ายไทยต้องการนั้นมันยากและข้อเสนอที่ให้มาก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่นัก ถึงเราไม่ซื้อข้าวหรือสินค้าทางการเกษตรจากทางคุณเราก็ไม่เดือดร้อนเรามีจีนที่จะขายให้อยู่แล้ว นี่ผมพูดในฐานะล็อบบี้ยิสต์นะ”
“มันก็ไม่น่าจะยากนะคุณโจชัวร์ เพราะถ้าลดภาษีลงตามที่เราขอ มันก็น่าจะพอใจทั้งสองฝ่ายแถมทางฝ่ายนั้นได้สิทธิเข้าไทยโดยไม่ขอวีซ่าจาก 15 วัน เป็น 30 วัน ถ้านานกว่านั้นเราก็ลดค่าธรรมเนียมวีซ่าลง แถมสินค้าพื้นเมืองจากทางนั้นทางเรารับซื้อเพิ่มขึ้น อย่าลืมสิจีนก็ซื้อข้าวกับสินค้าทางการเกษตรจากไทยได้เหมือนกัน ถ้าคุณไม่ซื้อเราก็ไปขายจีนถึงจะราคาต่ำกว่าที่ขายให้คุณ แต่จีนก็จะไปขายให้ทางประเทศนี้พร้อมบวกราคาเพิ่มขึ้นไปอีกซึ่งทางประเทศที่คุณเป็นล็อบบี้ยิสต์ให้ก็อาจต้องจำใจซื้อ เพราะกลัวอิทธิพลของจีนเพราะทางจีนเข้าไปลงทุนในประเทศนี้เยอะมาก เหมือนพวกอาวุธที่ประเทศนี้ซื้อของจีนไปใช้ไงคุณ ราคาไม่สูงแต่ค่าซ่อมบำรุงเท่าไหร่ อายุการใช้งานเท่าไหร่ คุณลองไปถาม รมต.เค้าก็ได้นี่ ว่าเครื่องบินที่ซื้อมานะจอดซ่อมกินตัวเท่าไหร่ มันไม่ทนเหมือนอาวุธจากสหรัฐหรือยุโรปหรอกคุณก็รู้ และแบบนี้คุณว่าทางจีนจะบวกเข้าไปอีกกี่เปอร์เซ็นต์ถ้าจะเอาข้าวไปขายให้นะ เป็นผม ผมว่าซื้อโดยตรงจากผู้ผลิตดีกว่าและราคาก็ถูกกว่า คุณว่าไงละ”
“แต่ผมไม่มีอำนาจตัดสินใจ”
อีกฝ่ายยังไม่ยอมง่ายๆ ยูนั้นตวัดเบ็ดทันทีเพราะเห็นอีกฝ่ายนั้นอ่อนแรงเต็มที่แล้ว พร้อมกับคำพูดที่ว่า
“แต่คุณก็กล่อมฝ่ายนั้นได้ไม่ใช่หรือ ในฐานะล็อบบี้ยิสต์ผมรู้คุณสำคัญขนาดไหนไม่อย่างนั้นทางนั้นไม่เอาคุณมาร่วมเจรจาด้วยหรอกทั้งๆที่คุณไม่ใช่คนในประเทศของพวกเขา แสดงว่าคุณมีอิทธิพลพอที่จะหว่านล้อมพวกเขาได้ และอีกอย่างคุณก็รู้ว่าการเจรจาแบบนี้นะ มันต้องมีแผน A แผน B แผน C ที่เตรียมมาแล้ว ผมว่าคุณน่าจะใช้เวลาคุยไม่นานนักนะ”
“งั้นผมขอเวลาและผมจะรีบมาให้คำตอบคุณ”
แววตาของยูนั้นยิ้มมาอย่างพอใจ พร้อมกับความคิดที่ว่า “รุกฆาต” แต่คำพูดที่ออกจากปากคือ
“ผมรอได้ ไม่ว่าจะนานขนาดไหน”
ยูตอบพร้อมพ่นควันซิการ์ ทันทีที่อีกฝ่ายเดินจากไปชายหนุ่มพึมพำเป็นภาษาไทยว่า
“ฉิบหายแทบอ้วก กลิ่นมันฉุนจริงๆ ดีที่ไม่เมาซิการ์”
แต่ก็แอบยิ้มที่ข้อมูลของตนเองที่ปล่อยมาโดยโซเฟียร์และทีมงานนั้นได้ผลจริงๆ โจชัวร์ฮุบเหยื่ออย่าง่ายดาย งานนี้ง่ายกว่าที่คิดเพราะโจชัวร์นั้นกลัวเสียผลประโยชน์จริงๆตามที่คาด เพราะยูรู้ว่าคำขู่ของตนเองได้ผล เพราะโจชัวร์นั้นได้ค่านายหน้าจากการขนสินค้าระหว่าง 3-5 ล้านยูโรมาโดยตลอดถ้ายกเลิกจริงๆจะให้รายได้ตรงนี้ขาดหายทันที ข้อมูลที่คาร์รอสหามาให้นั้นถูกต้องจริงๆ เพราะโจชัวร์นั้นเห็นผลประโยชน์ของตนเองสำคัญที่สุด แต่ยูนั้นยังคีบซิการ์ไว้ในมือตลอด จนได้รับแจ้งว่าอีกฝ่ายนั้นขอพักการเจรจาออกไปอีก 45 นาที ทำให้ท่านทูตธวัชชัยเดินมาหายูทันทีซึ่งชายหนุ่ม พยักหน้าแทนคำพูดที่ว่า ทุกอย่างสำเร็จตามความต้องการแล้ว
จนผ่านไปครึ่งชั่วโมงโจชัวร์เดินมาหาและบอกว่า
“ทุกสิ่งจะเป็นไปตามข้อเสนอของฝ่ายไทย แต่ทางนั้นจะขอเพิ่มระยะวีซ่าเป็น 45 วันครับ”
ยูตอบทันที
“ไม่น่ามีปัญหา และคุณโจชัวร์ ผมว่าเรื่องสินค้าไม่น่าจะมีปัญหาก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้ เพราะอย่างน้อยมันต้องชัดเจนหลังเซ็นข้อตกลงบันทึกการประชุมและแถลงข่าวร่วมกัน ผมขอตัวไปคุยกับท่านทูตก่อนครับ”
ยูก้มหัวให้ก่อนเอาซิการ์ขยี้ลงบนที่เขี่ยบุหรี่และเดินเข้าห้องประชุมโดยเดินผ่านบรรดากลุ่มนักข่าวที่ต่างมองมาที่ตนเองพอเข้าไปยูเห็นท่านทูตธวัชชัยกำลังนั่งคุยกับทูตพาณิชย์อยู่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ยูจึงเดินเข้าไปแจ้งตามข้อตกลงที่ตนเองพึ่งได้คุยมาแต่ไม่บอกถึงข้อแลกเปลี่ยนที่ตัวเองนั้นเตรียมไว้แต่แรกแล้ว ทำให้ทั้งสองหน้าตาดีขึ้นทูตพาณิชย์ถึงกับตบที่ไหล่ยูเบาๆพร้อมพูดว่า
“ทำดีมากพ่อหนุ่ม”
ก่อนจะรีบเดินไปหาทีมงาน ส่วนท่านทูตธวัชชัยถามยูว่า
“อาคงไม่ถามนะว่ายูทำได้ยังไง ที่นี่มันถิ่นของยูนี่แต่ขอบคุณมากนะเพราะยูทำเพื่อประเทศชาติ พ่อของยูต้องภูมิใจในตัวยูมากๆเชื่ออา อามั่นใจ”
ยูยิ้มรับคำชมแต่ไม่พูดอะไรนอกจากรีบเอาหมากฝรั่งมาเคี้ยวเพื่อจะบรรเทาอาการฉุนกลิ่นซิการ์ จนการเจรจาเริ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลง ฝ่ายไทยนั้นผ่อนคลายมากขึ้น จนได้ข้อสรุปตามที่ฝ่ายไทยต้องการ ผ่านไปถึงช่วงบ่ายทุกอย่างได้ข้อสรุป และมีการแถลงข่าวพร้อมการเซ็นบันทึกข้อตกลงของทั้งฝ่ายต่อหน้าสื่อมวลชนหลังการแถลงข่าวเรียบร้อย โจชัวร์ได้เดินมาหายูพร้อมยื่นมือให้จับแล้วบอกว่า
“คุณเยี่ยมจริงๆ สมกับเป็นจูเนียร์ของตระกูลนี้ผมยอมรับในฝีมือคุณ เราคงได้เจรจาธุรกิจกันต่อในอนาคตนะครับจูเนียร์”
“ยินดีครับคุณโจชัวร์ ถ้าไปเมืองไทยเมื่อไหร่โทรหาผม ผมจะเลี้ยงอาหารคุณ”
ยูพูดจบแล้วยื่นนามบัตรให้โจชัวร์ก่อนที่ทั้งคู่จะจับมือกันอีกครั้ง และยูถูกท่านทูตเรียกไปและยื่นโทรศัพท์ให้พร้อมบอกมาว่า
“ยูท่านรัฐมนตรีจะคุยด้วย”
ยูรับโทรศัพท์แล้วพูดทันที
“ครับท่านรัฐมนตรีผมอลงกรณ์ครับ”
“คุณยู ผมขอบคุณ คุณมากนะ ที่ทำให้การเจรจาสำเร็จ”
“ครับท่าน”
“ไม่เสียแรงที่ธวัชชัยขอให้คุณเข้ามาร่วมเจรจาด้วย แต่คุณคงรู้นะว่าข่าวที่จะออกมานั้นเป็นอย่างไรอย่างน้อยเราก็ต้องให้เกียรติท่านหัวหน้าคณะเจรจานะคุณยู เข้าใจผมนะ”
“เข้าใจครับท่าน”
“เอานี้คุณยู คณะเจรจาจะกลับไทยวันศุกร์ ผมให้คุณเข้าทำงานที่กระทรวงวันจันทร์เลย แล้วผมจะจัดการแจ้งทางหัวหน้าคุณเอง เบิกเบี้ยเลี้ยงได้ตามปกตินะยู ถือว่าผมตอบแทนให้เล็กๆน้อยๆ ผมสัญญาการประเมินผลงานประจำปีผมไม่ลืมคุณ ขอผมคุยกับคุณธวัชชัยหน่อยครับ”
“ขอบคุณครับท่าน”
ยูพูดจบก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้ผู้เป็นอา หลังจากที่วางสายท่านทูตได้ถามยูว่าคืนนี้จะร่วมงานเลี้ยงหรือไม่ยูบอกขอตัวอยากจะนอนพักให้เต็มตา และทูตพาณิชย์ได้เดินมาบอกยูว่าหัวหน้าคณะเจรจาฝากมาขอบคุณกับยูและชวนให้ยูมางานเลี้ยงแต่ยูบอกว่าขอตัวและเดินออกจากห้องซึ่งตรีนักข่าวสาวได้ดักรอพบอยู่แล้ว และยูได้ดักคอไว้ทันทีว่า
“ผมบอกอะไรไม่ได้นะครับ ให้ถามทางหัวหน้าคณะหรือไม่ก็ท่านทูตครับ”
“เข้าใจคะ แต่ขอถามเป็นการส่วนตัวหน่อยว่า เราเคยเจอกันมาก่อนที่เมืองไทยหรือเปล่าคะคุณยู”
“ไม่นี่ครับเอ่อคุณ....”
“ตรีคะ นี่นามบัตรดิฉัน”
ยูยื่นมือมารับก่อนส่งนามบัตรของตนให้และขอตัวอย่างสุภาพแล้วเดินเข้าลิฟท์ไปทันที โดยไม่สงสัยเลยว่านักข่าวสาวรู้ชื่อตนได้อย่างไรแต่ยูไม่ได้ไปที่ลานจอดรถแต่เดินไปในส่วนของสำนักงานของโรงแรมซึ่งพนักงานประชาสัมพันธ์รีบยืนขึ้นทันทีเมื่อเห็นจูเนียร์เดินเข้ามา ยูยิ้มให้แทนคำทักทายและเดินไปที่ห้องผู้จัดการ โดยมีเลขาผู้จัดการโรงแรมยืนรอรับอยู่แล้ว พอยูเข้าไปในห้องของผู้จัดการพบโซเฟียร์นั่งรออยู่แล้ว ที่ยูรู้เพราะเธอส่งข้อความทางโทรศัพท์มาบอกว่าเธอรออยู่ที่ห้องทำงานผู้จัดการ บนโต๊ะมีเครื่องแม็คบุ๊กตั้งรอยูอยู่ ยูไปนั่งที่โต๊ะทำงานทันทีแล้วทำการอนุมัติค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่ตกค้างอยู่ทันที ก่อนถามไปที่โซเฟียร์ว่า
“ของออกได้พรุ่งนี้เลยใช่ไหมครับ”
“คะจูเนียร์ ชั้นแจ้งไปทางหัวหน้าศุลกากรเรียบร้อยแล้วคะ”
ยูพยักหน้าก่อนเอนไปพิงเก้าอี้อย่างอ่อนล้าพร้อมหลับตา ทำให้โซเฟียร์ถามทันที ว่า
“จะรับอะไรดื่มสักหน่อยไหมคะ”
“ขอบรั่นดีแล้วกัน ผมยังมึนซิการ์ไม่หายเลย”
เธอจัดการให้ทันทียูรับมาดื่มพร้อมบอกขอบคุณ ชายหนุ่มดื่มจนหมดแก้วแล้วบอกหญิงสาวว่า
“โซเฟียร์รบกวนประสานไปเรื่องการเดินทางผมที ผมไม่กลับวันนี้แล้ว ได้พักอีก 2 วัน ผมเลื่อนกลับวันเสาร์แทน”
หญิงสาวแอบยิ้มอย่างดีใจก่อนจะรีบยกโทรศัพท์ไปประสานเรื่องการเดินทางของชายหนุ่มทันที แล้วไม่นานเธอก็หันไปบอกยู ที่นั่งหลับตาพิงพนักเก้าอี้ว่า
“จูเนียร์เรียบร้อยตามที่บอกแล้วคะ วันนี้เลยแค่บินไปส่งจูเนียร์อย่างเดียวคะ”
ยูลืมตาขึ้นมาแล้วพยักหน้าพร้อมบอกว่า
“กลับบ้านกันเหอะ”
ยูลุกขึ้นยืนโดยโซเฟียร์เก็บเครื่องแม็คบุ๊คและเดินนำไปที่ลานจอดรถและพอถึงรถคันหรูของยู เธอบอกว่า
“ชั้นขับเองคะ จูเนียร์ คุณดื่มไปแล้วไม่ควรขับคะ ไม่งั้นถ้ามิเกลกับมิเชลรู้คุณจะเหนื่อยยิ่งขึ้นนะคะจูเนียร์”
ยูหัวเราะก่อนส่งรีโมทให้เธอแล้วตนเองเดินไปด้านผู้โดยสารแต่โดยดี เพราะรู้ดีสำหรับกฎเหล็กว่าถ้าตนเองดื่มวิสกี้หรือบรั่นดีแม้แต่แก้วเดียวห้ามขับรถโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นทั้งมิเกลและมิเชลจะไม่พอใจอย่างมากซึ่งระหว่างทางยูได้โทรบอกแม่ตนเองว่าจะเลื่อนวันกลับเพราะทาง รัฐมนตรีให้ยูพักสองวัน จนไปถึงสนามบินหลังจากหญิงสาวจอดรถเรียบร้อยเธอรับโทรศัพท์ที่เรียกเข้ามาพอดี หลังจากคุยเรียบร้อย เธอหันไปรายงานยูว่า
“แมรี่แจ้งมาคะ พอท่านรู้ว่าจูเนียร์เลื่อนวันกลับ ท่านเลยขอประชุมกับผู้บริหารของสายการบินก่อนและอาจกลับค่ำเล็กน้อยให้จูเนียร์รอทานมื้อเย็นด้วยคะ”
ยูพยักหน้ารับทราบ เพราะรู้ว่า แด้ดนั้นรอที่จะไปสุสานและมาส่งตนเองเหมือนทุกครั้งไม่ว่าจะมีงานด่วนขนาดไหนงานนั้นต้องรอไปก่อน แต่พอตนเองเลื่อนวันกลับแด้ดเลยให้มีการประชุมต่อ ส่วนรถของยูนั้นมีคนขับรถที่รออยู่ที่สนามบินอยู่แล้วได้ขับกลับไปที่บาร์เซโลน่าเช่นกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปขึ้นเครื่องบินที่จอดรออยู่ พอเครื่องขึ้นไปตั้งระดับ ยูถอดเสื้อโค้ทเสื้อสูทปลดเน็คไทด์ออกทันที
แล้วเดินไปที่เก้าอี้ตัวยาว ก่อนล้มตัวลงไปนอน โซเฟียร์มองอย่างเห็นใจเธอมองไปที่ห้องนักบินพร้อมนึกว่าระยะเวลาชั่วโมงเศษๆ นักบินทั้งสองคนคงไม่ออกมาจากห้องแน่นอน เธอถอดเสื้อโค้ทและสูทที่สวมอยู่ออกแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวตัวเดียวกับยูและก้มลงไปหอมแก้มทั้งสองข้าง ก่อนเอาปากไปประกบทันทีก่อนที่ยูจะตั้งตัว ทำเอาชายหนุ่มลืมตาทันทีแต่รับการจูบจากหญิงสาว จนโซเฟียร์ถอนจูบออกมาใบหน้าที่อยู่เกือบจะชิดกัน สายตาทั้งสองประสานกันที่ยูเอามือลูบที่ผมของเธอและบอกว่า
“โซเฟียร์แต่งงานมีลูกแล้วนะ”
“ไม่เห็นเป็นไรแต่พอเห็นยูเครียดแล้วชั้นกังวล โซเฟียร์จะทำให้จูเนียร์หายเครียดเอง นอนเฉยๆนะคะ”
“แต่นี่มันบนเครื่องบินนะ”
“อย่าไปสนใจนักบินไม่ออกมาหรอก”
เธอตอบก่อนเอาปากไปประกบยูอีกครั้ง ก่อนที่จะใช้มือของเธอปลดกระดุมเสื้อที่เธอสวมอยู่ออก 2เม็ดแล้วใช้มือไปลูบคลำไปที่เป้ากางเกงของยู จนควยของชายหนุ่มเริ่มแข็งตัวขึ้นเธอปลดเข็มขัดและรูดซิบทันที ก่อนจะใช้มือประคองควยของยูออกมารูดขึ้นลง แล้วเลื่อนหน้าลงไปที่กลางลำตัวเธอเอาผมไปทัดที่ใบหูแล้วเริ่มใช้ลิ้นเลียไปตรงส่วนหัว ยูเริ่มครางออกมา โซเฟียร์เงยหน้ามองไปที่ยูก่อนจะเอาปากครอบปลุกควยของยูให้แข็งตัวจนเต็มที่ เธอจับมือของยูล้วงเข้าไปในเสื้อเพื่อให้สัมผัสกับหน้าอกของเธอ
โซเฟียร์นั้นใช้ปากให้กับยูอย่างชำนาญ โดยที่ยูพยายามกั้นไม่ให้เสียงครางดังออกมา และรู้ว่าโซเฟียร์นั้นใช้ปากในการทำรักเก่งขนาดไหนแต่มือของยูก็ลูบคลำหน้าอกที่มีขนาดสมตัวของหญิงสาวอย่างเพลิดเพลิน จนยูนั้นสุดที่จะกลั้นปล่อยน้ำกามออกมาในปากของหญิงสาวซึ่งเธอกลืนกินไปจนหมดพร้อมใช้ลิ้นกวาดทำความสะอาดให้ ยูนั้นนอนหายใจแบบหอบๆ จนฝ่ายหญิงบอกให้ยูไปทำความสะอาดในห้องน้ำชายหนุ่มจัดการเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนเดินไปห้องน้ำ พอยูออกมา ทั้งคู่ต่างสบตากันริมฝีปากของเธอนั้นยังมีคราบน้ำรักอยู่แล้วเธอถึงเดินเข้าไปบ้าง ยูเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ด้านหลังเก้าที่ตนเองนั่งประจำซึ่งเป็นแบบ 2ตัวติดกัน พร้อมนึกย้อนไปสมัยที่ตนเองเรียนปริญญาตรีแล้วข่วงปิดเทอมได้เดินทางมาที่สเปนและไปเที่ยวอิตาลีกับโซเฟียร์ตามประสาเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยความรู้อยากอยากลองของทั้งคู่ทำให้เกิดความสัมพันธ์อันลึกซึ้งขึ้นมา แต่ก็ไม่มีความผูกพันกัน เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมาคบหากัน และยูพยายามที่จะลืม ซึ่งโซเฟียร์ก็ไม่เคยเอ่ยถึงอีกเลย
จนเมื่อห้าปีที่แล้ว ยูในสภาพของชายหนุ่มที่ผิดหวังต่อความรักได้เดินทางมาบ้านที่สเปนเพื่อพักใจและทุกคนได้รับคำสั่งจากทางแม่ทูนหัวของยูว่าถ้ามีใครมาสอบถามให้แจ้งว่า ยูได้เดินทางต่อไปที่ฟินแลนด์ ในตอนนั้นยูอยู่ในสภาพจิตใจที่แย่มากโดยที่เทราซ่าได้ปลอบโยนบุตรชายให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง และในคืนนั้นโซเฟียร์ที่พึ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานนักและมาทำงานอยู่ที่คฤหาสน์จนดึก เธอเลยนอนพักที่คฤหาสน์โดยที่ทุกคนไม่สงสัยเพราะเธอนั้นมีห้องพักอยู่แล้วซึ่งมีตั้งแต่สมัยแม่ของเธอยังทำงานอยู่ และในตอนดึกโซเฟียร์ได้เข้าไปปลอบยูถึงในห้องนอน เพราะเธอสารภาพว่าเธอทนไม่ได้ที่เห็นยูอยู่ในสภาพแบบนี้ ทั้งคู่ต่างระเริงรักกันอย่างเต็มที่ โดยที่โซเฟียร์มอบความสุขให้ชายหนุ่มอย่างเกินพอ และหลังจากนั้นความสัมพันธ์แบบนี้ก็ไม่เกิดขึ้นอีกและเธอได้แต่งงานมีลูกน้อย 1 คน โดยที่ทั้งคู่ต่างไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตอีกเลย
ยูนั้นนั่งคิดจนหญิงสาวมานั่งข้างๆพร้อมจับมือของยูมาบีบเบาๆและบอกว่า
“อย่ากังวลเลยจูเนียร์ เราก็รู้กันอยู่ว่าเพราะอะไร อย่างน้อยยูก็ได้ผ่อนคลายความเครียดลง ยูก็น่าจะรู้ว่าโซเฟียร์ทนไม่ได้ที่เห็นยูอยู่ในสภาพแบบนี้ โซเฟียร์อยากช่วย”
และเธอยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างๆหูของยูว่า
“เรายังมีเวลาอีกเยอะ ห้องเช่าของชั้นว่างพอดี”
และงับไปที่ใบหูของยูเพื่อกระตุ้นอารมณ์และได้ผล เพราะยูยังสองจิตสองใจอยู่ แค่พอถูกกระตุ้นทั้งน้ำเสียงและกิริยาที่เชื้อเชิญ ยูจึงพยักหน้าเพราะห้ามความต้องการของตนเองไม่ได้ มือของตนเองนั้นเลื่อนไปวางตรงหน้าตักของเธอ โซเฟียร์อ้าขาออกกว้างทันที แถมจับมือของยูล้วงเข้าไปในกระโปรง นิ้วของยูนั้นไปสัมผัสกับตรงเป้ากางเกงในที่ชื้นแฉะ ยูใช้นิ้วกดลงไปพร้อมเขี่ยไปมา โซเฟียร์นั้นหลับตาพริ้มถอนหายใจแรงๆ ยูเลยใช้นิ้วล้วงผ่านกางเกงใน ไปสัมผัสกับขนหมอยก่อนที่นิ้วจะเลยไปสัมผัสกับร่องหีที่เปียกชุ่มของหญิงสาว ชายหนุ่มใช้นิ้วล้วงเข้าไปในร่องรักที่เจ้าของอ้าขารออยู่แล้ว โซเฟียร์หายใจหนักๆเสียงครางอย่างแผ่วเบาออกมาจากปาก มือบีบตรงที่รองแขนแน่น ใบหน้านั้นมาซบกับไหล่ของเจ้านาย ยูใช้นิ้วเขี่ยไปมาบางครั้งไปสีตรงเม็ดแตดทำเอาเจ้าของรูหีถึงกับสะดุ้งเพราะความเสียว มือของเธอบีบที่รองแขนแน่นขึ้นพร้อมลมหายใจที่ร้อนผ่าวที่ยูสัมผัสได้ ทำให้ยูเร่งจังหวะนิ้วขึ้น จนเลขาส่วนตัวมีอาการเกร็งก่อนจะมีเสียงกระซิบว่า
“ชั้นถึงแล้วคะจูเนียร์ พอก่อนเครื่องใกล้จะลงแล้ว”
ยูดึงมือออกมา ส่วนโซเฟียร์นั้นพยายามปรับสีหน้าและอารมณ์ให้เป็นปกติ ก่อนลุกขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งเดี่ยวข้างหน้าเหมือนกับยูที่เดินไปนั่งที่นั่งประจำทั้งสองต่างสบตากันแต่ไม่มีคำพูดอะไรออกมา นอกจากสายตาที่เชิญชวนของโซเฟียร์พอเครื่องลง ผู้ช่วยนักบินได้เป็นคนมาเปิดประตูให้ ยูนั้นปรับอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วสวมเสื้อสูทกับเสื้อโค้ทก่อนกล่าวคำขอบคุณ แล้วเดินลงบันไดไป โดยมีโซเฟียร์เดินนำไปที่รถของยูที่จอดไว้ไม่ไกลนัก หญิงสาวหันมาขอรีโมทรถจากยูส่งให้โดยดีทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันมากนัก หญิงสาวนั้นขับมุ่งหน้าไปอีกด้านของเมืองซึ่งเธอกับครอบครัวนั้นทำธุรกิจให้เช่าอยู่ด้วยซึ่งส่วนใหญ่ผู้เช่านั้นมักจะเป็นนักท่องเที่ยว และเธอขับพายูไปที่ห้องเช่าของเธอที่ตอนนี้ไม่มีคนมาพัก พอเข้ามาในห้องซึ่งตกแต่งอย่างเรียบง่าย ร่างของทั้งสองต่างกอดกันแน่นพร้อมแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม จนหญิงสาวบอกว่า
“อาบน้ำก่อนดีกว่าคะจูเนียร์ ร่างกายจะได้สดชื่น”
ยูใช้มือขยำก้นหญิงสาวเบาๆก่อนปล่อยให้เธอหยิบผ้าเช็ดตัวและเดินไปเข้าห้องน้ำ ยูนั้นจัดการกับเสื้อผ้าของตนเองก่อนจะเอาผ้าเช็ดตัวมานุ่ง โดยที่อากาศในห้องนั้นค่อนข้างอุ่นเพราะเปิดฮีทเตอร์ไว้ พอหญิงสาวเดินออกมาเธอเข้ามากอดยูพร้อมโน้นใบหน้าก่อนหอมที่แก้มและดันตัวยูให้ไปอาบน้ำเช่นกัน ชายหนุ่มใช้เวลาไม่นานนักแต่กระแสน้ำอุ่นนั้นสร้างความสดชื่นให้กับยูเป็นอย่างมาก ยูเดินออกมาจากห้องน้ำ และเห็นโซเฟียร์นอนอยู่ที่เตียงแล้ว ยูเดินเข้าไปหาทันทีพร้อมก้มลงไปหา หญิงสาวกางแขนรอรับร่างที่มานอนทับบนตัวตนเอง พร้อมกับกอดแน่นเมื่อร่างของยูมาทับอย่างเต็มตัว ปากทั้งคู่ประกบกันพร้อมรสจูบอย่างเร่าร้อนของทั้งคู่ ยูซุกไซร้ไปมาตามใบหน้าและลำคอก่อนปลดผ้าเช็ดตัวของตนเองและของหญิงสาวออก ร่างเปล่าเปลือยของทั้งคู่นั้นแนบสนิทชิดกันมากขึ้น หัวนมที่ค่อนข้างคล้ำตัดกับสีผิวที่ขาวโพลนของโซเฟียร์นั้นท้าทายสายตาของยูยิ่งนัก ชายหนุ่มโน้นใบหน้าลงไปหา ก่อนที่จะใช้ปากเม้มและนำลิ้นไปแตะเบาๆ
โซเฟียร์นั้นผวาพร้อมแอ่นกายให้ชายหนุ่มทันที ยูสนองตอบอย่างเต็มใจและดูดดื่มไปมาทั้งสองข้าง ก่อนที่หญิงสาวจะดันไหล่ยูลงไปเบื้องล่างและบอกมาว่า
“จูบทีสิ”
ขนหมอยสีทองและโคกหีที่ใหญ่นั้นอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าของชายหนุ่ม ยูใช้ริมฝีปากเม้มไปขนสีทองไปเรื่อยๆแล้วจึงยื่นไปจูบเบาๆตามที่เจ้าของร้องขอมา แล้วถึงใช้ลิ้นกวาดเข้าไปทันที โซเฟียร์ครางทันทีโดยไม่ต้องออมเสียงเหมือนบนเครื่อง
“โอ้วววววววววว ไม่ยู นั่นแหละ ดีชั้นชอบโอ้ววววววววว”
ยูช้อนก้นเธอให้สูงขึ้นพร้อมกับเลียหีให้หญิงสาวอย่างต่อเนื่อง โดยที่ร่างกายของเธอส่ายร่อนไปมาใบหน้านั้นบ่งบอกถึงความเสียวมือจับหัวเตียงแน่น พร้อมกับเสียงครางที่ดังไม่หยุด การใช้ปากทำรักของยูนั้นช่างแตกต่างกับผู้ชายหลายๆคนที่เธอเคยผ่านมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น และทำให้เธอติดใจ ยูยังเลียที่โคกหีของโซเฟียร์อย่างต่อเนื่อง จนหญิงสาวร้องมาว่า
“ยู หยุดก่อนทนไม่ไหวแล้วได้โปรด”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปพบกับสายตาที่อ้อนวอนร้องขอของหญิงสาว ยูจึงเลื่อนตัวขึ้นมาแล้วค่อยดันควยของตัวเองเข้าไปในร่องหีที่ชุ่มฉ่ำโดยเจ้าของกางขารออยู่ ช่องทางรักที่ไม่กระชับนักทำให้ฝ่ายชายดันเข้าไปได้สะดวก แล้วเอวของยูเริ่มขยับไปมาส่วนหญิงสาวนั้นเด้งรับทันที เสียงโหนกเนื้อที่กระทบกันดังไม่หยุดพร้อมๆกับเสียงครางของทั้งคู่ เป็นบทรักที่ไม่รีบเร่ง เพราะทั้งสองฝ่ายอยากตักตวงความสุขจากอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด แต่ในที่สุดยูก็เป็นฝ่ายเร่งจังหวะของตนเองให้เร็วขึ้น พร้อมกับการกอดรัดที่แน่นของฝ่ายหญิง
“อีกนิดคะยู อีกนิด ได้โปรดลึกๆหน่อย โอ่ววววววววววววววววว”
โซเฟียร์ทิ้งเสียงยาวออกมา พร้อมกับการเด้งรับและการตอดรัดภายในของช่องทางรัก เหมือนกับยูที่ปล่อยน้ำรักออกมาอีกครั้ง แล้วซบไปบนตัวของโซเฟียร์ ซึ่งนอนหายใจแบบหอบๆเช่นเดียวกัน จนยูเอาปากไประกบกับหญิงสาวอีกครั้งหนึ่งทั้งคู่แลกจูบกันยาวนานกว่าครั้งก่อน แล้วฝ่ายหญิงได้ถามมาว่า
“ปลอดโปร่งขึ้นไหมคะ”
“ดีขึ้นครับ แต่ผมก็รู้สึกผิด”
“บอกแล้วไงคะถ้าจูเนียร์ดีขึ้น ชั้นก็ดีใจคะ ชั้นทนไม่ได้ที่เห็นจูเนียร์ไม่มีความสุข”
ยูเอาหน้าผากไปทาบกับหน้าผากของโซเฟียร์ ก่อนที่หญิงสาวจะบอกมาว่า
“ไปอาบน้ำเถอะคะเราจะได้กลับ จะได้ไม่ผิดเวลาไม่อย่างนั้นอาจคนอื่นจะสงสัยได้”
ยูลุกขึ้นและฉุดให้หญิงสาวลุกขึ้นมาด้วยแล้วเดินจูงมือไปที่ห้องน้ำ ทั้งคู่ต่างอาบน้ำด้วยกันภายใต้สายน้ำอันอุ่น พร้อมกับการจูบกันอีกครั้งเป็นการจูบแทนคำขอบคุณของยู จนอาบเสร็จและต่างฝ่ายต่างแต่งตัวแล้วพากันออกไปจากห้อง ซึ่งคราวนี้ยูเป็นคนขับระหว่างทางที่กลับทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรกันเลย จนไปถึงบ้านหลังจากจอดรถเรียบร้อย ยูได้บอกกับหญิงที่ลงจากรถมาพร้อมๆกันว่า
“ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนนะโซเฟียร์”
“ขอตัวคะ ชั้นต้องกลับไปทำหน้าที่แม่ก่อนคะจูเนียร์”
“งั้นฝากบอกคุณแม่คุณด้วย สายๆพรุ่งนี้ผมจะไปเยี่ยม”
“คะจูเนียร์”
“โซเฟียร์ ผมขอบคุณมากนะ แต่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกเลย”
หญิงสาวยิ้มรับแต่ไม่พูดอะไรก่อนจะเดินไปที่รถของเธอและขับออกไป ยูมองตามจนรถเลี้ยวขึ้นไป ด้านบนพร้อมกับความคิดที่ว่า ทำไมตนเองถึงไม่คบหากับโซเฟียร์ตั้งแต่ตอนนั้น เพราะเรื่องนี้ทั้งทางพ่อกับแม่ของยูรวมถึงพ่อกับแม่ทูนหัวนั้นให้อิสระกับยูอย่างเต็มที่ เพราะมัมเคยบอกกับยูว่า
“เรื่องของหัวใจ ผู้ใหญ่ให้เป็นสิทธิที่ยูจะเลือกเอง เพราะชีวิตบางส่วนของยูนั้นผู้ใหญ่เลือกไว้ให้แล้ว”
แต่อาจเป็นเพราะความสนิทที่เล่นกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ นอนกินนมบนเปลเดียวกัน มันเลยเป็นความรู้สึกที่สนิทกันจนไม่สามารถที่ทำให้เป็นแฟนกันได้ แต่ยูก็รู้ว่าโซเฟียร์นั้นไม่อยากให้ตนเองต้องเครียดหรือเศร้าหมอง เพราะเธอบอกกับยูหลายๆครั้ง ว่ายูที่สดใสร่าเริงนั้นเหมาะกับตัวยูมากที่สุด ก่อนที่จะ หักใจลืมเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ และยูตั้งใจว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพราะนึกถึงครอบครัวของหญิงสาว
ส่วนของโซเฟียร์นั้น เธอรู้สึกอย่างเดียวว่าเธอทำให้ยูนั้นหายเครียดจากภาระที่รับมา เท่านี้เธอก็พอใจแล้ว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอก็คิดกับยู ว่ายูคือเพื่อสนิทเหมือนญาติคนหนึ่ง แต่สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นรวมถึงเรื่องในอดีตนั้นเพราะเธอต้องการปลอบใจยู เธออยากให้ยูกลับมาเป็นยูที่สดใส เธอไม่อยากเห็นยูแบบที่เครียดหรือเศร้าโศก เธอนั้นรับไม่ได้ แต่เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะเธออยากให้ยูนั้นมีคู่ชีวิตดีกว่าที่จะอยู่แบบนี้ แต่เธอก็รู้สาเหตุดีที่เจ้านายและเพื่อนของเธอไม่เปิดหัวใจรับใครมาตลอด 5 ปี จนสภาพจิตใจของยูในตอนนั้นย่ำแย่เต็มที่ซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน จนเธอตัดสินใจที่จะใช้ตัวเข้าไปปลอบประโลมชายหนุ่มในครั้งนั้น ซึ่งมันพอที่จะช่วยได้บ้างในครั้งเหมือนกับที่ผ่านมาสดร้อนๆในช่วงเย็นวันนี้ เพราะเรื่องแบบนี้โซเฟียร์นั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะก่อนที่เธอจะแต่งงานเธอก็ผ่านผู้ชายมาพอสมควร แต่เธอนั้นก็นึกอยู่ว่า
“เปิดหัวใจซะทีเถอะคะ จูเนียร์อย่าปิดอีกเลย โซเฟียร์รู้ว่าคุณผ่านอะไรร้ายๆมาก แต่อย่างน้อยคุณน่าจะมีใครสักคนเข้ามาเติมเต็มในหัวใจคุณได้แล้วนะคะยู”