รักออกแบบไม่ได้
เรื่องสั้นเรื่องที่แล้วไม่ได้พูดอะไรเลยเพราะเขียนสดเสร็จก็ลง พอดีอารมณ์มันมา ดูเอ็มวีแล้วซึ้งเลยเขียนซะเป็นเรื่องเป็นราว555 เรื่องสั้นเรื่องนี้ก็เหมือนกันเอามาจากเอ็มวีเพลงนึงแต่จะไม่ขอบอกว่าเพลงอะไรให้ทายกันสนุกๆ ถ้ามีคนทายถูกว่าเพลงอะไรและพระเอกชื่ออะไรก็จะมีเรื่องสั้นที่เก็บเอาไว้มานานมาลงให้อ่านกันแต่ถ้าไม่มีใครทายถูกก็อดกันไปครับ เข้าเรื่องเลยดีว่า ปีหนึ่ง
ตอนเด็กๆผมเป็นคนชอบวาดรูปวาดการ์ตูน เล่าเรื่องราวในชีวิตออกมาเป็นรูปวาด บางทีก็เขียนล้อเลียนเพื่อนแบบสนุกๆขำๆไปเรื่อยจนแม่บ่นกับผมว่า 'ไอ้ลูกคนนี้นี่วาดรูปเล่นไปเรื่อยจริงๆ ตั้งใจเรียนหน่อยสิอยากจบไปเป็นพวกวาดวิมานในอากาศรึไง'
นั่นแหละคำพูดแม่ ไอ้ผมน่ะก็รักแม่อยู่แล้วเลยเชื่อฟังตามที่แม่พูดเลย เรียนไม่ยุ่งมุ่งแต่วาด คิดจะไปวาดวิมานในอากาสอย่างที่แม่ว่าและในที่สุดผมก็ได้มาวาดวิมานอยู่คณะนี้แหละ
สถาปัตยกรรมศาสตร์คือชื่อคณะแต่เราก็เรียกย่อกันไปว่าถาปัตแล้วคิดกันเอาเองว่าแม่งเท่ว่ะเท่กว่าชื่อยาวๆที่ป้ายคณะซะอีก ยิ่งได้ถูกเรียกว่าเด็กถาปัตๆนะแม่งโคตรเท่เลย แต่ใครล่ะจะรู้ว่าการเป็นเด็กถาปัตน่ะนอกจากเท่แล้วมันยังมีเรื่องวายป่วงให้ปวดหัวอีกเยอะกว่าจะได้จบไปแล้วเรียกตัวเองว่า'เด็กถาปัต' ได้เต็มตัว อย่างแรกเลยนะคือรับน้อง
การรับน้องเนี่ยเป็นอะไรที่โคตรได้โคตรสนุกเลยสำหรับความคิดของผมที่เข้ามาใหม่ๆแต่พอได้เข้ารับน้อง เจอพิธีศีลจุ่มและจบด้วยดื่มน้ำสปีริตไปเท่านั้นแหละผมนี่ซึ้งถึงกึ๋นเลยว่าชายหญิงไม่มีความเท่าเทียมกัน
อาจจะยังไม่รู้ว่าศีลจุ่มกับน้ำสปีริตคืออะไร ไอ้ศีลจุ่มน่ะมันคือการเกณฑ์พวกไอ้เนรทั้งหลายไปอยู่กลางลานของตึกคณะ จากนั้นพวกรุ่นพี่ผู้น่ารักทั้งหลายก็พากันเทถังน้ำสีผสมเม็ดแมงลักหลายต่อหลายสีลงมายังพวกผู้ชายที่ยืนเข้าแถวเบียดกันอยู่ด้านล่างจนชุ่มไปหมดทั้งเขียวเหลืองแดงแถมเม็ดแมงลักยังติดเหนียวหนึบไปหมดอีกต่างหาก ส่วนพวกผู้หญิงน่ะเหรอ คุณเธอถูกเชิญไปด้านหลังคณะให้ปิดตาแล้วโดนรุ่นพี่พรมน้ำสีผสมแป้งหอมใส่พอสะกิดๆ เรียกได้ว่าเลอะแบบสวยๆกันไป
ส่วนน้ำสปีริตพวกพี่เขาก็ช่างคิดช่างสรรหาจริงๆ มันเป็นน้ำอะไรก็ไม่รู้ในหม้อดินที่มีทั้งรสเผ็ดเปรี้ยวเค็มขมชวนสยองให้พวกผู้ชายอย่างผมต้องตักกินกันเพื่อรับน้องเข้าคณะ แต่ละคนกินเข้าไปนี่อ้วกแตกกันทุกคนไม่เว้นผมด้วยที่แค่จิบเท่านั้นก็หูอื้อตาลายพาลจะของขึ้นต้องวิ่งไปเอาของออกที่โคนต้นไม้ตามเพื่อนๆไป และนั่นยังไม่อายเท่าที่มีพวกผู้หญิงนั่งดูอยู่ด้วยนั่นแหละ ต้องบอกเลยว่าพวกผมเป็นหนึ่งในความบันเทิงของพวกเธอจริงๆกับกิจกรรมนี้ แต่มันก็ทำให้ผมได้รู้จักกับแนนเป็นครั้งแรกด้วยเหมือนกัน
ตอนที่ผมอ้วกด้วยรสพิสดารของน้ำสปีริตอยู่นั่นแหละ ด้วยเพราะผมเป็นพวกท้องไม่ค่อยดีแต่เด็กๆพอเจอกับรสชาดสุดบรรยายเข้าไปเลยถึงกับหน้าเขียวหน้าเหลืองอ้วกเอาอะไรต่อมิอะไรมาหมดจนไม่เหลือแรงจะลุก พี่ๆเขาเลยพาผมไปพักฟื้นกับยาดมยาหม่องตามแต่จะหาได้อยู่บนม้านั่งปล่อยให้คนอื่นทำกิจกรรมต่อไปคือวิ่งรอบคณะ
ตอนนั้นเองแนนกับเพื่อนๆผู้หญิงที่ไม่ต้องออกไปใช้แรงวัวแรงควายวิ่งก็มาถามอาการผมด้วยความเป็นห่วง
แนนเป็นคนสวยนะ หมวยๆเหมือนลูกคนจีน ตัวเล็กๆขาวๆท่าทางนิ่งๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมสนใจหรอกเพราะลูกอาเจ็กอาโกน่ะคณะนี้มีเยอะ ก็แค่รู้สึกดีแค่นั้นเองที่มีคนเป็นห่วง ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลยจริงๆ
หลังจบกิจกรรมรับน้องก็เข้าสู่การเรียน ผมน่ะไม่มีพรสวรรค์หรอก มีแต่พรแสวง ชอบเรียนรู้โน่นนี่นั่นไปเรื่อยตอนว่างก็เลยค่อนข้างจะไปได้เร็วเวลาอาจารย์สอน และที่เก่งเป็นพิเศษเลยคือวิชาดรอวอิ้ง นั่นทำให้ผมค่อนข้างป๊อปทีเดียวสำหรับพวกเพื่อนอ่อนวิชานี้และอีกคนที่อ่อนคือแนน แน่ล่ะอาซิ่มของรุ่นน่ะเข้ามาได้เพราะหัวดีแต่ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์ เรื่องนี้เลยต้องพึ่งผม และในฐานะที่ผมรู้สึกดีกับแนนและเพื่อนๆแนนอย่างหยงและปอด้วยเลยยินดีช่วยเป็นพิเศษ ไม่ช้าผมก็เข้ามาอยู่เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มสามสาวได้ยังไงก็ไม่รู้
ปีสอง
หมดปีอันเลวร้าย ในที่สุดผมก็ได้ขึ้นมาอยู่ปีสองเป็นรุ่นพี่กับเขาบ้าง แต่การโตเป็นรุ่นพี่ภาระมันก็ต้องตามมาด้วย คราวนี้พวกปีสองต้องคอยจัดสถานที่รับน้องอย่างปีที่แล้ว พวกผมก็ทำกันเต็มที่เลยครับ เกณฑ์น้องๆผู้ชายผู้น่าสงสารมาช่วยทำซุ้มทำอุปกรณ์ที่เอาไว้ใช้รับน้องกันเองอย่สงที่พวกผมเคยต้องทำ จากนั้นปีสองก็จัดเตรียมน้ำสีกับพิธีถือน้ำสปีริตกัน คราวนี้แหละได้รู้เลยว่าไอ้น้ำเ-ี้ย นี่มีอะไรผสมอยู่บ้าง
ทั้งพริกป่นพริกไทย น้ำปลามะนาว เกลือน้ำตาล พวกผมเล่นผสมกันมั่วไปหมดแล้วก็ช่วยกันชิมก่อนชมว่าน้องๆต้องจบไม่สวยเหมือนพวกผมแน่
นอกจากเรื่องรับน้องที่น่าสนุกแล้วที่เหลือก็คือเรื่องสยองทั้งนั้น ทั้งวิชาออกแบบ วิชาโครงสร้าง ที่พวกผมต้องเรียนเพื่อเอาไปโต้กับพวกวิศวเขาได้ มันโหดจริงๆ ไอ้วิชาออกแบบน่ะงั้นๆแหละเหมือนเรียนประวัติศาสตร์การออกแบบเก่าๆแล้วเอามาด้นใหม่แต่ไอ้เรื่องวิชาโครงสร้างน่ะคุณเอ้ยมันโหดจริงๆ อ.บอกแค่พื้นฐานแต่เห็นคำนวณแล้วผมจะเป็นลมให้ได้ ยังดีที่มีแนนเป็นที่พึ่งให้ลูกเจี๊ยบตาดำๆสามหน่อได้คอยลอกคอยถาม ตอนปีหนึ่งน่ะแนนถามผมจนรำคาญแต่พอมาปีนี้ผมเองที่เป็นคนคอยถามแนนซะจนน่ารำคาญแต่แนนก็ยังคอยตอบผมนะมันทำให้ผมรู้สึกดีแปลกๆ ก็ไม่รู้เพราะอะไรแต่ไม่ว่าผมจะโทรไปดึกแค่ไหนแนนก็จะด่าผมมาคำสองคำแล้วก็คอยช่วยสอนให้จนผมเข้าใจผมเลยตอบแทนแนนด้วยการช่วยในวิชาออกแบบในเรื่องแนวคิดอะไรพวกนั้น ไม่ต้องถามเลยว่าทำไมผมถึงช่วยแค่แนน ก็เพื่อนสาวๆของแนนทั้งสองคนน่ะสิดันขายออกกันหมด พอมีแฟนมันก็เอาเวลาไปคุยโทรศัพท์กับแฟนปล่อยให้ผมคุยกับแนนอยู่สองคน นี่ล่ะมั้งจุดเริ่มต้นความรักของผม
ไม่รู้เพราะเหลือกันแค่สองคนที่ยังโสดรึเปล่าเราเลยไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นส่วนเรื่องกลุ่มก็นานๆทีได้รวมกันครบไม่ก็รวมกันเฉพาะตอนเรียนเท่านั้น คงช่วงนั้นแหละที่ผมรู้สึกเหงาจนอยากจะหาใครสักคนมาอยู่ข้างๆแต่พอมองไปที่แนนผมกลับตัดสินใจไม่ถูกว่าจะยอมปล่อยให้อารมณ์พาไปดีรึเปล่าเพราะผมยังไม่อยากเสียเพื่อนไปสุดท้ายเลยได้แต่เงียบไว้แล้วลองไปหารุ่นน้องสักคนดีกว่า แน่ล่ะว่าถึงผมจะรูปไม่ค่อยหล่อแต่คารมณ์เป็นต่อนะครับ ไม่นานเท่าไหร่ผมก็เริ่มติดโทรศัพท์บ้างเหมือนกัน คราวนี้กลางคืนไม่โทรหาแนนแล้วโทรหาแต่ว่าที่แฟนอย่างเดียว ไม่มีอะไรคุยก็ขุดเอาอะไรไม่รู้มาคุยจนได้ แนนก็ดูนอยๆที่เพื่อนไปมีคู่กันหมดแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกนะก็เป็นเพื่อนกันน่ะมันดีกว่านี่นา ไม่ต้องมามองหน้ากันไม่ติดเวลาทะเลาะกันด้วย ดีกันก็ง่ายแค่โทรคุยก็หายแล้วผิดกับแหนเด็กของผมที่ต้องคอยโทรตามง้อตามเอาใจมิหนำซ้ำถ้าไม่ได้ดั่งใจยังจะขู่เลิกสามเวลาอีก และแบบนี้แหละผมเลยถูกเลิกจริงๆจนได้แถมเลิกกันก่อนสอบอีกเล่นเอาผมจิตตกไปเป็นอันทำอะไรเลย
ตอนนั้นก็มีแนนนี่แหละที่คอยโทรตามไปติว บังคับขู่เข็ญให้ผมออกไปจากห้องรกเหมือนรังหนูหลายครั้งจนมันถึงกับบอกผมให้ได้สติว่ามึงจะมาเศร้าทำไมจะสอบแล้วนะ ถ้าตกนี่น้องเขาได้หัวเราะเยาะมึงซ้ำแน่ นั่นแหละเจ็บจี๊ดเลยทำเอาผมตาสว่างมุอ่านจนสว่างคาตาไปหลายวันและเพราะคำพูดมันก็ทำให้ผมผ่านปีสองมาจนได้แถมเกรดวิชาโครงสร้างยังดีด้วย
ปีสาม
ว่าปีสองยากแล้ว ปีสามนี่ยากยิ่งกว่ากับวิชาโครงสร้าง2 ผมนี่แทบกุมขมับเลยอยากจะให้พ้นสายวิชาวิศวะไปสักที ก็รู้นะว่าต้องทำงานด้วยกันแต่ไม่ต้องแนบแน่นกันขนาดนี้ก็ได้มั้ง
ปีสามพวกรุ่นพี่อย่างผมแทบไม่ต้องทำอะไรแล้ว ได้แต่มองดูน้องๆทำกิจกรรมกันไปส่วนพวกผมก็แค่คอยคุมคอยดูแลไปไม่ให้พวกพี่ๆปีโตแพ่นกบาล มาดผมจากเคยเรียบร้อยมันก็เซอขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ก็ไม่ใช่แค่ผมหรอก ทั้งผู้ชายผู้หญิงนั่นแหละ ก็จะไม่ให้เซอร์ได้ไง จากวาดเขียนในกระดาษ ปีนี้ต้องสร้างมันออกมาให้ได้เป็นโมเดลแถมต้องเตรียมคำอธิบายโน่นนี่นั่นว่าทำไปทำไม สร้างแล้วได้อะไรรวมทั้งต้องเอาไอ้วิชามหาโหดอย่างโครงสร้างมาใช้ด้วยไม่ใช่ออกแบบมามั่วๆ ตอนนี้แหละที่ต้องจับกลุ่มกันสองคนเพื่อนทำโม ไม่ต้องบอกเลยว่าผมจับกลุ่มกับใครในเมื่อปอกับหยงมันไปจับกลุ่มกับแฟนสร้างบ้านแห่งความรักกันไปเรียบร้อย
ผมกับแนนอยู่ด้วยกันตามคาด งานน่ะเหรอก็สั่งตั้งแต่ต้นเทอมให้ส่งปลายเทอม เวลาเกลือเฟือแบบนี้จะยากอะไร
ครับ ไม่ยากเลยตอนเขียนแบบออกแบบโครงสร้าง อาทิตย์เดียวก็ได้วิมานในอากาศสุดสวยหรูมาแล้ว แต่นรกน่ะมันมาต่อจากนั้นคือต้องตัดโมนี่แหละ
ไม้บัลซ่าเล็กๆแต่หลายตังเหลือเกิน ไม้อัดทำพื้นรวมทั้งเฟอร์นิเจอร์สำหรับเอาเข้าไปอยู่ในบ้านอีก รวมๆแล้วเป็นพัน นี่ยังไม่รวมอุปกรณ์รองตัดกับใบคัตเตอร์ที่ต้องสูญเสียไปอีกนะ ขอบอกเลยว่าแค่สตาร์ทก็เห็นหายนะอยู่ไกลๆแล้ว พอได้เริ่มสร้างก็เห็นมันชัดขึ้นมาทุกที อย่างแรกเลยคือบ้านไม่ตรงแบบ
ผมกับแนนวางแผนกันหลายรอบคิดหลายตลบเลยว่าบ้านในอากาศมันต้องเลิศแต่พอเอาเข้าจริงมันทำยากทำเย็นเหลือเกิน สุดท้ายเราเลยต้องแบ่งหน้าที่กันไปว่าผมจะค่อยๆแก้แบบและแนนจะค่อยๆสร้างโมขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับโครงสร้างที่คำนวณที่สุด เราก็แก้ไปทำไปจนได้แบบสมบูรณ์นั่นแหละแต่ก็แลกมาด้วยเงินกับเวลาที่เสียไปอย่างไร้ค่าเป็นอาทิตย์ๆ กว่าจะรู้ตัวก็จวนเจียนส่งแล้วทำให้เราต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำกันแทบทุกวัน เสียงหัวเราะทั้งน้ำตานี่เริ่มมาเลย
ใครบอกว่าสาววิศวะอึดที่สุดน่ะผมขอค้าน ผมขอเสนอตำแหน่งนี้ให้สาวถาปัตดีกว่าโดยเฉพาะแนนเลยด้วย เพราะการต้องนั่งทำโมหามรุ่งหามค่ำน่ะทำให้ผมเห็นว่าแนนมุ่งมั่นแค่ไหน จากสวยๆเป็นอาหมวยอาซิ่มพออดนอนหลายๆวันตาก็ดำผมก็กระเซิงเป็นยายเพิ้งน่าสยองแทนแต่แนนก็ยังอดตาหลับขับตานอนนั่นต่อโมกับผมไปอย่างอดทนได้ตลอด
ลืมบอกไปว่าสถานที่ที่เราต่อโมกันน่ะเป็นห้องแนน จริงๆไม่ต้องบอกก็ได้เพราะไม่มีอะไรในกอไผ่แต่แค่ประทับใจเล็กๆที่ถึงเวลาต่อโมห้องจะรกแต่แนนก็เก็บกวาดเรียบร้อยมากตอนจะนอนทำให้ผมเห็นความเป็นกุลสตรีเลยล่ะ ยิ่งได้อยู่ด้วยนานเข้าก็ยิ่งเห็นแนนสวยวันสวยคืนทั้งที่หน้าตาแนนกลับโทรมวันโทรมคืน ไม่รู้นะก็เราสถาปัตไม่ได้ดูกันที่ภายนอกนี่หว่าแต่ดูกันที่ภายในเพราะถ้าภายในไม่สวยภายนอกที่เห็นมันก็งั้นๆแหละ
ในที่สุดโมก็เสร็จแปลนก็เสร็จในวันที่จะส่ง ผมกับแนนไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืนยังต้องแบกโมไป ม. อีกเพื่อให้ อ.ได้ดูพร้อมพรีเซนต์ซะสวยหรูว่าที่ออกแบบมาน่ะเป็นวิมานบนสวรรค์ไม่ใช่บ้านบนโลกมนุษย์ทั้งที่ใจอยากกลับบ้านที่โลกมนุษย์ไปนอนใจจะขาด แต่ก็คุ้มค่าเพราะคำวิจารณ์ของ อ.ที่พูดออกมาดีทุกคำแม้จะมีตินิดหน่อยก็ตาม มันทำให้ผมได้เห็นแนนยิ้มอย่างมีความสุขและนั่นทำให้ผมมีความสุขไปด้วย
ปีสี่
ปีสุดท้ายปีโตสุดและเป็นปีที่เหนื่อยที่สุด ปีนี้น่ะเรื่องโมเป็นเรื่องจิ๊บๆไปแล้วถ้าเทียบกับว่าต้องเรียนวิชาที่มันจับต้องไม่ได้อย่างจิตวิทยาออกแบบ เหนื่อยที่ต้องนั่งดูสไลด์การออกแบบตั้งแต่รุ่นพระเจ้าเหาแล้วเอามาผูกกับจิตใจคนอาศัย ก็เข้าใจนะว่าบ้านที่ดีต้องอยู่แล้วทีความสุขแต่ที่ไม่เข้าใจคือจิตใจอาจารย์นี่แหละ เล่นบรรยายด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกันทั้งชั่วโมงท่านคิดจะกล่อมผมให้หลับหรือให้ตั้งใจเรียนครับท่าน
ไม่ต้องไปพูดถึงวิชาอื่นเพราะมันหลุดโลกไปหมดจะมีแต่วิชาธุรกิจถาปัตนี่แกละที่ดูเป็นผู้เป็นคนหน่อย
เรื่องเรียนก็ต้องขอบ่น เรื่องแนนก็ต้องขอบ่นเพราะปีที่แล้วเจ้าหล่อนมาทำให้ผมตกหลุมรักอย่างจังแต่ปีนี้กลับได้ข่าวว่าไปจีบหนุ่มวิศวะซะงั้น อย่างว่าแหละสายงานเราใกล้กันแต่นี่ดันมาทำให้ผมอยากแล้วจากไปนี่มันคืออารายยย ผมน่ะกลุ้มอยู่นานเลยนะว่าจะทำไงดีวะ จะรีบบอกแนนไปเลยดีมั้ยว่าแนนกูรักมึงนะ หรือจะรอดี นั่งคิดจนกลุ้มยิ่งกว่าตอนเรียนแต่ดันมาฮาตอนคุยกันแนนแล้วมันบอกว่าเลิกคบไปแล้วแค่อยากลอยอ่อยเฉยๆว่าได้ผลมั้ย ผมนี่อึ้งเลย เห็นเงียบๆที่แท้ร้ายลึกน่าดู
ปีนี้เป็นปีคนโสด ปอ กับ หยงมันเลิกกับแฟนไปตั้งแต่ทำโมบ้านส่ง อ. เลยกลับมาเข้ากลุ่มทำให้กลุ่มเราคึกคักอีกครั้งแต่ทำให้ผมรู้สึดอึดอัดใจไม่น้อยเพราะใจอยากสารภาพรักกับแนนแต่ถ้ามีไอ้สองตัวนี้อยู่ในกลุ่มใจก็ไม่กล้า จะเรียกว่าเป็นข้ออ้างก็ได้แต่หัวเด็ดตีนขาดยังไงผมก็ไม่มีทางสารภาพรักโดยมีไอ้สองตัวปากสว่างนี่มาอยู่ในกลุ่มด้วยแน่ๆเลยกลายเป็นว่าปีนี้ผมยอมทำตัวปอดไม่บอกแนนไปว่าคิดอะไรอยู่และปล่อยให้เวลาผ่านไปจนถึงเวลาจบการศึกษา
ปริญญามันไม่ได้มาง่ายๆเหมือนกับคนข้างกายที่กว่าจะได้ก็ต้องฝ่าฟันกันมามาก มันเป็นคติตอนคณะบดีคณะผมพูดเอาไว้ก่อนจบพร้อมกับให้หันมองไปที่เพื่อนๆรอบข้างว่าให้รักและดูแลกันไปไม่ว่าจะอยู่ไหนก็ตาม
ผมซึ้งนะกับคำนี้แต่ในหัวผมกลับมีแต่แนนเมื่อนึกถึงคำว่าคนข้างกาย ผมไม่รู้จริงๆว่าจะบอกแนนยังไงว่ารักตอนนั้นผมเลยเลือกที่จะลองบอกรักทางโทรศัพท์ดูเพราะมันไม่ต้องเผชิญหน้ากันและมันทำให้ผมมั่นใจว่ากล้าพูดได้มากว่า คืนนั้นผมเลยโทรหาแนนแล้วหาเรื่องคุยเหมือนตอนที่จีบรุ่นน้องตอนปีสองนั่นแหละ แต่แปลกดีนะที่ผมไม่ต้องขุดอะไรออกมาคุยให้ยุ่งยากเลย แค่เราคุยกันเฉยๆ เรื่องธรรมดาๆเท่านั้นเราก็คุยกันได้ยาวแบบไม่รู้สึกเบื่อ ยิ่งคุยยิ่งสนุกจนดึกจนดื่น กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนแนนบอกว่าง่วงแล้วนั่นแหละผมถึงตัดสินจะว่าจะบอกรักกับแนน ตอนนั้นผมพูดออกไปได้แค่คำว่าแนนเองมั้งก่อนที่สายจะตัดไปเพราะเงินหมด ผมน่ะรู้สึกทั้งเสียดายทั้งโล่งเลยที่ไม่ได้บอกออกไปและนั่นทำให้ผมตัดสินใจใหม่ว่าจะยังไม่บอกแนนไปว่ารักเพราะรู้ดีว่าบอกไปตอนนี้มันก็มีแต่จะทำให้เราหนักใจทั้งคู่ในเมื่อยังไงเราก็ต้องจากกันไปทำงานคนละที่ คงไม่มีทางได้เจอกันและคงไม่มีทางรักษาความสัมพันธ์นี้ได้ พอคิดได้แบบนั้นผมเลยเปลี่ยนใจและปล่อยให้แนนงงไปคนเดียวว่าผมต้องการจะพูดอะไร
สองปี
เป็นสองปีที่ยาวนานในการจบไปทำงานเป็น 'เด็กถาปัต' เต็มตัว งานยุ่งคนเยอะ ยิ่งคนเยอะเรื่องก็ยิ่งเยอะ ถึงตอนนี้ผมจะลืมแนนไปแล้วแต่ใจผมก็ยังไม่มีใครทั้งที่เพื่อนที่ทำงานโสดๆสวยๆรวยๆก็เยอะ มันเหมือนกับว่าผมยังไม่เจอคนที่ใช่สักที อีกอย่างก็เพราะผมยังไม่คิดจะหาด้วยมันเลยปล่อยว่างมายาวนานถึงสองปี แต่ในที่สุดผมก็เจอโดยไม่ต้องหา
วันนั้นผมไปคุยงานออกแบบกับคุณลูกค้าแสนหวานในร้านกาแฟ ก็มีบ้างที่ลูกค้าสาวๆจะจีบผมในเมื่อผมอารมณ์ดีและคารมณ์ดีแต่ผมก็แค่คุยๆจนจบด่อนที่ลูกค้าสาวคนนั้นจะขอตัวำปทำธุระต่อ ตอนนั้นเองผมถึงได้เห็นว่าข้างหลังลูกค้าของผมคือคนที่ใช่สำหรับผม
เธอนั่งที่โต๊ะติดกระจก ผมยาวรวบมวยแน่น ผิวขาวสะอาดสะท้อนแสงดูมีออกร่า ตัวเล็กๆ และที่สำคัญหน้านิ่งๆเหมือนอาซิ่ม ก็ไม่ใช่ใครหรอก แนนนั่นเองแหละ ผมรีบตรงไปหาแนนด้วยใจเต้นรัว ในหัวตีกันยุ่งไปหมดว่าแนนจะสบายดีมั้ยยังโสดอยู่รึเปล่า แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าแนนยังโสด
ตอนนั้นบอกเลยว่าผมงัดเอาวิชาทุกวิชาที่เรียนมาสี่ปีในรั้วมหาลัยออกมาใช้ในสมองจนหมดรวมทั้งจิตวิทยาออกแบบด้วยเพื่อให้ตัวเองกล้าพอที่จะเอ่ยคำแรกออกมา
ผมเรียกแนนให้หันมาแล้วถามวห้แน่ใจว่าใช่แนนรึเปล่าครับก่อนจะอัญเชิญตัวเองลงนั่งอย่างถือวิสาสะ สรุปเลยคือใช่และแนนก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่ด้วยแต่เพราะลูกค้าเบี้ยวนัดเลยมานั่งฆ่าเวลาก่อนกลับ
ผมคุยกับแนนยาวมาก. คุยกันเป็นคุ้งเป็นแควถึงเรื่องราวที่เราห่างหายกันไปสองปีและได้รู้ว่าแนนอยู่ดีกินสบายมากกับบริษัทนี้แถมยังโสดอยู่ด้วย นั่นทำให้ผมดีใจสุดๆคิดว่านี่แหละโอกาสที่สองที่ผมจะได้บอกรักแนน ได้เจอกับคนที่ใช่สักที แต่ยังก่อน นี่เพิ่งจะเจอกันจะให้บอกเลยก็กระไรอยู่ผมเลยยอมเก็บไว้ในใจอีกครั้งและปล่อยให้การสนทนาของเราไหลลื่นต่อไปจนบ่ายถึงได้ลากลับ แนนบอกผมว่าเปลี่ยนเบอร์แล้วและให้เบอร์ใหม่ผมมาติดต่อ ผมเลยถือว่านี่แหละเป็นฤกษ์ดีที่จะขอสานความสัมพันธ์กับเพื่อนคนนี้สักที
หลังจากวันนั้นผมก็โทรคุยกับแนนบ้างเวลามีเรื่องปรึกษาหรือมีปัญหาชีวิต เราค่อยๆกลับมาเริ่มใหม่จากศูนย์จนกระทั่งกลับมาสนิทกันอีกครั้งในเวลาไม่นาน ตอนนี้แนนจึงไม่ใช่คนอื่นคนไกลกับผมแล้วและนั่นทำให้เราต่างคนต่างไปหากันยันไซต์งานที่ทำของอีกฝ่ายเวลาที่เราว่าง กระทั้งผมได้ตั๋วคอนเสิร์ตมาสองใบจากรุ่นพี่นั่นแหละผมเลยไปชวนแนนให้ไปดูด้วยกันหลังเลิกงาน
ในคอนเสิร์ตเราสองคนสนุกกันมาก ต่างคนต่างเหมือนกลับเป็นเด็กอีกครั้ง เต้นแร้งเต้นกายิ่งกว่าตอนรับน้อง ยิ่งตอนใกล้จบยิ่งสนุก กว่าจะรู้ตัวก็สี่ทุ่มกว่าตอนที่งานจบไปแล้วนั่นแหละ
เราสองคนเดินหัวเราะกันออกมาจากงานตามผู้คนที่ทยอยกันกลับบ้านไปยังลานจอดรถและก่อนที่จะแยกกันนั่นเองผมก็ตัดสินใจจับแขนแนนเอาไว้
 
--------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงลิ้งค์เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
แสดงลิ้งค์เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
------------------------------------------------------------------------------------------------
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน