และแล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะเริ่มสานต่อ อาถรรพ์ปลัดขิกซะที หลังจากที่ตันอยู่ระยะหนี่ง
ประกอบกับหน้าที่การงานที่ยังยุ่งๆอยู่ ก็ตั้งใจไว้ว่าจะเอาให้จบตามพล๊อตที่ตั้งไว้ให้ได้
ขอตั้งชื่อว่า เป็น อาถรรพ์ปลัดขิกภาค 2 เลยแล้วกัน ส่วนภาคแรกใครยังไม่เคยอ่านและต้องการติดตามเชิญได้ที่ลิงค์ท้ายเรื่องครับ-------------------- ท้องฟ้าที่สว่างใสมาตั้งแต่รุ่งเช้าของผืนป่าดิบแล้ง เริ่มอึมครึมแล้วลาแสงลงด้วยเมฆฝนสีเทาหม่นที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาจนห่มคลุมท้องฟ้าโดยรอบของป่า จะมองเห็นสิ่งต่างๆได้ก็เพียงแค่เงาสลัว กิ่งก้านอันแผ่กว้างของต้นไม้ใหญ่ดำทะมึนเริ่มแกว่งไกวไปมาจากลมฝนที่เริ่มตั้งเค้า แล้วกลับกลายเป็นลู่ไปตามกระแสลมอย่างรุนแรงจนใบของมันปลิวว่อนกระจัดกระจายไปทั่ว
เสียงคำรามของท้องฟ้าดังครืนๆ สลับกับแสงแปลบปลาบสว่างวาบ ต้องร่างของชายหนุ่มที่นอนสงบนิ่งอยู่ใต้โคนไม้ใหญ่ แล้วเพียงครู่ท้องฟ้าอันดำมืดก็ปลดปล่อยเม็ดฝนอันเย็นฉ่ำจากผืนฟ้าลงสู่ผืนดินอันผากแห้งจนฉ่ำชื้นเจิ่งนองเสมือนเป็นการฟื้นคืนชีวิตของป่าขึ้นมาอีกครั้ง
เม็ดฝนสาดลอดร่มไม้ลงมาพร่างพรมบนใบหน้าของป๊อด เหมือนกับจะช่วยปลุกให้เขาตื่นฟื้นจากการหลับใหล เปลือกตาของเขาเริ่มขยับแล้วค่อยๆลืมขึ้นอย่างยากลำบาก ริมฝีปากอันแห้งผากเผยอออกรับเอาหยาดน้ำทิพย์ที่พร่างพรมลงมาจากแผ่นฟ้าล่วงเข้าสู่ลำคออย่างโหยกระหาย สายน้ำอันเย็นฉ่ำชุ่มชื่นช่วยให้ป๊อดเริ่มกลับมามีพลังชีวิตขึ้นทีละน้อยๆ
ป๊อดพยายามยันร่างเพื่อจะลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทรุดตัวกลับลงไปนอนอีกครั้ง ความบอบช้ำจากการถูกรถชนอย่างรุนแรง ทำให้ป๊อดยังมีอาการหายใจติดขัดและเสียดแน่นที่ช่องอกทั้งยังถูกซ้ำด้วยอำนาจฤทธิ์ของลูกกระสุนปืน ทั้ง 3 นัดที่ยิงมาในระยะเกือบจะเป็นเผาขน โชคดีที่ในขณะถูกยิงยังมีปลัดขิกพญางิ้วดำคุ้มครองอยู่ จึงทำให้ลูกปืนทั้งสามนัดไม่สามารถเจาะทะลุผ่านช่องอก
สติของป๊อดเริ่มคืนกลับมาจนเกือบเป็นปกติเมื่อได้รับความฉ่ำเย็นของสายฝน เขาเริ่มทบทวนคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ ป๊อดจำได้ว่าเขาถูกรถยนต์คันหนึ่งพุ่งชนจนร่างของเขาลอยกระเด็นไป และถูกคนขับรถคันนั้นเดินตามมายิงซ้ำมาที่ร่างของเขาในระยะใกล้ เมื่อระลึกได้ถึงตรงนี้อาการเจ็บแน่นที่หน้าอกก็แล่นแปลบเข้ามาจนเขาต้องหลับตาลงสะกดความเจ็บปวดเอาไว้
เขาไม่เคยมีศัตรู ไม่เคยสร้างความอาฆาตแค้นให้กับใคร คนที่ต้องการให้เขาตายจนกระทั่งสามารถทำได้ถึงเพียงนี้มีเพียง เสี่ยวิชัย คนเดียวเท่านั้น พอคิดมาถึงตรงนี้ป๊อดก็เริ่มวิตกกังวลเป็นห่วงคนที่บ้านเกรงว่าเสี่ยวิชัยอาจจะส่งคนไปทำร้าย เขาจึงพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงและกำลังทั้งหมดที่มี ดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นเอาชนะความเจ็บปวดที่บริเวณชายโครง จนสามารถนั่งได้ในที่สุด
ป๊อดหายใจอย่างเหนื่อยหอบหันมองสำรวจสภาพของสถานที่โดยรอบ แล้วก็เห็นว่า ณ จุดที่ตนเองอยู่เป็นป่าทึบอันหนาแน่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ทั้งยังเป็นเวลาที่ใกล้จะค่ำแล้ว ป๊อดรู้ดีว่ากลางป่าในยามค่ำมืดทั้งยังมีพายุฝนเช่นนี้ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยหากปล่อยให้เนิ่นนานไปกว่านี้สถานะการณ์ของตนเองก็จะยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้น
ทุกครั้งในยามที่ได้รับความทุกข์หรือเข้าตาจน ป๊อดจะคิดถึงน้าขิกรวมถึงในครั้งนี้ด้วย ป๊อดรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาในทันทีจึงรีบล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อ แต่แล้วก็ต้องใจหายวาบเมื่อพบแต่ความว่างเปล่า และไม่ว่าจะควานหาลงไปซักกี่ครั้งก็ไม่พบปลัดขิกพญางิ้วดำที่ตนเองเป็นผู้ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ป๊อดไม่ละความพยายาม ไล่มือลงไปสำรวจกระเป๋ากางเกงและสอดส่ายสายตาไปทั่วอาณาบริเวณใกล้เคียงอย่างร้อนรน ด้วยความหวังว่าอาจจะทำตกหล่นไปไม่ไกลนัก
"น้าขิก....น้าขิกไปไหน.......น้าขิกอยู่ที่ไหน............น้าขิก.....โธ่.....น้าขิก.."
ป๊อดร่ำร้องออกมาอย่างอ่อนใจ จนในที่สุดก็ทิ้งมือทั้งสองลงข้างลำตัวตัวอย่างท้อแท้สิ้นเรี่ยวแรง นั่งมองดูสายฝนที่สาดกระทบลงบนพื้นดินอย่างหมดหวัง
ฝนเริ่มซาลงจนหยุดลงในที่สุด บรรยากาศรายรอบก็มืดมิดลงจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรที่อยู่เบื้องหน้า เสียงจักจั่นเริ่มดังขึ้นจนดังก้องเซ็งแซ่ไปทั้งป่า มันยิ่งสร้างความเหงาและวังเวงให้กับป๊อดมากยิ่งขึ้นไปอีก
สัตว์น้อยใหญ่ที่หากินในเวลากลางคืนเริ่มส่งเสียงสอดแทรกเสียงเข้ามาเป็นบางขณะ มันเป็นเสียงที่แปลกประหลาดและน่ากลัวจนอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจจะเป็นเสียงของภูตผีปีศาจ และพอคิดถึงตรงนี้ป๊อดก็นึกออกว่าเขายังมีโหงพรายอยู่ โหงพรายที่ป๊อดใช้ให้ไปเฝ้าดูอาการของนิสา แล้วกลับมาเล่าเรื่องราวของเธอ ให้ฟังในตอนเย็นๆ ป่านนี้มันเองก็คงจะหาเขาอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเขามาอยู่ในป่าลึกอันห่างไกลเช่นนี้ เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถติดต่อกับโหงพรายได้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากจะต้องทดลองดู แล้วป๊อดก็หลับตาลงพยายามสำรวมจิตให้สงบนิ่งเพื่อสื่อกระแสจิตถึงโหงพราย
อาจจะเป็นเพราะเขากำลังอยู่สถานที่อันคับขันและอยู่ในสภาวะที่วิตกกังวล แม้จะพยายามเท่าไหร่ป๊อดก็ไม่สามารถสำรวมจิตให้นิ่งได้ จนป๊อดคิดตัดสินใจที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยพยายามยันตัวเองลุกขึ้นยืนและออกก้าวเดินอย่างโผเผ เพื่อจะหาทางออกจากป่าแห่งนี้
ป๊อดฝืนเท้าก้าวเดินโผจากโคนต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งด้วยอาการกระปกกระเปลี้ย ท่ามกลางความดำมืดของป่า ผืนดินหลังฝนตกอย่างหนัก มันทั้งเปียกทั้งลื่นและดำสนิทจนป๊อดเองก็มองไม่เห็นว่ากำลังก้าวเท้าไปเหยียบอะไร แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้าวเดินต่อไปเพื่อหาทางออกจากป่าแห่งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด และแล้วเท้าของป๊อดข้างหนึ่งก็ก้าวสวบหายลงไปในที่อันเวิ้งว้าง
"เฮ้ยย !..........อ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา..............."
ป๊อดรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวพร้อมกับส่งเสียงร้องดังยาวออกมา ขณะที่ร่างของเขาล่องลอยอยู่อย่างเวิ้งว้าง กระแสลมวิ่งผ่านหูของป๊อดทั้งเร็วแและแรงจนรู้สึกอื้ออึงไปหมด ร่างของเขาลอยเคว้งคว้างจนป๊อดรู้สึกว่าวาระสุดท้ายของชีวิตทำไมมันช่างยาวนานนัก แล้วในที่สุดสติสัมปชัญญะของป๊อดก็ดับวูบลง
-------------
เสียงไก่ป่าตีปีกดังผั่บๆๆ แล้วขันดังก้องเป็นช่วงๆ สลับกับเสียงของนกตัวน้อยที่ส่งเสียงเจี้อยแจ้วอย่างไม่ยอมแพ้ แว่วเข้ามากระทบโสตประสาทของป๊อดจนเริ่มรู้สึกตัวลืมตาขึ้น แต่แล้วก็ต้องหรี่ตาลงอีกครั้งเมื่อแสงสว่างของเช้าวันใหม่สาดส่องทะแยงม่านตาเข้ามา
ป๊อดสอดส่ายสายตาหันมองไปโดยรอบอย่างมึนงง ก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่า ตนเองได้พลัดตกลงจากที่สูงจนคิดว่าคงไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว แต่แล้วก็กลับพบว่าตนเองได้มาอยู่ในที่แห่งนี้
ป๊อดยันกายลุกขึ้นนั่งแล้วสำรวจดูตนเอง ก็พบว่าความเจ็บปวดจุกแน่นที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หายไปราวกับปลิดทิ้งจนเขาอดคิดไม่ได้ว่าตัวเขาเองอาจตายไปแล้วจึงได้ละทิ้งความเจ็บปวดเหล่านั้นไป แต่เมื่อหันมาสำรวจสถานที่ที่ตนนั่งอยู่ก็พบว่ามันเป็นลานดินกว้างเตียนที่รายรอบไปด้วยต้นไม้เหมือนมีคนมาถากถางไว้ ไก่ป่าสีสันสวยงามสี่ห้าตัวเกาะตามกิ่งก้านห่างออกไปไม่ไกลนัก ลักษณะที่มันเดินใกล้เข้ามาเหมือนมันไม่เกรงกลัวมนุษย์แต่อย่างใด
ที่ห่างออกไปมีกวางแม่ลูกอ่อนพร้อมกับลูกของมันกำลังเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายใจและไม่มีท่าทีที่จะระแวงหรือเกรงกลัวในตัวเขาอย่างผิดธรรมชาติของสัตว์ป่า บริเวณจุดกึ่งกลางของลานดินมีต้นไทรใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมจนผืนดินที่อยู่ใต้กิ่งก้านของมันดูร่มครึ้มน่าเข้าไปนั่งพักผ่อน
และแล้วสายตาของป๊อดก็มาสะดุดลงที่บริเวณแท่นหินใต้โคนของต้นไทรใหญ่ มันดูคล้ายร่างของมนุษย์แต่ก็เห็นไม่ถนัดชัดนักเพราะถูกรากของต้นไทรห้อยย้อยปิดบังเอาไว้ ป๊อดไม่แน่ใจในสายตาของตัวเองจึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เขาจ้องมองสิ่งที่อยู่บนแท่นหินใต้โคนต้นไทรอย่างพินิจพิจารณา จนชัดกับสายของตนเองแล้วว่าสิ่งนั้นคือ
ร่างอันผอมแห้งของพระภิกษุชรารูปหนึ่ง พระรูปนั้นกำลังนั่งหลับตานิ่งคล้ายกำลังดิ่งลึกอยู่ในสมาธิ จีวรของท่านเก่าคร่ำคร่าและฉีกขาดจนไม่น่าจะให้ความอบอุ่นใดๆต่อร่างกายได้ ด้วยความที่ป๊อดเป็นเด็กวัดและมีความคุ้นเคยกับพระเป็นอย่างดี เขาจึงคุกเข่าลงแล้วก้มกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง ต่อร่างของพระภิกษุที่อยู่ตรงหน้า แล้วพนมมือนิ่งจ้องมองไปที่ใบหน้าอันตอบแห้งจนมองเห็นสันกระดูกของโหนกแก้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
"ขอกราบนมัสการ หลวงปู่ครับ"
ร่างของภิกษุชรายังคงนั่งนิ่ง ดวงตาปิดสนิท ริมฝีปากก็ไม่ได้ขยับแต่อย่างใด แต่กลับบังเกิดเสียงก้องกังวานตอบออกมา
"เกือบตายแล้วใช่ไหมล่ะ เจ้าน่ะ"
ป๊อดจ้องมองร่างของพระภิกษุที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกใจ แล้วหันไปมองโดยรอบเพื่อให้แน่ใจว่า เสียงที่ตนได้ยินเมื่อสักครู่เป็นเสียงของพระภิกษุชราที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ
"นั่นเสียงของหลวงปู่ใช่ไหมครับ"
"ใช่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่"
ป๊อดยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อแน่ใจแล้วว่า พระภิกษุชราเป็นผู้พูดกับเขาจริงๆ
"นี่ผมยังไม่ตายใช่ไหมครับ หลวงปู่"
"ก็คงจะตายไปแล้ว ถ้าข้าไม่ช่วยไว้"
พอป๊อดได้ยินอย่างนั้น ก็เข้าใจสถานะตัวเองในปัจจุบันทันที ก้มกราบหลวงปู่อย่างสำนึกในพระคุณ
"เจ้าน่ะถึงแม้จะยังไม่ถึงที่ตาย แต่ต่อไปก็จะต้องพบกับชะตากรรมที่ยากลำบากแบบนี้อีกหลายครั้ง เพราะผลกรรมจากอดีตชาติแม้ตัวเจ้าเองจะเคยสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่เอาไว้ แต่ก็สร้างบาปกรรมเอาไว้มากเช่นกันจึงยังต้องเผชิญกับคู่เวรคู่กรรมของเจ้าที่ยังมีอีกมากมายนัก"
ป๊อดมีสีหน้าสลดลง และรู้สึกไม่สบายใจที่ได้ยินอย่างนั้น
"ผมไปทำกรรมอะไรเอาไว้หรือครับ หลวงปู่ พวกเขาถึงได้อาฆาตแค้นผมถึงขนาดนี้"
"เจ้าอยากเห็นไหมล่ะว่าอดีตชาติของเจ้าทำอะไรเอาไว้บ้าง"
ป๊อดตาเบิกกว้าง อย่างสนใจ
"ผมอยากเห็นครับหลวงปู่ หลวงปู่ช่วยให้ผมเห็นได้เหรอครับ"
"ได้สิ เจ้าน่ะ ฝึกสมาธิจนได้ฌาณแล้วไม่ใช่รึ ถึงแม้กำลังของฌาณจะยังอ่อนอยู่ แต่ก็พอที่จะระลึกย้อนไปยังชาติก่อนหน้านี้ได้อยู่"
"ขอหลวงปู่เมตตาสอนให้ผมด้วยเถอะครับ"
"เอ้า....ถ้าอย่างนั้น เจ้าลองเข้าฌาณให้ข้าดูหน่อยซิ"
สิ้นคำของหลวงปู่ ป๊อดก็นั่งขัดสมาธิวางฝ่ามือทั้งสองทับกันไว้ที่หน้าตักแล้วปิดตาลง ภาวนาจิตเข้าสู่กสิณไฟตามที่น้าขิกเคยสอนเขาไว้ เพียงครู่จิตของป๊อดก็นิ่งสงบเห็นเป็นนิมิตรของดวงไฟขึ้นที่หน้าผากอย่างเด่นชัด ที่ผ่านมาหากจิตของเขาดิ่งลึกเข้าสู่ขั้นนี้แล้วเพ่งจิตไปตามความปราถนาของตน ก็จะสามารถทำให้เกิดปาฏิหาริย์ต่างๆได้ตามต้องการแล้ว แต่หากต้องการดูอดีตชาติของตัวเองเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปเหมือนกัน จึงรั้งรอจิตอยู่แต่เพียงในขั้นนี้
"ไอ้มหาภูตตนนั้น มันสอนเจ้าแค่เพียงเท่านี้รึ"
เสียงของหลวงปู่ดังก้องเข้ามาในสมาธิจิตของเขาอย่างแจ่มชัด ป๊อดจึงตอบกลับไปด้วยอำนาจแห่งสมาธิจิตเช่นเดียวกัน
"มหาภูตอะไรหรือครับหลวงปู่ ผมไม่รู้จัก"
"ก็ไอ้ตัวที่มันสิงสถิตย์อยู่ในปลัดขิกนั่นไง"
"อ๋อ.....นั่นคือน้าขิก ไม่ใช่มหาภูตอะไรหรอกครับ หลวงปู่"
"หึ....นั่นหล่ะมหาภูตล่ะ โดยปกติคนที่ฝึกจิตจนบรรลุถึงขั้นฌาณฝ่ายกุศล เมื่อตายแตกดับไปก็จะถือกำเนิดในชั้นพรหมระดับต่างๆไปตามระดับของฌาณที่ตนเองบรรลุ แต่ในทางกลับกันหากว่าเป็นผู้ฝึกไสยเวทมืดโดยการเพ่งเอากิเลสของตนเองเป็นที่ยึดเหนี่ยวจนได้ฌาณ บุคคลนั้นเมื่อแตกดับไปจะกลายเป็นภูติที่มีพลังอำนาตจิตที่สูงเกินกว่าภูตผีปีศาจทั่วไป จนแม้แต่เทวดาบางพวกก็ยังไม่สามารถต่อต้านกับพลังอำนาจของภูตประเภทนี้ได้ ข้าถึงเรียกมันว่า มหาภูต" ยังไงล่ะ"
ป๊อดออกจาก สมาธิจิตลืมตาขึ้นด้วยความร้อนใจ
"แต่เท่าที่ผมอยู่กับน้าขิกมา ก็ไม่เคยเห็นน้าขิกแสดงความร้ายกาจใดๆออกมาเลยนะครับหลวงปู่"
"นั่นเป็นเพราะตอนนี้มันเหลือเพียงดวงจิต ไร้ภพภูมิ ไร้สังขารยึดครอง จึงทำให้ขาดความทรงจำและความนึกคิดที่สืบเนื่องมาแต่ชาติปางก่อน แต่เมื่อใดที่มันสามารถคืนสู่ร่างของตนเองได้ก็จะกลับกลายเป็น มหาภูตที่มีพลังอำนาจอย่างเต็มที่ ถึงเวลานั้น หากมันเป็นมหาภูตที่มีจิตอันชั่วร้ายก็ยากนักที่จะสยบหยุดยั้งมัน"
ป๊อดนิ่งฟังอย่างสงบแล้วคิดตาม เขายังคงเชื่อว่าถึงแม้น้าขิกจะเป็นมหาภูตแต่ก็คงไม่ใช่มหาภูตที่มีจิตอันชั่วร้ายเป็นแน่ ความคิดของเขาถูกพระภิกษุชราล่วงรู้ จึงกล่าวออกมาว่า
"ทุกสิ่งจะดำเนินไปตามกรรมที่แต่ละคนได้ก่อไว้ เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแต่เจ้า แต่ในวันนี้ที่ข้าต้องการให้เจ้าย้อนไปยังอดีตชาติก็เพื่อที่จะให้เจ้าฟื้นคืนความสามารถเก่าๆจากชาติที่แล้วมาไว้คุ้มครองตัว เพราะตอนนี้มหาภูตตนนั้นไม่ได้อยู่กับเจ้าแล้วใช่ไหมล่ะ"
พอป๊อดได้ฟังที่หลวงปู่พูดก็รู้สึกตื่นเต้น ที่หลวงปู่รู้เรื่องน้าขิก รีบระล่ำระลักถามขึ้นทันที
"หลวงปู่พอจะทราบใช่ไหมครับว่าน้าขิกอยู่ที่ไหน "
"ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ถึงเวลามันก็จะกลับมาหาเจ้าเอง มหาภูตตนนี้มีความผูกพันธ์เป็นทั้งมิตรและศัตรูที่สำคัญในอดีตชาติของเจ้า ตัวมันเองก็ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าให้ได้ไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดี แต่หากว่าเจ้าปล่อยให้จิตหลงไปตามตัญหาราคะมากเท่าไหร่ จิตของเจ้าก็จะถูกมันครอบงำมากขึ้นไปทีละน้อยๆ จนในที่สุดตัวเจ้าเองจะสูญเสียสำนึกอันดีงามไป"
ป๊อดฟังมาถึงตรงนี้ก็ก้มหน้าละอายความประพฤติที่ผ่านมาของตน ตัญหาราคะเป็นอุปสรรคต่อความดีงามในจิตของเขาจริงๆ เขาเองก็รู้สึกตัวเช่นกันว่า ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งสูญเสียความยับยั้งชั่งใจมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
"หลวงปู่สอนให้ผมละตัญหาราคะในจิตได้ไหมครับ"
"เจ้ามีราคะจริตเป็นสันดานติดตัวมาหลายชาติแล้ว ทางแก้ไขมีอยู่หนทางเดียวคือการเพ่ง อสุภกรรมฐาน"
"อสุภะกรรมฐานคืออะไรครับ"
"คือการทำกรรมฐานด้วยการเพ่งซากศพเป็นอารมณ์ ให้เห็นความจริงของสังขารทั้งปวงเพื่อละเลิกการยึดมั่นถือมั่น"
ป๊อดหน้าเสียลงทันที ซากศพทั้งน่ากลัว น่าขยะแขยง ทั้งมีกลิ่นเน่าเหม็น เป็นเรื่องยากอย่างที่สุดสำหรับเขาหากจะต้องภาวนากรรมฐานชนิดนี้
"ข้ารู้ดีว่าตอนนี้เจ้ายังไม่พร้อม แต่เมื่อเจ้าถาม ข้าจึงอธิบายให้ฟัง เอาล่ะข้าจะสอนให้เจ้าย้อนไปดูอดีตชาติ คราวนี้ให้เจ้าเข้ากสิณไฟอีกครั้ง พอนิมิตของดวงกสิณปรากฏ เจ้าจงรวมกระแสจิตทั้งหมดเพ่งรวมจุดไปที่จุดกึ่งกลางของดวงนิมิต แล้วเริ่มคิดย้อนไปถึงเมื่อวานนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อปีแล้ว หากจิตของเจ้ามีกำลังพอภาพแห่งอดีตจะปรากฏต่อเจ้าย้อนกลับไปเรื่อยๆ"
ป๊อดน้อมจิตรับเอาคำของพระภิกษุชรามาปฏิบัติตามทันที โดยย้อนไปภาวนากสิณไฟจนนิมิตรแห่งดวงกสิณปรากฏขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็รวมกระแสจิตทั้งหมดเพ่งตรงไปยังกึ่งกลางแห่งดวงกสิณทันที พร้อมกับรำลึกย้อนไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
ดวงนิมิตรที่ปรากฏขึ้นที่หน้าผากก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นแสงสีขาวสว่างวาบแล้วกลับกลายเป็นใสคล้ายดังกระจกเงาทีละน้อยๆ แต่ยังเต็มไปด้วยหมอกควันที่ปกคลุมจนมองเห็นไม่ชัดนัก ป๊อดจึงเพ่งกระแสจิตไปยังดวงกสิณนั้นให้เข้มข้นขึ้นไปอีก จนหมอกควันเหล่านั้นค่อยๆจางหายไปเหลือเพียงภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวานอย่างกระจ่างชัด
"จงระลึกย้อนถอยหลังไปอีก อย่าพึ่งเพลิดเพลินไปกับภาพในอดีตที่เจ้าได้เห็น กำลังฌาณของเจ้ายังไม่เข้มแข็งนักเจ้าจึงยังมีเวลาไม่มากนัก จงอธิษฐานจิตให้ภาพเหตุการณ์ที่เห็นย้อนถอยหลังกลับไปเรื่อยๆจนถึงชาติที่แล้วของเจ้า"
เสียงของหลวงปู่ดังก้องกังวานอยู่ในภวังคจิตอย่างชัดเจน ป๊อดน้อมรับเอาคำแนะนำมาปฏิบัติ โดยการกำหนดจิตและภาวนาความต้องการของตนเองกำกับลงไปในทันที
"ไปยังชาติที่แล้ว.....ไปยังชาติที่แล้ว..............ไปยังชาติที่แล้ว.....................ไปยังชาติที่แล้ว"
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน