กลางลานดินกว้างหน้าเรือนไม้ยกสูงหลังหนึ่ง ชายวัยราวๆห้าสิบเศษยืนอยู่เบื้องหน้ากลุ่มคนทั้งชายหญิงที่รายล้อมมองดูสิ่งที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ บางคนเมื่อเห็นสิ่งนั้นแล้วก็รีบหันหน้ากลับออกมาพร้อมกับทำหน้าสะอิดสะเอียน บางคนก็จ้องมองดูแล้วกัดกรามแน่น ดวงตาฉายแววแข็งกร้าวแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความโกรธแค้น ชายผู้นั้นเอามือลูบหนวดหนาที่ริมฝีปากแล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันก้องกังวานท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น
"เอาล่ะ....ทุกคน.......ฟังทางนี้"
สิ้นเสียงของชายคนนั้น กลุ่มคนเหล่านั้นก็หยุดการพูดคุยลงทันทีหันมามองไปยังชายคนนั้นเป็นตาเดียว
แต่แล้วชายหนุ่มวัยราว 20 ต้นๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน
"ฉันทนไม่ไหวแล้วนะลุงผู้ใหญ่ มันเล่นฆ่าพวกเรารายวันอย่างนี้ ฉันว่าพวกเราต้องหันมาสู้กับมันแล้วล่ะ"
"ใช่.....ใช่.....ผู้ใหญ่....เราจะสู้กับมัน"
เสียงของกลุ่มคนเหล่านั้นดังขึ้นเป็นการสนับสนุน
ผู้ใหญ่ชุ่ม เหลือบตามองไปยังแคร่ไม่ไผ่ ที่มีศพถูกแหวะเอาอวัยวะภายในออกมากองข้างนอกนอนนิ่งสงบอยู่อย่างสลดใจก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปยังชายหนุ่มคนนั้น แล้วไล่มองไปยังทุกคนที่มารุมล้อมอยู่
"เราจะต้องใช้สติให้มาก อย่าใช้อารมณ์เป็นอันขาด ถ้าพวกเรามีความเห็นว่าจะสู้ฉันก็เห็นด้วย แต่พวกเราต้องวางแผนกันให้ดีว่าจะสู้กับมันอย่างไร"
"ผู้ใหญ่มีแผนอย่างไร....ฉันเอาด้วยทุกอย่าง...ขอให้บอกมาเถอะผู้ใหญ่"
"ใช่....ใช่.......ฉันเอาด้วย.....ฉันก็เอาด้วย........"
กลุ่มคนประสานเสียงขึ้นจนเกือบจะเป็นพร้อมกัน แววตาของคนเหล่านั้นบ่งบอกถึงความโกรธแค้นอย่างที่สุด
"เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ ให้เด็กและผู้หญิงอยู่แต่ในบ้านปิดประตูหน้าต่างให้แน่นหนาทุกบาน พร้อมกับเอาเป็ดไก่ วัวควายไปซ่อนเสียให้หมด เราจะใช้เหยื่อล่อมันออกมาไปยังที่ที่เราซุ่มอยู่ แล้วขอแรงพวกเราทีมีปืนซัก 2 คน คอยซุ่มดักยิงมัน ส่วนผู้ชายที่เหลือให้เตรียมอาวุธเท่าที่จะหาได้มาคอยซุ่มปิดทางหนีของมันไว้"
"โห....ดี...ผู้ใหญ่....แผนนี้แจ๋วไปเลย....คืนนี้พวกเราจะจับไอ้ปอบสารเลวตัวนี้ให้ได้"
ผู้ใหญ่ชุ่มยังคงมีร่องรอยของความกังวลปรากฏอยู่ที่ใบหน้า แล้วเอ่ยขึ้นเป็นการเตือนสติต่อลูกบ้าน
"แต่ทุกคนอย่าลืมนะ พวกเราก็ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวมันเลย ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าปืนจะหยุดมันได้หรือไม่ อย่างไรซะทุกคนก็จงอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด"
ทุกคนในที่นั้นพอได้ยินคำพูดของผู้ใหญ่ชุ่ม ต่างก็พากันคิดตามและเห็นด้วยกับคำพูดของผู้ใหญ่ชุ่ม แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็พร้อมที่จะลองเสี่ยงดู และไม่ต้องการที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับแต่เพียงอย่างเดียว
ในขณะนั้นเองผู้ใหญ่ชุ่มก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง เดินยิ้มเข้ามายังกลุ่มของชาวบ้านที่กำลังชุมนุมกันอยู่ ผู้ใหญ่ชุ่มจ้องมองไปยังชายหนุ่มคนนั้นตาเขม็ง เพราะในเวลานี้เขาเองไม่อาจไว้ใจใครได้เลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนแปลกหน้า
"เฮ้ย....ไอ้หนุ่ม.....เอ็งเป็นใครวะ และเข้ามาทำอะไรที่หมู่บ้านของข้า"
ทุกคนในที่นั้นหันมองกลับหลังไปตามสายตาของผู้ใหญ่ชุ่ม ก็พบกับร่างของชายหนุ่มที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ก็พากันใช้สายตาสำรวจชายแปลกหน้าอย่างไม่เป็นมิตรนัก
ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้าไปประชิดกับกลุ่มลูกบ้านแล้วเอ่ยขึ้น
"ผมชื่อ ป๊อดครับ ผมหลงป่ามา อยากจะขอความกรุณาอาหารและที่พักซักคืนจะได้หรือไม่ครับ"
ผู้ใหญ่ชุ่มยังคงเขม้นมองอย่างไม่เชื่อเท่าไหร่นัก
"ที่นี่กำลังมีเรื่องวุ่นวายอยู่ นี่เห็นไหม"
แล้วผู้ใหญ่ชุ่มก็ชี้มือไปยังศพที่ถูกแหวะท้องบนแคร่
ป๊อดมองตามไปยังนิ้วของผู้ใหญ่ จนพอเห็นชัดว่าเป็นศพของคนที่ถูกแหวะท้อง ก็ถึงกับสะดุ้งสุดตัว ผงะก้าวถอยหลังออกไป พอผู้ใหญ่ชุ่มเห็นอาการตื่นกลัวต่อศพของป๊อด ก็คลายใจลง
"เฮ้ยไอ้หนุ่ม....ไหนเอ็งเล่าให้ละเอียดซิว่าไปไงมาไง เอ็งถึงได้มาถึงหมู่บ้านของข้าได้"
แล้วป๊อดก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เขาถูกทำร้ายให้ฟัง จนต้องพลัดตกจากหน้าผาโดยข้ามตอนที่ได้ไปพบหลวงปู่เอาไว้ ผู้ใหญ่ชุ่มและลูกบ้านรับฟังเรื่องราวของป๊อดจนเข้าใจแล้ว ผู้ใหญ่ชุ่มก็เอ่ยขึ้น
"ไอ้หนุ่ม ที่นี่มันอันตราย เดี๋ยวข้าให้ไอ้ชื่นลูกชายของข้าหาข้าวให้กิน แล้วคืนนี้เอ็งก็นอนกับมันที่บ้านของข้าก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ แล้วพอมืดอย่าออกมาเป็นอันขาดล่ะ เข้าใจไหม"
ป๊อดมองหน้าผู้ใหญ่ชุ่มอย่างงงๆ แต่ก็พยักหน้ารับ แล้วก็ถูกชื่นหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันฉุดมือให้เดินตามมันไป
"ไป......เอ็งไปกับข้า....ไอ้ป๊อด"
ชื่นเดินนำป๊อดจนมาถึงบ้านยกพื้นสูงขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ที่ชานหน้าบ้านมีหญิงสาววัยราว 20ปี กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ ชื่นเดินนำป๊อดเข้าไปหาเธอแล้วแนะนำให้รู้จัก
“ป๊อด….นี่พี่ช้อย พี่สาวข้าเอง”
“พี่ช้อย….นี่ป๊อด พ่อให้มาค้างที่บ้านเราคืนนึง พี่ช่วยไปเตรียมที่นอนและหาข้าวให้มันกินหน่อย”
ซ้อยเงยหน้าขึ้นจากผ้าในมือที่กำลังเย็บอยู่ มองตาขวางไปยังน้องชายแล้วเหลือบไปยังป๊อดอย่างไม่เป็นมิตรนัก
“จะมากไปแล้วไอ้ชื่น เอ็งพามาเอ็งก็ไปทำให้มันสิวะ เอ็งเห็นไม๊เนี่ยว่าข้าทำอะไรอยู่”
ป๊อดเห็นว่าทั้งสองพี่น้องกำลังเกี่ยงกันเรื่องของตนเองอยู่ จึงพูดขึ้นด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรครับ ผมขอค้างแค่คืนเดียว นอนตรงไหนก็ได้ไม่ต้องรบกวนจัดที่นอนหรอกครับ”
ช้อยได้ฟังคำพูดสุภาพของป๊อดก็รู้สึกขัดหู ชำเลืองมองด้วยหางตา แล้ววางผ้าในมือลงกับพื้นพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“อย่างนั้นฉันให้นอนมันตรงชานหน้าบ้านนี่เลยดีไหม หึ……....เอ้าตามมา”
แล้วช้อยก็เดินนำเข้าไปในบ้าน ชื่นเห็นดังนั้นก็ผลักหลังป๊อดให้เดินไปแล้วเอ่ยขึ้น
“พี่ช้อยเค้าปากร้าย แต่ใจดีแบบนี้แหละ เอ็งรีบตามไปเร็ว”
ป๊อดเร่งเดินติดตามไปพร้อมกับมองดูเรือนร่างของช้อยจากทางเบื้องหลัง ช้อยเป็นผู้หญิงที่มีเรือนร่างสมสัดส่วน ผ้าซิ่นยาวเสมอเข่าที่เธอนุ่งแม้ไม่ได้รัดรึงส่วนสัดของเธอให้เด่นชัดออกมา แต่ก็ไม่สามารถปกปิดสะโพกกลมกลึงโด่งงอน เวลาเธอเดินเยื้องย่างมันช่างชวนมองจนป๊อดแทบไม่อยากละสายตา ผิวของเธอแม้จะไม่ขาวผ่องเหมืองหญิงสาวในเมือง แต่ก็เกลี้ยงเกลานวลเนียนดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ เธอพาเขาเดินเข้าไปยังห้องเล็กๆห้องหนึ่งซึ่งใช้เป็นที่เก็บของ แล้วนำสิ่งของบางอย่างออกมาจากห้องไปเก็บไว้ที่ใต้ถุนบ้าน จนทำให้ห้องพอจะมีที่เหลือให้ป๊อดนอนได้อย่างสบาย
“เอ้า…นอนห้องนี้แหละนะ เดี๋ยวฉันจะไปหาฟูกกับมุ้งมาให้”
ช้อยยกที่นอนหมอนมุ้งมากองไว้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับลงมือจัดที่นอนให้โดยมีป๊อดคอยช่วยอยู่อย่างงกๆเงิ่นๆ ในระหว่างจัดที่นอนอยู่นั้นสายตาซุกซนของป๊อดก็มองไปยังคอเสื้อที่ทิ้งตัวลงมาในขณะที่ช้อยก้มตัวลงจัดที่นอน เขารู้สึกแปลกใจที่ช้อยกลับใช้ผ้าคาดอกแทนที่จะใส่ยกทรงเหมือนหญิงสาวทั่วไป ยิ่งเห็นอย่างนั้นความใคร่รู้ของเขาก็เพิ่มมากขึ้น ป๊อดจึงก้มลงช่วยสอดชายผ้าเหน็บเข้ากับที่นอน ส่วนตาก็สอดส่ายเพ่งลงไปที่แถบผ้าคาดอกของช้อยที่ที่เผยอพองออกมาจนเห็นเนินอกขาวเนียน และเนินจุกสีแดงระเรื่อที่แพลมออกมาตามจังหวะการขยับแขนของเธอ ยิ่งเพ่งมองป๊อดก็ยิ่งทำให้อยากจะเห็นเพิ่มขึ้น จนมันก่อเป็นอารมณ์ใคร่ เขาสูญเสียการระงับอารมณ์ไปตั้งแต่เริ่มฝึกกสิณสายดำกับภูติแห่งปลัดขิก แต่เขาก็พยายามฝืนตัวเองแล้วหันมองไปทางอื่นอย่างยากเย็น
แต่ยิ่งหลบเลี่ยงก็เหมือนกับช้อยจะยิ่งยั่วยุ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ด้วยความที่เธออยู่บ้านนี้กับพ่อและน้องชายเท่านั้น แม่ของเธอได้ตายไปตั้งแต่เธอยังเด็กจึงไม่มีใครคอยสั่งสอนให้เธอเคลื่อนไหวร่างกายอย่างระมัดระวังให้สมกับความเป็นหญิง ช้อยหันตัวไปอีกด้านโดยหันก้นกลมกลึงและโด่งงอนมาทางป๊อด ในระยะเกือบจะประชิดกับใบหน้าของเขา โดยเธอไม่รู้ตัวเลยว่าชายผ้าซิ่นของเธอมันพับค้างอยู่ตั้งแต่ตอนที่เธอนั่ง พอเธอก้มลงคลานมันก็ยิ่งร่นขึ้น จนเห็นผิวขาวนวลเนียนของเรียวขาเธออย่างชัดถนัดตา ป๊อดประจักษ์ชัดในตอนนี้แล้วว่า ผิวเนื้อภายในร่มผ้าของช้อยมันไม่ได้คล้ำกร้านแดดลมเหมือนกับผิวพรรณภายนอกอย่างที่เขาเห็นอยู่ ยิ่งเพ่งมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในระยะประชิด เขาก็ยิ่งใจเต้นถี่และอดใจไม่ได้ที่จะแกล้งก้มตัวต่ำลงเพื่อจะลอบมองดูสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในผ้าซิ่นให้มากกว่านี้
แล้วป๊อดก็ต้องถึงกับตาเบิกกว้าง ใจเต้นแรงถี่ขึ้นกว่าเดิม เพราะสิ่งที่เขาเห็นก็คือเนินเนื้อแห่งความเป็นหญิงสองพูกำลังเบียดเสียดอยู่ระหว่างเรียวขาทั้งสองของเธอ มันทั้งใกล้และชัดเจนจนแทบจะได้กลิ่น เขาถึงกับตะลึงค้างจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว ความคิดของป๊อดในตอนนี้มันจินตนาการไปว่าเขาได้เอาใบหน้าซุกเข้าไปตรงเนินเนื้อสองกลีบที่ปลิ้นเป็นพูออกมา แล้วดูดเลียให้สมใจอยาก เป้ากางเกงของป๊อดในตอนนี้มันได้แข็งตัวเป็นลำคับตึงไปหมดทั้งเป้า
แต่แล้วช้อยก็หันมา เขาจึงแกล้งนอนลงไปทันที
“เอ้า…..จะนอนเลยรึ ข้าวปลาไม่กินเหรอไง”
ป๊อดนึกตอบเธออยู่ในใจ
“ไม่กินข้าว….แต่อยากกินช้อยเหลือเกิน”
“เอ้า …เสร็จแล้ว…วันนี้เธอนอนที่นี่แหละนะ ไป..เย็นแล้วออกไปกินข้าวกัน”
ป๊อดขานรับแต่ทำท่าทางอิดเอื้อน เนื่องจากเจ้าน้องชายของเขายังคงแข็งผงาดอยู่ ช้อยเห็นดังนั้น ก็คิดว่าป๊อดเกรงใจจึงก้มลงดึงแขนเขาขึ้นมา ป๊อดจำใจลุกขึ้นตามแรงฉุดแต่พอมองลงไปที่เป้าของตัวเองเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย ก็เห็นว่าเป้าของเขายังคงตุงเด่ออกมาจนน่าเกลียด ป๊อดจึงตัดสินใจฝืนตัวลงนั่งลงทันที
“ช้อย ไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมตามไป…..”
“โอ๊ะ……..อ๊ายยยย……..”
แต่เมื่อเขาฝืนตัวดึงกลับอย่างนั้นก็ทำให้ช้อยเสียหลักล้มลง ร่างของเธอคว่ำพังพาบอยู่บนร่างของป๊อดอย่างเต็มตัว ใบหน้าใกล้ชิดใบหน้า หน้าอกเต่งตึงบดบี้อยู่กับอกของเขา และที่สำคัญหว่างขาของเธอก็ทาบทับลงบนท่อนเอ็นที่กำลังแข็งตัวของเขาอย่างพอดี
ช้อยจ้องมองป๊อดในระยะประชิด ตาของเธอประสานกับตาของเขา ลมหายใจอุ่นๆของป๊อดรวยรดผ่านใบหน้าของเธออย่างแผ่วเบา มันสร้างความรู้สึกประหลาดให้กับเธออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ช้อยรู้สึกอุ่นร้อนไปทั้งร่างและไม่สามารถต่อสายตากับป๊อดได้อีก ที่สำคัญเธอพึ่งจะรู้สึกว่าของสงวนของเธอได้ทาบทับอยู่กับสิ่งหนึ่งที่เป็นท่อนแข็งกลางหว่างขาของเขา เธอรีบผลักตัวเองให้หลุดพ้นจากการการทาบทับร่างของเขาแล้วเดินหายออกไปในทันที
ที่กลางลานบ้านของผู้ใหญ่ชุ่ม สำรับอาหารง่ายๆที่ช้อยเป็นผู้ปรุงก็ถูกนำออกมาจัดวาง โดยมี ชื่น และ ป๊อด นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองคนนั่งมองอาหารมื้อเย็นที่ช้อยนำมาจัดวางอย่างนึกชมในความน่ากิน แล้วเธอก็นั่งลงร่วมวงพร้อมกับตักข้าวใส่จานแจกจ่ายให้
ป๊อดยังคงมีภาพอันชวนสยิวของช้อยติดตาอยู่ เขาจ้องมองดูวงหน้าของเธอ มองอากัปกิริยาของเธออย่างพิจารณาก็เห็นว่าเธอเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ วงหน้าของเธอเป็นรูปไข่ หน้าผากกว้าง ตากลมโต แววตาบ่งบอกถึงดื้อรั้น เข้มแข็ง ไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งเห็นถึงความสวยน่ารักของช้อยมากขึ้นไปทุกที
ช้อยพยายามไม่มองหน้าป๊อด เมื่อบ่ายที่เธอล้มทับร่างของป๊อดเธอรู้ดีว่าเจ้าท่อนแข็งๆที่ส่วนนั้นของเธอทับอยู่นั้นคืออะไร มันทำให้เธอทั้งอาย ทั้งเจ็บใจเหมือนถูกล่วงเกินโดยไม่เต็มใจ แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็รู้สึกหวิวๆอย่างประหลาดเมื่อได้สัมผัสกับเจ้าสิ่งนั้น มันทำให้เธอประหม่าจนทำอะไรไม่ถูกมาจนถึงเดี๋ยวนี้ เธอก็ยังไม่กล้าสบตากับป๊อดตรงๆ แต่เมื่อความรู้สึกของเธอมันบอกว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกำลังจ้องมองเธออย่างไม่เกรงใจ ช้อยก็รู้สึกโกรธขึ้นในทันที เธอหันกลับมามองป๊อดด้วยแววตาจะเอาเรื่องพร้อมกับพูดขึ้น
“มองอะไรป๊อด…..จ้องอยู่ได้ ไม่เคยเห็นคนหรือไง จะกินไหมข้าวอ่ะ”
ป๊อดตกใจรู้ตัวในทันทีว่าได้จ้องมองเธออย่างย่ามใจเกินไป จึงรีบกลบเกลื่อนในทันที
“อ๋อ…ปะ…ป่าวครับ…..โทษที ผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจ”
“แหม…พี่ช้อยนี่ก็ดุอย่างกับหมา มองก็ไม่ได้ ตัวเองก็ไม่ได้สวยอะไรซะหน่อย เนอะป๊อดเนอะ”
“เดี่ยวเถอะไอ้ชื่น…เดี๋ยวจะถูกตบปาก จะกินไหมข้าว อย่าให้โมโหนะเว้ย”
แล้วทั้งสามคนก็เงียบเสียงลงร่วมกันกินข้าววงเดียวกันจนอิ่ม
หลังจากพักให้ข้าวเรียงเม็ดดีแล้วชื่นก็ชวนป๊อดไปอาบน้ำเพราะเย็นมากแล้ว ทั้งสองชวนกันไปที่ลำคลองเล็กๆที่ห่างจากหลังบ้านผู้ใหญ่ชมไปไม่มากนัก และเมื่ออาบเสร็จป๊อดกับชื่นก็พากันเดินกลับมาพร้อมกัน แต่ป๊อดพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนุ่งแต่ผ้าขาวม้ากลับมา ไม่ได้หยิบเสื้อผ้าเก่าที่สวมอยู่ติดมาด้วย จึงวกกลับไปเอาเสื้อผ้าของเขาแต่เพียงลำพัง
ในระหว่างที่เดินกลับไปได้ระยะหนึ่งเขากลับจำทางเดินเดิมไม่ได้ จึงเดินวกวนไปมาอยู่หลายครั้ง ก็ยังหาจุดที่เขาวางเสื้อผ้าไม่เจอจนเขารู้สึกหงุดหงิด
แต่แล้วในขณะที่เขากำลังเดินงมหาทางอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงน้ำดังตกกระทบพื้นเป็นจังหวะอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ป๊อดจึงเดินตามเสียงนั้นไป ยังไม่ทันที่จะโผล่พ้นไปยังแหล่งกำเนิดเสียงสายตาของเขาก็มองลอดพุ่มไม้ไปพบกับร่างอันคุ้นตา ร่างนั้นก็คือช้อยนั่นเอง เธอนั่งอยู่ที่ท่าน้ำสวมผ้าถุงกระโจมอกที่เปียกน้ำจนชุ่มฉ่ำไปทั้งผืน
ป๊อดรีบหลบก้มต่ำลงกับพุ่มไม้ทันที เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจอช้อยในลักษณะเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะตัดใจละโอกาสดีๆอย่างนี้ไปได้ ภาพของช้อยเมื่อบ่ายนี้มันยังคงติดตาและรบกวนอารมณ์ของเขาให้คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา
ช้อยยังคงใช้ขันตักน้ำจากคลองราดรดตัวเองอย่างสบายใจ แล้วขัดถูทำความสะอาดส่วนต่างๆของเธออย่างเพลิดเพลิน มือของเธอลูบไล้ไปตามเนินอกอวบอิ่มที่ถูกผ้าถุงคาดปิดไว้ไล่ไปตามไหล่และแขนทั้งสองข้าง จากนั้นก็เลื่อนไหลลงสู่ฝ่าเท้าและน่อง เธอหันหน้ามองไปมารอบหนึ่งแล้วหันร่างหลบมาในทิศทางเดียวกันกับที่ป๊อดกำลังซุ่มดูอยู่ แล้วจึงถกชายผ้าถุงขึ้นลูบไล้ไปตามเรียวขาทั้งสอง
แสดงรูปภาพเฉพาะสมาชิกเท่านั้น
ป๊อดไม่คาดว่าตนเองจะโชคดีขนาดนี้ เขาเพ่งมองเรียวขาขาวผ่องและไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะขาวได้ขนาดนี้ ชายผ้าถุงถูกถกสูงขึ้นทีละน้อย มือของเธอก็ถูไล่สูงขึ้นไปโดยเธอเองก็ไม่ระวังตัว และไม่รู้ตัวว่ามีคนกำลังแอบมองเธออยู่ ขาทั้งสองของเธออ้าออกทีละน้อยๆอย่างไม่ตั้งใจ ในขณะที่ชายผ้าถุงหนักน้ำก็ทิ้งตัวลงล่างจนเกิดช่องว่างที่ทำให้ป๊อดต้องตาเบิกโพลงขึ้นอีกครั้ง
เนินสาวที่ปกคลุมด้วยเส้นขนสีดำลู่ไหลไปกองอยู่จุดเดียวจนเปิดเผยความอวบอูมของกลีบทั้งสอง จังหวะที่เธอสลับขาเหยียดเข้าออก ร่องสวาทของเธอก็แย้มเปิด หุบเข้าเป็นอย่างนี้หลายครั้ง จนป๊อดแทบจะกระโจนออกจากที่ซ่อน แล้วเชยชมเธอให้สมกับความต้องการที่กำลังประทุอยู่ในตอนนี้ มันทำให้เขาคิดถึงน้าขิก คิดถึงน้ำมันเทพรัญจวน หากมีสิ่งใดสิ่งในตอนนี้เขาก็คงได้สมหวังกับช้อยอย่างไม่ยากนัก
ในระหว่างที่ป๊อดแอบดูช้อยด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านทำให้ขาดความระวัง ทำให้ช้อยสังเกตเห็นชายผ้าขาวม้าที่ป๊อดนุ่งอยู่ขยับไปมา สีของมันไม่กลมกลืนกับพุ่มไม้เท่าไหร่นัก ยิ่งเธอเพ่งมองก็ยิ่งมั่นใจว่าหลังพุ่มไม้นั้นมีคนซ่อนตัวอยู่แน่ๆ เธอจึงรีบลุกขึ้นขมวดกระโจมอกจนแน่นหนาแล้วฉวยท่อนไม้แห้งขึ้นมาถือไว้ในมือทันที
“ใครอยู่หลังพุ่มไม้ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นแม่จะเข้าไปเพ่นกระบาลจริงๆด้วย ออกมา..บอกให้ออกมา”
ป๊อดตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หันซ้ายแลขวาคิดจะวิ่งหลบหนีแต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ช้อยได้ปราดเข้ามาถึงตัวเขาอย่างรวดเร็วแล้วฟาดลงตรงกลางหลังอย่างเต็มแรง
“โอ๊ยย……..ยอมแล้ว อย่าตีนะช้อย ผมเอง”
ช้อยได้ยินเสียงก็จำได้ทันที เธอไม่คาดคิดว่าป๊อดที่ดูเป็นคนสุภาพเรียบร้อยจะกล้าถึงกับมาแอบดูเธออาบน้ำ
“ป๊อด….มาซุ่มทำอะไรที่นี่ ฉันไม่คิดเลยนะว่าแกจะเป็นคนแบบนี้”
“เดี๋ยวช้อย ฟังก่อน ผมมาเอาเสื้อผ้าของผม แต่เดินมาแล้วเห็นช้อยกำลังอาบน้ำก็กลัวช้อยจะเข้าใจผิด เลยซุ่มรอจนกว่าช้อยจะอาบเสร็จ”
“โกหก ฉันไม่เชื่อ ไหนล่ะเสื้อผ้าที่ว่า”
“โน่นไง แขวนอยู่ตรงกิ่งไม้โน่น”
ด้วยข้ออ้างนี้ทำให้ช้อยเกิดความเชื่อขึ้นมาบ้าง
“อ้าวงั้นนั่งอยู่ทำไมล่ะ รีบไปมาเอามาสิ ฉันจะได้อาบน้ำต่อ”
ป๊อดรีบลุกขึ้นอย่างรีบเร่ง โดยลืมไปว่าอาวุธของตัวเองยังแข็งตั้งเด่เป็นกระโดงเรืออยู่ พอลุกขึ้นยืนมันก็เผยตัวตุงออกมาจากผ้าขาวม้าอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงรีบตะปบกดมันลงอย่างเร่งรีบและด้วยความรีบนั้นเองทำให้ปมขมวดของผ้าขาวม้าคลายตัวออกมา ป๊อดก็ยิ่งลนลานจะตะปบขึ้นมาปิดบังส่วนนั้นของตัวเองไว้ แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ช้อยเหลือบลงมาเห็นเจ้าท่อนเอ็นที่กำลังผงาดชี้ออกมาพอดี เธอจ้องมองตะลึงค้างอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ส่งเสียงร้องอย่างสุดเสียงทันที
“ช่วยด้วย…..ช่วยด้วย…..”
ป๊อดใจหล่นไปที่ตาตุ่ม เขาได้นำพาตัวเองเข้ามาในจุดคับขันเสียแล้ว หากชื่นหรือใครได้ยินเสียงร้องของช้อยและเห็นเขาในสภาพนี้ก็ยากนะที่จะแก้ตัวได้หลุด เขาพะว้าพะวังมองซ้ายมองขวาทำอะไรไม่ถูก
แต่แล้วด้วยเหตุที่เขาได้นึกถึงน้ำมันเทพรัญจวนเมื่อสักครู่ ทำให้เขานึกถึงคาถาเทพรัญจวนผุดขึ้นมาในความคิด ยามฉุกละหุกเช่นนี้ไม่มีหนทางอื่นเขาจึงทดลองภาวนาคาถาออกไปทันที
"โอม..รำจวนรำพึง รำจวนสิเหน่หา พระพายพัดพานป่วนจิตสะท้านพระทัย
มะ เมตตัง อะอุ สิเน่หา สัพพัตถะ ปูชิตา สัพพะกามา สัพพะตัญหา ราคะสัพเพ
มะอยู่มิได้ ปิติ ปิโย กามา กาเม อิธะเจตะโส ทัฬหัง คัณหาหิ…..เพี้ยง…"
ป๊อดภาวนาเสร็จก็เป่าพรวดไปที่ใบหน้าของช้อยทันที
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน