แวะตรงนี้ซักครู่
อย่างที่เคยบ่นๆเอาไว้ว่าจะเขียนแนสแฟนตาซีแก้สมองตัน ไปมาๆมันไม่น่าพอใจและก็ไม่รู้ว่าจะลงดีมั้ย กลัวออกมาน่าเบื่อก็เลยดองๆเอาไว้ จนแล้วจนรอดก็อดใจไม่ไหวลงอยู่ดี 55555555
ติชมกันได้นะครับ มือใหม่สำหรับแนวนี้เลย
ป.ล. หารูปแนวแฟนตาซีเวทย์มนต์จากไหนได้บ้างครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขนะครับ... Enjoyy

มันคือเรื่องราวเกิดขึ้นในจักรวาลอันไกลพ้น
ตำนานเล่าขาน กาลก่อนจักรวาลมืดมิดไร้สรรชีวิต จักรวาลมืดมิดบิดเบี้ยว พลังพุ่งพล่านไร้ระเบียบ
ในวันหนึ่ง บังเกิดจุดเล็กๆในความบิดเบี้ยว มันกินพลังโดยรอบ จุดเล็กขยายตัวบังเกิดเทพเจ้า
พระองค์นั่นเฝ้าพิจนิจมิติที่บิดเบี้ยว จักรวาลมีแต่ความบ้าคลั่งและสิ้นหวัง
ปฐมเทพจึงเกิดดำริว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงจักวาล พระองค์ได้ใช้อำนาจในตนดูดกลืนแปรความบิดเบี้ยวให้เป็นสรรพชีวิต เป็นดาว เป็นสิ่งต่างๆ หลังจากเพียรพยายามนับพันปีจักรวาลเริ่มมีรูปร่าง
ทว่าความบิดเบี้ยวนั้นไม่นิ่งเฉย พวกมันต่อต้านมันเริ่มรวมตัวและไล่ล่า สรรพชีวิตรุ่นแรกบางส่วนถูกความบิดเบี้ยวไล่กลืนกิน พวกมันหวังแปรเปลี่ยนจักวาลให้ไร้ชีวิตเช่นเดิม ปฐมเทพจึงต้องตระเวนทำลายความบิดเบี้ยวนั้นและสร้างพวกมันเป็นสรรพชีวิตอื่น เวลาผ่านไปหลายแสนปี ปฐมเทพก็พบมารผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งกำลังสร้างสรรพชีวิตเช่นเดียวกับตน
ทั้งสองวิจารณ์สรรพชีวิตที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นมา นานเข้าก็เกิดโทสะวิวาทกัน ทว่าด้วยอำนาจที่สูงสุดของทั้งคู่จึงไม่ผู้ใดกำชัย ทั้งสองจึงหันไปแข่งกันสร้างสรรค์จักรวาล
ปฐมเทพรังสรรแสงและหมู่ดาว จอมมารก่อให้เกิดความมืดมิดและหลุมดำ
ปฐมเทพเริ่มสร้างสวรรค์และเหล่าจอมเทพ ปฐมมารสร้างห้วงอเวจีและเหล่าจอมอสูร ทั้งสองฝ่ายนำลูกหลานของเผ่าตนมาวัดมาข่มกันตลอดทุกๆห้าร้อยปี
การแข่งขันเริ่มขึ้นตลิดช่วงนับล้านปี นานจนละเลยการทำลายห้วงความบิดเบี้ยว ในที่สุดความบิดเบี้ยวทั้งมวลก็รวมตัวกันได้และเริ่มทำลายจักรวาลอีกครั้ง
ทั้งสองเผ่าพันธ์กรีธาทัพร่วมกันรีบหยุดยั้งภัยร้าย แม้เทพและมารที่มีอำนาจสูงส่งปานใดก็หยุดยั้งพลังแห่งความบิดเบี้ยวไม่ได้ ต่างสูญเสียกับการต่อต้านความบิดเบี้ยวกันจนอาจนับได้
เมื่อมิอาจหยุดยั้งมันได้อีกไม่นานปฐมเทพและมารจึงรวมพลังสละชีวิตใช้อำนานทั้งหมดเข้าเผชิญกับความบิดเบี้ยวทั้งหมดเพียงสององค์ เกินครึ่งถูกพลังเฮือกสุดท้ายแปรเปลี่ยนไปส่วนที่เหลือท่านกักมันไว้ในร่างแล้วผนึกตัวเองหายสาปสูญไป
สิ่งเหลือจากเหตุการณ์ครั้งนั้นคือพลังแห่งการแรกกำเนิด พลังที่เหลือต่างควบหลอมก็อย่างอิสระกับทุกสรรพสิ่ง พลังแห่งพัฒนาการได้กระจายไปทั่วจักรวาล สรรพชีวิตเกิดขึ้นได้เองเกิดได้ทุกมุมของจักรวาล
ผ่านไปหลายแสนปีไม่มีใครประมาณเวลาถูก บนดาวโลกที่ตอนนั้นมีแค่ความสับสนความแห้งแล้งสรรสิ่งล้วนค่อยสูญพันธ์ลงไป ก็มีคณะเดินทางนำโดย 1 จอมมาร 1 มหาเทพ
ทั้งสองร่วมมือกันใช้พลังต้นกำเนิดและพลังของตนสรรสร้างเทพและมารขึ้นมาอีกหลายองค์เพื่อสรรสร้างดวงดาวดวงนี้และสรรสิ่งต่างๆ จอมมารและจอมเทพร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมให้มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ทรงอำนาจเท่าพวกตนอาศัยอยู่ได้พวกเขาใช้พลังร่วมถึงของวิเศษมากมายในการค่อยๆปั้นแต่งสายพันธ์บนโลกทั้งอสูร ภูติสัตว์ในธรรมชาติ ยักษา มังกร สัตว์นาๆพันธ์
วันหนึ่งมีสิ่งมีชีวิตอ่อนแอเรียกว่ามนุษย์ได้พัฒนามากกว่าเผ่าอื่นและใช้ศักยภาพผิดทางเริ่มเข่นฆ่ายึดครองจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆจอมมารเห็นแบบนั้นจึงจะทำลายเผ่าพันที่โง่เขลาแต่จอมเทพไม่ยินยอมแต่ก็ให้เทพเจ้าแห่งธรรมชาติบุตรของตนลงไปปกครองสร้างกฎขึ้นมาเพื่อให้ทุกอย่างสมดุลย์กาลเวลาผ่านไปหลายเผ่าได้สร้างอารยธรรมกำเนิดเทพและอสูรต่างๆแต่ด้วยความแตกต่างกันของพวกมนุษย์กับพวกอื่นๆก็นำมาซึ่งความขัดแย้งมีสงครามปะทุหลายครั้งมีเผ่าสูญพันหลายครั้งทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆแต่ทุกครั้งมนุษย์มักจะอยู่ในข้อพิพาทหรือเป็นสาเหตุเสมอจนจอมมารต้องลงมือทำลายต้นต่อแห่งความวุ่นวาย
แต่มหาเทพไม่ยอมรับ ทั้งสองจึงปะทะกันก่อตัวเป็นสงครามครั้งแรกเหล่าเทพกับอสูรก็ล้วนหยิบอาวุธโรมรันกันมหาสงครามแบ่งโลกออกเป็นสองพวกมหาสงครามดำเนินอย่างยาวนานเทพและมารทรงอำนาจหลายตนต้องกับสูญสิ้นและสูญหายในศึกนี้รวมถึงมหาเทพและจอมมารด้วย
เมื่อผู้นำทัพหายสงครามก็ชะงักเมื่อมีเวลาหยุดคิดหลายฝ่ายเลือกที่ถอนตัว หลายฝ่ายแปรพักตร์ก่อนสงครามจะดำเนินต่อโดยเทพธรรมชาติและจอมอสูรแห่งใต้พิภพเป็นแม่ทัพแม้จะพยายามสงบศึกจากฝ่ายเทพแต่ก็ไม่อาจหยุดสงครามได้จน
ในที่สุดเหล่าเทพได้ชัยและผนึกเหล่าจอมอสูรใต้พิภพและทวยเทพระดับสูงก็หลีกหายไปฟื้นพลังจำศีลจนถึงห้วงเวลาปัจจุบันซึ่งห่างจากเวลาผนึกไปนานนับแสนปี
นี่คือตำนานที่กลายเป็นนิทาน
นิทานที่เล่าสืบต่อกันมานับพันปีจนกระทั่งวันที่ผลึกถูกคลายออก
ซากมหาวิหารเก่าแก่ ใกล้เมืองโอลกาเดียน
ซากวิหารที่เป็นเพียงสถานโบราณให้การท่องเที่ยวเพียงเท่านั้น ตำนานที่กล่าวว่ามีมารตนนึงและบริวารถูกจองจำเป็นจุดขายที่ดีสำหรับสถานที่แห่งนี้ ภาษาเผ่ามารโบราณ เศษซากของวัตถุในยุคนั้นนำพานักวิจัยเวทย์มนต์ นักท่องเที่ยว นำเม็ดเงินสู่เมืองไม่ขาดสาย เศรษฐกิจเจริญชาวเมืองมีความสุขสงบ หากแต่เจ้าเมืองละเลยสิ่งบรรพบุรุษได้สั่งเสียไว้ว่าให้ค่อยระวังรักษาผนึกให้ดี มันกลายเป็นเพียงตำนานไว้โฆษณาการท่องเที่ยวในเมืองเพียงเท่านั้น
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าตำนานเป็นความจริง
ในซากวิหารเก่าแก่มีห้องลับที่ไม่ถูกค้นพบ ห้องโถงที่เคยมีนักเวทย์มือหนึ่งของทุกอาณาจักรค่อยบริกรรมคาถาตลอดทุกวันทุกคืนถูกทิ้งร้างนับร้อยๆปี
เสาอาคมสี่ต้นที่เคยเป็นสีทองอร่ามผู้พล่านไปด้วยพลังเวทย์บัดนี้ผุพัง เวทย์ที่ถูกบรรจุไว้ใกล้สิ้นฤทธิ์ลงทุกขณะ
เวลาเดียวกันหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ข้างซากวิหารที่ควรจะเงียบสงบกลับมีศพทหารยามนอนกองสุมกัน ทั้งหมดตายด้วยใบหน้าที่หวาดผวาสุดชีวิต ทุกศพซีดเซียวไร้โบหิตหลงเหลือในกาย
ตู้โชว์วัตถุโบราณที่มีการลงเวทย์อาคมป้องกัน เป็นเวทย์ระดับกลางขั้น 7 มีความสามารถทั้งป้องกันและแจ้งเตือน แต่กลับถูกปีศาจในผ้าคลุมใช้มือฉีกเวทย์ป้องกันราวฉีกกระดาษ มันคว้าท่อนหินยาวที่ไม่อาจจินตนาการได้ว่าเป็นอะไร แต่เมื่ออยู่ในมือปีศาจเปลือกหินกลับค่อยๆหลุดออกกลายเป็นไม้เท้าสีดำทมิฬ ปลายบนมีกระโหลกศีรษะของหลายเผ่าพันประดับมันแผ่ออร่าสีดำออกมาราวเป็นหมอกพิษ ไอสีดำถูกปีศาจในผ้าคลุมดูดเข้าไป
มันชักกระตุกเส้นเลือดกลายเป็นสีดำไปทั่วตัวใบหน้าซีดเซียวบวมปูดขึ้น ตาสีขาวแปรเป็นสีดำทมิฬมันร้องกู่ตะโกนออกมาอาคารทั้งหลังถึงกับถูกระเบิดกระจายหายไปเพราะอำนาจของพ่อมดร้าย ปีศาจพ่อมดมองอาวุธคู่กายที่ได้คืนมา
"ข้าเฝ้ารอคืนนี้มานับพันๆปี นายท่าน บ่าวกลับมารับใช้แล้ว ข้ารอท่านมาถึงวันนี้ นายท่าน"
มันปักไม้เท้าลงหันหน้าไปหาซากวิหารเก่ามองวิหารที่ค่อยๆสั่นไหวทีละน้อย ราวกับด้านในกำลังมีความเคลื่อนไหว
ภายในซากวิหาร ในที่สุดเสาสีทองก็หมดพลังพวกมันหยุดส่องแสงและค่อยๆผุพังทลายล้มลงไป พื้นหินกลางห้องแตกออกแผ่นดินเริ่มสะเทือน ลูกบอลกลมสีทองค่อยๆทะลุขึ้นมาจากพื้น ผิวสีทองของทรงกลมค่อยๆปริออก พลังเวทย์สีดำค่อยๆฉีกทรงกลมออก ยิ่งลูกบอลสีทองแตกออกเท่าใดพลังอันมืดมิดก็ยิ่งทะลักออกมา เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกับความมืดที่ระเบิดออกจากลูกบอล วิหารเก่าถูกระเบิดออกจากด้านใน
อสูรห้วนคืนสู่พิภพ ยุคมืดกำลังจะกลับมา