กลับมาอีกครั้งแล้วนะครับ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ยังติดตามกันอยู่
ตอนนี้นับเป็นตอนนึงที่ค่อนข้างยาว เรื่องราวกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มกลับมามีฉากให้ได้เสียวกันบ้างแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าคู่ไหนก็ตามไปอ่านได้เลยครับ
--------------------
พิษสวาทบ่วงบาศกามา ตอน 8
ลลิดายังคงรู้สึกหวาดระแวงกับสายตาของผู้ชายที่จ้องมองมายังเธออยู่ตลอด ไม่เว้นแม้กระทั่งสายตาของ รปภ วัยคราวพ่อที่มองไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับกำลังชื่นชมผลงานที่เขาเคยได้ลิ้มรสมาก่อน จนลลิดาถึงกับต้องรีบเบือนหน้าหลบหนีสายตาอันหื่นกระหายของชายเฒ่า เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ และคิดไปในแง่ดีว่าคงเป็นเพราะวันนี้เธอสวมใส่เสื้อผ้าที่สวยเป็นพิเศษกว่าทุกวัน คงไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น
ระหว่างที่ลลิดานั่งทำงานที่โต๊ะอยู่นั้น จู่ ๆ สุขุมก็เดินมาหาถึงที่และเรียกเธอเข้าไปคุยในห้องทำงานของเขาตามลำพังโดยไม่บอกกล่าวข้อมูลเพิ่มเติมใด ๆ แค่เพียงได้ยินจิตใจของหญิงสาวก็หล่นลงไปกองที่ตาตุ่มจนมือไม้สั่นเทาเพราะความหวาดกลัวไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกต้องยอมจำนนก้าวขาเดินตามเขาไปอย่างช้า ๆ เพื่อหวังยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อย
"นั่งก่อนสิ" สุขุมเอ่ยปากเชิญให้นั่งเมื่อลลิดาเดินเข้ามาถึงในห้อง เขาจับอาการหวาดกลัวของเจ้าสมันน้อยตรงหน้าได้อย่างเด่นชัดจนอดขำอยู่ในใจไม่ได้
"คะ คะ ค่ะ" แค่คำพูดเพียงสั้น ๆ ลลิดายังออกอาการพูดติด ๆ ขัด ๆ
"ช่วงนี้ดูไม่ค่อยมีสมาธิทำงานเลยนะครับ" สุขุมเริ่มพูดเข้าประเด็น
[ก็เพราะมึงคนเดียว ที่ทำให้กูต้องเป็นแบบนี้] หลิวทำได้แค่คิดในใจแต่ไม่ได้พูดตอบโต้กลับไป
"ลองดูงานที่ส่งมาล่าสุด เห็นไหมครับ ตรงนี้สะกดผิด ตรงนี้ใส่ตัวเลขผิด และตรงนี้ก็ด้วย" สุขุมชี้ให้ลลิดาดูจุดที่เธอทำงานผิดพลาด ซึ่งมีอยู่เต็มไปหมด
[นี่มันเรียกเรามาเพราะเรื่องงานจริง ๆ หรอ?] ดูเหมือนจะเกินความคาดหมายของหลิวไปมาก เมื่อสุขุมไม่พูดถึงเรื่องคืนนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาโฟกัสแต่เรื่องของงานเพียงอย่างเดียวราวกับว่าเหตุการณ์เลวร้ายนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นเลยสำหรับเขา
[หรือมันจะทำตามสัญญาได้อย่างที่พูดไว้จริง ๆ] กลายเป็นว่าสุขุมปฏิบัติตัวกับเธออย่างเป็นปกติและเหมือนจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับเธออีกแล้ว จนเธอน่าจะคลายความกังวลลงไปได้
"นี่ฟังอยู่หรือเปล่าครับ?" สุขุมเห็นลลิดานิ่งไปไม่ได้ขานรับอะไร ก็เลยเอ่ยเรียก
"เอ่อ ค่ะ รับทราบค่ะ" คำพูดของสุขุมดึงให้สติของลลิดาให้กลับคืนมา ก่อนเธอจะก้มหน้าตารับผิดในความสะเพร่าของตน
"แค่นี้แหละครับ ผมไม่อยากเอ่ยตำหนิที่โต๊ะ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินแล้วจะมองคุณไม่ดี" สุขุมทำตัวราวกับเป็นหัวหน้าที่ดีที่พยายามจะปกป้องลูกน้อง ทั้งที่ตนเองเป็นคนพังทลายชีวิตของเธอไปแล้วก่อนหน้านี้
ลลิดาเดินกลับออกมาจากห้องทำงานของสุขุม แม้เธอจะถูกตำหนิในเรื่องของงานที่ตนทำผิดพลาด แต่เธอกลับรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด เพราะสุขุมไม่เอ่ยถึงเรื่องคืนนั้นเลยแม้แต่น้อย แม้จะอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้อง ดูเหมือนเขาจะทำตามที่รับปากเอาไว้ อีกทั้งเอาเข้าจริง ๆ เพื่อนพนักงานคนอื่น ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไร เหลือเพียงแค่เธอต้องจัดการกับอารมณ์หวาดวิตกภายในจิตใจของตัวเองให้ได้ก็เท่านั้น เธอกลับมานั่งทำงานต่อด้วยสภาพจิตใจที่ค่อย ๆ ดีขึ้น พอเริ่มเปิดใจก็ดูเหมือนการใช้ชีวิตทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติสุข เธอนั้นไปทานอาหารกลางวันที่ศูนย์อาหารกับเพื่อนร่วมงานทั้ง แพร บอล และคนอื่น ๆ ได้เหมือนเดิม อาการเบื่ออาหารก็ดูจะหายไปจนทานได้มากขึ้น เหลือแค่ทำงานให้พ้นช่วงบ่าย แฟนของเธอก็จะมารับไปดูหนังต่อ พอคิดได้แบบนี้ทุกอย่างในชีวิตก็เริ่มกลับมาสดใสสำหรับลลิดาอีกครั้งหนึ่ง
.
.
.
เบิร์ดและอาร์มเดินสวนกันอีกครั้งระหว่างพักกลางวัน สายตาคนหนึ่งดูโกรธเป็นฟืนเป็นไฟราวกับแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ขณะที่อีกคนหนึ่งก็ทำใบหน้าและส่งสายตาหยอกล่อใส่ ปกติทั้งคู่แทบจะใช้ชีวิตต่างกันอย่างสุดขั้วจนเหมือนอยู่คนละโลกกันอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองห่างไกลกันจนไม่น่าจะใช้คำว่า เพื่อน ได้อีกต่อไป
เบิร์ดเลือกเดินผ่านอาร์มไปโดยไม่สนใจการยั่วยุของเขา ก่อนจะกลับไปรวมกลุ่มกับ มิ้นท์ กิ๊ฟท์ ก้อย และบิ๊ก ที่นั่งรอที่โต๊ะอาหารอยู่ก่อนแล้ว ระหว่างรับประทานอาหารแต่ละคนก็พูดคุยกันอย่างสัพเพเหระ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องการบ้านและเรื่องทั่วไป แต่ในระหว่างนั้น เบิร์ดกลับรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของมินตรา เพราะวันนี้เธอดูจะพูดกับเขาน้อยลงไปมาก เหมือนเป็นแนวถามคำตอบคำเสียมากกว่า แม้ในบางจังหวะที่เขาตั้งใจชวนคุย ก็ดูเหมือนเธอจะตอบเลี่ยง ๆ เพื่อตัดบทสนทนาทิ้ง
"มิ้นท์เป็นอะไรหรือเปล่าวันนี้?" เบิร์ดอดรนทนไม่ไหวเมื่อเห็นมินตรามีทีท่าแปลกไป พอมีจังหวะที่อยู่กับเธอสองต่อสองเลยเอ่ยปากถามออกไป
"ก็เป็นเพื่อนกันไง" มินตราตอบคำถามเบิร์ดด้วยความปวดร้าวใจ เหมือนที่ผ่านมาจะมีแค่เธอที่แอบชอบเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว
“ฮะ? หมายถึงอะไรหรอมิ้นท์? เราไม่เข้าใจ” เบิร์ดกลับยิ่งงงในคำตอบของมินตรา เพราะเขาไม่รู้ว่าเมื่อวานนี้ตอนที่เขาคุยกับอาร์ม มิ้นท์ดันเดินมาได้ยินมันพอดี แต่ไม่ทันอยู่ฟังประโยคสารภาพรักของเขาหลังจากนั้น
มินตราไม่ได้พูดขยายความอะไรมากไปกว่านั้น และเป็นจังหวะที่เพื่อนคนอื่น ๆ เดินกลับมาพอดี เบิร์ดจึงไม่กล้าถามอะไรต่อ สุดท้ายพวกเขาจึงยังไม่ได้เปิดอกพูดความในใจออกไป จนบางทีดูเหมือนโชคชะตากำลังเล่นตลกกับเขาทั้งสองคน ให้ไม่อาจโคจรมาบรรจบกันได้
.
.
.
พอถึงเวลาเลิกงาน หลิวที่นั่งเฝ้ารอมาตลอดทั้งบ่ายก็รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเตรียมตัวเพื่อรอให้แฟนของเธอมารับ เธอพูดลาเพื่อนร่วมงานก่อนจะขอตัวออกมา แล้วก็รีบเดินไปยังจุดที่นัดหมายกับแฟนเธอเอาไว้ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าแพรพรรณได้แอบสะกดรอยตามเพื่อตั้งใจจะมาไขคำตอบให้กับความคลางแคลงใจของตน แพรพยายามเดินเว้นระยะห่าง เพราะกลัวว่าเพื่อนของเธอจะหันมาเห็นเข้า จนไม่นานรถคันเดิมกับที่เธอบังเอิญเจอครั้งที่แล้วก็ปรากฎขึ้นและรับลลิดาไป แพรพรรณตั้งใจจะมองเข้าไปในรถให้เห็นใบหน้าของคนขับ แต่จากระยะที่เธอยืนอยู่จึงมองได้ไม่ชัดเจนนัก
[หรืออาจจะไม่ใช่] แพรพรรณได้แต่คิดลังเลในใจ
.
.
.
ในโรงภาพยนตร์สุดหรูหราที่ราคาค่าตั๋วแพงระยับ กฤษณ์และลลิดานั่งดูหนังด้วยกันบนที่นั่งชั้น Honeymoon seat แถวบนสุด ไฟในโรงถูกหรี่ลงจนมืดสนิทเพื่อให้ทุกคนมองเห็นภาพที่ฉายบนหน้าจอขนาดใหญ่ได้ชัดเจนขึ้น ภายใต้บรรยากาศอันหนาวเย็น ผ้าห่มจึงถูกใช้นำมาห่อหุ้มคลุมร่างกายของชายหนุ่มและหญิงสาวเอาไว้ มือของกฤษณ์โอบประคองรอบช่วงเอวคอดกิ่วของหลิวเอาไว้เพื่อมอบความอบอุ่นให้แก่เธอมากขึ้น
เมื่อหนังเริ่มดำเนินไปได้สักพัก มือไม้ของกฤษณ์ก็เริ่มไม่อยู่สุข จากที่แค่เคยโอบคล้องกลับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นลูบคลึง ผิวสัมผัสที่นุ่มละมุนมือของลลิดาเป็นอะไรที่เขาถวิลหามานานหลายวัน ความมืดสลัวผนวกกับการบดบังอำพรางจากผ้าห่มผืนหนาทำให้เขายิ่งชะล่าใจกล้าทำอะไรที่เสี่ยงมากขึ้น มือของเขาเริ่มเปลี่ยนสภาพกลายเป็นงูเลื้อยซอกซอนชอนไชไปทั่ว มันไต่ขึ้นตามหน้าท้องที่แบบราบไร้ไขมันของลลิดาจนชนเข้ากับบราเซียผ้าลูกไม้ ก่อนเขาจะค่อย ๆ ใช้มือแซะผ่านขอบเสื้อชั้นในเข้าไปเกาะกุมหน้าอกหน้าใจของแฟนสาวสุดสวย กฤษณ์เริ่มบีบเคล้นเคล้าคลึงเพื่อซึมซับกับความหยุ่นเด้งเต่งตึงของก่อนเนื้อขนาดพอดีมือ
"ซี้ดดดดด…" ลลิดาเผลอหลุดส่งเสียงครางออกมาอย่างลืมตัว เมื่อถูกนิ้วมือที่แสนซนเขี่ยวนรอบหัวนม แต่โชคดีที่เสียงกระหึ่มของภาพยนตร์ดังกลบเสียงสูดปากของเธอจนไม่มีใครได้ยิน
แค่เพียงเจอการลูบไล้ของแฟนหนุ่ม หลิวก็รู้สึกว่าตอนนี้กางเกงชั้นในของเธอกำลังชุ่มช่ำไปด้วยน้ำหล่อลื่นที่มากล้น นับตั้งแต่ที่สุขุมและกลุ่มชายแปลกหน้าพร่าสวาทหลิวไปในคืนนั้น ความต้องการทางเพศของเธอก็ดูเหมือนจะถูกจุดติดอย่างง่ายดาย
กฤษณ์รู้สึกว่าตนลงมือไม่ค่อยถนัด จึงถลกเสื้อชั้นในของหลิวขึ้นไปกองอยู่เหนือเต้า ก่อนจะกลับมาบีบเคล้นสองเต้าสลับกับบี้คลึงตรงส่วนยอดที่ชูชัน หลิวที่อารมณ์กระสันกำลังปะทุก็แอ่นอกสู้มือแฟนหนุ่มอย่างไม่เกรงกลัวสายตาของคนอื่น แทบไม่ต้องถามถึงเรื่องราวในภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่บนจอ เพราะทั้งคู่สมาธิหลุดลอยไปตั้งนานนมแล้ว
พอกฤษณ์เห็นลลิดาเริ่มตอบสนอง เขาก็เริ่มรุกหนักข้อเข้าไปใหญ่ ส่งมือล่องใต้เพื่อมุ่งไปหาเป้าหมายใหม่ หลิวเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะทำสิ่งใด จิตใจก็เลยเต้นโครมครามแต่ตัวเองก็ไม่คิดจะห้ามปราม กฤษณ์พยายามจะสอดมือรอดผ่านขอบกระโปรงของเธอ แต่ดูเหมือนมันจะแน่นเกินกว่าที่จะผ่านช่องทางนี้ได้ จึงเปลี่ยนไปหาช่องทางใหม่ที่ง่ายกว่า มือหนาของเขาล้วงลอดใต้ชายกระโปรงเข้าตะปบใส่เป้าของลลิดาเต็ม ๆ มือ
กฤษณ์สัมผัสเข้ากับกางเกงชั้นในของลลิดาที่มันเปียกจนไม่รู้จะเปียกกว่านี้ยังไง ความชุ่มฉ่ำถูกส่งผ่านเนื้อผ้าผืนบางจนมันลื่นติดนิ้วมือเขา เมื่อรู้ว่าแฟนสาวอารมณ์มาเต็มและคงไม่ขัดขืนเขาแน่ ๆ เขาจึงใช้นิ้วมือข้างนึงเกี่ยวขอบกางเกงในตรงบริเวณปากทางรักให้แหวกออก แล้วส่งมืออีกข้างเข้าไปโจมตีที่จุดอ่อนไหวของเธอ ติ่งแตดถูกนิ้วของเขาบดรัวเข้าใส่ จนขับน้ำหล่อลื่นทะลักออกมาตามช่องทางอย่างกับเป็นมันเป็นตาน้ำกลางป่าดงพงไพร พอขยี้ปุ่มเนื้อจนหนำใจแล้ว กฤษณ์ก็สอดนิ้วกลางผลุบหายเข้าไปในโพรงสาวได้อย่างง่ายดายจนเขาอดนึกแปลกใจไม่ได้ แต่ชายหนุ่มก็คิดว่ามันคงเป็นเพราะน้ำเมือกที่เอ่อล้นจนรูสวาทลื่น พอนิ้วแรกเข้าไปได้อย่างไม่ลำบาก นิ้วที่สองจึงถูกส่งตามเข้าไปติด ๆ และมันก็มุดจมหายเข้าไปได้โดยไม่มีติดขัด
เมื่อสองนิ้วเข้าประจำตำแหน่ง กฤษณ์ก็เริ่มสาวมือเข้าออกอย่างช้า ๆ โดยพยายามกดปลายนิ้วบนเพดานถ้ำเพื่อเน้นให้บดขยี้ตรงจุด G-Spot ลลิดารู้สึกเสียววูบวาบจนต้องใช้มือจิกเบาะแน่น สองขาเรียวงามนั้นเหยียดตึงและปลายเท้าก็จิกเกร็งกับพื้น ตอนนี้พวกเขากำลังเปลี่ยนที่นั่ง Honeymoon seat ให้กลายเป็นสังเวียนรักแบบชั่วคราว ภายใต้ผ้าห่มที่ปกคลุมอยู่ มือของกฤษณ์ค่อย ๆ เร่งจังหวะเร็วขึ้น เกิดเป็นเสียงน้ำหล่อลื่นในร่องสาวกระทบกับสองนิ้วที่โลดแล่นเข้าออกดัง แจะ ๆ ในตอนนี้ความกระสันซ่านพุ่งสูงขึ้นทำเอาหญิงสาวหน้าสวยก้นแทบไม่ติดเบาะ เธอต้องใช้มือกุมปิดปากตนเองไม่ให้เสียงครางหลุดรอดออกมาจนคนอื่นได้ยินเข้า ลลิดาเกร็งสะโพกรองรับการรัวนิ้วของแฟนหนุ่มอยู่ได้อีกไม่นานก็ถูกเขาพาขึ้นสู่สวรรค์ พลางปลดปล่อยสายธารรักเข้าใส่ฝ่ามือของกฤษณ์จนเปียกนองไปทั่ว เขาใช้ผ้าห่มค่อย ๆ เช็ดคราบความเปียกแฉะให้กับแฟนสาว ก่อนจะปล่อยให้เธอจัดแจงชุดทำงานให้เข้าที่ดังเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม้ภาพยนต์จะจบลงแล้ว แต่ดูเหมือนอารมณ์พลุ่งพล่านของกฤษณ์ยังไม่จบเพราะน้องชายของเขายังคงประท้วงให้ได้รับการปลดปล่อย แตกต่างจากแฟนสาวที่เดินขาเปลี้ยเปี่ยมสุขหมดเรี่ยวหมดแรงจะยืนจนแฟนหนุ่มต้องคอยประคองเอาไว้ เขาตั้งใจจะไปสานต่อกิจกรรมเข้าจังหวะที่คอนโดของลลิดาจึงรีบพาเธอกลับขึ้นรถและมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่เป้าหมายโดยไม่รั้งรอ เมื่อขับรถมาถึงที่คอนโด กฤษณ์กลับถูกเบรคหัวทิ่มเพราะแฟนสาวยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะขอพักผ่อนเพราะวันรุ่งขึ้นพ่อกับแม่จะมาหาแต่เช้า จนสุดท้ายเขาก็ต้องยอมแพ้แม้จะรบเร้าอยู่นาน กฤษณ์ได้แต่บ่นกับตัวเองในใจว่าไม่น่าใช้นิ้วทำให้แฟนสาวในโรงหนังจนเธอเสร็จไปก่อน ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะพอมีลุ้นอยู่บ้าง แต่เขากลับไม่ทราบว่าความจริงแล้วหลิวยังไม่กล้าให้แฟนหนุ่มเห็นเรือนร่างของเธอในตอนนี้เพราะแม้ร่องรอยส่วนใหญ่จะจางหายไปแล้ว แต่ตรงยอดปทุมถันที่ถูกกัดจนเป็นห้อเลือดจากวีรกรรมอันป่าเถื่อนของเดนมนุษย์พวกนั้นยังไม่หายสนิทดี เธอจึงได้แต่ขอโทษแฟนหนุ่มในใจที่ทำให้เขาต้องกลับไปทั้งที่ยังอารมณ์ค้างเติ่งแบบนั้น
.
.
.
เช้าวันเสาร์ที่อากาศแจ่มใส แฟนหนุ่มไฮโซของมนัสนันท์ก็รีบขับรถมารับเธอที่บ้านตั้งแต่เช้าตามที่นัดกันไว้ ก่อนที่เขาจะเข้าไปกล่าวทักทายกับชไมพรอย่างสนิทสนม ขจัดความกังวลที่ชไมพรคิดว่าทั้งสองคนทะเลาะกันไปได้ ชไมพรนั้นดูจะสนับสนุนแฟนของลูกสาวคนนี้อย่างออกหน้าออกตาด้วยความที่เขาเป็นผู้ชายสุภาพ อ่อนหวาน และสามารถดูแลลูกสาวของเธอได้เป็นอย่างดี พอวันนี้เธอได้เห็นว่าทั้งคู่ไม่ได้ทะเลาะกันอย่างที่คิด ใบหน้าก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หุบ หลังจากบอสพูดคุยกับว่าที่แม่ยายในอนาคตไปได้อีกสักพัก เขาก็ขอตัวเพื่อพาแฟนสาวขับรถเพื่อมุ่งหน้าไปยัง หัวหิน จุดหมายปลายทางของวันนี้
"เราไม่ได้ไปเที่ยวกันแบบนี้นานแล้วเหมือนกันนะคะ พี่บอส" มนัสนันท์พูดกับแฟนหนุ่มที่กำลังขับรถอยู่
“นั่นสิครับ ดีเนอะที่วันนี้เราว่างตรงกัน เลยได้ขับมาเที่ยว” มันก็เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่ทั้งคู่ไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน
“มายก็ว่างตลอดแหละ มีแต่พี่คนเดียวที่ไม่ค่อยว่าง ดูซิขนาดวันเสาร์อาทิตย์ยังต้องบินไปทำงานอยู่บ่อย ๆ” มนัสนันท์มักจะเคลียร์งานที่คั่งค้างให้เสร็จภายในวันศุกร์ เสาร์อาทิตย์จึงเป็นวันที่เธอว่างอยู่เสมอ ต่างจากบอสที่ช่วงหลังแม้กระทั่งวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ยังต้องหายหน้าหายตาไปทำงาน
“ช่วงนี้มันมีโครงการใหม่เข้ามาพอดีน่ะครับ พี่เลยต้องบินไปพบหุ้นส่วนบ่อยหน่อย อย่าน้อยใจพี่เลยนะครับ” เขาบอกเหตุผลความจำเป็นของเขาให้เธอทราบอีกครั้ง และหวังว่าแฟนสาวจะเข้าใจ
“ไม่น้อยใจหรอกค่ะ อย่างน้อย ๆ วันนี้พี่ก็ชดเชยให้มายแล้ว” มนัสนันท์ก็เป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน เธอจึงเข้าใจว่าบางทีเพื่อให้งานสำเร็จ เราก็ต้องยอมสละเวลาส่วนตัวไปบ้าง
“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจพี่ วันนี้มายอยากไปไหนพี่อาสาเป็นสารถีขับรถพามายไปทุกที่เลยครับ” ชายหนุ่มพูดเอาอกเอาใจแฟนสาวแสนสวยเมื่อเห็นว่าเธอเข้าใจเขา
“ดีจัง งั้นเราแวะไปทานข้าวกันแถวบางตะบูนก่อนนะคะ” มนัสนันท์คิดถึงอาหารทะเลสดสะอาดที่บางตะบูนจะแย่ เลยอยากจะแวะไปทานอาหารที่นั่นก่อนจะเข้าตัวเมืองหัวหิน
"ได้เลยครับ" เมื่อแฟนสาวออกปากอยากไป เขาก็ไม่คิดจะขัดอยู่แล้ว
“เอ้อ เย็นวันศุกร์พี่ติดอะไรไหมคะ? พอดีเพื่อนสนิทมายตอนมัธยมจะแต่งงาน ก็เลยอยากจะชวนพี่ไปด้วยกัน” มนัสนันท์เอ่ยปากชวนแฟนหนุ่มไปร่วมงานแต่งงานเพื่อนสนิทของเธอ เธอยังไม่เคยพาแฟนหนุ่มรูปหล่อคนนี้ไปเปิดตัวกับพวกเพื่อนกลุ่มนี้เลยสักครั้ง พวกนั้นเลยรบเร้าให้เธอพาแฟนไปด้วยให้ได้
“คิดว่าไม่ติดนะครับ ไปซิ พี่จะได้รู้จักเพื่อนมายกลุ่มนี้ด้วย” บอสก็คิดว่าดีเหมือนกันที่จะได้ถือโอกาสทำความรู้จักเพื่อนของมนัสนันท์ให้มากขึ้น
.
.
.
“แม่คะ พี่มายไปแล้วหรอ?" มินตราในชุดเดรสสีอ่อนดูน่ารักสมวัยรีบวิ่งลงมาชั้นล่างของตัวบ้านอย่างหน้าตาตื่นเมื่อเธอไม่เห็นพี่สาวอยู่ในห้อง
"ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ ใครใช้ให้ตื่นสายล่ะ?" ชไมพรอดเหนื่อยใจกับลูกสาวคนนี้เสียไม่ได้ พอวันหยุดทีไรก็ตื่นสายทุกที
"โห!! ไม่รอน้องเลยอ่ะ" มินตราแอบเคืองพี่สาวที่ไม่ยอมรอเธอ
"บอสเค้ามารับพาไปเที่ยวหัวหินตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ ขืนรอลูกตื่นละก็ คงไม่ต้องไปไหนกันพอดี"
"ชิ!! งั้นเดี๋ยวหนูให้เพื่อนมารับก็ได้” มินตราตั้งใจจะให้พี่สาวไปส่งเธอเสียหน่อย เลยต้องเปลี่ยนแผนหันไปใช้บริการพวกเพื่อนในกลุ่มให้มารับแทน
“นี่จะออกไปไหนอีกล่ะ?” ชไมพรเอ่ยถามเจ้าลูกตัวแสบที่พักนี้ไม่ค่อยจะอยู่ติดบ้านสักเท่าไหร่
"ไปดูหนังที่สยามค่ะ"
“ให้แม่ไปส่งเอามั้ย?”
"ไม่เป็นไรค่ะแม่" มินตรารีบต่อสายโทรหากิ๊ฟท์ที่อยู่บ้านในระแวกไม่ห่างกันมากเพื่อขอให้แวะมารับเธอ เพราะเกรงใจหากต้องให้แม่ขับรถไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าซึ่งอยู่ใจกลางเมือง ที่กว่าจะขับไปถึงก็กินเวลาเป็นชั่วโมง โชคยังดีที่กิ๊ฟท์เองยังไม่ได้ออกจากบ้าน จึงสามารถขับรถแวะมารับเธอที่บ้านได้
หลังจากนั้นไม่นานกิ๊ฟท์ก็ขับรถมาถึงบ้านก่อนจะรับมินตราออกไปเพื่อสมทบกับเพื่อน ๆ ที่เริ่มจะทยอยถึงที่หมายกันบ้างแล้ว เมื่อทั้งคู่จอดรถเรียบร้อย ก็รีบมุ่งหน้าไปร้านอาหารที่นัดกันไว้เพื่อทานข้าวกลางวัน
“เราว่าก่อนจะจบ เราจัดทริปไปเที่ยวต่างจังหวัดกันดีไหม” หลังจากคุยเรื่องราวสัพเพเหระต่าง ๆ นานาตามประสาวัยรุ่น บิ๊กก็เสนอไอเดียไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน ก่อนที่จะต้องแยกย้ายกันไปทำงาน แล้วจะไม่ค่อยมีเวลาเหมือนอย่างตอนนี้
“เออ ก็ดีนะ ชั้นกำลังอยากไปเที่ยวทะเลพอดีเลย ไปกันเถอะนะพวกเรา” ก้อยเป็นคนแรกที่สนับสนุนอย่างออกหน้าออกตาราวกับกระหายอยากเที่ยวมานาน
“เราก็อยากไปเหมือนกัน เดี๋ยวพวกเราก็จะไม่ค่อยได้เจอกันแล้วนะ มิ้นท์ เบิร์ด ว่าไง” กิ๊ฟท์ก็เห็นด้วยไม่ต่างกับก้อย พอยิ่งคิดว่าอีกไม่นานจะจบการศึกษาแล้ว ก็เลยอยากได้ใช้เวลาดี ๆ ร่วมกันอีกสักครั้งก่อนจะต้องแยกย้าย กิ๊ฟท์โยนคำถามต่อให้มิ้นท์และเบิร์ดที่ตั้งแต่มาถึงร้านก็ดูทำตัวนิ่ง ๆ ชอบกล
“เราว่าก็ดีนะ” มินตราตอบเพียงสั้น ๆ
“เอาสิ” เช่นเดียวกันกับเบิร์ดที่ยิ่งตอบสั้นเข้าไปใหญ่
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ละ ชั้นว่าลองชวนไปกันทั้งภาคเลยดีมั้ย จะได้ครึกครื้นดี” ก้อย คิดว่าไหน ๆ ก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว โดยเฉพาะกับพวกเพื่อนในภาคที่อยู่กันคนละกลุ่ม จึงอยากชวนทุกคนไปด้วยกันและใช้โอกาสนี้เก็บเป็นเรื่องราวดีดีไว้ในความทรงจำ
“เออดีเลย แต่ว่า... ถ้าอาร์มมันมาด้วย แกจะอึดอัดมั้ยมิ้นท์” กิ้ฟท์ก็เห็นดีเห็นงามกับก้อย แต่ก็แอบกังวลว่าถ้าอาร์มมาด้วย มันจะมาตอแยมินตราจนเธอหมดสนุก
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ อาร์มก็เพื่อนในภาคเราเหมือนกัน” แม้มินตราจะหนักใจอยู่ลึก ๆ แต่เธอก็ไม่อยากจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนในภาควิชาบางคนต้องอดไป
“ว่าแต่ นี่อาร์มมันจีบแกไม่ลดละขนาดนี้ ไม่มีใจอ่อนเลยหรอ?” ก้อยแอบอยากรู้เหมือนกันว่ามิ้นท์ที่โดนอาร์มตามจีบมาตั้งแต่ปี 1 จนตอนนี้จวนเจียนจะจบการศึกษาอยู่แล้ว ไม่คิดจะใจอ่อนบ้างเลยหรือ จึงหลุดถามออกไปกลางวงสนทนา
"ชั้นก็เริ่มเห็นในความพยายามของอาร์มแล้วเหมือนกันนะ ก็กำลังคิดว่าจะลองดู" มิ้นท์เหลือบหางตามองหน้าเบิร์ด ก่อนจะจงใจพูดเพื่อประชดเขา แต่คำตอบของเธอกลับทำเอาทุกคนอึ้งไปทั้งโต๊ะ จนใครบางคนถึงกับอดรนทนไม่ไหว
"อย่านะ!!" เบิร์ดที่นั่งนิ่งมานาน อยู่ ๆ ก็พูดโพล่งขึ้นมาจนทุกคนตกใจเข้าไปใหญ่ เพราะปกติเขาไม่เคยจะมีอาการแบบนี้เลยสักครั้ง แต่ด้วยความที่เขาดันไปรู้เรื่องราวเลวระยำของอาร์มจึงรู้สึกทนไม่ได้ถ้าจะเห็นผู้หญิงที่เขาแอบรักต้องไปพบเจอชะตากรรมเช่นนั้น
"เบิร์ด แกเป็นอะไรของแกเนี่ย?" กิ๊ฟท์ถามด้วยความสงสัย
"เราจะเลือกคบใคร มันก็เรื่องของเราป่ะเบิร์ด" มิ้นท์ที่ยังรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจเหมือนถูกบอกเลิกทั้งที่ยังไม่เคยได้คบ พอเห็นว่าเขายิ่งห้าม เธอก็เหมือนจะยิ่งตั้งใจพูดประชดออกไปมากขึ้น ในเมื่อเขาไม่ได้ชอบเธอ ก็ไม่ควรจะมาก้าวก่ายถ้าเธอจะไปคบกับใคร
"เชื่อเราเถอะ อาร์มมันเปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อย ใคร ๆ ก็รู้ เราไม่อยากเห็นเพื่อนต้องมานั่งเสียใจ" เบิร์ดพยายามพูดเพื่อหวังให้มินตราเลิกล้มความคิดนั้นเสีย
"ฮันแน่!! อย่าบอกนะว่ามึงชอบมิ้นท์อ่ะ คิดจะเก็บไว้เองหรอ?" บิ๊กที่ไม่เห็นเคยเบิร์ดมีท่าทีแบบนี้เลยตั้งแต่รู้จักกันมา จึงแอบสงสัยว่าเบิร์ดอาจจะชอบมินตราอยู่ก็เป็นได้ และด้วยนิสัยของบิ๊กจึงไม่คิดจะเก็บความสงสัยไว้ในใจ เลยยิงคำถามขวานผ่าซากออกไปกลางวงเสียดื้อ ๆ
"บะ บ้า!! พูดอะไรของมึงเนี่ย กูก็แค่ห่วงเพื่อนเฉย ๆ" เบิร์ดชะงักในคำถามของเพื่อนไปชั่วขณะ ก่อนจะเลือกตอบปฏิเสธออกไปเพราะใจไม่กล้าพอ
[ใช่เราชอบมิ้นท์ ชอบมานานแล้ว] ในขณะที่ในใจของเขากลับเลือกที่จะตอบอีกอย่าง
"ขอบใจนะที่อุตส่าห์เป็นห่วงในฐานะเพื่อนคนนึง แต่เราจะเลือกคบใครก็ขอให้มันเป็นสิทธิ์ของเราละกัน" คำตอบของเบิร์ดเมื่อสักครู่นั้นมาสะกิดบาดแผลในใจที่ยังไม่ทันหายดีให้มันอักเสบขึ้นใหม่อีกครั้ง มินตราจึงกลั้นใจตอบสวนเขากลับไป ก่อนจะลุกเดินออกจากโต๊ะ ทิ้งให้คนที่นั่งอยู่งงกันเป็นไก่ตาแตกจนบรรยากาศดูกร่อยลงไปในพริบตา
.
.
.
เพียงหนึ่งชั่วโมงเศษหลังจากออกจากบางตะบูน มนัสนันท์และบอสก็เดินทางมาถึงรีสอร์ทที่หัวหิน ทันทีที่ก้าวเข้าห้องพักทั้งคู่ก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงขนาดคิงไซส์เพื่อยืดหยัดกายให้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถทางไกล ทั้งคู่นอนนิ่งไม่ไหวติงราวกับกำลังถูกเตียงที่แสนนุ่มดูดกลืนวิญญาณของพวกเขาออกจากร่าง ก่อนจะเป็นชายหนุ่มที่อดรนทนไม่ไหวพ่ายแพ้ให้กับความเย้ายวนของทรวดทรงองเอวแฟนสาวจนต้องพลิกตัวโผเข้าไปกอดด้วยความโหยหา
มนัสนันท์โดนแฟนหนุ่มถูกเนื้อต้องตัวก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร แต่กลับส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มพร้อมด้วยรอยยิ้มกระชากจิตใจให้กับชายตรงหน้า บอสมองดูใบหน้าแฟนสาวของเขาด้วยความหลงใหล นานพอสมควรแล้วที่ทั้งคู่ไม่ได้มีช่วงเวลาแสนสวีทแบบนี้ด้วยกันตามลำพัง
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน