ขอโทษครับผมดันลืมบทแรกซะได้ 555 พอดีไฟล์ในเครื่องเผลอลบไป พอไปเห็นอีกบอร์ดหนึ่ง อ้าวมันข้ามตอน 555
........................................
ในยุคปัจจุบันโลกสมัยใหม่ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด เทคโนโลยีมากมายถูกมนุษย์สร้างขึ้น ทว่ามีบางสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยการแตกต่างระหว่างชนชั้น คนร่ำรวยมักเอาเปรียบคนจน ความจริงที่หลายคนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกใบนี้ผู้มีอำนาจมากกว่าจะกลืนกินผู้ที่อ่อนแอ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยทำไมคนที่มีฐานะยากจนต้องดิ้นรนต่อสู้มากมายเผื่อต้องการหลุดพ้นจากห่วงโซ่ก้าวไปสู่ฐานะที่ดีกว่าเดิม
“หึหึ ไอขยะรีบไปซื้อน้ำมาให้พวกกูเลยนะ” เสียงตวาดลั่น ทำให้เด็กชายที่ถูกเรียกว่า “ไอขยะ” ต้องสั่นด้วยความโกรธ ทว่าใบหน้าของเขาทำได้เพียงยิ้มรับ ทว่าภายในใจกับร้อนดุจดั่งเปลวเพลิงพร้อมระเบิดทุกออกเวลา
“ครับ ลูกพี่” ชายร่างอ้วนที่น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม ขานตอบรับคำพูดของเด็กหนุ่มที่อายุเท่ากันกับเขา พลางตวัดสายตาดูคนที่ยืนตรงประตู เขาเป็นรูปร่างหน้าตาหล่อเหล่า ใบหน้าขาวหล่อเหมือนหนุ่มเกาหลีทำให้เขาเป็นที่นิยมของกลุ่มสาวๆ ในโรงเรียน
“ไออ้วน มึงชักจะไม่รู้จักหน้าที่ซะแล้ว หรือต้องให้พวกกูสั่งสอนก่อน ถึงจะรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง” บอยหรือหนุ่มหล่อเหลาพูดขึ้น พร้อมส่งสายตาโหดเหี้ยมจ้องมองทาสรับใช้ของเขา
“ขอโทษครับ ผมจะรีบไ…..” ร่างอ้วนท่วมรีบเดินไปพร้อมกับพูดขอโทษ กระนั้นเขายังพูดไม่ทันจบประโยคก็ต้องรู้สึกเจ็บปวด
“ตูม! โครม!” ร่างกายที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมเซล้มตามแรงกระโดดถีบของบอย จนนายสอนหรือเด็กร่างอ้วนล้มไปชนเก้าอี้ในห้องเรียนแตกกระจุยกระจาย
“ฮ่า ฮ่า มึงชักช้าเอง ก็ต้องโดนลงโทษเป็นธรรมดา” คำพูดอันแสนชั่วร้ายดังขึ้นขัดกับรูปลักษณ์ที่ดีงาม บอยถุยน้ำลายใส่ร่างที่นอนเจ็บบนพื้นก่อนจะชวนพรรคพวกออกไป ปล่อยให้นายสอนนอนร้องอย่างทรมานอยู่คนเดียว บาดแผลบนร่างกายมันไม่ได้ทำให้เขาเจ็บเท่ากับบาดแผลทางจิตใจ
‘สักวันกูจะแก้แค้นให้สาสม มึงคอยดูไอ้บอย’ สอนคิดในใจด้วยความเคียดแค้น สักวันเขาต้องจับมันถลกหนังให้ได้ เด็กหนุ่มกัดฟันทนความเจ็บก่อนจับโต๊ะพยายามพยุงตัวขึ้นมา ก่อนจะเดินไปห้องพยาบาลเผื่อทำแผล จากนั้นจึงเดินทางกลับบ้าน
สอนเป็นเด็กอายุ 15 ปี เขาเป็นคนกำพร้าพ่อแม่ เนื่องจากอุบัติเหตุไฟไหม้บ้านในตอนเขาอายุ 6 ขวบ และเหตุการณ์จากเปลวเพลิงในครั้งนั้นก็เปลี่ยนชีวิตของไปตลอดกาล ในอดีตครอบครัวของเขามีฐานะร่ำรวยมหาศาล พ่อแม่ประกอบธุรกิจมากมาย แต่จากการเหตุไฟไหม้มันได้คร่าชีวิตของพวกท่านทั้งสอง โชคดีที่วันนั้นออกไปเล่นนอกบ้านทำให้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หลายคนบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ ทว่าเขาไม่เชื่อแน่นอนเพราะวันนี้เขาเห็นชายแปลกหน้าใส่ชุดดำสองคนขี่รถมอเตอร์ไซต์หนีไป แต่จากคำพูดของเขากลับไม่มีใครสักคนเชื่อเลย เรื่องนี้เขายังเก็บฝังใจมาจนถึงปัจจุบัน
ทุกวันนี้เขาอาศัยอยู่กับครอบครัวของลุง ซึ่งเป็นญาติที่เหลือเพียงคนเดียวของเขา แต่ถึงจะอาศัยอยู่ด้วยกันทว่าเขาไม่เคยได้รับการดูแลเลย ภายในบ้านหลังนั้นเขาเปรียบเสมือนคนรับใช้ งานภายในบ้านทุกอย่างเขาต้องเป็นคนทำรวมถึงการทำอาหารด้วย (งานบ้านในเรือนใหญ่ แต่บริเวณบ้านส่วนอื่นคนรับใช้จะเป็นผู้ดูแล)
ที่ลุงญาติคนเดียวยอมเลี้ยงดูเขาเพราะมรดกจากพ่อแม่ของสอน จากพินัยกรรมเขาเป็นคนดูแลมรดกของหลานชายแทน ทว่าด้วยความโลภของเงินตราทำให้เขาได้คดโกงร่วมหัวกันกับทนายในการยึดสมบัติของหลาน ทว่าเขายอมเลี้ยงดูและส่งเสียเรียนโรงเรียนที่มีค่าเทอมราคาแพง เพราะต้องการให้ศาลเห็นว่าเขาดูแลเด็กหนุ่มเป็นอย่างดีตามคำสั่งเสียของพินัยกรรม
จากการเลี้ยงดูที่ย่ำแย่ของครอบครัวคุณลุง นายสอนไม่ควรที่มีร่างกายอ้วนท่วม ทว่าการที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำอาหารภายในบ้าน เขาก็เริ่มต้องการเผาผลาญเงินของลุงแท้ๆ ให้มากที่สุด เขาจึงเลือกใช้วัตถุดิบแพงๆ ในการทำอาหาร และแอบจิกไว้กินมันในปริมาณมาก ทำให้ตอนนี้เขามีร่างกายที่อ้วนจนน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม (ที่ลุงเขาไม่บ่นเพราะยอมรับฝีมือในการทำอาหารของเขา)
“เฮอะ…ไอเชี้ยบอย อย่าให้พวกมึงพลาดนะกูจะถล่มให้ยับเลย” สอนบ่นพึมพำกับตนเอง ขณะลากสังขารที่บาดเจ็บกลับบ้านอย่างยากลำบาก ที่เขาไม่กล้าตอบโต้ทั้งๆ ที่ถูกรังแกเพราะว่าพ่อของนายบอยเป็นมาเฟีย เด็กนักเรียนหลายคนที่มีเรื่องกับเขามักถูกซ้อมเป็นประจำ จนในที่สุดไม่มีใครกล้ายุ่งกับนายบอยและพรรคพวก
“แปะ แปะ” เสียงหยดน้ำกระทบใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆ ในวันนี้ไม่มีสีสดใสมีเพียงความมืดครึ้มของก้อนเมฆ เพียงไม่นานสายฝนเริ่มสาดเทลงมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายที่ใหญ่โตเริ่มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน
ขณะสอนเดินทางกลับบ้านภายในท้องถนนเต็มไปด้วยรถยนต์มากมาย ในช่วงเวลาตอนเย็นการจราจรติดขัดเป็นอย่างมาก การเดินทางช่วงนี้จึงเป็นที่เบื่อหน่ายของใครหลายคน โชคดีที่บ้านของคุณลุงอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่ไกลมากนัก เดินไปกลับเขาใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น ทว่าตอนนั้นเองสายตาของเขาชำเลืองมองไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินข้ามถนนที่อยู่อีกฝากของถนน
“สวยจัง” สอนอุทานด้วยความเหม่อลอย ใบหน้าเรียวไข่สวยกลม ผมสีทองที่บ่งบอกว่าเธอเป็นลูกครึ่ง ผิวพรรณขาวเนียนใสมันผุดผ่องจนยากที่เขาละสายตามองได้ หัวใจของเขาพองโตเต้นเป็นจังหวะทุกท่าทางการเดินของเด็กสาวมันถูกจดจำลงในหัว
แต่ชั่วเวลาแสนสุขยิ่งสั้นนัก สายตาเขาต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ เท้าสองข้างก้าวฉับไวก่อนที่สมองจะออกคำสั่งเสียอีก “ตูม! โครม!” เสียงรถยนต์กระแทกใส่ร่างของเด็กหนุ่มอย่างรุนแรง สายตาพร่ามัวด้วยความเจ็บปวด เขาพยายามลืมตาอันหนักอึ้งมองหาเด็กหญิงที่เขาผลักออกไป ก่อนจะเห็นนอนกลิ้งอยู่ริมฟุตบาท
‘เธอปลอดภัยสินะ’ เขาอุทานในใจ ก่อนสติที่เหลือเพียงน้อยนิดจะดับวูบไป ร่างอ้วนท่วมกระเด็นตามแรงกระแทกไปชนเสาไฟจราจร แต่เวลานั้นเองท้องฟ้าที่มืดครึ้มเริ่มส่งเสียงคำราม สายฟ้าอันสวยงามและน่ากลัวในเวลาเดียวได้ผ่าลงมา “เปรี้ยง! เปรี้ยง!” ฟ้าผ่าได้เกิดสองครั้งซ้อน ทว่าจุดที่เกิดเหตุกับเป็นร่างกายของเด็กหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่
“กรี๊ด!!” เสียงเด็กสาวลูกครึ่งหวีดร้องด้วยความตกใจ ภาพเด็กหนุ่มถูกรถชนต่อหน้าต่อตามันช่างสยดสยอง แต่เธอต้องเห็นภาพบาดตาบาดใจอีกรอบ เมื่อเขาที่นอนบนพื้นโดนฟ้าผ่าถึงสองทีซ้อน ‘ทำไมเขาซวยซ้ำเช่นนี้?’ หยดน้ำตาของไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เด็กสาวยืนสั่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะตั้งสติรีบโทรหาโรงพยาบาลเผื่อนำตัวเขาไปรักษาโดยเร็ว
=========================================
ณ ห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ห้องพักนี้หรูหราราวกับห้องพักของโรงแรม 5 ดาว ภายในห้องพักมีเฟอร์นิเจอร์ครบครับ ที่เตียงนอนมีร่างของเด็กหนุ่มนอน บนร่างกายของเขามีอุปกรณ์ช่วยชีวิตเต็มไปหมด ร่างอ้วนท่วมมีสายเล็กโยงไปมามากมาย
หลังเกิดเหตุการณ์รถชนสอนก็ถูกนำส่งโรงพยาบาล อาการเขาโคม่าสาหัสจนแทบไม่มีโอกาสรอดชีวิต โชคดีที่ยังมาโรงพยาบาลเร็วเพราะคุณหมอบอกว่าหากมาช้ากว่านี้มีเพียง 5 นาที ชีพจรจะหยุดเต้นทันที ร่างอ้วนท่วมนอนเป็นเจ้าชายนิทรามาแล้วกว่า 3 อาทิตย์ ถึงจะนอนรักษาตัวมานานทว่าบนร่างกายเขายังมีผ้าพันแผลเต็มไปหมด ตอนนี้ตัวเขาแทบไม่ต่างจากมัมมี่ในหนัง
จากการตรวจรักษาครั้งแรกร่างกายของเด็กหนุ่มมีบาดแผลทั่วร่างกาย แขนกับขาเขาหักทั้งสองข้าง เศษเหล็กรถยนต์แทงทะลุบริเวณหน้าท้องแต่โชคดีไม่โดนอวัยวะสำคัญ แต่ที่อาการสาหัสมากเพราะเสียเลือดมากเกินไป แต่แผลที่ฉกรรจ์มากที่สุดคือแผลบริเวณอวัยวะเพศจากการโดนฟ้าผ่า จากผลการวินิจฉัยของคุณหมออาจบอกได้ว่าเขากลายเป็นบุคคลไร้สมรรถภาพทางเพศไปแล้ว
คุณลุงของเขาเต็มใจในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ เพราะหากสอนกลายเป็นเจ้าชายนิทราจริง มรดกทั้งหมดของพ่อแม่สอนจะตกเป็นของเขาทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะคดโกงและแอบใช้เงินบางส่วนไปแล้ว ทว่ามรดกอีกมากมายยังต้องรอการอนุมัติของศาลเสียก่อน เขาถึงจะมีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์กลายเป็นเดือน จาก 1 เดือนกลายเป็น 2 เดือน จนในที่สุดเวลาล่วงเลยมาเกือบครึ่งปี สอนยังคงนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียงเช่นเคย จากเด็กหนุ่มที่น้ำหนักเกือบ 130 กิโลกรัม บัดนี้น้ำหนักของเขาลดลงไปเกือบ 30 กิโลกรัมแล้ว บาดแผลทั้งหมดของเขาหายดีหมดแล้วเหลือแค่เพียงแผลเป็นเท่านั้น โชคดีที่เทคโนโลยีการแพทย์ทันสมัยมากขึ้นทำให้การรักษาเป็นไปด้วยดี
ในช่วง 1 เดือนแรกเด็กสาวที่ถูกช่วยชีวิตจากเด็กหนุ่มได้มาเยี่ยมเขาทุกวัน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ครั้งเธอจะมาเยี่ยมสักหน จนผ่านไปสามเดือนเธอก็เลิกมาเยี่ยมเด็กหนุ่มเพราะคิดว่าเขาคงไม่มีทางหายกลับเป็นเหมือนเดิมแล้ว ซึ่งนอกจากพยาบาลสาวแล้วก็ไม่มีใครเข้ามาในห้องพักพิเศษอีกเลยร่วมถึงญาติของเขาด้วย
ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วบริเวณ เขาได้ตายไปแล้วหรือ? ที่นี่มันที่ไหนกัน? คำถามมากมายผุดออกมาจากหัวของเด็กหนุ่ม สายตาอันแหลมคมพยายามมองไปทั่วๆ ทว่าไม่ว่าจะมองไปแห่งหนใดก็มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากภาพสีดำมืด เช่นเดียวกับที่เขาเดินไปพื้นที่อันว่างเปล่านี้ไม่มีจุดสิ้นสุด เวลาผ่านไปไม่นานเขามีเสียงบางอย่างดังที่ข้างหู
“ลูกรักเจ้ามาทำอะไรที่นี่” เสียงปริศนาดังขึ้นมา เด็กหนุ่มยืนนิ่งราวกับถูกมนต์สะกด
“ใช่แล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ลูกควรมาอยู่” เสียงหวานไพเราะอีกเสียงกล่าวแทรกเข้ามา เหมือนตอกย้ำกับเด็กหนุ่มจนเอาอดกลั้นที่จะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ เสียงของทั้งสองคือเสียงของพ่อแม่เขานั่นเอง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง” สอนกล่าวไปทั้งที่น้ำตายังนองหน้า
“ฮ่า ฮ่า ลูกรักพ่อและแม่พ้นทุกข์มานานแล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องของธรรมชาติ พวกเราไม่สามารถหนีชะตาแห่งความจริงนี้พ้นหรอกลูกรัก” พ่อเขาพูดด้วยความอ่อนโยน
“พ่อเค้าพูดถูกแล้วจ๊ะ ลูกเองก็ยังไม่สิ้นอายุไข เพราะนั้นลูกควรจะกลับไปอยู่ในโลกที่ควรอยู่นะ โปรดจำไว้พ่อแม่รักลูกมาเสมอนะจ๊ะ” สิ้นคำพูดของคุณแม่ ภาพทั้งหมดของเขาก็ดับวูบ ปากของเขาพยายามจะอ้าปากเผื่อที่จะบอกรักพวกท่าน ทว่ามันสายไปแล้วภาพทั้งหมดหายไปพร้อมราวกับสายลมพัดผ่าน
“อืม” เสียงครางอยู่ในลำคอ นิ้วหยาบกร้านที่เริ่มขยับช้าๆ เปลือกตาที่ไม่เคยลืมมานานเริ่มจะมีการเคลื่อนไหว และเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่พยาบาลสาวจะเข้ามา ทำความสะอาดร่างกายให้กับนายสอน หลายเดือนที่ผ่านมาเธอทำหน้าที่มาโดยตลอด
“ปวดหัว” นั่นคือความรู้สึกแรกของเด็กหนุ่ม เขาพยายามที่ลืมตามองรอบๆ ทว่าเขากลับไม่สามารถลืมตา ร่างกายเขาชาด้านราวไร้ความรู้สึก ‘มันเกิดอะไรขึ้น’ สอนคิดในใจด้วยความตกใจ สมองเขาหนักอึ้งจนหัวแทบระเบิด ร่างกายไม่สามารถขยับได้ดั่งใจนึก ผ่านไปสักพักเขาเริ่มมีความรู้สึกบางสิ่งบางอย่าง ร่างกายส่วนนั้นเริ่มมีความรู้สึกทีละน้อย
‘อะ…มันเริ่มมีความรู้สึกแล้ว’ เด็กหนุ่มเริ่มมีกำลังใจเพิ่มขึ้น การที่กลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง เขาดีใจแทบอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ในมือของพยาบาลสาวถือผ้าผืนเล็กๆ สีขาว มือขาวเนียนเช็ดทำความสะอาดคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงเหมือนปกติทุกวัน
“เอ๊ะ แปลกจังวันนี้ใบหน้าของเขาเหมือนจะดูดีขึ้น ฉันคิดไปเองเหรอป่าวนะ” แอนพึมพำกับตัวเองเบาๆ เธอสังเกตเห็นว่าใบหน้าของคนไข้เริ่มมีสีแดงฝาดต่างจากปกติที่มีสีขาวซีด แต่แล้วมีบางสิ่งที่ทำให้เธอต้องเบิกตากว้าง ก่อนจะพูดเสียงด้วยความตกตะลึง
“นะ….นี่…มัน”